น้อมนิรมิตในดวงจิตอธิษฐาน ดั่งบัวบานเหนือโลกเหนือโศกศัลย์ วิบากใดเคยก่อต่อผู้ใดหมดสิ้นกัน ขอคว่ำขันกรวดน้ำอโหสิกรรม รักกี่ครั้งพลั้งพลาดใจบาดเจ็บ เคยหนาวเหน็บรานร้าวน้ำตาร่ำ ไม่ตอกย้ำซ้ำวนว่าใครทำ เพียงขอนำมาจำจดเป็นบทเรียน ว่ากี่ทุกข์แสนเศร้าเกินกล่าวนั้น เพราะยึดมั่นกี่ภพชาติมิแปรเปลี่ยน แท้ตัวเราหลงอัตตาเฝ้าวนเวียน คอยเบียดเบียนมิปล่อยวางกระจ่างใจ มาวันนี้มองเข้าไปในชีวิต ถูกหรือผิดจิตเป็นกลางสว่างใส รักฤาชังหวังฤาหวานให้ผ่านไป แค่ทำใจฉันท์เช่นเห็นโลกุตรธรรม...!
25 พฤศจิกายน 2550 15:45 น. - comment id 793191
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_budda/lp-budda-02.htm โลกุตระ หลวงปู่ปุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี กายเดียวจิตเดียว นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ เราน้อมนมัสการคุณพระรัตนตรัย ด้วยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแล้วเราน้อมพระธรรมเทศนา คำสอนพระผู้มีพระภาคเจ้า มาเสดงเพิ่มพูนปัญญาบารมี คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทายกทายิกามีศรัทธาเจริญทันสมัย ศีลมัย ภาวนามัยมาดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอดีตมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีก็มีแสดงธรรม ๘๐,๐๐๐ ปีก็มีประชุมสงฆ์ มีสองครั้งก็มี สามครั้งก็มี มาองค์ปัจจุบันแสดงธรรมอยู่ ๘๐ ปีจบแล้ว ประชุมสงฆ์ครั้งเดียว เมื่อพระองค์มีเอหิภิกขุได้มี ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมในระหว่างเดือนสามกลางเดือน ได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ พระภิกษุสามเณรจึงเจริญขึ้นมาจนตลอดถึงปฐมสังคายนานี่ มีพระสงฆ์มากมายที่ทำปฐมสังคายนา ๕๐๐ นั้น ท่านคัดเอาแต่เพียงว่าเฉพาะผู้ชำนาญอยู่ในพระพุทธเจ้าเพียง ๕๐๐ ซึ่งพระอานนท์ไม่ได้ พระอานนท์จะแสดงพระสุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก พระอุบาลีแสดงพระวินัยปิฎกเดียว นี่ ๕๐๐ องค์นั่นนะ เคยทำงานอยู่กับพระพุทธเจ้า เคยแสดงและเรียนมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า เราทุกวันนี้ปฐมสังคายนาเราก็ไม่ทัน ปฐมเทศนาเราก็ไม่ทัน ปัจฉิมเทศนาเราก็ไม่ทัน ถ้าสังเกตดูว่าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกัณฑ์แรกนั้นแสดงอะไร ก็ธรรมจักรนี่เองนะ ก็คือมือริยสัจอยู่ในตัวมันเอง แต่ทำไมพระ ๕ องค์นั้นจะไม่ฟังธรรมละ เพราะอะไร เพราะความลืมความหลงของตัวนั่นเอง เคยได้ถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว เกิดแก่เจ็บตายเป็นตัวอัตตา สัตว์โลกในมนุษยโลกก็ดีมันติดอยู่เกิดแก่เจ็บตาย สวรรค์เทวโลกก็ติดอยู่เกิดแก่เจ็บตาย พรหมโลกเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่ กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์นี่ติดอยู่ความเกิดแก่เจ็บตายนั่นเอง แต่ส่วนพระพุทธเจ้าทุกองค์ อดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ท่านไม่ติดอยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ท่านจึงได้ตรัสรู้ได้ พระสัพพัญญูพุทธก็เหมือนกัน พระปัจเจกพุทธะก็เหมือนกัน สาวกพุทธะก็เหมือนกัน มีภิกษุสามเณรที่ไม่ติดอยู่กับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปได้ทุกองค์หมด คือ กาย ก็กายเนื้อธรรมดานี่เอง แต่ว่าจิตท่านไม่ติดอยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปได้อย่างนี้ องค์อดีตก็ไปได้อย่างนี้ มีภิกษุสามเณร ไปได้อย่างไร อุบาสกอุบาสิกา คือ มีอยู่เฉพาะหน้าเรานี่เอง ภิกษุไปได้ หลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ อุบาสกอุบาสิกาก็ไปด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ อริยมรรคมันเกิดกับจิตใจไม่ได้เกิดกับกาย แต่เราว่าเราต้องมีกายกรรม ๓ รองรับ วจีกรรม ๓ รองรับ มโนกรรม ๓ รองรับ ในมนุษย์โลกนี้ก็ต้องเอาต้นนี่แหละ ต้นปฏิบัติของเรา คือ เราจะมาเกิดในระหว่างปู่กับย่าก็ดี ตากับยายก็ดี มารดาบิดาเป็นที่แดน แดนเกิดของรูปกายของเรา หกคนนี้เป็นบุพการีให้มนุษย์มาเกิดได้ จะไปเกิดที่อื่นไม่ได้ จะไม่ได้เรียนธรรมเรียนวินัยในพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็มีผ่านปู่ย่า ตายาย มารดาบิดา มาเหมือนกัน สาวกของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าเราผ่านมารดาบิดาออกมา ผ่านปู่ผ่านย่า ผ่านตาผ่านยายมา บุพการีมีอยู่แก่มนุษยธรรมสัมมาทิฐินี่เอง ถ้าปู่กับย่าไม่มีสัมมาทิฐิ ไม่มีเมตตาธรรม ลูกหลายก็เกิดไม่ได้ ปู่ย่าตายายนี่ต้องมีบุพการีคู่หนึ่ง ตากับยายคู่หนึ่ง มารดาบิดาคู่หนึ่ง บุพการีให้มนุษย์ได้เกิดในท้องได้ออกมานอกท้องแล้ว ก็ยังบุพการีให้จนตลอดถึงได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ออกบวชเหมือนพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าจะออกบวชได้ต้องอายุ ๒๙ ปี องค์ปัจจุบันนี่ออกบวชอยู่ ไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เมื่อค้นคว้าตรัสรู้ได้แล้ว พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายแล้ว คือ มันเกิดนั้นมันเกิดอยู่ในมนุษย์โลกนี่เอง แก่อยู่ในมนุษยโลก เจ็บตายอยู่ในมนุษยโลกนี่เอง แหมในโลกทั้งสามนี่พ้นเกิดแก่เจ็บตายไม่ได้ ที่จะพ้นได้ก็มีอริยผล ๔ อริยผล ๔ สี่คู่แปดบุคคลนั่นเอง แต่ว่าท่านเดิมมาแต่ต้นนั่นแหละท่านมีสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนั่นเอง มีหมู่มนุษยธรรมสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ เทวธรรมก็สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ พรหมธรรมก็สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ แต่ว่ายังเป็นโลกีย์อยู่ แต่ส่วนอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ น่ะ สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะของท่านให้พ้นไปจากอาสวะ พ้นจากสังโยชน์ ๑๐ ตัว พ้นจากอนุสัย ๗ ตัว ท่านจึงได้พ้นไป เกิดแก่เจ็บตายไม่มีในโลกกุตรธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี่เอง กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่เอง กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์น่ะมันมี