7 ตุลาคม 2545 20:34 น.

สายลมแผ่ว

Nonmin

สายลมแผ่ว
กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีทั้งความเจริญ  ความสะดวกสบาย ที่นี่มีนักการเมืองอยู่สองคนที่เป็นคู่แข่งมา 10 กว่าปีแล้ว คนหนึ่งชื่อ นายราชัน สันติยาภา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกคนหนึ่งชื่อนายราชัย อามมารี เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ความจริงทั้งสองเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ เมื่อครั้งเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ แต่เมื่อได้มาเป็นนักการเมือง ทั้งสองแก่งแย่งความเป็นใหญ่ จึงเป็นอริกันมาตลอด
นายราชันมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อ นายวิธาน หรือ กานต์ อายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ อยู่ปีสุดท้ายแล้ว ส่วนนายราชัยก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อ นางสาวธรณินทร์ หรือ สอ อายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อยู่ปีสุดท้ายแล้วเช่นกัน ทั้งสองไม่ค่อยถูกกันเท่าไรนัก
"นายกฯ ราชันไม่มีความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ก็ลองคิดดูสิคะ การที่ท่านนำเงินเข้าหมู่บ้านหมู่บ้านละ 5 ล้านบาท มันเป็นมูลค่าที่สูงเหลือเกิน คุณเคยคิดไหมคะว่าเงินทั้งหมดจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอะไรนอกจากว่า นายกฯ ราชันจะได้ "หน้า" เท่านั้น" การแข่งขันโต้วาทีภายในมหาวิทยาลัยเป็นไปอย่างเข้มข้น เมื่อสอ ที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านพูดออกมา
"ไม่จริงครับ!" กานต์แย้งขึ้นในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนอ "การที่นายกฯ ทำไปเพื่อที่จะให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ ไม่เหมือนนายราชัยที่คอยปลดรัฐมนตรีอย่างไม่เลือก" เขากล่าวจนทำเอาสออึ้งไปเหมือนกัน!
	"แต่ที่นายราชัยทำไปก็ เพราะพวกรัฐมนตรีทำงานไม่ได้เรื่องจริง ๆ นี่" สอเถียงใหญ่
	"แล้วที่นายราชันทำไปก็เพื่อให้ชาวบ้านสุขสบายเหมือนกัน!" กานต์พูดบ้าง สอโมโหมากที่กานต์เถียงอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
	การแข่งขันโต้วาทีครั้งนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานเหลือเกิน คนดูและคณะกรรมการติดใจกันมาก ภารโรง และนักศึกษาที่ว่าง ๆ อยู่ก็มายืนดูกันใหญ่ แต่สำหรับกานต์กับสอ มันเหมือนเป็นการรบกันในสนามมากกว่า
	"ตอนนี้คณะกรรมการได้ทำการลงคะแนนเรียบร้อยแล้วค่ะ" พิธีกรกล่าวขึ้น "ดิฉันจะบอกผู้ที่ชนะก่อนเลยนะคะ นั่นได้แก่ทีมของฝ่ายเสนอค่ะ!" กานต์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วหันมายิ้มแปลก ๆ ให้กับสอ
