ก้าวย่างเดิน เกินย่างด้น ถนนถ้ำ ทางลึกล้ำ ถ้ำลึกล้น ถนนขาว รอบแสงพร่าง ร่างแสงพรึก ประกายดาว โอ้ตัวเรา เอาตัวรัก ที่พักเดิน จะถอยกลับ จับถอยไกล ถอดใจทิ้ง ใจประวิง จริงประหวัด หัดระเหิน เวิ้งฟ้าไกล ไหว้ฟ้ากั้น สุดเอื้อมเกิน แนวโขดเขิน เนินโขดคั่น ฉันหลงทาง หลงทางรัก หลักทางรั้ว ล้อมขังรอบ ขังล้อมกรอบ ขอบล้อมกั้น ผุดพลันสร้าง วนเวียนว่าย ว่ายเวียนวน ของกลทาง สุดอ้างว้าง สร้างอ้างว่า หาผู้คน รอยรักสุข รุกรักสุด หลุดไกลกู่ กลับทุกข์คู้ กู้ทุกข์ขัง ประดังพ้น ด่ำสุขแสน แดนสุขสม ชมกมล แต่ทุกข์ล้น ตนทุกข์ล้วน ป่วนมิวาย
14 มีนาคม 2551 23:26 น. - comment id 831978
หลงทางเดินเพลินจิตที่คิดวาด ทางพิลาสแม้นไกลก็งามสม หลงทางรักกักใจให้ระทม หลงตรอมตรมจมปริ่มริมน้ำตา สวัสดียามดึกๆค่ะ คุณกิ่งโศก
15 มีนาคม 2551 00:44 น. - comment id 831990
หวัดดีครับคุณ อักษราลี
15 มีนาคม 2551 22:07 น. - comment id 832198
พิษทางหลง-ทางรักจักปวดร้าว ขมขื่นคาวหนาวเหน็บเจ็บปวดหนอ น้ำตาใจไหลหลั่งถั่งล้นคลอ ร้าวจนพ้อเพ้อคลั่งทั้งเจียนตาย.
22 มิถุนายน 2553 14:09 น. - comment id 1139524
Test""" ช่วงนี้เป็นช่วงหลงเสน่ห์เมืองเหนือ ของกิ่งโศก คนยาก หุหุ แลคาบนี้เรามาสัมผัส แคว้นในอดีต ที่เกือบจะเป็นแต่ตำนาน.. เวียงกุมกาม..ตำนานเมืองล่ม เบื้องลุ่มน้ำแม่ปิง เมืองที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ แลก่อนกาลนั้น ยังก่อกำเนิด กู่อันศักดิ์สิทธิ์มากมาย ( กู่ หมายถึงเจดีย์) เวียงกุมกาม ที่ถูกขนานนามว่า เป็นเมืองหลวง เมืองแรกของอาณาจักรล้านนาไทย หากไม่ล่มแล้วคงรุ่งเรืองยิ่งแล้ว เวียงกุมกามแม้นจำเริญรุ่งไม่นาน จนผู้คนจะจำไม่ได้แล้วว่ามีอยู่จริงหรือเพียงตำนานเท่านั้น จนประมาณปี 2528 กรมศิลปกรไปขุดเจอ เรื่องราวจึงบ่งบอก อุบัติขึ้นเรา เราๆ ได้รู้จัก มิใช่แค่เป็นเป็นเรื่องเล่าขาน ความรัก สัจจะ แลการสร้างบ้านแปลงเมือง ของเจ้าชีวิตล้านนา.เท่านั้น แต่ สิ่งทั้งหลายคือ ประวัติศาสตร์ชาติไทย.. ปัจจุบัน .เวียงกุมกาม อยู่ในท้องที่หมู่ 11 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 5 กิโลเมตร ติดกับ ลำพูน เกร็ดประวัติคงมีการกล่าวไว้ให้ศึกษา เกี่ยวกับเวียงกุมกามเหล่านี้มากมายแล้ว กิ่งโศก เพียงสะกิด อนุสติตัวเองนึกถึง นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง เวียงกุมกาม ที่ได้อ่านมาก่อนหน้านี้ ... ความรัก เรียกว่า 5 เส้า เลยก็ได้...