หงส์เหนือมังกร ตอน โอเลี้ยง....
คีตากะ
ฟังมาซิฟัง ฟังเรื่องรักเอย ใครแม้นเคยมีต้องฟัง ถึงจะช้ำตรม หรือขื่นขมบ้าง เก็บเอาไปเป็นครูสอนใจ....
คีตากะภูมิใจเสนอ.นวนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ เรื่องราวระหว่างหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินกับชายวิกลจริตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ในเรื่อง หงส์เหนือมังกร ตอน โอเลี้ยง...
ณ ดินแดนโลกียสถานโลกเบื้องล่าง นามว่า สุวรรณภูมิ ข้าพเจ้าได้แลเห็นความเป็นไปดังนี้.....
โอเลี้ยงถูกดูดหมดไปตั้งแต่แรก !
ถุงโอเลี้ยงยังคงอยู่ในมือของเด็กหนุ่มมอซอคนหนึ่ง
ใบหน้าของเขาธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งพิเศษอะไร
หากแต่ดวงตาของเขาสามารถเปล่งแสงจรัสพอจะข่มกับแสงสุริยันจันทราได้ทีเดียว
ดวงหน้าของเขาฉายรัศมีไปไกลถึงดาวดึงส์เทวโลก
ท่วงท่าทีองอาจราวพญาราชสีห์ ราวองค์นารายณ์อวตาร ราวเทพยดาจุติ
เขานุ่งห่มกายไว้ด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดมอมแมมดูน่าสมเพชยิ่งนัก
แต่บุคลิกลักษณะของเขากลับผิดแผกแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เขามีท่าทีผ่อนคลายราวเกียจคร้านแม้แต่จะก้าวเดินเหิน
มุมปากของเขาประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ราวกับว่าเรื่องราวในโลกไร้ทุกข์โศกก็ปาน !
ด้วยบุคลิกอันประหลาดพิศดารนี้เอง
ยังให้หญิงสาววัยเยาว์มากมายสุดคณนานับคอยจับจ้องสายตาไม่กะพริบ
และมุ่งหวังว่าเขาจะเหลือบแลสายตาแม้เพียงชั่วขณะ
แต่สุดท้ายยังคงต้องผิดหวัง
เพราะดวงตาของเขาดูเลื่อนลอยคล้ายไม่ไยดีต่อโลกใบนี้
เขามักจะแหงนมองฟ้าและส่งเสียงพรึมพรำคนเดียวอยู่เสมอ
ราวกับว่ากำลังสนทนากับใครบางคนที่บนสวรรค์ก็ปาน !
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เหมือนใคร
เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมีมาในอดีตและจะไม่พบเจออีกในอนาคต
กล่าวกันว่า....สวรรค์สร้างเขามาเพื่อให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
ในทุกๆ ด้าน ในทุกๆศาสตร์ ในทุกๆ แขนง
ดังนั้นทั้งร่างกายและจิตใจเขาจึงต้องถูกเคี่ยวกรำ
ถูกทดสอบในสิ่งที่ยากกว่าบุคคลอื่นนับร้อยเท่าพันเท่า !
หากเป็นเช่นนั้นจริง !
ไม่ทราบว่าตัวเขาควรจะรู้สึกสำนึกเสียใจหรือยินดีที่ได้ถือกำเนิดเกิดมา ?
เขาไม่สามารถปล่อยวางโอเลี้ยงถุงนั้นลงได้
เช่นเดียวกับจิตใจเขาที่ไม่อาจปล่อยวางเธอ
คาดว่าหากแผ่นดินแผ่นฟ้าถล่มทลายลงตรงหน้า
เขาก็คงไม่ใส่ใจมากไปกว่าโอเลี้ยงถุงนี้
เพราะเขาทราบว่าทันทีที่โอเลี้ยงถุงนี้หมดลง
เขาจะต้องพูดจากับเธอ คนที่เขากังวลสนใจยิ่งกว่าชีวิต
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พูดจากับเธอ
และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบหน้าเธอ
จิตใจของเขาสับสนอย่างยิ่ง ว้าวุ่นอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะวันนี้เขามาเพื่อไล่เธอให้กลับไป !
ครั้งแรกที่เขาพบเธอ......