	"มันน่าเจ็บใจนัก!" สอร้องเมื่อกลับมาถึงบ้าน นายราชัยซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ได้เห็นหน้าที่บึ้งตึงของลูกสาวจึงถามว่า "มีเรื่องอะไรเหรอ สอ? หน้าเบี้ยวแล้ว" สอนั่งลงข้าง ๆ นายราชัย และถอนหายใจก่อนจะพูดว่า "วันนี้มีการแข่งขันโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยค่ะ หนูเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ส่วนอีตากานต์นั่นเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนอ หนูแพ้" นายราชัยได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะ ก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ "แค่นี้?" สอหันไปมองพ่อด้วยสีหน้าแปลก ๆ "มันไม่ใช่แค่นั้นนะพ่อ ไม่ว่าจะเป็นงาน หรือการแข่งขันอะไรต่าง ๆ หนูพยายามทำให้ดีที่สุด แต่อีตากานต์นั่นก็ชนะหนูทุกครั้ง เพียงเพราะว่าหมอนั่นเป็นลูกชายของนายกฯ แล้วหนูก็เป็นลูกพ่อ" นายราชัยได้ฟังจึงยิ้ม และพูดขึ้นมาว่า "อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ได้มาจากการกระทำของเราเลย ถึงลูกจะแพ้นายกานต์ หรือลูกจะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ความรู้และบทเรียนที่ลูกได้มันคุ้มค่าเหลือเกินนะ ถึงใครจะมองเราอย่างไร เราก็ไม่ต้องไปสนใจกับคำพูดของเขา เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว พ่อก็เหมือนกัน ถึงพ่อจะไม่ได้เป็นนายกฯ แต่พ่อก็อยู่ได้ มีเงินเดือน มีหน้าที่ พ่อรู้ว่ามีหลายคนที่รังเกียจพ่อ แต่คนที่เขานับถือพ่อก็มีอยู่ไม่น้อย แสดงว่าตัวของเราก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน" สอได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม และพูดว่า "หนูจะจำค่ะ" แล้วก็กอดพ่อ แต่ในใจลึก ๆ แล้ว สอยังแค้นกานต์อยู่มากทีเดียว    
 ทางด้านกานต์ กำลังมีความสุขอยู่ที่บ้าน เขานอนเล่นอยู่บนเบาะอย่างสบายอารมณ์ "นึกถึงหน้ายายสอแล้ว น่าขำชะมัด" เขาพูด นายราชันซึ่งเพิ่งกลับจากงาน ได้ยินลูกชายพูดจึงถามว่า "มีอะไรเหรอ กานต์?" กานต์ยิ้มก่อนจะพูดว่า "วันนี้มีการแข่งขันโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยครับ ยายสอลูกคุณอาราชัยแพ้ผมในการแข่งโต้วาทีด้วยครับ" นายราชันได้ฟังจึงเงียบไป แล้วพูดว่า "ถ้าลูกเป็นหนูสอคงเสียใจนะ" กานต์ได้ฟังจึงแย้งขึ้นทันที "ไม่มีทางครับ คนอย่างผมไม่เสียใจอะไรง่าย ๆ หรอก" นายราชันได้ฟังจึงนั่งลงข้าง ๆ และพูดว่า "นั่นเป็นเพราะลูกชนะเขาแล้ว! คนชนะมักจะมีความสุข และเย้ยผู้แพ้ แต่เราก็ควรที่จะให้กำลังใจผู้แพ้บ้างนะลูก ลองคิดดูสิ ถ้าลูกเป็นคนแพ้ ลูกก็ต้องเสียใจ และเจ็บใจ จงจำไว้นะกานต์ ว่าอย่าเย้ยผู้แพ้ เพราะถ้าเราแพ้บ้างมันจะเจ็บมากทีเดียว" กานต์ได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า "ผมจะจำไว้ครับ" นายราชันรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำ ๆ นั้นของลูกชาย
วันต่อมาในตอนเย็น สอกำลังเดินกลับกับนายโยธิน หรือยศ แฟนของเธอ ยศเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาเป็นคนที่หน้าตาดี เขาเคยผ่านการมีคนรักมา 2 คนแล้ว และอกหักมาถึง 2 ครั้งแล้ว และสอก็เป็นคนที่ 3
