30 มกราคม 2548 12:21 น.
pigstation
มหัศจรรย์เพียงไรกับทารกตัวแดงคล้ำหน้าตาบู้บี้ ดูประหลาดล้ำ พอผ่านไปสี่เดือน การยืดขยายของแนวกล้ามเนื้อ การปกคลุมของชั้นผิวหนัง การเกาะตัวของไขมัน การขึ้นรูปของกระดูก มันก่อตัวเป็นเด็กทารกขนาดน่ารักน่าฟัดอย่างยิ่ง
แก้มที่ย้วยจนย้อยอิ่มน่าทิ่มจมูกลงไปสูดบริสุทธิ์ อีกดวงตากลมโต แวววาว จ้องมองอะไรก็ตามอย่างสนใจ มือไม้ป่ายไปมาดุ๊กดิ๊กตลอดเวลาที่ตื่น เพื่อสำรวจโลก
หลังจากโลกแห่งการร้องไห้ด้วยหวาดกลัวต่อลม เสียง แสง แรงเคลื่อนไหว ที่ต่างจากอู่น้อยในครรร์มารดาอันแสนอบอุ่น สบาย อิ่มสำราญ เด็กน้อยเริ่มคุ้นเคยต่อความต่างศักย์ จึงหันมายิ้มเอิ๊กอ๊ากต่อสิ่งรอบตัวที่นำมาหลอกล่อ ไม่ว่าจะเป็น ของเล่นกรุ๊งกริ๊ง เสียงหยอกล้อ อ้อมกอดห่วงใย เขามั่นใจว่าไม่มีใครละเลยไปจากเขา ดังนั้นเขาจึงยิ้มหวาน ส่งเสียงอืออาด้วยความยินดีที่ได้เกิดมาสู่อ้อมกอดแห่งความรักที่ลอยตัวครอบคลุมในครอบครัวน้อยๆที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเต็มภาคภูมิ
หน้าร้านนินจาวีซีดี มีลูกค้าเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร มาเช่าวีซีดี ก็จะเห็นพรีเซ็นเตอร์ตัวน้อยนอนแอ้งแม้งส่งสายตาเปล่งปลั่งไปรบกวนต่อมความ เอ็นดูให้เข้ามาโขมยจูบเสมอ เจ้ากันต์ศิกานท์ หรือเรียกแบบลำลองว่า ภู่กัน ( เนื่องจาก ป๊ะป๋าเขาเป็น สถาปนิก จึงออกแบบชื่อให้เป็น ภ .สำเภา เนื่องจากรูปทรงของ ภ. สำเภาจะสวยได้รูป แล้วยังเป็นความหมายของการบรรทุก การผจญภัย การบุกเบิก จึงใช้แทน พ. พาน ตามพจนานุกรม ด้วยเห็นพ้องกับลุงหมู ซึ่งเป็นว่าที่ศิลปินประจำ อบต. จึงบัญญัติตาม พจนานุกู)
เวลาภู่กันพึงใจ เขาจะหยีตายิ้มเผยอปากจิ้มลิ้ม ส่งเสียงกิ๊วก๊าวออกมา แต่ถ้าถึงใจเขาล่ะก็ จะกรีดเสียงแหลม แหงนหน้าอ้าหัวเราะเต็มที่
กันต์ศิกานท์ เด็กชายนัยน์ตาหวานจัด กำลังเรียนรู้ กำลังน่ารัก ความตั้งใจที่บรรจุไว้ในทัศนคติของเขาคือ การเอาใจใส่เพื่อเขาโตขึ้นมาอย่างอบอุ่นใจ เกินกว่าบริษัทประกันชีวิตหน้าไหนรับคุ้มครอง
เขาได้รับนมแม่ตลอดเวลา เสมือนกับ 7-11 ที่เปิดตลอด 24 ชม. คือปราการสำคัญ ในการผลิตความจ้ำม่ำของเขา ที่สำคัญเป็นบ่อเกิดภูมิต้านทานโรคอย่างดี และน้ำนมเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่ม คือไม่ต้องสั่งซื้อจากโรงงาน ไม่ต้องรอคอย เปิดบริการทันที ที่อุแว้หิวนม สะอาด ถูกอนามัย บรรจุในภาชนะน่าจับต้อง (เอ่อ เปล่าลามกนะ ไม่เห็นภาชนะบรรจุนมไหนดูดีเท่า เต้านมแม่ เลย )
เป็นห่วงแต่เวลาหัดเขียนชื่อตัวเอง กว่าที่จะเขียนได้ เจ้าภู่กัน คงหัวหมุนน่าดู กันต์ศิกานท์ กันตืสฏษฯารบฐ ? (โอยเขียนยากจังวุ้ยย).
