เรือนหลังน้อยในดงดวงดอกไม้ ริมสายธารระรินระริกไหล เจ้าของจุดเทียนทองบูชาไพร เทพไทแห่งขวัญหล้าพสุธาภักดิ์ กราบองค์พระปฏิมาอธิษฐาน ให้พ้นผ่านพันธนามายารัก ในแสงเทียนทองทอพุทธพักตร์ ให้แน่นหนักลั่นดาลใจไม่หลงวน น้ำผึ้งพิษจารให้จิบแท้ระทม เพียงสายลมพัดพรายให้หมองหม่น หวานชั่วคืนชื่นชั่วคราวหนาวทุกข์ทน บันดาลดลให้เวียนว่ายชดใช้กรรม เรือนดอกไม้ให้อ้อมใจเจ้าพิงพัก ให้อ้อมตักหยาดน้ำใจใสเย็นฉ่ำ ให้เมตตากรุณาน้ำค้างคำ ให้สายธารธรรมนำเรือชีวิตนิจนิรันดร์ .............................. เรือนบุษบา! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) ครั้นอิเหนาพรอดน้อง บุษบา ราชนิพนธ์มณฑา- รพไล้ สุวรรณศิลป์รัมภา รังเรข รำนา กลอนละครละม้าย มกุฎร้อยกรองสวรรค์ฯ ................. เสียงซอซอซาบซึ้ง ศศิมนตร์ โสมส่องทองมณฑล ทิพย์หล้า บุหลันเลื่อนลอยยล ยศยิ่ง พ่อนา ซอเซ่นสามสายฟ้า- ฟาดฝ้าโศกสลายฯ ............... บุษบาชื่อบุษบา บุษบาที่แปลว่าดอกไม้นั่นแหละ...ใช่เลย..! และ.... เป็นบุษบาไพร มิใช่บุษบาเมือง และก็ คงมิใช่นางเอกบุษบานารีในเรื่องอิเหนา เพราะบุษบาคนนี้ เบื่อเรื่องรักรัก เสียนักเสียหนา จนถึงกับได้อธิษฐานภาวนา แทนเสี่ยงเทียนที่จะ*ให้อิเหนาเขามารักข้า* เป็นว่าเกิดมาชาตินี้ชาติไหน ขอให้ดวงใจพ้นพันธนารัก เสียได้จะเป็นดี ทุกวันนี้ บุษบา มีความสุขกับชีวิต กับธรรมชาติ กับความสว่างสะอาดของจิตดวงใส ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้พิงพักกับมวลดอกไม้รายรอบเรือน *เรือนบุษบา* ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน อย่างที่ฝันเอาไว้มานานปี เรือนที่หนีไม่พ้นบึงบัว มีแสงไฟสลัวจากเชิงเทียนแก้วแทนไฟนีออน มีชานให้นอนเอนอิงพิงพักใจ..ได้ดูดาวเดือน เป็นเรือนที่มีมวลดอกไม้ไทยหวานหอม มาเคลียเคล้าในภวังค์ฝัน...ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เรือนที่ยังได้ยินเสียงเรไรร่ำ ดุเหว่าร้อง พร้องแผ่วแว่วเสียงหวาน ปานนกโกกิลาในตำนานพุทธศาสนา และ... ราวได้ยินเสียงนางโกกิลา ที่คร่ำครวญหวนหา*พระอานนท์... ............ เรือนริมบึงตรึงใจวิมานฝัน บัวหลากพันธุ์บานชูช่อล้อแดดใส จิก..ดอกหวานหว่านดอกลำธารไพร นั่นต้นไทรไหวเอนลู่คู่นกกา.. ตะวันสีไพลชิงพลบหลบเงาเมฆ ธรรมชาติเสกใจภิรมย์ชมมัจฉา มีชานฝันอันรื่นรมย์ชมพนา ตะวันลาโพล้เพล้เหว่ว้าใจ.. พายเรือน้อยลอยคว้างกลางสระกว้าง นอนอ้างว้างมองดูดาวพราวสุกใส โอ้ดาวน้อย ลอยเด่นดวง สุดแสนไกล ราวสอนใจไม่มีวันฝันเป็นจริง.. จุดตะเกียงเคียงหัวนอนเขียนกลอนฝัน นวลแสงจันทร์ลอดโลมไล้ลืมทุกสิ่ง เคียงหมอนขาวพราวดอกไม้หอมงามยิ่ง หลับตานิ่งดิ่งหัวใจไม่ตรอมตรม... พอยามดึกพงพฤกษ์ไพรไหวน้ำค้าง ใจว่างว่างลืมโลกลืมโศกสม เรือนหลังน้อยกับจิ้งหรีดร้องระงม เนื้อใจบ่มเพาะฝันดีที่งอกงามยามเงียบงัน... ....................... และ..