เป็นฤดูใบไม้ร่วง บริเวณหน้าห้องสมุดเต็มไปด้วยใบของต้นหูกวางหล่นเกลื่อนกลาด
คล้ายว่ากวาดเท่าใดก็ไม่หมดสิ้น เหมือนความคิดยึดติดในจิตใจคน
เธอดูไปไม่มีอะไรพิเศษพิสดารแสน ธรรมดา
ใบหน้าเธอก็ธรรมดา รูปร่างสูงโปร่ง
ปล่อยเสื้อนักศึกษาลอยชาย กระโปรงยาวคลุมถึงเข่า
สวมรองเท้าแตะ ในมือถือตำราแพทย์เล่มโต
ที่หน้าอกปักไว้ด้วยเข็มกลัดสีทองรูปเข็มฉีดยา
ท่วงท่าการเดินเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย สบายสบาย
ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ไม่แต่งหน้า ไม่ทาปาก ไร้เครื่องประดับ ไร้อาภรณ์เลิศหรู !
หากแต่เมื่อใบหน้า รูปร่างเช่นนี้ การแต่งตัวเยี่ยงนี้
ท่าทีผ่อนคลายถึงเพียงนี้ รอยยิ้มที่ดูจริงใจปานนั้น
ได้ประกอบกันขึ้นเป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งอันไร้ตำหนิ
งดงามราวเทพธิดาจุติจากสรวงสวรรค์
จัดได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน !
เธอคือความงามที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย
คือหญิงงามในเหล่าหญิงงาม !
เธอคือดาวมหาวิทยาลัยในยุคนี้ !
รูปของเธอที่ถ่ายโดยชมรมช่างภาพ
ถูกนำมาแสดงภายในมหาวิทยาลัยบ่อยบ่อย
ใครใคร ก็รู้จักเธอ คงมีแต่เขากระมังที่ไม่รู้จัก !
ในความคิดเห็นของเธอ
เธอเห็นว่าเครื่องสำอางเกินความจำเป็น
เธอเห็นว่าเครื่องประดับและอาภรณ์เลิศหรูไร้ประโยชน์
เนื่องเพราะเพียงเท่านี้
ความงามของเธอก็เพียงพอจะสะกดสายตาทุกคู่ได้แล้ว !
เธอยิ้มให้เขา รอยยิ้มอันเปี่ยมเสน่ห์ น่ารัก น่าผูกพัน
แต่เขาคล้ายคนตาบอด เขาไม่รู้จักเธอ
ซ้ำร้ายเขาไม่ยิ้มตอบเธอตามมารยาท
เขาอาจเป็นคนวิกลจริตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ในยุคนี้ ด้วย !
ครั้งหนึ่งเขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในโรงอาหาร
เธอเดินผ่านเขาไปถึงสามรอบ เขาพึ่งจะมองเห็น
หรือว่าสายตาของเขาเริ่มใช้การไม่ได้แล้ว ?
เธอจากไปแล้ว พร้อมความคิดว่า
เขาคงจะเก็บใบหน้าอันสวยซึ้งของเธอไปนอนหลับฝันเป็นแน่ !
แต่น่าเสียดาย ! เขาโง่มาก สมองว่างเปล่าเหมือนเด็กทารก
กระทั่งหน้าตาเธอยังจดจำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเก็บไปนอนฝัน
เขายังคงแปลกหน้าต่อเธอ !
ฤดูร้อนมาเยือนแล้ว... ดอกคูนสีเหลืองอร่ามเบ่งบานสะพรั่ง !
ดอกคูนใช่บานแล้วจะร่วงโรยหรือไม่ ?
บ่อยครั้ง......ที่เขาเริ่มเห็นเธอมาปรากฏตัวตรงทางเข้าบ้าน
เธอมักมายืนคุยกับพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น
คล้ายว่ามีเรื่องคุยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ปาน
เขาเริ่มจดจำใบหน้าเธอได้บ้างแล้ว
เขามักสงสัยว่าทำไมถึงจำใบหน้าเธอไม่ค่อยได้
หรืออาจเป็นเพราะว่าใบหน้าของเธอไร้ตำหนิ
จมูกไม่โด่งเกินไป ตาไม่เล็กเกินไป ปากไม่กว้างเกินไป
ไม่มีส่วนใดให้สังเกตจดจำ
หรือว่าเขาเองที่มีความจำเลอะเลือน ?