กันต์ศิกานท์ กวีผู้ดีงามและน่ารักคือความหมายที่ประโยคเปล่งเสียงออกมาให้ดำดิ่งไปในความรักที่อุ้มชูให้เด็กน้อยได้เติบใหญ่เป็นอีกอะตอมหนึ่งที่เป็นพลวัตมาตุภูมิ
29 มกราคม 2548 07:33 น.
pigstation
ระยะหนึ่งของการรอคอย อาจคงคล้ายการคืบคลานของทากน้อย หรือไวปานวอก หากเรารู้จักคำว่ารอคอย ไม่น้อยเลยที่เราจะได้เจอ(ของ)ดี
วานหนึ่งของวันนั้น ฉันพลีกายให้ความขี้เกียจ ปล่อยให้อาการขย้อนความขยันเอ่อขึ้นมาจุกคอหอย จึงได้แต่ปล่อยให้เวลาอันแสนมีค่า และมีเท่ากัน ไหลลอดผ่านร่องนิ้วมือแห่งโอกาสไปหวุดหวิด
แต่กระนั้น ฉันยังไม่หงุดหงิดหายใจฟุดฟิดคิดร้อนแรง ได้แต่แกล้งอมลมหายใจไว้งืดงาด วางแผนการสันหลังยาวไว้กลางเตียง พร้อมหนุนหมอนดัลล๊อฟพิลโล ขาดแต่หมอนวดแผนโบราณมานวดเคล้นเท่านั้น
อากาศรวมตัวกับโอกาสไหลเลยผ่านไป ค่อยงัวเงียด้วยงอมแงมในความง่วงงุนของตัวเอง จึงลุกมาบิดขี้เกียจเอาไปตากที่ราว
ต่อมากระโจนตัวขึ้นคร่อมรถเครื่อง(ในเมืองเรียกแมงกะไซ) ลัดเลาะไปตามรายทางสู่ใจกลางไร่อ้อยที่ปลายหมู่บ้านไม่ไกล
ถนนราดยางผ่าสู่ริมเขาตระหง่าน ทำให้คิดถึงราดหน้าเคี้ยงเอ็มไพร์(หลังห้อยเทียนเหลาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ที่ตรงนั้นมีไฟป่าลุกลามเลียเป็นสีส้มอมแสดระยะยอดภู สีเหลืองสลับน้ำตาลทอดตัวเป็นแนวยาว มองลงมาตามลำดับพบแต่เพียงลำต้นของไม้พร้อมเขียวคล้ำยืนอยู่สองสามสี่ห้าไม่แน่นขนัด ที่เหลือนั้นคือ ต้นอ้อยสร้อยดูหวานซึ้ง
ยังมีต้นทองกราวพราวแดงเด่นเสร่อเผยออกดอกระยะสุดท้าย เหยียดยืนสูงเด่นเป็นร่างออกเสียงความงามอย่างโวยวายว่าตัวนั้น สะพรั่งสำรวยดอกสวยสีร้อนรุนแรง แยงนัยน์ตา
กลิ่นกระไอชายเขาชานทุ่งโชยมา ให้โล่งปอด ทว่ายังมีกลิ่นหนึ่งสอดแทรกมาตามสายลมโชย
มันคือกลิ่นขี้แท้ๆ ขี้จริงๆที่งอกออกมาจากปลายลำไส้ใหญ่เรา จากก้นนุ่มเธอ เป็นขนาดของกลิ่นใหญ่เกินกว่าคำว่าตดของตัวเอง จึงเลิกลั่กหันมองไปทั่ว
พบเจอรถดูดส้วมต้วมเตี้ยมอยู่กลางไร่อ้อย ค่อยเคลื่อนคล้อยออกมาหลังจากปลดทุกข์ให้กลายเป็นปุ๋ยบำเรอพืชพรรณ
กว่ากลิ่นจะหอมงามผ่านดวงดอก หรือหวานล้ำของรสอ้อย รสน้ำตาล ต้องผ่านกระบวนการหลายซับซ้อน กว่าความรักจะลอยลมบนก็ต้องผ่านการเง้างอนกี่กระบุงกัน