สำหรับ บุษบา มีความสุข ที่ได้ชีวิตแสนสงบสุขแล้วเพียรภาวนา และ... หากค่ำคืนไหน ที่บุษบา คนนี้...ลุกขึ้นมาจุดเทียน ก็คือเทียนทองผ่องแผ้วถวายเป็นพุทธบูชา มิใช่..!มาเสี่ยงเทียนตามหารัก เพื่อเพียรฝึกหนักให้มีสมาธิภาวนา เกิดปัญญา รู้รักษาจิต ใสใจดวงงาม มิให้หวั่นหวามหวั่นไหว หลงใหลไปตามกระแสโลกย์ ที่แม้นแต่พระพุทธองค์.. ยังต้องดิ้นรนให้พ้นโศกสิ้นทั้งปวง มิต้องตกลงในบ่วงแห่งพันธนารักนั้น ที่รักกันได้กันดี ... หากพอถึงวันหนึ่ง เมื่อดวงชีวาชีวี และสังขารจำใกล้จะถึงเวลาโรยร่วง โปรยปลิดปลิว เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ ก็ต่างพากันตระหนักว่า... เกิดมา ชาติหนึ่งนั้น วันเวลาแห่งชีวีช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก.. และ ทุกสิ่งที่ผันผ่านมาคือทุกขังอนิจจังอนัตตา ที่หายึดมั่นถือมั่นได้นานไม่..! แม้แต่...*คำว่ารักนิรันดร์* จริงๆแล้วคือความทุกข์ ทั้งสิ้นทั้งนั้น ไม่ว่า เกิด แก่..เจ็บ..ตาย และ... จะต้องกลับมาวนว่าย อีกนับอสงไขยชาติ .. ให้น่าเหนื่อยนัก มาสู้รบกับความรักความชัง ทั้งหวังหวานและขมขื่น ที่ถึง..แสนชื่นฉ่ำ..ก็คงไม่นานปี... รอเวลาที่จะพ่ายแพ้สังขาร พรากลาโลกโศกสุขทุกข์ร้อน นอนไม่หายใจ กันทั้งนั้น ไม่เลือกวัยวันอายุขัยให้เตรียมใจไว้ได้เลย และ ในท่ามราตรีนี้... ที่เป็นราตรีคืนเดือนเสี้ยว จันทร์เสี้ยว..ดวงเศร้า..ที่ดูแสนงาม... ปานประหนึ่ง... ราวเรือทองกำลังลอยล่องท่องไป ในแดนดินแห่งความฝันสวรรค์สรวง ในท่าม รวงเรียวเกลียวเมฆหวานแสนหวาน บุษบา.. ได้กราบกราน ถวายมาลัยมะลิพวงโต หอมกรุ่นละมุนมงคล พลี แด่องค์พระพุทธคุณ ด้วยจิตดวงใสดวงคารวะ จุดเทียน..พร่างพราว แล้ว... ใจดวงงามพลันรำลึกนึกไปถึง เรื่องราว... ที่พระยาสุรสีห์ได้พลีดาบ ที่กรำศึกอย่างโชกโชนถวาย เป็นราวเทียน ให้จุดถวายเป็นพุทธบูชาในโบสถ์คร่ำ ก่อนวันที่ดวงชีวาท่านจะลาลับ ราวแทนคำสัจจะอธิษฐานภาวนา ที่ยอมพลีชีวาและทุกหยาดเลือดหลั่ง ให้พลั่งรินจนหยาดสุดท้าย เพื่อปกบ้านป้องเมืองเอาไว้ ใช่อยากเข่นฆ่าใคร หากทว่านี่คือสงครามเพื่อแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษผู้เก่งกล้าเกริกไกร จำต้องรักษาอิสรา เพื่อให้ลูกหลานไทย ได้มีผืนหล้าไว้หยัดยืนอย่างทรนง..! ........... บุษบาจึ่งได้แต่ ก้มลงกราบกราน..ณ..เบื้องหน้า พระพักตร์พระพุทธทองคำสุกปลั่ง..นิ่งนาน แล้ว น้อมศิระกรานอธิษฐานจิตแด่ องค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา..*สวดคาถาพาหุง * ตามด้วยมนตราอิติปิโสภควา อุทิศให้กับ มิ่งมิตรทางจิตวิญญาณ ของบุษบาในค่ำคืนนี้ ที่เป็นดั่งคนดีเป็นสุขนิรันดร์ฝันแสนงาม และ... หวังไม่นานช้า ... เขาคงไขว่คว้าดาวดวง มาสู่อุ้งมืองาม รจนางานมากมาย ฝากไว้เพื่อพลีบรรณาการดับแล้งโลก ลบโศกคลาย ให้มวลมมุษยได้เลิกใจร้ายคอยห้ำหั่นกัน ให้ดั่งสายน้ำรักนิรันดร์ ได้นำทางไปสู่ฝั่งฝันฤาสวรรค์ .. จนถึงพระนิพพาน ตราบนานแสนนาน.. ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ.. บุษบา.. ได้กลิ่นดวงดอกพิกุลหอมพราว มาเคล้าใจดวงงามในยามนี้ แล้ว... ใจดวงดีก็ประหวัดไปในค่ำคืนหนึ่ง คืนแห่งความซึ้งสุขนิรันดร์งาม ในต้นยามรัชสมัยรัตนโกสินทร์ คืนแห่งเบื้องบนนภา.. ที่รัศมีดาราส่องแสงพรายพร่างสว่างนวล สะท้อนทอละออม่านเมฆ........ เดือนแฝงเร้นซ่อนละมุนละไม. ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม.. ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านั่งน่านอนเล่น ดั่งทิพย์สวรรค์ ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.. ทายทัก..พักสายตา.. พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม.. .ตะลึงใจ..ตะไลฝัน กับงามล้ำของม่านเมฆ. มนต์ขลังแห่งฝันแสนงามนั้น และ นั่นคือจินตนาการที่บุษบาได้สานฝัน ต่อจาก... บทประพันธ์อันตราตรึง *ในเรื่องรัตนโกสินทร์กำเนิดกรุงเทพ..* *ของ..คุณปองพล อดิเรกสาร* ที่เพิ่งได้อ่านผ่านตา หากยังอวลตราล้ำลึกเกษมในบึ้งใจ *ในยามที่บุญมา(เจ้าพระยาสุรสีห์) ยืนเคียงคู่เจ้านางศรีอโนชารับลมเย็น บนระเบียงบ้านไม้สองชั้น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านบางกอก เจ้านางศรีอโนชา โอบกอด เด็กหญิงอายุได้สี่เดือน ไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม บุญมา โอบเอวเจ้านางศรีอโนชาไว้เพียงเบาๆ เขาดูสบายใจในชุดโจงกระเบน สีเขียวเข้มสวมเสื้อคอกลมสีขาว สายตาที่มองดูภริยาและลูกสาวบ่งชัดถึง ความรักและความเอ็นดู ของผู้ที่เป็นสามีและเป็นพ่อ ท่าทางที่ยิ้มแย้มเบิกบานของบุญมาขณะนี้ กลบกลืนความเป็นนักรบที่เก่งกล้าดุดัน กับความเป็น แม่ทัพชาญศึกที่สุดคนหนึ่งของกรุงธนบุรี ซึ่งทั้งข้าศึกและทหารของเขาเอง ต่างเกรงกลัวและยอมรับนับถือฝืมือ* *พี่จากไปเกือบปี เจ้ารู้ไหมหรือไม่ว่าพี่คิดถึงเจ้าตลอดเวลา และนับวันรอให้ลูกสาวคนนี้เกิดมาด้วย* *เจ้านางศรีอโนชาเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งในใจถามตัวเองว่า... *นี่หรือคือพระยาเสือ ที่ใครๆกลัว* นางยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นบุญมายื่นหน้าออกไปรับลม และหลับตาสูดอากาศที่สดชื่นสบายใจ* ................ .................... *ลมโชยแรงมาจากสวนรอบบ้าน พากลิ่นดอกพิกุล ที่ปลูกไว้ไม่ไกลจากบ้านมาด้วย *บุญมา..*ผ่อนลมหายใจสูดกลิ่นดอก ไม้ที่เขาชื่นชอบเข้าไปช้าช้า ในใจหวนนึกถึงเครื่องประทิ่นของชาววังกรุงเก่า ที่ทำจากดอกพิกุลอบแห้ง ที่บรรดานางในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา เคยชอบใช้กันหนักหนา* ........... .................