บางครั้งเธอนั่งมอเตอร์ไซค์ที่จอดนิ่ง
คุยกับพ่อค้าขายเงาะ ทุเรียนตรงหัวถนน
บางคราเธอก็คุยกับแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว
บางคราวเธอก็นั่งกินข้าวอยู่ร้านขายข้าวแกง
บางทีเธอก็คุยกับแม่ค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือไม่ก็อยู่ร้านขายกาแฟตรงมุมถนน
คล้ายว่ากำลังรอคอยใครบางคน คล้ายว่ามีนัดหมายกับใคร !
เขาพบเห็นเธอเกือบทุกวันบริเวณใกล้ๆหอพักของเขา
แต่เขาไม่เคยยิ้มให้ ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยหยุดทักทาย
เขาคล้ายว่าไม่เคยสนใจใครใคร ไม่แคร์ใครใคร
เขาเรียนด้านวิศวะเครื่องกล ชีวิตเขาคล้ายว่าถูกกำหนดแน่แล้ว
ให้พูดคุยกับเครื่องจักรกล ไม่ใช่ผู้คน
เขาจึงดูคล้ายเครื่องจักรกล ไม่คล้ายผู้คน !
ไร้อารมณ์ ไร้จิตใจ ไร้ชีวิต! แต่ใช่ไร้น้ำใจด้วยหรือไม่?
ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล สายลมก็พัดแรง
ไม่ทราบสายลมจะพัดพาสายฝนไปตก ณ ที่ใด ?
วันหยุดวันหนึ่ง เขาพึ่งกลับมาจากที่ไปเที่ยวกับเพื่อนเพื่อน
เขาสวมกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนกุด ใส่หมวกปกปิดใบหน้า
ดูคล้ายว่าพึ่งผ่านการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น น่าตื่นตระหนกมา
คล้ายว่าพึ่งออกมาจากป่าหลังจากที่หลงอยู่หลายวัน
คล้ายว่าพึ่งหลบรอดมาได้จากกรงเล็บของเสือโคร่ง
เรื่องราวของเขาคงพอจะสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินเป็นแน่ !
สภาพของเขาจึงดูซอมซ่อมอมแมมไม่คล้ายผู้คนสักเท่าใดนัก...
เขาเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์
พลางคิดว่าได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกสักวันสองวันก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เขาพบเธอมายืนขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตรงปากซอย !
เขาประสานสายตาเข้ากับเธออย่างจัง
เขาหลบสายตาของเธอและเดินผ่านไป
เธอมองตามเขาตาไม่กะพริบ
ทุกฝีก้าวของเขาไม่อาจเล็ดลอดสายตาเธอไปได้
ถึงแม้จะผ่านไปอย่างช้าช้า แต่มันก็บีบคั้นจิตใจ
คล้ายว่ามีเสียงอ้อนวอน เสียงตัดพ้อต่อว่า ขอความเห็นใจ
เธอเหม่อมองเขาจากไปคล้ายคนรักที่กำลังจากไป
หรือเขาคือคนที่เธอรอมานาน คือที่พักพิง คือคนที่เธอไว้ใจที่สุด ?
เขาคือใครกันแน่สำหรับเธอ? เธอเองก็ตอบไม่ได้...
ครั้งหนึ่งเขาหยุดซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านเธอ
เธอแถมให้เขามากมาย เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวขอบคุณเธอ ก่อนที่จะเดินพลางกินหมูปิ้งพลางอย่างเอร็ดอร่อย
เขาจากไปโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ
ผู้ช่วยของเธอที่เป็นหญิงชราซักถามเธอว่า
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร?
เพราะปกติเธอไม่ค่อยแถมให้ใครมากขนาดนี้มาก่อน !
เธอตอบว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของเธอเอง เขาได้ยิน
และเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นเพื่อนกับเธอตั้งแต่เมื่อไร?
ซึ่งความจริงเขาเป็นเพียงลูกค้าของเธอ มิหนำซ้ำพึ่งซื้อครั้งแรก !
เขาขบคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ
เธอเรียนหมอ ดูเป็นไฮโซ ทำไมมาขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือเธอยากจนจำเป็นต้องหาทุนเล่าเรียน
เขาจึงกลายมาเป็นลูกค้าประจำของเธอเพราะความอยากรู้...
จากนั้นมาเขาก็มากินข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านเธอแทนข้าวเกือบทุกมื้อ
แต่เขาก็ยังไม่เคยพูดจาอะไรกับเธอ !