กว่าความลงตัวของการงานนั้นต้องผ่านกี่อุปสรรคจึงสำเร็จ
กลิ่นขี้จางๆยังติดปลายจมูกเชิดๆของฉัน เพื่อย้ำเตือนว่า ความจริงที่เห็นไม่ได้หอมฉุยเสมอไป ยังมีอะไรอีกพะเรอเกวียนให้เรียนรู้
27 มกราคม 2548 22:30 น.
pigstation
โลกหมุนไป แต่ไม่เหวี่ยงเราให้หลุดกระเด็นไปในอวกาศ เพราะโลกมีแรงดึงดูด และสิ่งอยู่ติดโลกก็มีโอกาสเดินทางตามวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ขาใหญ่สุดของระบบสุริยะจักรวาล
บางสิ่งเหมือนมีแรงดึงดูดต่อกัน โดยเฉพาะร้านหนังสือ ถือเป็นกาวดักหนอนจริงๆ อย่างเราเองก็ชอบตะลอนไปตามร้านหนังสือทั่วไทย จนได้มาพบรักร้านหนังสือเดินทางที่ถนนพระอาทิตย์ ตั้งอยู่ตรงข้ามป้อมพระสุเมรุเดี๊ยะ
ก่อนหน้าร้านนี้ชื่อว่าร้านหนังสือเล็กๆ ฟังชื่อแล้วน่ารักชะมัด ตอนหลังพี่จี๋ เจ้าของร้านประสงค์จะไปยังเวียงเจียงหมั่ย เลยควานหาผู้รักในบรรณพิภพ ปรากฏว่าสองหนุ่มสาว คือ หนุ่มกะโย ได้รับการสืบทอด ทั้งสองจึงก่อตั้งร้านหนังสือเดินทาง ( PASSPORT)ขึ้นมา ด้วยใจรักทั้งหนังสือ และรักการเดินทาง
ละแวกที่ตั้งของร้านนี้ เหมาะมากมีร้านอาหารอร่อยๆแทรกตัวเต็มไปหมด อาทิเช่น ร้านโรตีมะตะบะ รสเด็ด กลิ่นเครื่องเทศจะอบผมคุณในระบบเดียวกับการทรีตท์เม้นของสปาสมุนไพรอบเรือนผม อิ่มทั้งท้อง สลวยทั้งเส้นผม หรือจะเป็นร้านแซฟฟรอน (หญ้าฝรั่น เครื่องเทศที่แพงมาก เพราะสกัดจากเกสรของมันที่มีน้อยมากจากแต่ละดอก เล่นเป็นเกวียนๆกว่าจะได้มาสักกระปุก) มีเค้กอร่อยโคตร หนมปังนุ่มๆ อาจต้องเอาความสวยที่มีแลกมาด้วยความอวบก็ยอมค่ะ
หรือจะเป็นเทศกาลละคร เทศกาลดนตรี เทศกาลศิลปะ เทศกาลวัฒนธรรม ที่บริเวณสวนสันติไชยปราการจัดขึ้นบ่อยๆ เพราะมีวิวสวยๆให้คุณได้ชมสะพานพระราม ๘ ในมุมสวยที่ทุกคนมีสิทธิ์ชื่นชม
เพราะอย่างนี้เสน่ห์ถนนพระอาทิตย์จึงเป็นย่านที่เหมาะสำหรับชีวิตไม่ติดห้างสรรพสินค้า เหมาะสำหรับเวลาละล้างธุรกิจบิซซิเนส เนื่องจากร้านรวงเหล่านั้นจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนแสดงงานศิลปะให้เราได้พักสายตาจากความเคยชินเก่าแก่ มาเปิดมิติอันสุนทรีย์ให้ชีวิตได้รื่นรมย์อย่างมีรสนิยม