* และ...สำหรับดวงจิตบุษบา ก็ได้แต่ร่ำไห้อย่างโศกครวญแทบทุกบรรทัด จิตนั้นพลันพลีเทิดทูนคารวะ แด่ทุกดวงวิญญาณบรรพชน วีรบุรุษลูกผู้ชายชาติไท หัวใจหาญกล้า ราวชายชาติอาชาไนย ที่มิเกรงกริ่งหวั่นภัย ยอมพลีเลือดเพื่อปกป้องผืนดินตราบจนสิ้นใจ ตราบจนหยาดสุดท้าย..!!!!! และ.. ฝากไว้ให้เรา ลูกหลานไทยทุกดวงจินต์ในวันนี้ ให้ยังมีแผ่นพื้นพสุธาไทยพสุธาทอง ให้ยังได้ครองหยัดยืน ครองขวัญ ฝัน ก็จงอย่าลืม... สร้างสรรปันพลีความดีความงาม คืนกลับแด่แผ่นดินแม่มาตุภูมิ แด่ผืนโลก ให้สมภาคภูมิ ก่อนที่...ลมหายใจ จะมอดดับลับลาไปราวอาทิตย์อับแสง..!!!!!! ............................ ........................ เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ.. ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้ โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล... เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์ เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี.. เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก.. เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์ สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้.. ................................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) เทียนจุดเวียนพระพุท-ธา ตัว ข้า บุษบาขออธิษฐาน เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ... .................
17 มิถุนายน 2552 15:54 น. - comment id 1001391
มาชมเรือนดอกไม้หอมของพี่พุดค่ะ
17 มิถุนายน 2552 16:20 น. - comment id 1001418
ได้กลิ่นความหอมลอยไปไกล จึงต้องตามมาพิสูจน์ ^^ งดงามมาก ๆ ค่ะ ทั้งอักษรและภาพประกอบ อยากใส่ชุดแบบนั้นบ้างจัง เป็นนางฟ้าในสวนไม้หอม 55+ ดอกลั่นทม (ลีลาวดี) เป็นดอกไม้ในดวงใจ ของเปิ้ลเลยคะ ชอบเรียกว่าลั่นทมมากกว่า คิดถึงเสมอคะพี่พุด
17 มิถุนายน 2552 16:31 น. - comment id 1001433
^ ^ ฝน^เอาดอกพิกุลมาฝากค่ะ พี่พุด บ้านนี้เวลาเข้ามาทีไรหอมชื่นใจทุกทีเลย
17 มิถุนายน 2552 16:38 น. - comment id 1001440
แวะเอาดอกไม้สวยๆมาฝากพี่พุดเจ้าค่ะ
17 มิถุนายน 2552 17:02 น. - comment id 1001456
สวัสดีงามๆยามเย็นเจ้า พี่พุด เข้ามาเดินชมเรือนดอกไม้ของพี่พุดแล้วอยากจะนอนพักชื่นชมเหล่ามาลีของพี่ให้ชื่นใจ เคลิ้มฝันไปกับบทกวีอันแสนหวานของพี่ช่างมีความสุขแต้ๆเจ้า พี่พุด ขอให้พี่มีความสุขสดชื่นนะเจ้า
17 มิถุนายน 2552 17:22 น. - comment id 1001465
