บนตึกสูงสวยด้วยสถาปัตยกรรมอันแสนอลังการ ฝนกำลังพรำสาย ให้ดวงดอกไม้ไทยแสนหวาน โมก จำปี ลีลาวดี ที่กำลังผลิบาน หอมอวลร่ำมาพรำพรม ในนวลเนื้อใจผม ให้หอมเสียยิ่งกว่า แสงเทียนมงคลสิริ หน้าพระพุทธ.. กำลังส่องแสงระบัดวูบไหวไปตามแรงลมพายุ ผมนอนซุกตัวนิ่งๆในที่นอนอบอุ่น แล..ไปที่ผนังจะเห็นภาพเงาไม้ ที่กำลังพรายไหว ไปตามแสงจันทราสีทองสะท้อนทอทอดทาบ ผม..เห็นเงางามแห่งลวดลายธรรมชาติ ดวงดอกไม้ใบไหววาบราวภาพฝัน ในผนังปูนสีโอลด์โรส ผม..กำลังคิดว่า ผมฝันไป หัวใจดวงน้อยของผมอิ่มเอิบด้วยความ สมถะสงบเงียบงาม นิยามชีวิต ที่ผมรอมานานแสนนาน หลังจากบ้านมาราวนกไพรพเนจร รอนแรมไร้รวงรังแห่งรักนิรันดร์ อย่างจริงแท้.. นานหลายปี.. พรหมชะตาฟ้าลิขิต ให้ชีวิตผมราวนกน้อย ที่ต้องติดกับในกรงขัง มีเพียงความหวังหล่อเลี้ยง ให้ยังหยัดยืนสู้ อย่างลูกผู้ชายชาติไพรทรนง ผู้มีเพียงธรรมธำรง ดำรงให้มีพลังชีวิตในกรงเมือง ผม..กำลังเชื่อว่าสวรรค์มีตา ..ฟ้ามีใจ ที่จะเปิดรอท่า..มอบเมตตา ให้กับทุกผู้ ที่หาญกล้าเพียรสร้างสรรทำความดี พลีให้แด่แผ่นดิน อย่างมิสิ้นจงรักภักดี ดั่งเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ที่พลีสละทุกหยาดหยดพระเสโท ด้วยความตรากตรำพระวรกาย เพียง.. เพื่อให้ผองชนคนบนผืนพสุธาไท พสุธาทอง พสุธาธรรมแห่งนี้ ได้มีดวงชีวีอยู่ภายใต้ร่มรัตน์ฉัตรเพชร อย่างแสนสงบร่มเย็นเป็นสุข ไปตราบชั่วลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า..นิรันดร์ และ..แล้ว.. วันนี้คือวันดี วันที่ดวงชีวีผมได้เรียนรู้ ว่า.. ฟ้าดินนั้น มิเคยสิ้นเมตตาทอดทิ้งคนดี.. หากมีศรัทธา...ภักดิ์ ตราบ..จนกว่าดวงใจเราจักสิ้นลมหายใจ...! .................... วิมานแมนวิมานเมืองวิมานรัก ทายทักด้วยดวงดอกไม้ริมระเบียงหอมหอมหอม โมกกระจิ๊ดดอกน้อยรอให้ดอม พวงพะยอมมากพรรณไพรไหวกิ่งพราย แลละลิบโน่นนาทองในครองฝัน ราวสรรค์ขวัญสรวงเคยมั่นหมาย ได้ชื่มชมอรุโณทัยเคลียยอดไม้ ได้ฝากกายใต้สายรุ้งในรุ่งวัน คลี่ยิ้มหวานดั่งบัวบานรอน้ำทิพย์ เมตตาพรหมลิขิตปรารถนาฝัน รังนกไพรพเนจรตราบนิรันดร์ พลีสร้างสรรงานกวีดีแด่ชน ตราบลมหายใจนิดน้อยยังมิสิ้น หวังถวิลฝากสัจจธรรมเกื้อกุศล ให้โลกแล้งชุ่มฉ่ำใสในใจคน ไปทุกหนใต้แหล่งหล้าใต้ฟ้าไท คือปณิธานจากใจธุลีหล้า เกิดเป็นข้าแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ ใต้ร่มรัตน์ฉัตรเพชรเหนือดวงใจ ชาติภพใดได้พบแก้วกลางใจ..นิรพาน..! ................ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html สี่แผ่นดิน คนมี ชีวิตและกายา ถือ กำเนิดเกิดมา เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน เป็นแดน ที่ให้ชีวา พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html ฉันรักเธอเสมอ หากตราบใด สายนที ยังรี่ไหล สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์ เกลียวคลื่นยัง กระทบฝั่ง เป็นอาจินต์ เป็นนิจสิน ตราบนั้น ฉันรักเธอ เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ ชั่วนิจนิรันดร์ เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ ชั่วนิจนิรันดร์...