ระหว่างทาง สอได้คุยถึงเรื่องที่เธอแพ้กานต์ "ฉันเจ็บใจมาก ๆ เลยหละยศ ทำไมนะ แค่อีตากานต์นั่นเป็นลูกของนายกรัฐมนตรี ถึงกับต้องเข้าข้าง ให้หมอนั่นชนะตลอด ทั้ง ๆ ที่ฉันก็พยายามเต็มที่" "อย่าคิดมากไปเลยสอ คือว่าสอ วันนี้ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ" ยศพูดขึ้น ก่อนที่จะหยุดเดิน "อะไรเหรอ?" สอถาม ยศสบตาสออยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า "เราเลิกกันเถอะนะ" สอทำหน้าตกใจ "ททำไมล่ะ? ฉันฉันทำอะไรให้เธอไม่สบายใจเหรอ?" สอถามขึ้นอย่างร้อนรน "เปล่าหรอก เธอไม่เคยทำอะไรให้ฉันหนักใจเลยสักครั้งเดียว แต่ฉันขอเลิกเอง เพราะฉันไปเจอคนที่ฉันรักมาก ๆ เขาเป็นคนดีมาก เรียนก็เก่ง และเขาก็รักฉันด้วย ถึงเขาจะสวยสู้เธอไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่อ่อนหวานกว่าเธอเยอะ" เขากลืนน้ำลายไปพักหนึ่ง "แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีนะ เธอทั้งสวย เรียนก็เก่ง เธอเป็นคนดี แต่" "เธอชอบเขามากกว่า ตรงที่เขาอ่อนหวานใช่ไหม?" สอถาม น้ำเสียงของเธอเรียบเฉย แต่เบากว่าเดิม ยศพยักหน้า "เขาคือผู้หญิงในฝันของเธอใช่ไหม?" สอถามอีกที แววตาเธอเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย "ใช่ขอโทษนะสอ เธอเสียใจไหม?" ยศถามบ้าง "ฉันเสียใจจนชินชามาหมดแล้วหละ ฉันไปชอบใครมานักก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องเจ็บทุกครั้ง แต่ไม่เป็นไรนะ ถ้าเขาดีกว่าฉันถ้าเธอชอบเขา เธอก็ไปเถอะ" สอพูด ความจริงสอเสียใจมาก แต่เธอกลั้นความรู้สึกเอาไว้ "ขอบคุณมากนะ สอ ลาก่อน" ยศพูด แล้วเดินจากไป สอมองจนลับตา
สอมานั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ห้องนอนของเธอ เธอนั่งอยู่บนเตียง แล้วก็ร้องไห้ "ในโลกนี้จะมีเข้าใจฉันบ้างนะ" สอรำพึง
หลายเดือนผ่านไป ที่มหาวิทยาลัยได้จัดงานอำลานักเรียนที่เรียนจบชั้นปีที่ 4 แล้ว ที่งานมีอาหารเลี้ยงมากมาย "จะว่าไป เขาก็ดูดีเหมือนกันนะ" ลิลิต เพื่อนสนิทของสอเอ่ยขึ้น "ใคร?" สอถาม และมองไปรอบ ๆ "ก็กานต์ไงล่ะ เขาหล่อมาก ๆ เลยนะ เขาเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายคนเลยหละ" ลิลิตพูดใจลอย "หมอนั่นน่ะนะ?" สอร้อง และมองไปที่กานต์ซึ่งกำลังคุยอยู่กับเพื่อนชายอีก 2 คน และหันมามองที่ลิลิต "เธอชอบเขาเหรอ?" สอถาม "เปล่านะ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยนะ" ลิลิตพูดอย่างรัวเร็ว สอไม่เคยเห็นเพื่อนของตนมีอาการอย่างนี้มาก่อน จึงพูดว่า "อย่าโกหกตัวเองเลย ฉันรู้ว่าเธอชอบเขา" ลิลิตไม่สามารถปิดบังได้อีกจึงพยักหน้า และขวยเขินเต็มที่ "ฉันมีแผนให้นายกานต์มาชอบเธอด้วยนะ" สอพูดขึ้น ลิลิตมองหน้า "หา?"
สักพักหนึ่ง สอเดินถือแก้วน้ำส้มเดินมาเรื่อย ๆ เธอทักคนนั้นที คนนี้ที แล้วก็มาชนกับกานต์เข้า จนน้ำส้มในแก้วไหลไปเลอะเสื้อของกานต์ แล้วลิลิตก็รีบวิ่งมาทันที เธอนำผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้กานต์ นี่เป็นแผนของสอ เผื่อว่าถ้าลิลิตทำอย่างนี้แล้ว กานต์จะเริ่มชอบลิลิตขึ้นมาบ้าง แต่กานต์กลับพูดว่า "ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ" แล้วเดินมาที่สอ ลิลิตแปลกใจ เมื่อมันไม่เป็นไปตามแผนของสอ "นี่เธอเดินไม่ระวังเลยเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้! เห็นไหม น้ำส้มเธอเปรอะเสื้อฉันหมดแล้ว" กานต์ตะโกนใส่สอ "อ้าว? ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นไหมว่าคนนั้นเขาอุตส่าห์เอาผ้ามาเช็ดให้ แทนที่จะตอบสนองน้ำใจเขาดันมาพาลฉันอีก นิสัยอย่างนี้ไม่ต่างจากพ่อเลยนะ" สอกล่าวขึ้นประชด กานต์โมโหมาก จึงนำน้ำมะนาวมาสาดใส่สอจนชาไปทั้งตัว สอแค้นมาก จึงหยิบยำวุ้นเส้นมาใส่กานต์ กานต์ก็เลยราดซอสมะเขือเทศใส่สอบ้าง สอก็ปาถั่วลิสงใส่กานต์ กานต์หยิบส้มตำเทใส่สอ
เหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่อยู่รอบข้างต่างสนุกสนานกันยกใหญ่ แต่ลิลิตทนไม่ไหวจึงคิดจะห้าม "หยุดนะ ทั้งสองคน!" ในขณะนั้นเอง กานต์กำลังถือข้าวผัด ส่วนสอถือมายองเนส เตรียมจะปาใส่ฝ่ายตรงข้าม กลับพลาดเป้าหมายไปปาใส่ลิลิตแทน เมื่อรู้ตัวศึกจึงสงบลง
ลิลิตตกใจมาก เธอยืนเฉย คนรอบข้างเห็นดังนั้นจึงหัวเราะกันยกใหญ่ ลิลิตอายมาก เธอร้องไห้และวิ่งออกไปทันที สอมองกานต์เหมือนจะฆ่า ก่อนจะวิ่งตามไปเรียกลิลิต
เป็นที่รู้กันดีว่าในสภามีแต่คนที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีกันทั้งนั้น นายวิเชียร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ลูกน้องของนายราชัย ก็มีความประสงค์อยากเป็นนายกฯ เช่นกัน เขาจึงวางแผนชั่วขึ้นมา
วันหนึ่งนั้นเอง ในที่ประชุมของพรรคฝ่ายค้านได้คุยเรื่องที่จะสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว นายวิเชียรได้แยกออกมาและแอบเข้าไปในห้องของนายกรัฐมนตรี เขาต้องการที่จะให้นายราชันล้มละลายจากการโกงเรื่องธุรกิจที่นำมาเกี่ยวข้องในเรื่องการสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นนายราชันก็จะล้มละลาย แล้วนายราชัยก็ได้เป็นนายกฯ แทน เสร็จแล้วเขาก็จะทำให้นายราชัยล้มละลายต่อ แล้วก็เป็นนายกฯ เสียแทน จึงคิดจะปลอมเอกสารที่จะใช้ในที่ประชุม เขาได้จัดแจงเปลี่ยนเอกสารทันทีเมื่อเข้ามาห้อง แล้วนำของจริงไปทิ้งไว้ที่ถังขยะในห้องของตนเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
ในที่สุดวันประชุมเรื่องการสร้างโรงแรมนั้นก็มาถึง "ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องการสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรีครับ" เลขานุการของนายราชันกล่าวขึ้นพลางหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้เลยว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม "จะขอกล่าวเลยนะครับ  'การสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรีนั้นต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างมาก หากนำภาษีที่เก็บได้จากประชาชนอาจทำให้มีผลกระทบภายหลัง นายกรัฐมนตรีจึงออกความเห็นว่าน่าจะนำเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีเมื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการสร้างโรงแรม' " พอเลขาฯ อ่านถึงตรงนี้เขาตกใจมาก แล้วหันไปมองหน้านายราชัน นายราชันก็ตกใจเช่นกัน ในเอกสารของเขาไม่ได้เขียนอย่างนี้เลย ทุกคนในสภารู้สึกแปลกใจ เพราะการทำเช่นนี้อาจทำให้โดนฟ้องร้อง และถึงขั้นล้มละลายได้
"ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่านายกฯ ราชันจะทำแบบนั้น" นายวิเชียรพูดกับนายราชัยขณะเดินออกมาจากที่ประชุม "ใช่ ท่านนายกฯ น่าจะรู้บ้างนะว่าการทำเช่นนี้ อาจทำให้ตัวเองล้มละลายได้" นายราชัยกล่าว "แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับท่าน ท่านจะได้เป็นนายกฯแทนนะครับ" นายวิเชียรพูดแปลก ๆ นายราชัยไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่เห็นท่าทางของนายวิเชียรดูแปลก ๆ ไป  หลังจากนั้นเขาจึงแอบเข้าไปในห้องนายวิเชียร เพราะสงสัยว่านายวิเชียรอาจทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา แล้วเขาก็พบเศษกระดาษอยู่ในถังขยะเขาใช้กระดาษทิชชูหยิบมันขึ้นมา เมื่อเปิดออกจึงพบเอกสารของจริง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนปลอมเอกสาร แต่เขาสงสัยนายวิเชียรคนเดียว
และในที่สุดนายราชันก็โดนฟ้องร้องอย่างหนักและโดนขึ้นศาล มีสื่อมวลชนมาทำข่าวกันมากมาย นายราชันรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ศาลจึงตัดสินให้นายราชันล้มละลาย โดยยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมด ในขณะนั้นนายราชัยรีบแทรกเข้ามาในศาล "นายกฯราชันไม่ใช่คนผิดหรอกครับ ผมมีหลักฐาน" เขาพูด และนำเอกสารของจริงมาให้ดู "แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนปลอมขึ้นมา" ศาลถาม ในขณะนั้นนายวิเชียรซึ่งกำลังดูอยู่หน้าซีด "ก็ลองตรวจลายนิ้วมือดูสิครับว่านอกจากจะมีลายนิ้วมือของท่านนายกฯ และเลขานุการแล้ว ยังมีรอยนิ้วมือของใครอีก" นายราชัยพูดพลางมองไปที่นายวิเชียร ทางเจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบลายนิ้วมือ พบว่าพบลายนิ้วมือของนายกฯ ราชัน เลขานุการ และก็ยังมีลายนิ้วมือของนายวิเชียรอยู่ด้วย "นายวิเชียร มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่" ศาลถาม นายวิเชียรไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป เนื่องจากว่าหลักฐานนี้ชัดเจนมาก จึงยอมรับสารภาพแต่โดยดี
"ขอบคุณมากนะ ราชัย ถ้าไม่ได้นายป่านนี้ฉันคงล้มละลายไปแล้ว" นายราชันกล่าวกับนายราชัยขณะเดินออกมาจากศาล "ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน ผมทำไปตามหน้าที่" นายราชัยกล่าว "อย่าพูดในลักษณะนั้นเลย อย่างน้อยเราก็ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ" นายราชันพูดอย่างเป็นกันเอง "นั่นสินะ นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง" นายราชัยพูดและจับมือกับนายราชัน ทั้งสองได้กลับมาเป็นเพื่อนกันดังเดิมแล้ว "ฉันคิดว่า ถ้าจะให้ความสัมพันธ์เราแน่นแฟ้นขึ้นเราจะทำอย่างไรดีล่ะ?" นายราชัยถาม "รู้แล้วหละ เมื่อนายได้ช่วยฉัน และเพื่อให้เราเป็นเพื่อนที่ดีตลอดไป ฉันจะให้ลูกชายฉันแต่งงานกับลูกสาวนาย เพื่อผูกความสัมพันธ์นี้ อีกอย่างพวกเขาก็เรียนจบกันแล้ว" นายราชัยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แต่พวกเขาไม่ค่อยชอบหน้ากันนี่นา เอาอย่างนี้นะ ให้พวกเขาคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าพวกเขายังหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ก็ให้พวกเขาแต่งงานกัน" เขาพูด  นายราชันยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ฟัง  "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาหมั้นกันไปก่อน เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ นะราชัย" เขาพูด แล้วทั้งสองก็หัวเราะ