สวัสดีค่ะ พี่พุด ยามรับรู้เรื่องราว แต่เก่าก่อนทีไร ดอกบัวรู้สึกอยากร้องให้ ซึมซับกับเหตุการณ์ กว่าจะมาเป็นรัตนโกสินทร์ ปัจจุบัน ต้องเสียเลือดเนื้อตั้งเท่าไร สมเด็จพระนเรศวร พระเจ้าตาก และอีกหลายๆพระองค์ กว่ารวงข้าวจะเป็นสีทองได้สมบูรณ์ บรรพบุรุษหลั่งเลือดชโลมดิน ขอให้พี่พุดมีสุขภาพแข็งแรง สงบร่มเย็นค่ะ
17 มิถุนายน 2552 17:49 น. - comment id 1001478
พลีกำนัลน้องๆ ผู้มีจิตดวงใสใจดวงประภัสสร ที่เมตตามาเยือนเรือนใจ เรือนดอกไม้หอมของพี่พุดค่ะ น้อง..ครูกระดาษทราย น้อง..ฝน น้อง..ดอกบัว น้อง...ม่านดอย น้อง...แก้วประภัสสร สุขใจ..เหนือรจนา..พุดพัดชา แสงเทียนทองทาบทาพระพุทธพักตร์ จิตหนาวนักลูกกราบนมัสการจากใจใส บังเกิดอัศจรรย์พลันพร่างสว่างใจ มุ่งหมายใดดั่งบัวพ้นน้ำเหนือความทุกข์ นิ่งท่ามเงียบเรียบง่ายคล้ายสิ้นร่าง วางและวางทุกสิ่งทิ้งทุกข์สุข แก้วกระจ่างสว่างแล้วแก้ววิมุตติ ทิพยสุขนิรันดร์ฝันกัปป์กาล พรหมสถานปาริสัชชาวิมานทิพย์ สู่แดนปุโรหิตมหาพรหมสถาน ปฐมภูมิผลิพ้นสมาบัติฌาณ ดั่งบัวบานเหนือบึงทองล่องนิรพาน แสงเพชรพร่างพราวพรายฉายฉัพพรรณรังสี ดั่งมณีรุ้งเรืองรายฉาดฉายฉาน งามเย็นฉ่ำลำแสงนิรันดร์สราญ ส่องตระการเกินจันทร์ใดในเวิ้งวัน ไฟน้ำลมทำลายปฐมภูมิ ให้สิ้นสูรย์พรหมเก้าชั้นนิรมิตขวัญ เวหัปผลาภูมิบังเกิดทิพยไร้รูปเป็นนิรันดร์ ห้าร้อยมหากัปปกัลป์พรหมลูกฟัก เหนือมหาภูมิเวิ้งฟ้าหลายหมื่นโยชน์ สัพพวัคตะโรจน์เรืองรองส่องจรัส ยอดภูมิยืนนานแปดหมื่นกัปป์ ผ่านเนื่องนับเพียรวิกขัมภนวิมุตติบารมี พุทธชมพูมนุษย์จิตพิสุทธิ์ผุดผลิพ้น หากครองตนรักศีลภาวนาสมาธิ นิพพานังสุขขังทานบารมี ตราบชีพพลีสร้างแก้วสว่างณ..กลางใจ ดอกสาละดั่งสละแล้วสู่นิพพาน สละผลาญเหนือกิเลสโลกสิ้นโศกไสว ประทีปแก้วแววประภัสสรนำทางใจ อุปไมยดั่งรัตนมาลีพร้อมพลีบาน โลกจะสิ้นด้วยไฟบรรลัยกัลป์ สิ้นสวรรค์ในหล้าหวานกว่าหวาน สิ้นมหาสมุทรใสเย็นนิรันดร์กาล ฤาสิ้นสายธารแสงธรรมนำน้อมพลี จิตดวงแก้วดั่งอัญมณีใส พร่างไสวเกินรัตนใดในโลกนี้ ละโลภหลงคงมั่นทำความดี ข้ามมหานทีสีทันดรพบแดนพรหม สถิตทิพย์ในวิมานบัวบึงบารมี ตราบโกฏปีกลางกลีบเกสรห่ม มิสิ้นเพียรภาวนาอรูปพรหม ดั่งเพชรพรมพร่างพรายท่ามจิตภักดิ์ ปรารถนาใดตราบลมหายใจมี โอ้คนดีใครหนอเล่าเท่าแน่นหนัก เพียรพาตนกมลเองนะที่รัก ทุกสรรพสัตว์อย่าหลงว่ายใกล้เชิงตะกอน ทาน ศีล ภาวนารักษาจิต ฝากชีวิตในร่มรัตน์ฉัตรภูมิสอน ถือเป็นโชคเกิดมาพบพระพุทธนิรันดร จงถอดถอนอินทรีย์สิ้นถวิลพระนิพพาน นิรันดร์เย็นเห็นกระจ่างทางเบื้องหน้า เอื้อมมือคว้าดอกพุทธมิหยุดสาน มิหวังใดทำจิตใสดั่งแก้วตระการ พบอริยญาณหรือใดใจงามพอ จากปฐมบรมภูมิพรหมภพ จิตสงบสะอาดวาดเพียรขอ ภาวนาไปในท่ามวันมิแท้ท้อ มีคอยรอเวลาและวารีที่ไหลลับ เหนือบทกวีที่รจนา ดินแลฟ้ารับรู้จิตเฝ้าจับ เหนือโศกสิ้นทิ้งอินทรีย์รอล่วงลับ จิตจักจับเดินเข้าสู่ประตูพระนิพพาน..