อยู่ภายนอกก็มีอยู่ภายในก็มี ภายในมันเกิดกับจิต เมื่อจิตนั้นน่ะเกิดในกายกรรม ๓ สัมมาทิฐิ วจีกรรม ๔ สัมมาทิฐิ มโนกรรม ๓ สัมมาทิฐิ และสัมมาอาชีวะมีประกอบด้วยธรรมะถึงได้เกิดจากนั้น เกิดจากนั้นเป็นกุศล ๑๐ อย่าง กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ กุศลกรรมบถ ๑๐ นั่นเอง ถ้าไม่เกิดจากนั้นมิจฉาทิฐิมันก็มี ๑๐ ตัวเหมือนกัน มาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง เพราะกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ นี่มันเป็นพื้นสนามหลวงให้วิชชา อวิชชา ให้กุศล อกุศลมาเล่นกีฬากันอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ว่าเราเกิดมาในระหว่าง ๑๐ เดือนก็ไม่รู้เรื่อง ๑๐ ปีก็ไม่รู้เรื่องนั่นเอง ว่าสนามของกุศล อกุศลมันอยู่ที่ไหน เราก็เห็นแต่สนามภายนอก นั่นเอง สนามภายในนี่มันเป็นสนามของสัตว์โลกที่ต้องมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี่อาศัยกายกรรมของพวกมนุษยโลก อาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สวรรค เทวโลก อาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พรหมโลกนี่ สามโลกนี่มันอาศัย สนามเดียวกันนี่เอง สนามของมนุษย์นี่มันหยาบอย่างสนามของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของปู่ของย่าของตาของยายก็มีเพียงสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนั่นเอง ศีลก็เพียง ๕ ประการ ก็เป็นศีลโลกีย์เสียด้วย ไม่เหมือนโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมนั้นมีพระโสดา สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์ สี่คู่แปดบุคคลนี่มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาอาชีวะน่ะ ของท่านเป็นโลกุตระศีล ๕ กิโลกุตระ ศีล ๘ กิโลกุตระ ศีล ๑๐ กิโลกุตระนั่นเอง ท่านที่ข้ามความเกิดเจ็บตายได้ เราทุกวันนี้เราจะตัดความเกิดแก่เจ็บตายหรือไม่ ในระหว่างภิกษุสามเณรเข้าไปบวชไปพรรษา อุปสมบทในโบสถ์น่ะ มีอุปัชฌาย์เป็นประธาน มีพระ ๒๕ รูปนั่งห้อมล้อมอยู่ มีกรรมวาจาจารย์ อนุสาวนาจารย์ ถามว่ามนุสโสสิน่ะ นาค นาคเณรก็ดี นาคภิกษุก็ดี จะต้องรับว่า อามะ ภันเต ว่าเกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ถามรูปกาย ถามทางจิตใจนั่นน่ะ ได้รับสัมมาทิฏฐิมนุษยธรรมหรือเปล่า ได้รับแล้วจึงได้รับอามะ ภันเต ถึงจะบรรพชาเปกขะอุปสัมปันโนได้ แล้วยังถามย้ำว่า ปุริโสสิ เป็นมนุษย์บุรุษหรือ เป็นมนุษย์บุรุษนี่เองเป็นชายนี่เอง ไม่ใช่เป็นอิตถีภาวะ ปุริสสภาวรูปนี่เอง ที่เข้ามาบวชนี่เป็น ปุริสินทรีย์นี่เอง ไม่ใช่อิตถินทรีย์ที่มันปนอยู่ในรูปใหญ่นี่ มหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอยู่ในกายนี่ รูปอาศัยมี ๒๔ อินทรีย์มี ๒๒ มาอาศัยอยู่ในนี้ อิตถีภาวรูปก็มาอาศัยได้ ปุริสภาวรูปอาศัยได้ อิตถินทรีย์อาศัยได้ ปุริสินทรีย์อาศัยได้ อย่างนั้นละมันเกิดกับจิตมันไม่ได้เกิดกับปู่ย่า ตายาย บิดามารดา ถ้าเราไม่เรียนอย่างนี้เสียก่อนเราก็เป็นคนลำบากเอง เพราะไม่รู้ต้นเหตุว่ามนุสโสนี่มันเกิดตรงไหน