15 ตุลาคม 2550 11:42 น. - comment id 771259
สวัสดีค่ะ พี่พุดสุดรัก.... สวรรค์ใดเล่าจะเท่าเรือนใจ ทุกข์สุขอย่างใร...ใคร่ควรรู้ ความเป็นไป...ทุกสิ่ง..จิตนิ่งดู ที่เป็นอยู่...สุขแท้...แน่เรือนใจตน... พี่พุดสบายดีนะคะ รกัษาสุขภาพนะคะ
15 ตุลาคม 2550 12:28 น. - comment id 771283
ซึ้งใจและแสนคิดถึงค่ะน้องรัก น้องแมงกุ๊ดจี่.. ที่ไม่เคยลืมให้กำลังใจพี่พุดไพรเลย นานมา..ค่ะ พลีเรื่องรัก แด่น้องนะคะ สายน้ำนิรันดร์! ผม..ชอบตื่นมาในตอนย่ำรุ่ง รับอรุณเบิกฟ้า... เฝ้าดูดวงตะวันพาไรแสง เรื่อเรือง รำไร เจือสีหวานใส ทอทอดลอดแสงทองทาทาบอาบท้องฟ้าอ่อนอุ่นอ่อนหวาน ผ่านเรียวเมฆ เสกโลกหล้าให้สล้าง ตื่นจากฝันคว้าง หลับไหล สู่โลกจริงที่ต้องวิ่งดิ้นรนไขว่คว้าหาเลี้ยงชีพชอบไปวันวัน.. ผม..สูดลมหอมสะอ้าน.. ที่พัดพร่างบางเบาให้เนื้อใจเย็นรื่นให้ชื่นฉ่ำใจ อย่างช้าช้า ช้าช้า.. ให้ซึมเซาะลึกซึ้งถึงหัวใจดวงนี้ ที่นับวันจะโหยหาแต่ธรรมชาติไพร ผมเฝ้าดู..มวลหมู่นกกาโผผินบินสู่ไพรกว้าง อย่างที่ผมวาดหวังอยากฝากร่างไร้ตัวตน ติดปีกแห่งรักแห่งฝันพลันเหินบินตามไป... ถลาสู่ไพรพง ดงดอกไม้ ดงดอกหญ้า เนินสล้าง สู่เสรีแห่งจิตวิญญาณ ผ่านขุนเขา เงาเมฆ ห้วยละหาน สายธารหวานระริน ท่องล้ำเข้าไปสู่แดนดินถิ่นลี้ลับที่ราวกับให้มหัศจรรย์ใจ เงียบสงบ สงัด...ร้างไร้ผู้คน มีเพียงมนต์แห่งธรรมชาติ วาดเวิ้งใจให้แสนเงียบงาม และ..แปลกสิ้นดี..! ที่ราวกับมีใครบางคนตามติดสนิทแนบแอบซุกซบ ในอ้อมอกอ้อมใจไปกับปีกแห่งรักแห่งฝันนี้ทุกถิ่นที่ ทุกราวไพร ไฉนเลย..ไม่มีวันสิ้นสุดสลัดหลุดลา..โอ้ว่าฟ้าดินชะตารัก.. ทบทวน... เมื่อคืนนี้..ที่ผ่านมา.. พาผมพบเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ เราสองเลยพากันเชิญตัวเองให้มานั่งสวนอาหารโล่งกว้าง ที่รายล้อมด้วยพันธุ์ไม้ไทยใสพร่าง เขียวชะอุ่มงามดั่งนั่งอยู่ท่ามกลางพฤกษ์ไพรพง.. ผมแหงนเงย..มองฟ้า .. ที่สล้างนวลด้วยแสงจันทราสีเงินงามผ่องผุด ที่แทบทำให้ผมอยากหยุดโลกให้เลิกหมุนสักครั้งครา ให้หัวอกหัวใจเหว่ว้าของคนหนุ่มอย่างผมที่กำลังหวามอมชมพู ด้วยแอลกอฮอล์ผสมเลือดรักที่กำลังไหลพล่าน.. ได้รับหวานหว่านโปรย ให้มีพลังรัก พลังใจ จากพลังจันทร์ ให้ขับเคลื่อนสู้ฝันสู้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่ง ที่หมุนวนหมุนเวียน ดั่งกงเกวียน กงกรรม ในกรอบใจ ในกรุงกรง มิรู้สิ้นมิรู้จบ นาทีนั้น..หนาวในใจพลันกลายอุ่น โลกละมุนพลันสดใสขึ้น จนอยากโทร..