17 มิถุนายน 2552 18:10 น. - comment id 1001484
มาเยือน เรือนดอกไม้ ............... มาถักร้อยสร้อยโศกวิโยคขวัญ กรองรักพลันหวังดับทุกข์สร้างสุขศรี กรองมวลหมู่ชลามหานที เอาฤดีมาพรมพร่างต่างน้ำมนต์ เอาดอกไม้จากสวนน้อยของสร้อยขวัญ ทะเลจันทร์ทะเลดาวในหาวหน กรองม่านฟ้าหามาห่มให้กมล คงสุขล้นในราวสรวงแห่งห้วงใจ เอามวลเมฆเสกมาผ้าลูกไม้ แต่งระบายระย้าย้วยงามสวยใส เอาหมอกเหมยมิหมองเป็นยองใย ย้อมรุ้งไล้สลับสีที่งดงาม เติมแต้มพักตร์อนงค์บรรจงวาด ประดุจชาดปาดอีกทีสีแดงหวาม ย้อมอีกครั้งด้วยฤดีที่งดงาม ตบแต่งตามใจพี่ที่คำนึง เพื่อให้เรือนดอกไม้หอมพยอมขวัญ ในพร่างจันทร์ที่ใครใครเฝ้าไฝ่ถึง แม้เทพทิพย์ยามได้เยือนยังรำพึง เฝ้าคิดถึงอยากคืนหลังหลายครั้งครา เรือนดอกไม้เรือนรักจักหอมหวน จักหอมทวนลมพร่างหว่างบุหงา ยามพี่เยือนเยื้องย่างตามทางมา เพียงหวังว่าขวัญฤดีไม่หนีไกล ไม่หวังมากหรอกนางอย่างคนจร เพียงรับต้อนด้วยน้ำท่าจะหาไหน เพียงรู้ว่านุชนี้ยังมีใจ ในฤทัยก็สุขล้นแล้วคนดี ด้วยรักและผูกพัน
17 มิถุนายน 2552 21:52 น. - comment id 1001566
สวัสดีค่ะ หอมกลิ่นธรรม...
18 มิถุนายน 2552 10:26 น. - comment id 1001651
มาสัมผัสกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ค่ะพี่พุด....
18 มิถุนายน 2552 15:17 น. - comment id 1001776
แวะมาพักผ่อนที่เรือนดอกไม้ค่ะ...
18 มิถุนายน 2552 16:25 น. - comment id 1001830
คุณคนกุลา...บทกวีไพเราะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ น้องมะกรูด... whitelily .... white rose.... ชื่อน้องสาวทั้งสามก็ประมาณ ดวงดอกไม้ ไม้สมุนไพร ที่แสนงามและแสนงามค่ะ อ้อมตักอ้อมใจ เรือนดวงดอกไม้หอม ของพี่พุด ยินดีต้อนรับเสมอ พักให้สบายใจเพื่อเดินทางไกล ในโลกแห่งชีวิตที่แสนสับสนวุ่นวาย ต่อไปนะคะ ด้วยรักค่ะ
18 มิถุนายน 2552 16:59 น. - comment id 1001847
แวะมาทักทายที่เรือนดอกไม้ค่ะ
19 มิถุนายน 2552 14:12 น. - comment id 1002195
สวัสดีค่ะพี่พุด อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่งดีจัง สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนค่ะ มีชื่นชอบเป็นพิเศษด้วยค่ะ อันนี้เลย .................... หากพอถึงวันหนึ่ง เมื่อดวงชีวาชีวี และสังขารจำใกล้จะถึงเวลาโรยร่วง โปรยปลิดปลิว เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ ก็ต่างพากันตระหนักว่า... เกิดมา ชาติหนึ่งนั้น วันเวลาแห่งชีวีช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก.. และ ทุกสิ่งที่ผันผ่านมาคือทุกขังอนิจจังอนัตตา ที่หายึดมั่นถือมั่นได้นานไม่..! แม้แต่...*คำว่ารักนิรันดร์* จริงๆแล้วคือความทุกข์ ทั้งสิ้นทั้งนั้น ไม่ว่า เกิด แก่..เจ็บ..ตาย .............................. สุดยอดแบบว่าเจ๋งเป้งไปเลยค่ะ