ถูกดำเนินเรื่องแบบอิงประวัติศาสตร์ ได้ชวนติดตามยิ่ง แม้จะติดขัดกับการ อ่านภาษาทางเหนือ.. เจ้าพระยามังราย มหาเทวี นางอั๊ว ราชเทวี พายโค อ้ายฟ้า และ กานโถม นวนิยายเรื่องนี้ มีนักอ่านชาวลำพูนเพื่อนของกิ่งโศกเอง เคยต่อต้านและวิพากษ์ ในแง่ผู้เขียนที่อ้างอิงประวัติศาสตร์เวียงกุมกามกับผู้ค้นคว้า อีกท่านหนึ่ง ที่แย้งกับอีกท่านหนึ่ง..ณ. ที่นี้กิ่งโศก ไม่ขอก้าวล่วงวิพากษ์ในหัวข้อขัดแย้งดังกล่าวแต่อย่างใดแต่เพียงใด เพียงมีความชื่นชอบ นวนิยายแนวอิงประศาสตร์ หลายๆเรื่อง และเวียงกุมกามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากจะถือว่า อิงประวัติศาตร์ นั้นครึ่งหนึ่งทีเดียว ส่วนอีกครึ่งเป็นการจินตนาการของผู้แต่ง ( ทมยันตี) อยาก สปอย เรื่องราวให้ฟังจัง..แต่จำได้ไม่หมด เอาแบบย่อ แล้ว ก็ย่อ ก็แล้วกัน 55 พระยามังราย ปฐมกษัตริย์ ล้านนา รักใคร่นางอั๊ว แล ให้สัจจะแก่นางว่า จะรักนางคนเดียว ในโลก นางอั๊ว เวียงชัย ผู้งดงาม แลมีฝีมือฟันดาบ และ นางคือ ฟ้ามุ่ย แห่งม่อนผาสูง ของอ้ายฟ้าผู้เฝ้าปองด้วยใจภักดิ์ อ้ายฟ้า ชายหนุ่มรูปงาม สุภาพบุรุษ เป็นนักรบ และศิษย์ร่วมสำนักดาบกับนางอั๊ว และหลงรักนางอั๊ว แบบไม่มองสาวอื่น พายโค ราชธิดาเมืองหงสา ผู้งดงามยิ่งแลถูกถวายให้พญามังราย ..หรือนี่คือเหตุให้นางอั๊วไปบวชชี และปรกอบเหตุบุตรนางอั๊วเสียชีวิตด้วย จึงตัดสินใจบวช...และอาจเป็นสาเหตุให้พญา มังรายโดนสายอัสนีบาตจนสิ้นชีพ.... นางพายโคหลงรักอ้ายฟ้า เป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยพญามังรายรับนางมาแต่ในนามหายุ่งเกี่ยวด้วย ถือสัจจะต่อนางอั๊ว ..นางน้อยใจมาปรึกษาแม่ชีที่วัดบ่อย ..จวบแม่ชีนางอั๊วตาย ..อ้ายฟ้าแค้นพายโค นึกว่าเป็นต้นเหตุ พายโคจึงย้ายมาอยู่เวียงกุมกาม.. กานโถม นายช่าง ผู้แอบรักนางพายโค เยี่ยงทาส โศกนาฏกรรม เมื่อ ภัยจากลำน้ำปิง ท่วมบ่าเวียงกุมกาม ผู้คนล้มตาย..แล นางพายโคด้วย นางตายอยู่ในอ้อมกอดของ กานโถมทาสผู้ซื่อสัตย์ที่พยายามช่วยนาง.. พญามังราย โศกสลด ณ..วันหนึ่งเดินอยู่ในตลาด สายฟ้าได้ผ่ามาที่พญา จนต้องมาตายไปด้วย.. คำสาบาน..กำลังลงทัณฑ์พญาแล้วหรือไร ?..... สักขีแม่ปิง.. อยากนำเสนอ บทเพลง อมตะ สักเพลงเถิด..