นาฏกรรมชีวิต บทที่2 ฉากที่2
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ฉากที่ 2 ข้าวลอยน้ำ
อรุณรุ่งทุ่งทองรับตาวัน
เหล่านกกาพากันบินไหวไหว
ข้ามสันฟ้ามุ่งหน้ายังถิ่นไกล
คือวันใหม่ของวันที่ลับลา
กระท่อมน้อยไร้แววของควันไฟ
ผู้อาศัยหลับใหลเหมือนสังขาร์
แสงทองส่องฟ้าประกายมา
สองชราลืมตารับความจริง
ตาคำสอน
ฝนหยุดแล้วแคล้วภัยที่กรายกล้ำ
เสียงฝนพรำเหมือนฝันมาสู่สิง
ยามนี้ชีวิตเป็นทุกสิ่ง
มัวประวิงวิ่งหนีก็ป่วยการ
แม่เอ๋ยเผยตาออกดูเถิด
มันจะเกิดสิ่งใดต้องกล้าหาญ
แล้วเราสองต้องแก้อย่ารนราน
ไม่ช้านานทุ่งทองจะเป็นทอง
ทั้งสองร่างหมวกเก่าก้มก้มเงย
ไอระเหยไคลเหงื่อใบหน้าหมอง
ช้อนรวงข้าวจากน้ำที่เจิ่งนอง
วางเป็นกองบนคันนาอันเคี้ยวคด
แดดกล้าสองชรายังมุงาน
แม้อาการอ่อนล้าจะปรากฏ
ร่างผอมเกร็งเคี่ยวงานไม่ลาลด
แทบเหงื่อหยดทดน้ำที่เจิ่งนอง
บ่ายคล้อยตะวันย้อยอีกฟากฟ้า
จึงมุ่งหน้าสู่กระท่อมชราสอง
ตามคันนามากมีเรียวข้าวกอง
เหลือเพียงฟองน้ำขุ่นในท้องนา
ตาคำสอน
ข้าวเปียกน้ำตากลมและผึ่งแดด
ร้อนที่แผดคงช่วยมารักษา
ต่อแต่นี้เหลือเพียงการเยียวยา
คือเมตตาจากฟ้าหยุดแปรปรวน
เหมันต์วสันต์และคิมหันต์
ต้องตามกันด้วยวิถีอย่าผันผวน
ปลดชะตาชาวนาอันรัญจวน
ก็เราล้วนเป็นคนที่เท่าเทียม
ฤาว่าเราเพียงควายไร้สมอง
ชนชั้นรองมิหมายไปใฝ่เอื้อม
เช่นนั้นหยาบหยามน้ำใจเรียม
ก็ต้องเตรียมเจียมใจไว้หนอตน
ข้าวตากแดดแผดมาเพลานี้
ถึงเวลาขัดสีทยอยขน
ฟ้าเมตตาไร้ฝ้ามามัวปน
เหมือนเวทมนตร์จากฟ้าประทานพร