ถึงใครสักคน หาอ้อมใจ อ้อมรัก อ้อมตัก พักซุกซบขออ้อมอกไออุ่น ให้ใจดวงนี้ที่อ้างว้าง ดายเดียว เปลี่ยวเหงา จนซึมลึกถึงเนื้อในเนื้อใจมานานปี ที่นับวัน นับนาที มีแต่ความเบื่อ เบื่อ เบื่อมนุษย์มากมีมากมาย ที่รายล้อม ที่ทุกข์ทนยาก ที่ลำบาก ยากจะเอื้อมมือไปช่วยเหลือใครได้ ที่รายรอบตัว.. เพราะดวงตาภายในดวงที่สาม ทำให้ผมมองไม่เห็นงาม กลับมองข้ามเข้าไปเห็นถึงฝั่งทุกข์ ในทดท้อ เหว่ว้า ในทุกใบหน้า ทุกแววตา ในทุกที่ที่พานพบ.. ป้ายรถเมล์..โรงพยาบาล กลางถนน อลวนอลเวง ราวภาพชีวิตสิ้นไร้ ที่สถิตฝากไว้ให้หัวใจ เศร้าชั่วนิจนิรันดร์ ในวังวนวังเวร ทนทุกขเวทนา...พาให้ใจนิ่งงัน..สิ้นฝันสิ้นอยาก.. ผมเก็บตัว..ในห้องเช่า ราวกรุงกรงกักขัง ที่คอยดูดไฟฝันให้ดับดวงทีละนิดละน้อย ให้หัวใจค่อยค่อยตายแบบผ่อนส่ง ล่วงลาลับ นับไม่รู้จบ จากวัน เป็นเดือนเลื่อนเป็นปีปี และคงอีกหลายหลายปี.. ที่ทุกนาที..ผมเพียรพยายามปลดแอกใจ ไม่ออก หลอกใจด้วยใจดวงฝันฝัน แค่ไหนก็ไม่สำเร็จ.. และมาวันนี้.. ผมยิ่งเบื่อเหลือที่กับหัวใจดวงนี้ ที่มีเนื้อใจไหวละมุนจนเกินไป จนปล่อยให้สายธารใจเยื่อใยรักเย็นฉ่ำที่พร่ำรินรัดร้อย ผูกมัด สลัดแอกรัก แอกใจ มิหลุด เป็นดั่งโซ่พันธนาการจิตวิญญาณ ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าพันธะทางร่าง ที่ยังสิ้นสุดหยุดได้ลง.. มันทุรนทุราย ให้ใจหาย ให้ร้าวรวด ให้ปวดร้าว รัดรึงตอกตรึงแน่น แทบสิ้นแรงใจ อยู่ภายใน ที่ยากจะบอกใครยากจะอธิบาย. และทุกคราที่ผมระกำช้ำหนัก..กับรักนี้ที่เป็นไปไม่ได้ ผมจะพาตัวเอง มายืนนิ่ง..ใต้ต้นไม้แห่งนี้ที่เป็นดั่งต้นไม้แห่งศรัทธารัก ใต้ต้นพิกุล..ที่กำลังหอมพราว ดอกดวงเล็กเล็กนิดนิดน้อยน้อยกำลังลอยควะคว้าง กลางสายลมพัดไหว ร่วงผลอยปลิดปลิวลิ่วลอยพร่างพื้น.. ผมจะรอคอย.. ค่อยค่อยกางมือออกไขว่คว้า.. ดอกคว้าง..ให้ร่วงลงตรงกลางอุ้งมือผม อย่างละมุนละม่อมทะนุถนอมราวดอกไม้เพชรพร่างพรม ที่คอยห่มห้องหัวใจรักแสนหวานแสนงามนี้.. หัวอกหัวใจผมจะลอยละล่อง..ครองซึ้งคะนึงถึงภาพ.. เด็กผู้หญิง ใบหน้าหวานเศร้า นั่งดายเดียว ใต้ร่มเงาพิกุล ต้นใหญ่ กำลังร้อยมาลัย สร้อยพิกุล เส้นยาว งามพราวในละมุนมือ อย่างใจจดใจจ่อ.. ผม..ประคองดอกไม้งาม ดอกไม้แห่งความรัก ความฝัน ดอกไม้ในใจ ในพันผูกรัดร้อย อย่างอ้อยสร้อย ขึ้นดอมดมพรมจูบ ด้วยรักล้นใจ ด้วยในอณูนึกทรงจำแสนหวานเศร้า ที่ตามมาติดตรึง ตอกย้ำให้ผมล้ำลึกโหยหา งามดวงใจใครเลยจะรู้..นี้..ที่มีมานานเนา..นานเนิ่น. ผมเอนตัวลงช้าช้า ..... นอนดูฟ้ากว้างผ่านดวงดอกไม้แห่งศรัทธารักมิรู้จบ.. แสงฟ้ายามเย็นทอทอดลอดกระทบเงาน้ำในเรียวตา ที่กำลังละหลั่งรินอย่างช้าช้า เป็นสายพรายพร่าง อย่างมิอายฟ้าดิน! ........... หล้าโลกนิ่งงัน..สิ้นคำปลอบประโลมใจ กับสายน้ำใสจากดวงใจจากดวงตาลูกผู้ชายคนกล้า ที่ยิ่งใหญ่เปรียบประดุจดังสายน้ำแห่งรัก สายน้ำแห่งฝัน สายน้ำนิรันดร....... ............................