วันหนึ่งเขารู้สึกสนุกสนานยิ่ง...
ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้งของเธอกลายเป็นศูนย์รวมหนุ่มหล่อ สาวสวย
ลูกค้าของเธอนับวันยิ่งมาก กิจการนับวันยิ่งเจริญก้าวหน้า
เขายืนมองอย่างพึงพอใจ
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องกินข้าวเหนียวหมูปิ้งอีกแล้ว
มีหนุ่มหล่อ พ่อรวยมาอุดหนุนร้านของเธออยู่ไม่ขาดสาย
จนกลายเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์...
แต่ละคนไม่ทราบมาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือหวังมาซื้อใจของแม่ค้า...ก็คงสุดจะคาดเดา?
เมื่อหนุ่มหล่อพ่อรวยชุมนุมกันอยู่ที่นี่
เหล่าสาวสวยไหนเลยจะพลาดโอกาสนี้ไปได้
จึงก่อเกิดเป็นสภาพดาวล้อมเดือน เดือนล้อมดาวขึ้น !
ที่นี่นอกจากจะเป็นตลาดแล้ว....
ยังกลับกลายเป็นลานเลือกคู่ของหนุ่มสาวอีกด้วย
เวลานัดหมายไม่ขาดไม่เกินคือหลังเลิกเรียนพอดิบพอดี
ตลาดที่เล็กเล็ก ผู้คนบางตากลับกลายเป็นคับคั่งขึ้นมาทันที..
รถลาติดกันวุ่นวายดูแล้วก็น่าตื่นตระหนก !
สำหรับเขาแล้วมองเห็นละครฉากนี้จนชินตา
ท่ามกลางฝูงชนคับคั่ง
เธอสบตากับเขา เขาสบตากับเธอ
ท่ามกลางหนุ่มหนุ่มที่มารายล้อมรอบตัวเธอ
เธอกังวลสนใจแต่เขา เขาก็กังวลสนใจแต่เธอ
เธอมองดูเขาคล้ายกับว่าใบหน้าของเขามปรากฏดอกไม้งอกเงยก็ปาน !
เขามองดูเธอคล้ายเจอโจทย์ที่ยากทางวิศวกรรมก็ปาน !
ยังคงไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไรแน่ ?
เขาเคยแกล้งสมมติเล่นเล่นว่า ถ้าเธอมาเพราะเขา
เขาอยู่เธอก็ต้องอยู่ เขาไปเธอก็ต้องไป
วันหนึ่งเขาทำแกล้งขับรถผ่านเลยไป
แล้วคอยแอบซุ่มดูเธอว่าจะเป็นอย่างไร
ปรากฏว่าเธอก็คว้ารถมอเตอร์ไซค์ขับจากไปเช่นกัน
หรือว่าเธอมาเพราะเขาจริงจริง ?
หรือเรื่องราวทั้งหมดนี้มีเขาเป็นต้นเหตุ?
เนื่องเพราะเขาอยู่ เธออยู่ เขาไม่อยู่ เธอไม่อยู่ !
ฝนตกแล้ว สายฝนโปรยปราย
ท้องฟ้าคล้ายเกิดสงครามต่อสู่กัน
ระหว่างฝ่ายมารและเทพจึงเกิดเสียงประหนึ่งว่าแผ่นฟ้าจะถล่มทลาย !
เขาเกิดความคิดขัดแย้งอย่างรุนแรงในจิตใจ
เขาอาจเริ่มชอบเธอ แต่เขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
เขาเริ่มว้าวุ่นใจ เริ่มนอนไม่หลับ
เขาขลาดเขลาเกินไปกว่าที่จะกล้าพูดคุยกับเธอ
เขาพบว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่งมถึงเพียงนี้
ในที่สุดจุดจบก็มาถึง !
เย็นหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง
สายลมยามเย็นโชยพลิ้วผ่านหัวใจของหนุ่มสาว...
จากใจถึงใจคล้ายกระซิบถ้อยคำหวานซึ้ง
เขาขับมอเตอร์ไซค์จากคณะวิศวะกลับหอพัก
เธอก็ขับมอเตอร์ไซค์จากคณะแพทย์กลับหอพัก
ซึ่งแต่เดิมเธอพักอยู่หอพักหญิงภายในมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ดูท่าจะผิดคาด !
