ไม่มีคำง้อ

Salukphin

        ไม่มีคำงอนง้อขอใช้สิทธิ์
และไม่คิดคัดค้านต้านห่างเหิน
ด้วยใจจำย้ำว่าค่าต่ำเกิน
จึงขอเดินจากไกลไม่อำลา
เพราะตระหนักศักดิ์ศรีที่แตกต่าง
ทั้งเส้นทางฐานะใจไร้ห่วงหา
ฤทธิ์สวาทพาดใจไว้บางตา
ยอมรับว่าวันนี้ไม่มีใย
คำว่าไม่ใช้ย้ำย้อนก่อนใหลหลง
เลือดทระนงตรงเชื่อมั่นยากหวั่นไหว
ไม่ ไม่ ไม่จารจดรดขั้วใจ
ตอกย้ำไว้ไม่ใจอ่อนเผลออ่อนแอ
ไม่เพราะใจแจ้งค้นสืบต้นเหตุ
พิษอาเพศภัยรักจักไร้แผล
ปราศจากรากริ้วรอยร้อยรังแก
เจ็บย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่มี.
 				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    27 ธันวาคม 2551 09:08 น. - comment id 929656

    อยากหยุดง้อเหมือนกันค่ะ แต่หยุดไม่ได้แล้ว 
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • krajokngao

    27 ธันวาคม 2551 09:16 น. - comment id 929660

    แม้จะต่างจะต่ำเกินไปนัก
    แต่ความรักไม่แยกแบ่งใช่ไหม
    ก็เพราะรักเกิดได้กับใครใคร
    แล้วทำไมต้องมีใยกั้นรักเรา
    
    ขอเพียงแค่ใส่ใจห่วงใยรัก
    อย่าปล่อยพักช่องว่างให้ใจเหงา
    อาจท้อแท้ได้บ้างบางครั้งคราว
    อาจเจ็บร้าวในสิ่งที่ต่างไป
    
    แต่ไม่ใช่ไม่ควรที่จะรัก
    หากสมัครมีรักจริงจะเชื่อไหม
    แม้จะต่างก็ต่างเพียงแค่กาย
    แต่หัวใจเราสองไม่ต่างกัน
  • กิตติเวทย์

    27 ธันวาคม 2551 09:18 น. - comment id 929661

    ไม่...มีวันที่ฉันจะใจอ่อน
    มี...คำอ้อนอย่าไปลับให้กลับหลัง
    คำ..อภัยให้เธอมากี่ครั้ง
    ง้อ...เรื้อรังฝังใจให้เจ็บจำ
    
    ไม่...อีกแล้วขอจบครบแค่นี้
    มี...ปราณีมากเกินเดินถลำ
    คำ...ว่าลาก่อนนะคงเป็นธรรม
    ง้อ...ต่อไปคงช้ำจำใจลา
    
    29.gif29.gif36.gif29.gif29.gif
    ง้ออีกครั้งไม่ได้หรือ...นะนะ..ฮาฮิ
  • จะไม่เด็ด

    27 ธันวาคม 2551 22:48 น. - comment id 929918

    ฉัน...หลงผิดที่คิดต่าง
    จะ....ลาร้างเธอไปให้ไกลแสน
    ง้อ...เท่าไหร่ฉันไม่เคยดูแคลน
    เธอ...คือแฟนคนแรกที่เคยมี
    
    จน...บัดนี้ฉันจึงพึ่งสำนึก
    กว่า..รู้สึกเสียเธอไปไกลเหลือที่
    เธอ...จะยอมให้ง้อขอคืนดี
    ยอมใจอ่อน...ซะที...ปี้.ขอ.โต๊ด..อิอิ
    
    แบบว่า..ไม่รู้สิ
  • 383

    27 มิถุนายน 2552 17:15 น. - comment id 1006410

    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือนผีสิง
    ผมแทบสู้แกไม่ไหว   
    ' ยายเอาคนอื่นไปแทนได้ไหม ? 
    เอาเพื่อนผมไปแทนได้ไหม ?' 
    ผมเอ่ยถามทางดวงจิต 
    '.....................' 
    แกนิ่งเงียบ   
    ' ยายเอาตัวเพื่อนผมที่เข้ามาอ่านเมล์นี้ไปนะ
    ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเมล์ผมหรือไม่ส่งต่อ
    ตอนกลางคืนเค้านอนหลับ
    ยายเข้าไปล้วงปากกินเครื่องใน
    กินวิญญาณเค้าเลยนะยาย.. ' 
    เสียงยายก้มลงมาหัวเราะริมหูผม...
    ยาวและนาน   
    เหมือนกับว่าสะใจ   
    ในข้อเสนอ ก่อนจะหายตัวไป...
    