เพลงนี้โด่งดังครั้งอดีต และสักช่วงหนึ่ง กลุ่มรวมดาว นำมาร้องใหม่ ก็ดังระเบิดเทิดเทิง เลยเชียว 55 เชิญชวน พี่ป้า น้าอา มารำลึกความหลังกันเถิด.... เพลง : สักขีแม่ปิง ศิลปิน : รวมดาว ( ประวิตร ทวินันท์) เนื้อเพลง : ช. โอ้กุศลดลพี่มาพบเจ้า ใจพี่ยังร้อนผ่าว ความรักรุมเร้าคลั่งไคล้ ญ. น้ำคำรักของคนเมืองใต้ จะจริงแท้แค่ไหน สาวเชียงใหม่ครวญใคร่ถวิล ช. ชีพสลายยังไม่คลายรักเจ้า ญ. จริงดั่งใจหรือเปล่า หวั่นเกรงเคลือบเอาที่ลิ้น ช. รักจริงเพียหัวใจแดดิ้น ไม่วายเว้นถวิล มิสิ้นความรักได้เลย ญ. น้ำปิงล้นฝั่ง ช. ดังรักพี่ เปี่ยมฤดีแล้วเจ้าเอย ญ. แล้วคงละเลย ไม่เหมือนเอ่ย ช. โอ้ทรามเชยมิเคยแหนงหน่าย ญ. หน่อยเถิดนะ คงจะไม่เห็นหน้า ช. ถ้าพี่เป็นเหมือนว่า วานน้องฆ่าเสียให้ตาย ญ. สาบาน ช. จ๊ะสาบานก็ได้ หากความรักสลายขอตายในสายแม่ปิง ช. รักกันหวานชื่น ญ. เกรงขมขื่น ขื่นกลับชังช้ำอกหญิง ช. น้องควรรู้ใจ พี่ทุกสิ่งเช่นแม่ปิงรู้จริงใจพี่ ญ. หน่อยจะคร้าน นานกลับกลายหายชื่น ช. พี่ไม่ไปไหนอื่น จะขอชื่นรักอย่างนี้ ญ. อุ๊ยตาย อายเขาบ้างซิพี่ ช. จูบฝากรักสักที ช.ญ. ไว้เป็นสักขีแม่ปิง ๏ ฟ้ามุ่ย..พิมานแถน ๏ งามแม้นยิ่งฟ้ามุ่ย...............ม่อนสูง สรวงเนอ เลอข่มพิลาสยูง..............เยี่ยมฟ้า ตรึงจิตติดจองจูง............แจ้งเติ่ง ตามเฮย แลทอดลอดทั่วหล้า........เลิศถ้วนเรืองแถน ๚ะ ๏ งามแม้นยิ่งฟ้ามุ่ยเยี่ยงปุยฝ้าย เฉกละม้ายศักดิ์แถนยั้งแดนสรวง นายิกามาลัยไผทยวง ผกาพวงกลีบพร้อยดอกสร้อยพราว ๏ นรหาญปีนป่ายหวังได้ปลด ปลายบรรพรตจรดสูงจรุงหาว ร่วงแลหล่นลงเหวแหลกเหลวราว- ฝุ่นทะท่าวยอบพื้นระดื่นดิน ๏ มนต์ฟ้ามุ่ยร่ำหมายกำจายม่อน ภมรว่อนโฉบว่ายไหวถวิล ดอกฟ้าสรวงปวงคู่หมู่เทวิน เหล่าชาวดินเคียงค่าดอกพะยอม ๏ แหงนคอตั้งต่างตาหวังฟ้าเห็น เพียงเศษเส้นกลีบเฉาสิ้นเงาหอม ปลิวจากขั้วหลุดโคมกระโจมจอม ดินเจ้าดอมจึงดมให้สมปอง ๏ มิกลัวพิษซ่อนซ้อนเกสรชู้ หวำวาบสู่วธูชิดสนิทสอง แม้นชั่วเสี้ยวเพลาสั้นเชิงครรลอง ยังตราต้องติดตรึงตราบนิรันดร์ ๚ะ + กิ่งโศก + ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓
24 มกราคม 2554 19:53 น. - comment id 1181425
ยามลมหนาวโชยพัด ริมชายทุ่งหรือตามแถบริมป่า มักมองเห็นดอกสีม่วงอมขาว นวล สมัยเด็กๆ เวลาขี่หลังควายและเล็มหย้า มักจะได้กลิ่นดอก สาบเสือ ( ไม่แน่ใจว่าสาบเสือกลิ่นแบบนี้หรือเปล่า) หรือหากอยากจะสนุกสนาน ก็ เด็ดเอาใบสาบเสือ วางแปะตรงกำปั้น ( กำหลวมๆ ตั้งขึ้น ) แล้วก็ใช้ฝ่ามืออีกข้างตบลงไปตรงๆ จะเกิดเสียงดัง คล้ายตีกลอง ตอนเด็กๆ ก็แข่งขันกัน เป็นการละเล่นประสา เด็กบ้านป่าอย่างหนึ่ง และกีฬาอีกอย่างคือ นำใบมาทำก้อนกลมๆ เป็นกระสุน ในท่อไม้ซาง แล้วใช้ไม้แส้ กระแทกเป็นลูกกระสุน ยิงแทนปืนสมัยเด็กๆ เสียงดัง ปัง ๆๆ สนุกดีครับ นอกจากนี้ใบของต้นสาบเสือยังเป็นยาสมานแผลสด