โอกาสที่ร้านหนังสือเดินทางครบรอบ 3 ปี จึงมีกิจกรรมเสวนา(ซึ่งเค้าจัดกับออกบ่อย อบรมถ่ายภาพ วาดสีน้ำ หนังสือทำมือ ) นำโดย คุณธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีมือดีมีคุณภาพ พร้อมคุณวรพจน์ พันธ์พงศ์ นักสัมภาษณ์มือวางอันดับต้น กับผลงานเราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง (ตอนนี้ไปร่วมมือร่วมใจกับพิมพ์บูรพา กับคุณสุทธิพงษ์ พี่เช็ค แห่ง คน ค้น คน เพื่อสร้างแนวร่วมวรรณกรรมทางเลือก สู่แผง) จะมาเปิดในในแรงบันดาลใจในการทำงานด้านขีดเขียน ผสมคละเคล้าเรื่องราวของการเดินทางที่ยาวนานเหลือเกิน(เดินทางชีวิต) ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2548
หากสนใจโทรถามรายละเอียดได้ที่ 02- โทรถาม 13 สิครับถ้ารักกันจริง เราอาจจะมานั่งจิบชา ฟังประสบการณ์ที่น่าใส่ใจ ในฐานะคนบ้าหนังสือด้วยกัน
ที่สำคัญงานนี้ มีราบการแสดงงานศิลปะคนละชิ้น เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยที่ภาคใต้ ซึ่งคอนเส็ปของงานคือ ให้อยู่ในธีม ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางได้ประสบอะไรบ้าง? ทำนองนี้
บรรดาผู้มาร่วมแสดงที่ล้วนขึ้นชื่อลือนาม ยกตัวอย่างเช่น ธีรภาพ โลหิตกุล,ก้อง คาร์ไว,กระบี่ไม้ไผ่,ภิญโญ ไตยสุริยธรรมา และมากมายที่เป็นตัวจริงในวงการหนังสือ ที่เขียนคอร์ลัมน์อยู่เนืองๆ
และที่ขาดไม่ได้ เราเองก็มีงานศิลปะเข้าร่วมแจมด้วย เพราะเคยมาแสดงงานศิลปะที่นี่ครั้งหนึ่ง เลยเจรจาเสนองาน แล้วงานก็ผ่านการพิจารณาขึ้นแขวนโชว์ได้ คราวนี้เราจะได้ขึ้นแผงประชันกับบรรดามือวางอันดับแล้ว มิหนำซ้ำยังคิดว่าถ้างานขายได้ เราจะ มอบเงินให้ทั้งหมดเลย ไปช่วยพี่น้องชาวใต้อีกแรงหนึ่ง
งานศิลปะชิ้นนี้เป็นงานแนว CONCEPTUAL ART กล่าวคือ ใช้กระบวนการสื่อสารงานศิลปะผ่านสื่อวัสดุ เพื่อกระตุ้นความคิดรวบยอดสู่ผู้ชมงาน โดยไม่เน้นความงาม จะขับเน้นตรงความรู้สึก การมีส่วนร่วม ระหว่างคนสร้างงานศิลปะ กับผู้ชม โดยตรง
เราคิดอยู่คืนหนึ่งว่า ส่วนใหญ่พี่นักเขียนคงใช้รูปถ่ายต่างๆนาๆที่เคยเดินทางไปมาหลายประเทศ ใส่กรอบ อะไรทำนองนี้ หรือจะเป็นวัตถุความทรงจำมาเสนอ
ก็เลยต้องคิดหนักสักหน่อยที่จะไปร่วมขบวนกับเขา
ขั้นแรกเรามองเห็นว่า การเดินทางทำให้เราค้นพบตัวเอง
ต่อมาตัวเองคือการส่องกระจก
แล้วงานศิลปะคือการใส่กรอบ