    ส่งต่อไปให้อีก   20 คนด้วยนะ
    บรื๋ออออออออ   '''''''''''''''
    ฮุ ฮุ .. ไม่ส่งต่อไม่ได้เลยอ่ะ 
    คืนวันนั้น...   
    ผมกับยายนั่งคุยกันริมระเบียงถึงเรื่องในอดีต
    วัยเพียง   15 ปี
    ทำให้ผมนั่งฟังยายเล่าได้ไม่นาน
    สักพักผมก็ยุกยิกอยากจะไปเล่นกับเพื่อน
    ยายคว้ามือผมไว้   
    มือเหี่ยวย่นน่ากลัวเหมือนหนังตายซาก
    สายตายายดุดัน แต่เหม่อลอย
    มองหน้าผม เหมือนไม่ได้มอง
    ผมนั่งข้างยายอย่างหวาดกลัวในกิริยา
    แล้วฟังเรื่องเล่าจากปากยาย
    ยายเล่าว่า...   
    สมัยก่อนเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตาย
    ผู้ใหญ่จะนำมะพร้าว ฝรั่ง มะม่วงในสวน   มาบนเจ้าที่   
    ไม่ให้ผู้ตายมารับตัวเด็กๆในบ้านไปอยู่ด้วย
    ยายถามผมว่า...   
    ถ้ายายตายไปแล้วกลับมารับผม
    ให้ไปอยู่ใน โลกอีกโลกด้วย
    ผมจะไปกับแกไหม   ? 
    ผมหัวเราะในความงมงาย
    คนแก่ก็อย่างนี้   
    พยักหน้าเสียหน่อยไม่ให้แกน้อยใจ
    แล้วผมก็รีบเดินไปเล่นกับเพื่อน
    ยายหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง...
    อีก   7 วันต่อ มาแกก็เสียชีวิตแบบประหลาด
    กลางดึกคืนสุดท้าย   
    ยายลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเสื่อที่ปูนอน
    ปากตะโกนเสียงแหบว่า...
    ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา ฉันไม่ไป ไม่เอา   ฉันไม่ไป   
    แล้วก็หวีดร้องเหมือนปีศาจ
    ทำให้พ่อกับแม่ของผมตกใจ
    ต้องรีบจุดตะเกียงเป็นการใหญ่
    บ้านริมน้ำของเราใช้ตะเกียงเป็นดวงไฟ
    และใช้ยากันยุงแบบจุดม้วนเพื่อไล่ยุง
    หลังจากห่มผ้าให้ยายแล้ว
    ผมก็นอนอยู่ข้าง ๆ   
    ตัวแกสั่นกุกกัก   
    ลองหันไปดู   
    ตาแกลืมโพลง   
    น้ำหมากไหลย้อยออกมาจากปากตอนนอน
    ตัวเย็นชืด   
    ทดสอบหยิกไปที่หลังมือ
    ยายก็ไม่ตอบสนอง   
    ทุกคนรีบมาดูอาการ   
    แล้วลงความเห็นว่ายายจากพวกเราไปแล้ว
    หลังคืนสวดศพ   3 วัน
    ผมนอนบนเสื่อกับพื้นกระดาน
    ลมแม่น้ำพัดตีเข้าบ้าน เย็นสบาย
    กลุ่มดาวส่องประกายระยิบระยับ
    แว่วเสียงไม้กระดานลั่นเหมือนมีคนเดิน
    น้ำหนักมือกดลงบนหน้าอกผมขณะนอนหงาย
    เสียงแหบแห้งของยายถามผมช้าๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    ร่างเกร็งแข็งพยายามยกมือมาพนมกลางอก 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำมาอีกครั้ง
    ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม   
    ริมฝีปากหมุบหมิบสวดคาถานะโมสามจบ
    กระท่อนกระแท่นเต็มที
    เพราะความหวาดกลัวแล่นขึ้นสมอง
    น้ำหนักทับบนหน้าอกหนักขึ้นทุกทีที่สวดมนต์จบคาบ
    น้ำหนักยายคงไม่เกิน 45 กิโล
    แต่ที่ทาบทับบนหน้าอกตอนนี้
    ก็น่าจะปาเข้าไป   60 กิโลแล้ว
    กระดูกกับปอดตรงทรวงอกถูกบดทับจนรวดร้าว
    ผมขอร้องยายว่า...   
    ' อย่าเอาผมไปเลย
    ให้เวลาอีกนิด   
    รอให้ผมสนุกกับเพื่อนฝูงจนเต็มคราบก่อนค่อยกลับมารับ ' 
    เสียงยายหัวเราะข้างหู
    ผมขนลุกซู่ทั่วตัว   
    กลิ่นน้ำหมากคละคลุ้งจนเสียวสันหลัง
    แล้วน้ำหนักที่อัดแน่นลงบนทรวงอกก็ค่อยถ่ายออกทีละน้อยยายหัวเราะ
    หมายถึงว่าตกลง...   
    เวลาผ่านไปสองปี   
    การเล่นกับเพื่อนคงลดน้อยลง
    หันไปอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อพัฒนาผลการเรียน
    ผมลืมเรื่องยายไปเสียสนิท
    มาเมื่อคืนวาน ผมปิดไฟนอน
    หลับตาสวดมนต์สามคาบ
    แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
    พอลืมตามองเพดาน   
    ในห้องมืด...   
    หางตาผมก็มองเห็นยายนั่งอยู่ข้างๆ 
    ' ไปอยู่กับยายนะลูกเอ๊ย... ' 
    เสียงแหบโหยดังแผ่วซ้ำกับเมื่อครั้งอดีต
    ผมแทบเป็นบ้า   
    ร่างยายเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
    ดวงตาหลุดหายไปหนึ่งข้าง
    น้ำหมากกับเศษฟันหักร่วงหยดแหมะ ๆ
    เปรอะที่นอนเต็มไปหมด
    กลิ่นเหม็นของผีตายซากอบอวลเต็มห้อง
    คราวนี้ยายเอาจริงแน่ 
    ' ผมไม่ไปกับยายหรอก ' 
    ผมส่ายหัว   
    มือประกบพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ยายนั่งนิ่ง   
    ตาข้างที่ยังเหลืออยู่มองผมอย่างรวดร้าวเจ็บช้ำ
    ไม่มีเสียงหัวเราะจากปากแก
    เพียงเสี้ยววินาทีแกปราดขึ้นมานั่งทับอกผมบนเตียง
    มือเหี่ยวงุ้มบีบคอ
    และพยายามล้วงเข้าไปในปากผม
    เรี่ยวแรงเหมือ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน