บุญ และ กุศล ต่างกันอย่างไร.....ใครอยากรู้
ซาวแดนดุด
บุญ กับ กุศล
เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อนั้น...
จะพบความแตกต่างระหว่าง
สิ่งที่เรียกกันว่า...
"บุญ" กับ สิ่งที่เรียกว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย
แล้วแต่ความสามารถ ในการพินิจพิจารณา
แต่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว
บุญ กับ กุศล ควรจะเป็น คนละอย่าง
หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม
ตามความหมาย ของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำ นี้ทีเดียว
คำว่า บุญ
มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น,
ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง
ให้ราบเตียนไป โดยความหมาย
เช่นนี้ เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง
บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจพอใจชอบใจ
เช่น..
ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม
แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ
หรือ ...
แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่า ตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก
ในกรณีที่
ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้
ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญ เหมือนกัน
แม้จะเป็น บุญชนิดที่ไม่สู้จะแท้
หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพื่อเอาบุญกันจริงๆ
ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์
มีความปรารถนาอย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้
อันเป็น ภวตัณหา
นำไปสู่....
การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้
ตามแต่ ตนจะปรารถนา ไม่ออก
ไปจาก การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสาร ได้
แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ
อย่างไรก็ตาม
ฉะนั้น ความหมายของคำว่า บุญ
จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ฟูใจ
และ
เวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้
ส่วน...กุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง
สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น
แต่..
มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่ง
สิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุ ให้พัวพัน อยู่ใน กิเลสตัณหา
อันเป็น เครื่องนำให้ เกิดแล้วเกิดอีก
และ..
จุดมุ่งหมาย กวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว
ในเมื่อ..
บุญต้องการโอบรัด เข้ามาหาตัว
ให้มีเป็น ของของตัว มากขึ้น
ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถืออะไรเอาไว้มากๆ
และพอใจ ดีใจนั้น
ฝ่ายที่ถือข้างกุศล ก็เห็นว่า การทำอย่างนั้น
เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป กอดรัดงูเห่า ทีเดียว
ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า ....ฉลาด นั้น
ต้องการจะ ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป
ทั้งช่วยผู้อื่น ให้ปล่อยวาง
หรือ ....
ผ่านพ้นไปด้วยกัน
ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า
ฝ่ายข้างบุญนั้น ยังเป็นความมืดบอดอยู่
แต่ว่า...
บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้
ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน
ก็ยังมี การกระทำทางภายนอกอย่างเดียวกัน
ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ
เพื่อจะให้
เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณา
ดูที่ตัวอย่างต่างๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริงๆ
คือ....
ในการให้ทาน
ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ
หรือ เอาของตอบแทน เป็นกำไร
หรือ ...
เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง
หรือ
แม้ที่สุดแต่ เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์ อย่างนี้
เรียกว่า....
ให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ
แต่ถ้าให้ทาน อย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการ
เพื่อขูดความขี้เหนียว ของตัว
ขูดความเห็นแก่ตัว
หรือ...
ให้เพื่อค้ำจุนศาสนา เอาไว้
เพราะเห็นว่า
ศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ ของโลก
หรือ...
ให้เพราะ เมตตาล้วนๆ
โดยบริสุทธิ์ใจ หรืออำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่ง...
ปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า
ให้ไปเสีย มีประโยชน์มากกว่าเอาไว้อย่างนี้
เรียกว่า...
ให้ทานเอากุศล หรือได้กุศล
ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศ ละทาง
กับการให้ทานเอาบุญ เราจะเห็นได้กันสืบไปอีกว่า
การให้ทานเอาบุญนั่นเอง
ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม
ฝ่ายผู้รับทาน
จนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเอง
หรือในวงสังคมรูปอื่นๆ
เช่น...
มีคนขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น
การให้ทาน ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์
ในแง่เสื่อมเสีย
ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญนี้เอง
ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูง
พ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้
เพราะว่า..
มีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม
แม้ว่า..
อยากจะให้ทาน เพื่อขูดเกลา
ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา
ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผลว่า
ควรให้ ไปในรูปไหน
มิใช่เป็นการให้ไปในรูปละโมบบุญหรือเมาบุญ
เพราะว่า..
กุศล...ไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ
จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ
ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย
นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ
ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร
ในการรักษาศีล
ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก
รักษาศีลเอาบุญ คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จัก
ความมุ่งหมายของศีล
เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล
แล้ว...
รักษาเพื่ออวดเพื่อนฝูง หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์
ตามที่ ..
นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนากันไว้
หรือ ..
ทำอย่างละเมอไปตามความนิยม
ของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น
ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว
และ..
ความยกตัว มากขึ้น เท่านั้น ยิ่งมีความ
ยุ่งยากในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ
เพราะ ...