ดังนั้นงานศิลปะชิ้นนั้นก็เป็น กรอบหลุยส์สีทองหรูหราใส่กรอบกระจกเงาขนาด 4 นิ้ว คูณ 4 นิ้ว แล้วติด
สติ๊กเกอร์ประโยคที่คิดลงบนเนื้อกระจกเงา
ทีนี้ผู้ชมงานก็จะมองเห็นใบหน้าและลูกตาแป๋วของตัวเองในกรอบหลุยส์หรูหราทองระยับ พร้อมอ่านคำว่า การเดินทางทำให้เราค้นพบตัวเอง ที่ติดไว้ แหม.เกิดกระบวนการทางศิลปะแนวกระบนทัศน์
ยังไม่พอเราคิดต่อไป อยากให้เกิดเรื่องราวขึ้นมา เราก็ใช้แผ่นอะคริลิคใส (แผ่นพลาสติกใสนั่นแหละ) เข้ากรอบไม้สีขาวขอบหนา
แล้วเดินไปเจอสติ๊กเกอร์ที่รถเข็น คือ ป้ายวงกลมสีแดงเขียนว่า 91 เติมให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจชาติ เลยเอามาประกอบสร้างโดยการแปะลงไปใจกลางกรอบรูปที่ว่านี้ (ขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส 5 นิ้ว คูณ 5 นิ้ว) เพื่อสื่อถึงว่า การเดินทางคือการใช้พลังงานทางหนึ่ง ควรเดินทางให้คุ้ม ให้เกิดประโยชน์
ยัง เรายังคิดไปว่า การเดินทางโดยรถส่วนตัวมักเจอเรื่องน่าเบื่อคือ การไม่เคารพในกฏจราจร แต่กลัวเกรงเจ้าหน้าที่
ตานี้ไปเจอสติ๊กเกอร์ของ ตำรวจทางหลวง แบบที่ปะติดเครื่องแบบ (ไม่รู้มีได้ไง เครื่องหมายของหน่วยงานรัฐ เอามาพิมพ์ขายเฉยเลย ) มาติดบนคลิปบอร์ดขนาดเหมาะมือตอนเขียนใบสั่ง
แล้วการติดตั้งงานก็ติดเรียงกัน สามอันติดๆ เกิดเนื้อหาต่อเนื่อง และจัดวางองค์ประกอบที่ย่อยแยกแต่ละชิ้นงานนั้นมีเอกเทศพอ
ตั้งราคา 2000 บาท เจ้าหนุ่ม เจ้าของร้านหนังสือเดินทางบอก อันแรกอันเดียวที่เป็นกระจกเงาก็อยู่แล้ว ผมยังอยากเอามาติดที่ร้านเลยครับพี่
ครับอาการปลื้มใจจนออกนอกหน้านี้ เก็บไว้ก็ยากอยู่
หากชาวไทยโพเอมมีเวลาไปเยี่ยมเยือนร้านหนังสือเดินทางที่มีชั้นสองไว้แขวนงานศิลปะ มีชาดีๆเป็นกา เป็นแก้ว มีกาแฟหอมๆ ให้คุณจิบไป อ่านหนังสือเล่มโปรดไป คุ้มมากๆ บางวันอาจมีนักเขียนตัวเป็นๆที่ติดดินนั่งโต๊ะข้างๆคุณก็ได้
ร้านหนังสือเดินทาง มีโปสการ์ดหลายแบบให้สรรหา มีหนังสือคุณภาพให้คุณอ่านเต็มชั้นไม้สุดคลาสสิค มีหนังสือทำมือบางเล่มที่อาจเป็นของคุณก็ได้ ถ้าลองเอาไปเสนอเจ้าของร้านดู
ถ้าไปไม่ถูกโทรนัดเรา หรือเมล์มาหา เราจะพาไป แต่สัญญานะต้องเลี้ยงชาสักกานึง ก็พอแล้ว
ส่วนที่เหลือคือความอิ่มใจล้วนๆ เพราะบรรยากาศกาวดักหนอนของร้านนี้ไม่มีที่ B2S แน่นอน
25 มกราคม 2548 17:04 น.
pigstation
{หนังสือ ๒ เล่ม} ใน {สมอง 2 ซีก}
โดย กิตติคุณ ธรรมศิริ ร้านปั๊มหนังสือ 285/3 ม.1 อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี 61140
ความจริงผมคุ้นเคยกับคุณปราย ผ่านตัวหนังสือ มานานแล้ว ...., จวบจนผมไปเยี่ยมชมร้านหนังสือที่สุขุมวิทของคุณปราย จึงได้ฝากงานบางชิ้นให้ช่วยเผยแพร่ ซึ่งชิ้นหนึ่งคือการ์ตูนแผ่นเดียวจบในตอน เรื่อง แก้ววิเศษ & แก้วธรรมดา
อันมีตัวการ์ตูนหัวกลมใส่แว่น ผมชี้โด่ชี้เด่คล้ายคุณปู่ไอน์สไตน์ชื่อว่า หมู ปั๊มหนังสือ สิ่งนั้นก็คือบางส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ผ่านสื่อกลางอย่างงานเขียน/ตัวหนังสือ แต่คงไม่ใช่อาศัยความคุ้นเคยพอควรมาชี้วัดว่า หนังสือที่ผมรักมีกี่เล่ม อะไรบ้าง เพื่อแลกของกำนัล (ความจริงคือสินน้ำใจ) แต่น่าจะเป็นความปรารถนาส่วนตัวของผมที่แรงกล้ามากกว่า
อาจจะรีรออยู่สักนิด แต่เมื่อมาถึงคราวนี้แล้ว คงต้องลงมือเสียที อันว่าหนังสือที่ผ่านตามาก็มากมี แต่ถ้าจะให้คัดออกมาแบบคั้นหัวกะทิ ย่อมได้จัดให้ครับ
หนังสือเงาสีขาวกับสมองซีก ๑
เริ่มจากหนังสือด้านอารมณ์ สมองซีกนี้ผมยอมรับเงานั้นสีขาว ของคุณแดนอรัญ แสงทอง เข้ามาใน ห้วงหนึ่งแห่งจักรวาลการอ่านของผม ขณะนั้นผมเองก็ถือเป็นคนบ้าหนังสือคนหนึ่งที่มักเลือกเอาการอ่านเป็นกิจกรรมสำคัญ แต่ละวันผมจะต้องหาอะไรมาอ่านเพื่อก่อยอดความคิดจากหนังสือ(สารสกัดความคิด)
จนป่านนี้ความเป็นเงาสีขาวยังโลดแล่นอยู่ในชีวิตผม ราวกับเป็นมโหรีโรงใหญ่ที่ประโคมเสียงกระหนาบให้การดำรงอยู่ของผมสาสมอารมณ์หมาย
ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากการอ่านเงาสีขาวมาหลายปีก่อน จากการซื้อจากแผงลดราคาที่อิมพีเรียล สำโรง !!!!!!!!!! ในราคาครึ่งหนึ่งจากปก แต่เมื่อคว้าติดมือมาผมนั่งอ่านพร้อมดื่มเบียร์สี่ขวดในร้านเหล้าเล็กๆชั้นใต้ดินอิมพีเรียล สำโรงนั้น ได้ร้อยกว่าหน้า (หนึ่งในคุณสมบัติการอ่านที่ดีอย่างหนึ่งของผม คือ อ่านได้ทุกที่ อ่านได้ทนทาน อ่านได้รวดเร็ว ถ้าหนังสือเล่มนั้น น่าอ่านจริงๆเหมาะกับจริตผมเอง) ด้วยความติดหนับผมอ่านจบภายในนับชั่วโมงได้ สาบาน
หลายปีต่อมาเงาสีขาวมันฉายเงาให้ผมมาพบบรรณารักษ์สาวคนหนึ่งที่รู้จักเงาสีขาว และมีในครอบครองด้วย แต่เธอไม่เคยอ่านมันจบ (เพราะเธอรักงาน มักเลือกทำงานก่อนจะทำตามใจรัก บุคคลจำพวกนี่น่าจะพำนักพักอาศัยอยู่เขต ประชาอุทิศ)
