นาฏกรรมการเมืองไทย (รูปแบบในการเขียน ได้แรงบันดาลใจจากการท่องบทอาขยานบางตอนใน รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช การเรียนรู้กลบทบางส่วนจากวรรณคดีเรื่อง สิริวิบุลกิตติ ของ ท่านหลวงศรีปรีชา (เส้ง) รวมถึงหนังสือประชุมจารึกวัดพระเชตุพน และตำรา คัพภครรลองร้อยกรองไทย รวบรวมเรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์วัฒนะ บุญจับ นักอักษรศาสตร์แห่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ตลอดจนบทกวีชุด ภาราสาวัตถี กับ เพลงยาวร้าวสมัย ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับผม) กลอนบทละคร มาจะกล่าวบทไป ถึงเมืองไทยไม่ถ่องทาบทองทั่ว ขุ่น, รน คนร้ายรำร่ายรัว ช้ำนิตย์ชิดนัวความชั่วเนือง สิงเหย้าเศร้าย้ำสุดย่ำแย่ ทุกข์แปล้แท้ปลดไม่ถดเปลื้อง พาดกิ่ง พิงก้าน พรรคการเมือง เติบโขโตเขื่องกระเตื้องครัน ทำบ่อย ถ่อยบ้าบีฑาบุก กด, ยี กี่ยุคไม่เกรงยั่น ล้นแผ่แลผายหลากหลายพันธุ์ ช่างก่อฉ้อกันแต่ชั้นโกง เผยแง่แผ่เงาลำเพาสง่า ซ่อนห่าสาหัสแห่งสัตว์โหง สายยาวสาวยื้อซื้อโยง ลากเขยื้อนเลื่อนโขยงขยับคลา นอนยั่ง นั่งยัดขนัดย่าน ดื้อ, หนา ด่านานยังด้านหน้า ขนสมุนขุนสมัครชักมา รอโถมโรมถาภาราไทย ฯ กลบท กบเต้นสามตอน บัดนั้น หวังมานวารมั่นวันใหม่ โศกนำซ้ำหน่วงทรวงใน เศร้าไร้ ใสร่ำสำราญ บาปเสี้ยนเบียนเซาเบาซบ ผ่อนเสียงเพียงสบพบศาล ยุบพรรคยักษ์ผู้อยู่พาล แนวท่านนั่นแท้แน่ธรรม ตัดทรามตามสัตย์ตัดสิน แทตย์สิ้นถิ่นสุขทุกส่ำ เผยจากพากย์จดพจน์จำ หยัดขึ้นยืนคำย้ำคง เจิดแต้มแจ่มเติมเจิมแต่ง รุ่งโสตถิ์โรจน์แสงแรงส่ง เทิดซื่อถือสรรพ์ธรรม์ทรง ตรึงยงตรงอยู่ตรูยาม ฯ บัดนั้น ศาลท่านซั้นทวนสอบสวนถาม คืบเต้าเข้าติดครุ่นคิดตาม วายครั่นหวั่นคร้ามเกรงขามใคร ชั่ว, ดี ชี้ได้ไฉไลเด่น เนืองคำนำเค้นเน้นขานไข ล้มฐานลาญทักไทยรักไทย พวกฉลพลใช้กลไกชัด พรรคยงพงศ์ยังพร้อมพรั่งเยี่ยม อ่องเปี่ยมเอี่ยมเป็น ประชาธิปัตย์ ชาญคำช่ำเขียนเชียรคัด เชิงจ้านชาญจัดชัดเจน เชี่ยวครันชั้นครูมีอยู่ครบ ลางแพ้แลพบรีบหลบเผ่น ผันวารผ่านวนเลยพ้นเวร เบิกกฎบทเกณฑ์มาบังกาย ฝากวาจาถึงประชาธิปัตย์ กลบทสุรางค์ระบำ ใช่เอ่ย, บอก ออกเบนโอนเอนเบี่ยง ก่อกิจเพียงเกี่ยงผ่านพ้นกาลพ่าย แล้วอ้างหลอนอ้อนหลอกยามออกลาย โศภิศหลาย