มันอาศัยเกิดกับมารดาบิดดาอย่างเดียวหรือไม่ นั่นมันรูปกาย กายเนื้อ กายหนัง มันเกิดกับจิตนี่ มันมีเห็นอิตถีภาวรูปเกิดขึ้น ปุริสภาวรูปเกิดขึ้น อิตถินทรีย์เกิดขึ้น ปุริสินทรีย์เกิดขึ้น มันเป็นโอปาติกะไม่ใช่ชลามพุชะ นอนในท้อง ๑๐ เดือน นี่มันต่างกันอย่างนั้น ถ้าเราไม่เรียนอย่างนี้ก่อนเราจะเป็นคนลำบาก หลังจากผ่านมาแล้ว ๕,๐๐๐ ปีหรือ ๘๐,๐๐๐ ปีก็ดี ทำไมมันถึงไม่พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย วันนี้เกิดแก่เจ็บตายแล้ววันหน้าเกิดแก่เจ็บตายอีก มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเรายังไม่พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั่นเอง กิเลสทั้งหลายมันทำให้เราเป็นทุกข์นี่ให้เราเกิดเราแก่เราตายนี่ นี่แหละตัวกิเลส ตัวอวิชชา มันอาศัยเกิดกับกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ นี่เองอาศัยเกิดกับมโนนี่เอง ถ้าจิตของเราไม่มีความข้องอยู่ในเกิด ในแก่ ในเจ็บ ในตายแล้วเราจะเห็นว่ามนุษย์นี่บริสุทธิ์ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ ของเราไม่มีบาปมีกรรมมีเวรอะไรเลย กุศล ๑๐ อย่างนี่อยู่กับอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง คือกันอกุศลกรรมบท ๑๐ เสีย ทีนี้เราจะเข้ามาเทวธรรมสัมมาทิฐิก็เข้าง่าย คือ มีวิทยุหรือสถานีเดียวกันมีโทรศัพท์ก็เบอร์เดียวกัน ถ้ามีโทรศัพท์ก้ให้มีรายการอันเดียวกันถึงจะรู้กันได้ว่าโทรเลขมันคนละอันกันแล้ว โทรศัพท์คนละเบอร์กันแล้ว ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เราจะลำบากอย่างอดีตเราล่วงมาแล้วน่ะ เรามา ๑๐๐ วัน แล้วถ้ามันยังไม่รู้ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ทุกเข ญานังทำไมไม่เกิด ไม่เกิดเพราะอะไร เพราะยังไม่มีญาณนั่นเอง ไม่มีญาณเห็นทุกขสัจ ไม่มีญาณเห็นสมุทัยสัจไม่มีญาณเห็นมรรคสัจ ไม่เห็นญาณนิโรธสัจแล้วจะไปได้อย่างไร ปฐมเทศนาได้อัญญาโกณฑัญญะองค์เดียว เทศน์ ๕ วันได้โสดา ๕ องค์ก็อริยสัจกัณฑ์เดียวกันนั่นเอง อริยสัจมันเกิดที่ไหน ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง กายเดียวจิตเดียวในปัจจุบันนั่นเอง ที่เขาปฏิบัติมาแล้วน่ะ อเนกชาติมาน่ะ เขาบวชมาก่อนพระพุทธเจ้าเสียด้วย เขามีอายุยืน เขาปฏิบัติมา ทำไมไม่เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เพราะยังไม่มีญาณนั่นเอง จึงไม่เห็นอริยสัจเป็นทุกข์ ทุกเข ญานัง ทุกข์เกิดในปัจจุบันนี่ ทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออกนี่ เทศน์อยู่ ๕ วันได้โสดา ๕ องค์ ได้เพียงอาทิกัลยาณัง เป็นอาทิกัลยาเบื้องต้น เป็นอาทิกัลยาณังอยู่แล้วก็มี สัมมาทิฏฐิในโลกีย์ขั้นเดียว มีอริยมรรค ๑ อริยผล ๑ ถ้าหากว่าเป็นอริยมรรค ๓ อริยผล ๓ เรียกว่าปริโยสานกัลยาณัง ถ้าหากว่ามีพระโสดาเกิดขึ้นแล้วมี สกิทาคาเกิดขึ้นแล้ว อนาคาเกิดขึ้นแล้วมีอริยมรรค ๓ อริยผล ๓ อันนี้ถ้าของท่านไม่พอ ๑๐ อย่างแล้ว เพราะว่าสังโยชน์ ๑๐ นั่นมันเป็นตัวละชาติ ละชาติเลย ตั้งแต่สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นี่ก็ ๓ ชาติแล้ว ราคะก็ไปเป็นชาติหนึ่ง