จากนั้นอีกประการหนึ่ง คือการลาออกจากสำนักราชการ มาเขียนหนังสือ เปิดร้านหนังสือเช่า/จำหน่ายชื่อ ปั๊มหนังสือ (เติมปัญญา หล่อลื่นจินนาการ) ที่อำเภอชายขอบ พร้อมทั้งทำงานด้านศิลปะไปด้วยอย่างไม่เร่งรีบกับตัวเอง
เพราะเชื่อว่าเราไม่ใช่คนหมุนลานนาฬิกาตรงเม็ดมะยม แต่กาลเวลาโดยระบบของตัวมันเองจะหลอมเหลวให้เราได้เป็นบางอย่าง เท่าที่เรามุ่งมั่น ศรัทธา และทำใจกับมันได้ ...,ความสุขจะมีจริง
หนังสือวาทกรรมกับการพัฒนากับสมองอีกซีกที่มีอยู่
แรกทีเดียว เมื่อผมเปิดใจให้เพริศไปกับรถรางสายปรารถนา(รถรางเป็นสัญญะของความฝัน ของอดีต)ต่อมาโลกทางวิชาการก็ผ่านเข้ามาประทับลงที่สมองส่วนเหตุผลทำงานอยู่
รถไฟขบวนนี้(เป็นสัญญะแห่ง วิทยาการ ความรู้) พาให้ผมก้าวเข้าไปสู่ความจริงอีกอย่างของโลกที่จับต้อง คำนวณ อธิบายได้อย่างชัดเจน
หนังสือเล่มนี้ เขียนโดยอาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ซึ่งได้เปิดโลกทัศน์ของผมว่าวิชาการไม่ใช่เรื่องแบนราบน่าเบื่อเป็นมิติเดียวอย่างที่เคยพบมาแล้ว ในกระบวนการศึกษาเท่าที่ผมผ่านมา หรือเป็นเพราะการเติบโตของผมอีกร่างหนึ่งในโลกเร้นคู่ขนาน (pararelle planet) จึงซึมซับเอาความหมายของคำว่าวาทกรรมไปเจริญงอกงามในมโนทัศน์ของผมในไม่ช้า
และสิ่งนี้เองก็ไปงอกเงยเผยร่างบนวิทยานิพนธ์ของผมในหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ในนาม วาทกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาผ่านสื่อมวลชนในสังคมไทย ระหว่าง พศ.2530-40 ซึ่งวันหน้าอีกไม่นานคงได้สอบป้องกันวิทยานิพนธ์สักที
การช่วงชิง ครอบครอง ปกปิด ประกอบสร้าง ความจริง เป็นความน่ากลัว น่าพรั่นพรึ่ง ถ้าความจริงที่ถูกขนานนามว่า วาทกรรม ขัดแย้ง สวนทางกับ คุณธรรม ศีลธรรม
โลกย์จึงทุรนทุรายร่านอย่างนี้กระมัง ผมจึงเลือกหนังสือ ๒ เล่ม เป็นเล่มทวิเอก [ DUEL SINGULAR ] ในสมองทั้ง 2 ซีกของผมมาให้คุณปรายได้ทัศนา
ผมไม่เคยหวาดกลัวต่อการอดข้าว อดน้ำ อดหายใจ ผมกลัวเกรงว่าจะอดอ่านหนังสือ อดเขียนหนังสืออดวาดรูป มากกว่า มันเป็นความหวั่นเกรงในระดับนามธรรม ซึ่งผมเชื่อว่าลึกๆลงไปในใจทุกคนต่างมีสิ่งหมายมั่นในใจ หรือ พันธสัญญาบางประการ ที่เป็นข้อตกลงเดียวกันกับจิตวิญญาณของเราที่ซื่อตรงต่อธรรมชาติแท้จริงภายในโครงสร้าง มวลรวม ในความเป็นเรา หรือ เราจะกล้าหักหลัง ทรยศตัวเราเอง....:{ ผมไม่มีวันเชื่อตามนั้นเลย จริงๆ ให้ไฟดับตอนกลางคืนในขณะอ่านดอกไม้พันปีเลย สิเอ้า ;}
19 มกราคม 2548 11:27 น.