ห้ามเลือดได้ดีนักละครับ เวลาโดนมีดหรือของมีคม บาดเป็นแผลเลือดไหล นำใบของต้นสาบเสือ ขยี้ แล้วโปะ ลงบนแผล แสบน่าดูครับ ตอนโปะลงบนแผล เลือดจะค่อยๆ แข็งตัว หยุดไหล คาดว่าคงมีตัวยาทางการแพทย์ แต่ชาวบ้านป่าเช่นบ้านกิ่งโศก ก็ยังใช้กันอยู่เวลาไปทำไร่ ช่วงหน้าหนาวต้นสาบเสือ จะออกดอก มองไปคล้ายปุยสีม่วง วางทาบทุ่ง ดอกสาบเสือ ทางเหนือ เขาเรียกดอกแมงวาย เวลาเพื่อนๆ ไปเที่ยวช่วงนี้ ตามแถบป่า ภูเขา ทุ่งนา ลองมองหา ดอก แมงวาย กันดูนะครับ ว่าความงาม ของดอกแมงวาย นั้นงามกันไหน ขนาดที่ นำมาขับขานเป็นบทเพลง ไพเราะยิ่งเลยละครับ..มีนำไปแทรกไว้ในเพลง สันป่าตอง กลับทำให้นึกถึงเพลงสันป่าตองทีไร จะนึกเนื้อเพลงไม่ค่อยออก แต่ถ้า บอกว่าเนื้อเพลง ที่มีคำว่า.. ดอกแมงวาย คล้ายดั่งหัวใจอ้ายนา ยามสายลมพลิ้วมาแมงวายลิ่วถลา ล่องฟ้าสันป่าตอง ... คนขับร้องคือ คุณ วงจันทร์ ไพโรจน์ นักร้องที่ไม่ใช่คนเหนือ แต่ขับร้องเพลงเกี่ยวกับทางเหนือได้ จับใจมากครับ มาฟังเพลงนี้กันดู นะครับ เพลงสันป่าตอง ชื่อเพลง สันป่าตอง ชื่อนักร้อง วงจันทร์ ไพโรจน์ อ้ายเอยบ่มีใจฮักข้าเจ้าแล้วหนอ เฮาเคยจ๊อยซอดีดซึงที่สันป่าตอง เฮาต่างสัญญาฮักร่วมใจปอง อยู่สันป่าตองครองฮักสุขสันต์ อ้ายเคยอู้คำฝากฮักครั้งแอ่วปอยหลวง อู้คำหวานทรวงบ่ฮู้จักลวงหลอกกัน ข้าเจ้าฮักจริงเหนือยิ่งชีวัน บ่ฮู้บ่หันอ้ายนั้นกลับมา ***ดอกแมงวายคล้ายดั่งหัวใจอ้ายนา ยามสายลมพริ้วพาแมงวายลิ่วถลา ล่องฟ้าสันป่าตอง อ้ายทำบ่ฮู้บ่หันข้าเจ้าทั้งปวง ข้าเจ้าช้ำทรวงที่ฮักอ้ายลวงจักปอง อ้ายกลับหัวใจของอ้ายเคยครอง โอ้สันป่าตองหมองใจข้าเจ้าเอย..(***ซ้ำ) ๏ แมงวาย..ว้าง แต่ใจใช่วาย ๏ ๏ รักพี่บ่เคยวาย แลจะบ่ายถวิลถึง ดอกรักสลักตรึง ตรากลีบบานเบื้องลานใจ ๚ะ๛ ๏ รักพี่สิบ่เว้น วางหาย ผลิช่อยอตะพาย พาดคล้อง- ใจแนบสนิทสาย สวาทมั่น กี่หับฤๅกี่ห้อง- จิตห้ามหนีถอย ๚ะ ๏ วางถ้อยร้อยพจน์ไว้ ชิดชวน คำหว่านขานกึ่งครวญ ขับเร้า วอนนุชหยุดบ่ายหวน หันเบี่ยง เพียงล่วงบ่วงรักเคล้า สื่อแจ้งสบจริง ๚ะ ๏ สรรพสิ่งยอบแล้ว สยบเลย ยอจับนับมิเฉย สบได้ จรดชิดจิตทรามเชย สุดสวาท เผยหว่างวางแดให้ พี่ห้อมล้อมหา ๚ะ ๏ แมงวายป่าดอกว้าง เริ่มวาย กลีบหล่นปนดินหาย เหือดเร้น กี่ชีพย่อมร่วงมลาย ผุป่น แปรเฮย ดอกรักสลักเต้น เต่งสล้างแต่งเฉลา ๚ะ ๏ เยือนเนาเหย้าเนื่องยั้ง นิ่งยล กลิ่นซ่านกลั่นโชยกล ชื่นแกล้ม ภาพตั้งพรั่งตราผล แต่งผลึก งามผลุดงุดเผยแง้ม ผลิง้ำพร้ำเงย ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