เสียงครวญจากตาหรุ่ง น้ำฝนหล่นจากฟ้า หยาดหยดมาให้ชุ่มฉ่ำ ชาวนาได้ปักดำ ชื่นฉ่ำใจไปทุกคน ตาหรุ่งไม่รอช้า มุ่งสู่นาที่ทำทน ไม่มีเสาร์อาทิตย์ วันหยุดปิดไม่เห็นหน ทำชั่วบรรพชน กระทั่งจนแกชรา ปีนี้ข้าวงามนัก ข้าคงจักได้ขายค้า ขายข้าวได้ราคา ข้าจะซื้อทีวีดู ฝนแล้งแห้งแผ่นดิน ข้าวตายสิ้นแสนอดสู ไม่มีทีวีดู ควายบักตู้ก็มาตาย ข้าวข้าเคยเขียวสด แดงแห้งหมดน่าใจหาย ผู้แทนครับเจ้านาย สัญญาไว้ลืมหรือยัง ตอนท่านมาหาเสียง ส่งสำเนียงมีมนต์ขลัง ถ้าได้เข้าไปนั่ง ในสภาจะพูดแทน ฝนแล้งฤาน้ำท่วม ใช่กำกวมช่วยหลายแสน เพราะผมคือผู้แทน ลำบากแสนก็จะทำ บัดนี้นาข้าแล้ง ใจข้าแห้งมืดมิดดำ ไม่เหลือข้าวกอบกำ ข้าจึงจำต้องขอนาย หลายครั้งอีกหลายครา ที่พวกข้าต่างมุ่งหมาย คอยจนหลายคนตาย เพราะป่วยไข้ไม่มีเงิน(รักษา) พวกท่านอยู่ในเมือง ใยรู้เรื่องเราขัดเขิน มัวแต่หลงเพลิดเพลิน กิเลสชั่วลืมตัวตน ข้าวขาวที่ท่านกิน เราทั้งสิ้นที่ทุกข์ทน
17 มิถุนายน 2551 06:31 น. - comment id 862849
ที่หนึ่งป่าวหว่า
17 มิถุนายน 2551 08:45 น. - comment id 862860
ขอที่สองมาอ่านงาน กลิ่นโคลนสาปควาย.. กาแฟคะพี่สาว
17 มิถุนายน 2551 14:52 น. - comment id 862936
ครับสมัยเด็ก เวลาเรียนหนังสือเขาก็บอกว่าชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ พวกผู้แทนในสภาก็ท่องจำกันมาพูดในสภา แต่เวลาทำจริงกลับไม่ได้ให้หลักประกันอะไรกับชาวนา เถ้าแก่โรงสีกับเป็นผู้กุมชะตาชาวนา ผลผลิตถูกหักออกเป็นดอกเบี้ย ยังถูกกดราคาเรื่องความชื้นของข้าวเปลือกที่ชาวบ้านไม่มีทางรู้ทันได้ เรื่องราวของชาวนาจึงเป็นเรื่องหาเสียงบนน้ำตาของชาวนาอยู่ร่ำไปครับ
17 มิถุนายน 2551 18:47 น. - comment id 863066
ชาวนาภาคไหนๆ ก็มีชีวิตเหมือนตาหรุ่ง นะคะ เข้าใจตั้งชื่อ ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนค่ะ มีความหมายไหมคะ
17 มิถุนายน 2551 23:17 น. - comment id 863199
อันที่จริงผมเองชอบอยู่สามอย่างคือ โคลง กาพย์ยานี11 และกลอนแปด แวะมาอ่านกาพย์ ยานี 11 ขึ้นต้นก็ดีไหงพอลงท้ายกลายเป็นกาพย์ ยางอไปล่ะ รักดอกจึงบอกให้เน้อ รัก แก้วประเสริฐ.
18 มิถุนายน 2551 00:57 น. - comment id 863234
สงสารตาหรุ่งเหลือเกิน....ยังไม่รู้..ผู้แทน เขาถ่มน้ำลาย..ก็คิดว่ารับปาก.... คราวหลังคงเลือกอีกหล่ะคนนี้ใช่มั๊ย .. แต่ชาวนานอย่างตารุ่งนี่มากเหลือเกินครับ