pigstation
เรื่องของความโชคดีนั้น เชื่อว่าแต่ละคนนั้นไม่มีจะพบเจอได้ง่ายดายราวกับเจอรังแคบนไหล่ตัวเองข้างซ้าย เพราะโชคนั้นมักเป็นของคนที่ดวงดี แต่ยังมีความสำเร็จที่เป็นความแตกต่าง แม้จะโดนเหมารวมไปว่า ช่างโชคดีจังที่ทำอะไรก็ง่าย ก็สำเร็จไปหมด ทั้งที่ ความจริง บรรดาความสำเร็จนั้นย่อมมาจากความมุ่งมั่น อดทน ฟันฝ่า พยายาม จึงแลกมารอยยิ้มหลังการเป็นตะคริว ความเอาจริงเอาจังเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จเสมอ ไม่จำเป็นต้องเช็คคิวกับโชคชะตาวาสนา เป็นเรื่องฝีมือล้วนๆ ซึ่งการได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นก็เหมือนอะไรซักอย่างที่บางเบา นุ่มนวล ชวนฝัน มาให้เราได้ชมชื่นชั่วครู่ชั่วคราว แล้วก็พลันมลายหายไป คือเรื่องราวที่บอกเล่าให้เรารู้ว่า อย่าไปยึดมั่น ยึดติดว่าต้องเหมือนเดิมทุกคราวไป ความสุข ความสำเร็จ มักมาเร็ว ไปเร็วไม่จีรัง เหมือนวันที่รับพระราชทานปริญญาบัตร เพียงเสี้ยววินาทีที่อยู่เบื้องพระพักต์ ชั่วพลันต้องรับปริญญาบัตรแล้วถอยออกมา ราวความฝันที่ยาวนานในความทรงจำแต่ในความเป็นจริงแค่เสี้ยวส่วนหนึ่งของนาทีเท่านั้น เทียบกับระยะเวลาที่ทำการศึกษานั้น คนละเรื่องเลยทีเดียว แต่เราก็เก็บไว้เป็นมงคลชีวิต เป็นแนวทางที่เราจะดำเนินไปตามพระบรมราโชวาท เพราะฉนั้น ความสำเร็จจึงไม่ต่างจากไอน้ำ ที่ล่องลอย เราไม่สนใจตรงนั้นเราหวังเพียงการทำงานที่ตอบแทนสังคม เท่าที่กำลังน้อยของเรามี ส่วนความสำเร็จนั้นเป็นเพียงไอระเหยหอม แค่ชื่นใจ แต่จะไม่คิดยึดเป็นสรณะ เนื่องจากความจริงนั้น ยังมีความทุกข์ที่ลอยคอ ที่หนาแน่น ในกระแสสังคม รอมือน้อยๆนิ้วสั้นๆมีขี้เล็บนิดๆของเราไปลบคราบน้ำตาของแต่ละความทุกข์ให้ทุเลาลงบ้าง