ปฏิฆะก็เป็นชาติหนึ่งแล้ว มานะอีกชาติหนึ่ง อุทธัจจะอีกชาติหนึ่ง อวิชชาอีกชาติหนึ่ง นี่เป็นสิบชาติด้วย ถ้าหากว่าอสังโยชน์น่ะมันมีอะไร มีวิจิกิจฉานุสัย ทิฏฐานุสัย ปฏิฆานุสัย มานานุสัย อวิชชานุสัย นี่ ๑๗ ตัวนี่กิเลสให้เกิดอยู่ในระหว่างเกิดแก่เจ็บตายในมนุษยโลกเรา สวรรคเทวโลก พรหมโลกนี่เป็นอย่างนี้ ส่วนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นแล้วพ้นไปแล้ว เกิดแก่เจ็บตายไม่มี แต่ส่วนสามัญสัตว์นั่นน่ะ กามสัตว์นั่นต้องข้องอยู่ รูปสัตว์ก็ข้องอยู่ อรูปสัตว์ก็ข้องอยู่ ทีนี้เรามากำหนดดูในปัจจุบันนี้ ตาเราก็มีพอสมบูรณ์ หู จมูก ลิ้น กาย ใจสมบูรณ์อยู่แล้ว กายและจิตก็อยู่กับจิตนี่แล้ว จิตมันก็อยู่ในหนังหุ้มอยู่โดยรอบนี่ หนังก็หุ้มอยู่เป็นอาการของกายนั่นเอง กายแท้ ๆ มันไม่ใช่กายเนื้อ กายหนัง กายมันเป็นกายธรรมก็ได้ อย่างธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี่ กายก็เป็นธรรม เวทนาก็เป็นธรรม จิตก็เป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นธรรมทั้งนั้น มนุษยธรรมก็เป็นธรรม เทวธรรมก็เป็นธรรม พรหมธรรมก็เป็นธรรม กุศลก็เป็นธรรม อกุศลก็เป็นธรรม อัพยากฤตก็เป็นธรรมดังนี้ แต่ที่นี้ว่าเราจะอยู่ทางฝ่ายไหน อยู่ทางฝ่ายสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนี้ เราไม่มีนรกหมกไหม้อะไร เราไม่มีอบายมุข อบายภูมิอะไร ถ้าเราอยู่ทางฝ่ายสัมมาทิฐิสัมมาอาชีวะนี่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเป็นกรรมขาวเป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ ถ้าเราปล่อยให้อวิชชาเข้ามา อกุศลเข้ามา มันทำบาป ปาณาติบาต อทินนา กาเม มุสา นี่มันเป็นบาปลามก อบายมุขเกิดขึ้นแล้วอบายภูมิเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราเว้นปาณาติบาต อทินา กาเม มุสาได้เราก็เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะได้ กายกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ วจีกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ มโนกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ เราต้องเดินสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะให้ไปสู่มนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกได้ แล้วเราไปสู่สี่คู่แปดบุคคล คือ โลกุตรธรรม สวรรคเทวโลก พรหมโลกได้ แล้วเราไปสู่สี่คู่แปดบุคคล คือ โลกุตรธรรม อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ถ้าเราสมบูรณ์ด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ แล้ว ความเกิดไม่มี ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่มี ถึงว่ากายเนื้อมันเป็นอาพาธ มันร้อน มันหนาว มันหิวข้าว หิวน้ำอย่างนี้ แต่ส่วนจิตมันไม่มีขี้มีเยี่ยว มันไม่มีอาพาธ ไม่มีความร้อน ความหนาว ไม่มีความเหน็ดความเหนื่อยอะไร เพราะมันมีสัมมาญาณังสัมมาวิมุตติอยู่กับจิตนั่นเอง เพราะมีญาณเห็นทุกข์ มีญาณเห็นสมุทัย มีญาณเห็นมรรคสัจ มีญาณเห็นนิโรธสัจ แล้วก็ข้ามไปจากนิโรธสัจนั้นไม่เกิดไม่ดับ ส่วนสมุทัยสัจนี่ดับได้ ส่วนทุกขสัจดับได้ มรรคสัจดับได้แต่นิโรธสัจนั่นเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า หน้าที่ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านมีนิโรธอยู่ทั้งหลับตาและลืมตา ทั้งเวลาเดินไป ยืนไป นั่งไป นอนไป อาบน้ำ ดื่มอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ไม่มีอะไรเลย มีแต่นิโรธอย่างเดียว ไปขี้ไปเยี่ยวก็เป็นนิโรธ ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี่ละเอียดถึงขนาดว่า ไปขี้ก็ไม่มีกิเลสไปพาลไปเกิดไปแก่ไปเจ็บไปตายด้วย มีแต่นิโรธเต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งเวลาเดิน เวลายืน เวลานั่ง เวลานอน ที่ละภิกษุสามเณรที่ดีต้องไปทางนิโรธธรรมนี้ อุบาสกอุบาสิกาไปได้ทุกวันแต่ไม่มีป้ายผูกคอ เราจะไปรู้ว่าใครเป็นใคร ภิกษุสามเณรก็ไปได้ทุกวัน อุบาสกอุบาสิกาไปได้ทุกวัน แต่บวชมาในคณะสงฆ์ไทยนี่ ๖๐ ปีนี่ มีหกสิบร้อย หกสิบร้อยนี่ภิกษุสามเณรหนีออกป่าไปเที่ยวหาธรรมะทางจิตใจนี่เอง ทางอุบาสกอุบาสิกาก็มารับอุโบสถกันมาตั้ง ๖๐ ปีแล้ว จะรู้ว่าความเกิดแก่เจ็บตายมาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่ใช่ไหม ถ้าหากว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ มันเกิดขึ้นได้ อกุศลก็มาเกิดขึ้นได้ ความไม่เกิด ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายมันก็มาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อกุศลกรรมบถ ๑๐ มิจฉาทิฐิ มิจฉาอาชีวะมันก็มาอาศัยกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง มีสนามเดียวกันแต่ว่าคนละพวกกัน พวกกีฬาน่ะ เขาต่างประเทศมาเล่นก็กีฬาแผ่นดินนี่เอง มาเล่นในสนามแผ่นดิน แผ่นดินภายในก็คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศนี่เอง มันเป็นสนามอยู่นี่ สนามภายนอกก็เดินภายนอก น้ำภายนอก ไฟภายนอก ลมภายนอก อากาศภายนอก นั่นเอง นี่เรารู้ว่าสองชั้นนี่มันเป็นสนามของกิเลสทั้งนั้น เป็นสนามของกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นสนามของอกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นสนามของอาสวะ เป็นสนามของสังโยชน์ เป็นสนามของอนุสัย เป็นสนามของมรรคสัจ เป็นสนามอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ มันจึงได้ผ่านสนามเดียวกันนี่เอง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ติดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายแล้ว คนนั้นละจะพ้นทุกข์มาทันที จะเป็นเพศภิกษุก็ได้ จะเป็นเพศสามเณรก็ได้ จะเป็นเพศอุบาสกอุบาสิกาก็ได้ เพศไหนไม่มีขัดข้องเลย อกาลิโกของธรรมะนี้มีอยู่ด้วยกันทุกกายทุกจิตนั่นเอง ถ้ามีกายมีหนังอยู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ อกาลิโกทางฝ่ายขาวก็มีอยู่ทุกเวลา ลมหายใจเข้าออก อกาลิโกของฝ่ายดำ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนี่เอง เราจะไปหาที่ไหนอกาลิโก ไปหาตามกระดาษ ตามใบลานน่ะมันเป็นตัวหนังสือ เป็นประวัติเรื่องของพุทธศาสนา เป็นประวัติของมนุษยธรรมเกิดมาในโลก เป็นประวัติของ สวรรคเทวโลกเขา