เธอมาพบกับเขาตรงทางแยกแต่กลับเลี้ยวรถไปทางเดียวกัน
หนึ่งหญิง หนึ่งชาย ขับรถเคียงคู่กันไปทางเดียวกัน
เธอยิ้มให้เขา แต่เขายังคงไม่กล้ายิ้มให้เธอ
ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องหอซึ่งห่างกันแค่เพียงซอยเดียว !
ในที่สุดเธอก็ย้ายออกจากหอพักหญิงของมหาวิทยาลัย
เพื่อมาอยู่หอพักนอกของเอกชนซึ่งเป็นหอพักรวม
และห่างกับหอพักของเขาแค่เพียงซอยเดียว
หรือเธอมาเพื่อยึดอาชีพขายข้าวเหนียวหมูปิ้งจริงจริง ?
เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาทันที
หากว่าเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เขาก็ควรดูแลเธอ
หากเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเธอ เขาสมควรต้องรับผิดชอบ
หญิงสาวอย่างเธอจะมาอยู่ในสถานที่อันตรายนี้ได้อย่างไร?
ที่ที่เต็มไปด้วยอันธพาล อบายมุข พวกขี้เหล้าเมายา
อิทธิพลเถื่อน สิ่งผิดกฎหมาย คนเสเพล คนไร้ราก
มีแต่เขาที่อยู่ที่นี่ได้ เนื่องเพราะเขาก็มิใช่ตัวดีอะไร !
ในเหล่าพวกโจรร้าย เขาคือขุนโจรที่อันธพาลไม่กล้ายุ่ง
เขาเป็นนักกีฬาเหรียญทองของมหาวิทยาลัย
ดังนั้นเวลาต่อยตีกันเรี่ยวแรงคงไม่ถึงกับน้อยเกินไป
เขาเป็นนักกรีฑาเหรียญทองของคณะวิศวะ
ดังนั้นเวลารุกและถอยคงไม่ถึงกับเชื่องช้าจนเกินไป
เขาชมชอบเล่นเพาะกายอยู่เป็นประจำ
ดังนั้นร่างกายก็คงไม่ถึงกับอ่อนแอจนเกินไป
ในชีวิตเขาไม่เคยป่วยเข้าโรงพยาบาลมาก่อน
ไม่เพียงอันธพาลไม่กล้าตอแย โรคภัยก็ไม่กล้ากล้ำกลาย !
นี่คือเขา !
ในเหล่าคนดี เขาคืออันธพาล !
เขาไม่ชมชอบพิธีรีตอง ดังนั้นไม่ชมชอบเข้าวัด
เขาถือว่าพระอยู่ในใจ ดังนั้นไม่กราบไหว้รูปปั้น
เขาค้นหาธรรมะในใจ และฉีกตำราที่เขียนธรรมะ
เขายึดถือธรรมชาติ จึงปฏิเสธกฎระเบียบข้อจำกัดที่คนสร้างขึ้น
เขาถือว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่หาใช่ใครไม่ !
แต่คือตัวเอง คือสมอง คือนิสัย คืออัตตา
ดังนั้น ไม่ชมชอบนินทา วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
แต่ชมชอบนินทาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง
หากว่าเขาไม่ชมชอบกระทำสิ่งใด ถึงมีมีดพาดคอ ปืนจ่อศีรษะ เขายังคงไม่กระทำ
นี่คือเขา !
ในท่ามกลางคนปกติทั่วไป เขาคือคนไม่ปกติ
เขาถือว่าคนทั่วไปไม่ปกติ !
ทุกคนถูก รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตใจ
ทุกคนถูก ลาภ ยศ ชื่อเสียง ครอบงำจิตใจ
ทุกคนถูกความไม่รู้หรือรู้ผิด ครอบงำจิตใจ
ทุกคน เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข
เขาจึงเห็นว่าคนปกติทั่วไปไม่ปกติ !
นี่คือเขา !