ภายหลังซิ่พังลาญ จงแน่วคิดนิตย์คุณเจตน์หนุนค้ำ สร้างนันท์ซ้ำนำซึ้งสำนึงศานติ์ เปล่งฉายดื่นชื่นดลปวงชนดาล เกิดสุขปราณซ่านปรนกุศลปรุง พ้นโพยฤทธิ์พิษเร่าที่เผาร้อน ความทุกข์รอนถอนไร้ ถิ่นไทยรุ่ง ดลเรี่ยวแกร่งแรงเกริกได้ฤกษ์กรุง พริ้งเพรามุ่งพรุ่งหมายเพริศพรายมา เห็นเมืองผ่องหมองผ่านหมอกม่านพ้น เห็นผู้คนผลคูณเพิ่มพูนค่า เห็นซึ่งใจใสจัดส่องสัจจา เห็นแสงถ่องส่องทาหรรษาไทย (๒๘ ถึง ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
1 มิถุนายน 2550 08:51 น. - comment id 704063
การเมืองเป็นเรื่องขี้ตั๋ว คนดีคนชั่วเป็นได้กันหมด กะล่อนทำดีพูดปลด อนาคตจะบงการ การเมืองเรื่องไม่แน่ สิ่งที่แท้ให้กล่าวขาน การเมืองย่อมเป็นไปในตำนาน แล้วลูกหลานจะร้องให้ในอนาคต
1 มิถุนายน 2550 10:34 น. - comment id 704112
โห ท่านพี่ กลอนไม่ใช่ของพื้นๆเลยนะครับ อยากลองแต่ง แต่แต่งไม่ได้เลย
1 มิถุนายน 2550 12:17 น. - comment id 704169
เก่งจัง
1 มิถุนายน 2550 12:25 น. - comment id 704177
1 มิถุนายน 2550 17:48 น. - comment id 704294
นาฏกรรมการเมือง กี่ยุคกี่สมัยก็ไม่เปลี่ยนแปลงครับ กวีกี่ยุคกี่สมัยก็เปลี่ยน หากจะนำเรื่องการเมืองมาเขียน ผมเขียนแบบนี้ไม่ได้ ความสามารถไม่ถึง จิตวิญญาญไม่อำนวยครับ โชคดีที่มีกวีอย่างตราชูเป็นกระบอกเสียง ชี้ทางที่ควรจะเป็นในเกมส์อำนาจการเมือง ผมขอยกย่องครับ
1 มิถุนายน 2550 20:28 น. - comment id 704324
มาคารวะ
2 มิถุนายน 2550 10:08 น. - comment id 704455
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขออนุญาตเล่านิดหนึ่งนะครับ สำหรับบทนี้ เขียน ๔ วันเลย โดยเริ่มเขียนข้อความ ๒ ช่วงแรก ในวันจันทร์ แหละอังคาร ๒๘ ๒๙ พฤษภาคม เป็นบทเกริ่นและเริ่มเรื่องก่อน จากนั้น พอคำตัดสินของศาลท่านออกมาจึงเขียนต่อครับ เขียนวรรคที่ว่า บัดนั้น ศาลท่านซั้นทวนสอบสวนถาม แล้วก็ค้างไว้ เนื่องจากยังคิดไม่ออก ต่อมา รุ่งขึ้น วันที่ ๓๑ พฤษพาคม จึงมาเขียนต่อ ณ ที่ทำงานครับ กว่าจะจบได้ เล่นเอาปวดหัวเลยทีเดียว ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านผู้อ่านเป็นอย่างยิ่งครับ ที่กรุณาติดตามผลงาน ช่วงเวลาต่อไป สถานการณ์การเมืองจะเป็นเช่นไร น่าสนใจมากครับผม
2 มิถุนายน 2550 15:51 น. - comment id 704605