ความเคร่งครัดในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้
เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ
ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่ง
รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง
สำหรับ..
จะเป็นทางให้เกิดความบริสุทธิ์
และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์
เพื่อใจสงบ สำหรับเกิดปัญญาชั้นสูง นี้...
เรียกว่า...
รักษาศีลเอากุศล
รักษามีจำนวน เท่ากัน ลักษณะเดียวกัน
ในวัดเดียวกัน
แต่...
กลับเดินไป คนละทิศละทาง
อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะ
แห่งความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล
คำว่า กุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย
ก็....
ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย
ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ
และ..
กินเข้าไป มากเท่าไร
ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ
ในขณะที่...
คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น
คำว่า....
กุศล แปลว่า ความฉลาด
หรือ เครื่องทำให้ฉลาด และ ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์
ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก
คือ สมาธิเอาบุญ ก็ได้ เอากุศลก็ได้
สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้
ที่โลกอื่น ตามที่ ตนกระหาย จะทำให้เก่งกว่าคนอื่น
หรือ ...
สมาธิ เพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้
เรียกว่า ....
สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ
เพราะ..
ทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมันนั่นเอง
ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่า
ทำอันตราย แก่เจ้าของ
ถึงกับต้อง รับการรักษาเป็นพิเศษ
หรือ ..
รักษาไม่หาย จนตลอดชีวิต ก็มีอยู่ไม่น้อย
เพราะว่า ...สมาธิเช่นนี้
มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน
แม้..
จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสาร
ตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น
ไม่เป็นไป เพื่อนิพพาน
ส่วนสมาธิ ที่มีความมุ่งหมาย
เพื่อการบังคับใจตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจ
เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิต
ให้ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมา
ในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใส
เป็น...
ทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา
อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้
เรียกว่า...
สมาธิได้กุศล
ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา
ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร จึง
ตรงกันข้าม....
จากสมาธิเอาบุญ
ครั้นมาถึงปัญญา นี้
ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย
คือ...
ไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัว
ปัญญานั้น เป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว
เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์ อย่างเดียว
แม้..
ยังจะต้อง เกิดในโลกอีก
เพราะ..
ยังไม่แก่ถึงขนาด
ก็มีความรู้สึกตัว เดินออกนอกวัฎสงสาร
มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ
ไม่วนเวียน
จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว
ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้
ก็ยัง...
ไม่เรียกว่าปัญญาในกองธรรม หรือ ธรรมขันธ์
ของพุทธศาสนา
ดังเช่น ปัญญาในทาง
อาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น
ตามตัวอย่าง
ที่เป็นอยู่ในเรื่องจริง
ที่เกี่ยวกับ การกระทำ ของพวกเราเอง
ดังที่กล่าวมาแล้วนี้
ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอ หรือ ถึงกับหลงเอา
บุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น
ได้ทำให้เกิด ความสับสนอลเวงเพียงไร
และ...
ทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ
จนเกิดความยุ่งยากสับสนอลหม่าน
ในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร
ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอา
ของสองอย่างนี้ เป็นของอันเดียวกัน
อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า
"บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว
เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ
การทำบุญกุศล นี้
ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้
ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ
บุญ..
เป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงาม
หรือ...
ปรากฏ หมดอำนาจบุญเมื่อใด
บาปก็จะโผล่ออกมา และงอกงามสืบไปอีก
ส่วนกุศลนั้น ...
เป็นเครื่องตัด รากเหง้าของบาป อยู่เรื่อยไป
จนมันเหี่ยวแห้ง สูญสิ้นไม่มีเหลือ
ความต่างกัน อย่างยิ่ง ย่อมมีอยู่ ดังกล่าวนี้
คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ
คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล
และ..
ปลอดภัย ตามความปรารถนา
แล้วแต่ใคร จะมองเห็น
และจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร ได้เช่นนี้
เมื่อใดจึงจะชื่อว่า
พวกเรารู้จัก บุญกุศล กันจริงๆ
รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า
และ
ทิศทางที่วกเวียน ว่า..
เป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกัน
ได้เลย แม้จะเรียกว่า "ทางๆ" เหมือนกัน ทั้งสองฝ่าย
วัดธารน้ำไหล
๒๕ มิ.ย. ๒๔๙๓
คัดจาก หนังสือ
ชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘
โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
คงจะได้รับความกระจ่าง
เรื่อง
บุญกุศลมากขึ้น
จะได้เลือกปฏิบัติได้เหมาะแก่จริตของแต่ละท่าน
คราวหน้า จะว่าด้วยเรื่องของบุญ
ว่ามีกี่อย่าง ทำอย่างไร จึงจะได้ บุญ