เขาถือว่าคนที่ปกติ คือคนที่กาย วาจา ใจ ปกติ
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ไม่วุ่นวาย ไม่วิตกจริต ไม่นินทาว่าร้าย
จะเดิน ยืน นั่ง นอน หรือทำงาน จิตใจก็สงบร่มเย็น
หลุดพ้นจากความทุกข์และปัญหาทั้งปวง
ร่าเริงเบิกบานประหนึ่งดอกบัวที่บานพ้นน้ำ
แม้จะก่อเกิดจากโคลนตมเสมือนคนที่อยู่ท่ามกลางกองทุกข์
ยังสามารถเบ่งบานได้ มีความสุขสงบได้
พึงพอใจอยู่ได้ในทุกสถานการณ์แวดล้อม
ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับธรรมชาติ
ค้ำจุนสรรพสิ่ง เรียบง่าย ละเอียดหลักแหลม เอื้ออารี
เขาเรียนไม่ได้เรื่องได้ราวที่สุดในชั้นเรียน !
แต่มีเพื่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียกเขาว่าอาจารย์
เขาโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด !
แต่มีคนที่เรียนเก่งที่สุดระดับเกียรตินิยมเรียกเขาว่าปรมาจารย์
เขาเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องที่สุด !
แต่เขาเคยได้รับประกาศนียบัตินักพูดยอดเยี่ยมด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง
เขาไม่ใช่นักเขียนหรือนักกวี !
แต่ผลงานของเขาเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ
เขาไม่ใช่นักวางแผนหรือเซียนหมากรุก!
แต่เคยมีเซียนหมากรุกมือหนึ่งเหรียญทองของมหาวิทยาลัย
ที่ไม่เคยยอมรับนับถือใคร แต่กลับยอมรับนับถือเขาอย่างหมดใจ
มิหนำซ้ำคบหากับเขาเป็นเพื่อนตาย
เขาเคยสอบตกวิชาพุทธศาสนา!
แต่เคยมีพระภิกษุ แม่ชี ระดับนักธรรมเอกไม่อาจโต้แย้งเมื่อถกหลักธรรมขั้นสูงกับเขา
เขาเคยล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่สุดท้ายยังคงสามารถลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้ง
ชีวิตเขาเคยเฉียดใกล้กับความตายหลายครั้งหลายครา
แต่วันนี้เขายังยิ้มได้ มิหนำซ้ำรื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง
สุขสำราญอย่างยิ่ง ! ราวกับว่าในโลกไร้เรื่องทุกข์โศกก็ปาน !
ในที่สุดถุงโอเลี้ยงก็ถูกหย่อนลงถังขยะ .......
พร้อมกับเสียงก้าวเท้าอันคล้ายหนักอึ้ง
จิตใจของเขาคล้ายแบกฟ้าไว้ทั้งแผ่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวเสียงฟ้าผ่า
มือเรียวยาวงดงามราวประติมากรรมชั้นเลิศ
เปิดประตูแง้มออกมา พร้อมรอยยิ้ม
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากกล่าววาจา
กลับถูกบุคลิกอันสูงส่งของเธอซึ่งสามารถสยบสรรพสิ่ง ไร้ผู้ต่อต้าน สยบเอาไว้ !
เมื่อสายตาทั้งคู่ได้มาประสานกันแน่วนิ่งราวถูกมนต์สะกด
คล้ายบังเกิดห้วงกาลเวลาอันไร้ขีดจำกัด
คล้ายห้วงอวกาศกว้างไกลสุดคณานับ
คล้ายกำลังวิ่งเข้าสู่ท้องทะเล ยิ่งเนิ่นนานยิ่งเหนื่อยล้า
คล้ายกำลังว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร ที่มองไม่เห็นฝั่ง
คล้ายเสือกับสิงห์สองตัวกำลังจ้องดูเชิง พร้อมลงมือได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่มีโอกาส !
คล้ายเซียนหมากรุกกำลังเผชิญหน้า แต่ไม่อาจหาตาวางหมาก!
คล้ายแจกันดอกไม้ที่งามพร้อมไร้ตำหนิ แต่ไม่อาจหาที่ปักดอกไม้ลงไปได้อีก !
ในความมีรูปลักษณ์ย่อมไม่ไร้รูปลักษณ์
ในความไร้รูปลักษณ์ย่อมไร้ตำหนิ
ในความว่างเปล่า ย่อมเต็มเปี่ยม สมบูรณ์ ไม่เหลือเค้าลางให้สังเกต
ในความเงียบสงบที่อาจสยบความเคลื่อนไหว
ในความเรียบง่ายที่อาจสยบความซับซ้อนหลากหลาย
ในความอ่อนโยนที่อาจสยบความเข้มแข็ง
เสมือนด้ายเลื่อยไม้ขาด น้ำหยดหินทะลุ !