ชั้นกามาวจรจิตนั่นเป็นประวัติของชาวสวรรค์ของพรหมนั่นมีรูปพรหมน่ะมี ๑๖ อรูปพรหมมี ๔ สี่กับสิบหกเป็นยี่สิบนี่ ๓๑ ภูมินี่ ๓๑ ภูมิจิตนี่เป็นโลกีย์ทั้งนั้น กามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิตนี่ ๓๑ ภูมิจิตจะเกิดจะตายก็มีอยู่ ๓๑ นี่เอง ภูมิของจิตเรามีมากอย่างนี้ แต่ภูมิของกายมีกายเดียว มีหนัง หนังแผ่นเดียว จิตก็จิตเดียว ถ้าเรารวมมากายเดียวจิตเดียวได้เราจะเห็นหน้าว่า อ้อ อาการของจิตนี่มันมีมากมายก็จริงแต่ว่ามันมีแต่เพียงว่าอกุศลมาอาศัยเกิดกุศลมาอาศัยเกิดสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐินี่เป็นคู่ไม่ถูกต้องกัน วิชชา อวิชชานี่ไม่ถูกต้องกัน เราต้องเผชิญวิชชาอย่างเดียวให้มีแต่กุศลอย่างเดียว มีแต่สัมมาทิฐิอย่างเดียวในสัมมาอาชีวะอย่างเดียวอย่างนี้ไปได้ เพราะฉะนั้นแสดงธรรมนี้ก็เพื่อจะให้ญาติโยมทั้งหลายน้อมคำสอนที่มาแสดงนี้เพิ่มพูนปัญญาบารมี ชาวพุทธทั้งหลายได้เจริญมานานแล้ว ทานมัย ศีลมัยมาคนละ ๘๐,๐๐๐ ปี คนละ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ร้อยวันก็ล่วงไปแล้ว ร้อยเดือนล่วงไปแล้ว ทีนี้ไปข้างหน้านี่เราจะได้หรือไม่ได้ล่ะ ไม่แน่ไม่นอน ให้แน่นอนเสียเวลาปัจจุบันนี้กายเดียวนี่แหละพ้นเกิดแก่เจ็บตายก็มีกายกับจิตนี่เอง ถ้าหากว่ากายกับจิตนี้ยังไม่ข้องอยู่ในเกิดในแก่ในเจ็บในตายแล้วก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องเป็นทุกข์ความเกิด เป็นทุกข์ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่าเกิดแก่เจ็บตาย ขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายมาเจริญกายเดียวจิตเดียว มาเจริญสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนี้ให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยความสวัสดี
25 พฤศจิกายน 2550 15:54 น. - comment id 793193
ขอบคุณครับคุณพุด ที่นำธรรมะมาลงให้อ่าน
26 พฤศจิกายน 2550 07:15 น. - comment id 793356
คำว่าชีวิตใหม่นั้น.... ก้เหมือนเรา ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะเราเป็นฝ่ายกระทำ หมายถึงกรรรม หากเป็นไปได้อย่าถึงกับ ขั้นโกรธเคืองเพราะคุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่คุณ คิดไว้ คนที่คุณรัก เค้าอาจทรมานกว่าคุณ ซึ่งสิ่งที่เค้ารับภาระนั้นมากมาย การที่คนสองคนจะกว่าจะมารักกันชอบกันนั้นไม่ง่าย นอกจากคนใจง่ายแต่สำหรับเราเอง รักใครชอบใครจะคิดถึงแต่เขาเสมอ คิดแต่สิ่งดีดีให้ บางทีอยากโทรไปคุยกับคนที่เราอยากคุยด้วย เคยสนุกสนาน เคยมีอะไรคุยกันมานานแต่ตอนนี้เจอมารมาขวางแถมยังทำร้ายพ่อแม่พี่น้องเรา เราไม่อาจทนได้ มัวแต่ไปแก้จุดนั้น คนที่เราอยากคุยด้วยก็มีอยู่คนเดียวในใจ เค้าคนนั้น เป็นคนที่มีจิตเมตตา และก็เป็นคนเรียบง่าย เราว่าเราชอบเค้ามาก แต่เค้าไม่รู้ตัวว่ามีคนคนนึงชอบเค้าอยู่ อยากเจอทุกวัน ทุกครั้งที่เค้าโทรมา อยากคุยให้นานที่สุด แต่เวลาจะโทรไปหาเค้าเค้ากลับไม่มีเบอร์อะไรให้โทร ........ได้แต่รอวันที่เราสำเร็จในการงาน เรารอได้เสมอ แต่เขาสิ จะคิดไปต่างๆนานารึป่าว เราเหมือนตัวคนเดียวจริงๆ