เสมือนดาบคมกริบแต่ตัดสายน้ำไม่ขาด !
เสมือนม้าฝีเท้าเร็วแต่ไม่อาจสลัดเงาพ้นตัว !
คล้ายกับว่าหากเสียสมาธิแม้เพียงชั่วขณะจิต ก็อาจผิดพลาดถึงแก่ชีวิต !
คล้ายหมากรุกที่เดินผิดเพียงหนึ่งตาอาจพ่ายแพ้ทั้งกระดาน !
เขาพบว่าเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรสำหรับเธอแล้ว !
ขณะที่เขากำลังลังเลเพื่อที่จะจากไป
เธอชิงกล่าวขึ้นก่อนด้วยเสียงอันไพเราะดุจเสียงระฆัง
เธอบอก.....เธอรู้จักเขา รู้จักชื่อเขา รู้ว่าเขาเรียนคณะอะไร
รู้ว่าเขาอยู่หอพักห้องไหน รู้ว่าเขาเป็นใคร.........
เขาชะงักค้างกับคำพูดของเธอ !
เธอรู้แม้กระทั่งชื่อเล่นของเขา เธอทราบจากใคร ?
เขาบอก.....ที่นี่ไม่เหมาะกับผู้หญิงอย่างเธอจะมาอยู่
เขายกเหตุผลต่างต่าง นานา รวมทั้งขู่ขวัญให้เธอกลัว
และขอให้เธอย้ายกลับไปในมหาวิทยาลัยจะดีกว่า !
แต่น่าเสียดาย !.... เธอไม่เพียงไม่มีท่าทีหวาดกลัว
กลับยังหัวเราะคล้ายว่ากำลังฟังเรื่องราวตลกขบขันอยู่ก็ปาน !
คล้ายน่าสนุกสนานก็ปาน คล้ายน่าเล่นก็ปาน !
สุดท้ายเธอกลับบอกว่าถ้าเป็นห่วงกันก็หมั่นมาเตือนทุกวันซิ !
เขาได้แต่คันจมูก ไม่ทราบจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ดอกรักเริ่มผลิบานแล้ว.....
ดอกรักเมื่อผลิบานแล้วใช่จะมีเวลาร่วงโรยหรือไม่?
คนเมื่อพบเจอแล้วใช้ต้องจากพรากหรือไม่?
จากวันนั้นมาเขาก็มาดูแลเธอแทบทุกวัน
บางครั้งก็หาหนังสือมาให้อ่าน
บางคราก็เขียนบทกวีมาให้เธออ่านแก้เหงา
บางทีก็มาชวนเธอไปกินข้าว
บางคราวก็มาชวนเธอไปอ่านหนังสือ
บ่อยครั้งที่มานั่งคุยกับเธอหน้าบ้าน
..................ราวกับว่าเขากับเธอมีเรื่องที่ต้องคุยกันไม่มีวันจบสิ้นก็ปาน.....................
.........................................................................
เล่าลือกันว่า...วันหนึ่งชายหนุ่มกับหญิงสาวเกิดขัดใจกันอย่างรุนแรงจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดินกันได้ ทำให้ความรักต้องอับปางลงในที่สุด จนกระทั่ง 10 ปีผ่านไปมีข่าวหนาหูไปทั่วยุทธจักรว่าฝ่ายหญิงได้ครองตำแหน่งหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน มีชื่อเสียงก้องฟ้า ส่วนฝ่ายชายเพราะความตรอมใจเขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งสู่ป่าแดนกันดารหายสาบสูญจนไร้ร่องรอย บ้างก็ว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว บ้างก็ว่าเขาสำเร็จวิชายุทธขั้นสูงสุดไร้ผู้ต่อต้าน บ้างก็ว่าเขาบรรลุธรรมขั้นสูง แต่แท้ที่จริงเป็นเช่นใดก็หามีใครสามารถยืนยันได้ไม่.......
ใช้คนน้อยพิชิตคนมาก
ใช้อ่อนด้อยพิชิตแข็งกร้าว
ใช้ไร้รูปพิชิตมีรูป
ครอบครองโดยไม่ทำลายร้าง
ใช้ดาบโดยไม่ถอดออกจากฝัก
ชนะโดยไม่ต้องรบ..
คีตากะ