นายราชัยกลับมาบ้านแล้ว "พ่อกลับมาดึกจังเลยนะคะ ข้าวไข่เจียวอยู่บนโต๊ะนี่ค่ะ ส่วนแม่นอนแล้วหละ" สอซึ่งกำลังดูโทรทัศน์รอบดึกอยู่ได้พูดขึ้นเมื่อเห็นนายราชัยเพิ่งกลับมา "พอดีวันนี้พ่อไปช่วยราชันไม่ให้เขาล้มละลายนะลูก เออสอ" นายราชัยเรียกสอพลางตักข้าวเข้าปาก สอหันมา "มีอะไรคะ?" "คือพ่ออยากจะให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง" นายราชัยพูด "อะไรกัน ใครคะ?" สอถามด้วยความตกใจ "ลูกชายของท่านนายกฯ วิธานกานต์ไงล่ะลูก" เขาพูดขึ้นอย่างช้า ๆ "หา? อะไรกันคะพ่ออยู่ ๆ พอจะให้หนูมาแต่งงานกับหมอนี่น่ะเหรอ? พ่อก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่าหนูกับหมอนั่นไม่ชอบหน้ากัน ทำไมคะพ่อ พ่อทำอะไรอ้ะ?" สอถามอย่างรวดเร็ว "พ่อกำลังกินข้าวอยู่ไง" นายราชัยพูดกวน ๆ "ไม่ใช่~ หนูหมายถึงทำไมพ่อต้องให้หนูแต่งกับเขาด้วยเล่า?" สอถามอย่างอารมณ์เสีย "ก็พ่อได้ไปช่วยราชันในเรื่องวันนี้ แล้วเราก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม ก็เลยคิดว่าน่าจะให้ลูกเราทั้งสองมาแต่งงานกันสอ พ่อเข้าใจความรู้สึกของลูกนะ พ่อจะให้ลูกหมั้นกับเขาก่อน แล้วคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ก็แต่งงานกันไป ก็แค่นั้นเอง" นายราชัยพูดค่อย ๆ และกินข้าวไปช้า ๆ  เนื่องจากกลัวว่าข้าวจะติดคอ "ไม่เอา! จะหมั้นจะอะไรหนูก็ไม่เอา เรื่องอะไรหนูต้องมาทำอย่างนั้นด้วยล่ะ คบกันตั้งหนึ่งปี นานจะตาย เดี๋ยวหนูกับเขาก็กัดกันตายหรอก" สอพูดขึ้น นายราชัยวางจานข้าวที่ยังกินไม่หมดลงบนโต๊ะ "ตกลงจะหมั้นไม่หมั้น?" เขาถาม "ไม่ค่ะ" สอตอบอย่างมั่นใจ นายราชัยลุกขึ้นแล้วตะโกนเสียงดังว่า "เอาข้าวไปทิ้ง! ไม่กินแล้ว! แล้วไปไกล ๆ หน้าฉันเดี๋ยวนี้ ไปเลยไป!" แล้วเขาก็หันหลังให้สอ สอตกใจมาก เมื่อพ่อที่แสนดีพูดอย่างนั้นกับเธอ พ่อไม่เคยพูดอย่างนี้เลยสักครั้งเดียว เธอก้มหน้า แล้วคิดเรื่องนี้พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า "ก็ได้ค่ะ หนูจะหมั้นกับหมอนั่นคุณกานต์ก็ได้ค่ะ" นายราชัยหันมายิ้มทันที
ส่วนทางด้านนายราชัน  เมื่อกลับมาก็มีภรรยา และลูกชายมารับ "ตกลงศาลว่าไงครับพ่อ" กานต์ถามพ่อด้วยความเป็นห่วง "ไม่เป็นไรแล้วหละลูก พ่อโดนโกงน่ะ ดีที่ราชัยเขามาช่วยพ่อไว้ทัน" นายราชันพูด "โล่งอกไปที ดีจังเลยนะคะคุณ ฉันขอตัวไปพักผ่อนข้างบนก่อนนะ" นางนงนุชผู้เป็นภรรยาพูดขึ้น แล้วขึ้นไปข้างบน "กานต์ พ่อมีเรื่องอยากจะคุยด้วยแน่ะ" นายราชันพูดพลางนั่งลงบนโซฟา "เรื่องอะไรครับ" กานต์ถาม แล้วนั่งลงบนโซฟาตาม "รู้ไหม วันนี้ที่ราชัยมาช่วยพ่อ ทำให้พ่อกับเขากลับมาคืนดีกัน" นายราชันพูดยังไม่ทันจบ "ยินดีด้วยครับ" กานต์กล่าว "คือลูกฟังนะ ราชัยเขาชื่นชมลูกมาก ๆ เลย เขาบอกว่าลูกเรียนดี กีฬาก็เด่น หน้าตาก็ดีด้วย" กานต์แอบหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจเมื่อได้ฟัง "ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งหัวเราะ แล้วพ่อก็ชื่นชมลูกสาวเขาด้วยนะ พ่ออยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้" นายราชันพูด รอยยิ้มบนหน้าของกานต์จางหายไปทันที "มหมายความว่าพ่อจะให้ผมแต่งงานกับยายนั่นเหรอครับ?" กานต์ถาม "ก็ใช่นะ เพื่อผูกความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับราชัยด้วยไง แต่พ่อว่าถ้าแต่งงานเลยมันจะเร็วไป ก็เลยคิดว่าจะให้ลูกหมั้นกับหนูสอ แล้วคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ ลูกกับสอก็ต้องแต่งงานกัน ได้ไหมลูก?" นายราชันถาม กานต์ไม่พอใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าตัดใจพ่อ และคิดว่าในระยะเวลาหนึ่งปีต้องหาคนที่เขารักจริง ๆ ให้ได้ จึงตอบไปว่า "ตกลงครับพ่อ" นายราชันยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินลูกชายพูดอย่างนี้ ความจริงกานต์ไม่เคยทำอะไรให้เขาหนักใจสักครั้งเดียวและเป็นคนว่านอนสอนง่าย เขาภูมิใจกับลูกชายคนนี้ของเขามาก
ในที่สุดวันหมั้นนั้นก็มาถึงซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของกานต์ มีญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย คนใหญ่คนโตมาร่วมงานกัน และยังมีเพื่อน ๆ ของทั้งสองมาด้วยมากมายทีเดียว
"ขอโทษนะ ลิต ฉันโดนบังคับ" สอพูดกับลิลิตขณะอยู่บนห้อง "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ผู้ชายหล่อ ๆ ในโลกนี้ไม่ใช่มีแค่เขาคนเดียวสักหน่อย อีกอย่างเธอสองคนก็เหมาะสมกันดี ฉันทำใจได้น่า วันนี้เป็นวันมงคลของเธอก็น่าจะยิ้มหน่อยนะ" ลิลิตพูด "ทำไมฉันต้องยิ้มด้วย?" สอพูดกวน ก่อนที่คนรับใช้จะเคาะประตูและพูดอย่างสุภาพว่า "คุณสอคะ ถึงเวลาหมั้นแล้วค่ะ" "สอ รีบไปเถอะ วันนี้มีแต่คนใหญ่คนโตมานะ อย่าให้พวกท่านต้องคอย" ลิลิตพูด สอทำตามอย่างว่าง่าย เธอเดินลงบันไดไปอย่างช้า ๆ ข้างล่างมีแต่คนมองมาที่สออย่างชื่นชม ยกเว้นกานต์ซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนพื้น สอเดินมาเรื่อย ๆ เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงบนพื้นใกล้ ๆ กับกานต์
แหวนเพชรประดับด้วยคริสตัลมูลค่าสูงที่คุณแม่ของกานต์เป็นผู้เลือกมากำลังจะเข้าไปในนิ้วนางข้างซ้ายของสอ กานต์ไม่ยอมสวมแหวนนั้นเข้าไปให้ลึกเสียที ทุกคนในบ้านหลังใหญ่นั้นตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองไปที่แหวน และกว่าจะสวมเข้าไปได้ก็ปาไป 2 นาทีกว่า ๆ แล้ว ทุกคนยิ้มอย่างพอใจ ยกเว้นสอกับกานต์ที่มองหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนจะหลบตากัน "กานต์ หอมแก้มหนูสอหน่อยสิ" ผู้ใหญ่ในสังคมไฮโซคนหนึ่งที่มาร่วมงานพูดขึ้น กานต์มองหน้าสอ ในขณะที่สอหันไปมองลิลิต ลิลิตยิ้ม และพยักหน้า แล้วสอก็หันมามองกานต์ กานต์ถอนหายใจก่อนจะเขยิบเข้ามาหอมแก้มสออย่างช้า ๆ  สอรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก แล้วพิธีหมั้นของวันนั้นก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี
เย็นวันนั้นเอง ทั้งสองครอบครัวยังอยู่ที่บ้านของกานต์อยู่ "คุณแม่มีอะไรคะ ถึงเรียกหนูมา?" สอถามนางรติผู้เป็นแม่ หลังจากที่เธอเดินลงมาจากชั้นบน "พวกแม่ได้คิดกันดีแล้วว่าจะให้ลูกทั้งสองคนได้สนิทสนมกันมากขึ้น ก็เลยจะให้สออยู่ที่บ้านเดียวกันกับกานต์ก่อนได้ไหม?" นางรติถาม "อะไรกันแม่ จะให้หนูอยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานน่ะเหรอ?" สอถาม แล้วกานต์ก็แทรกขึ้นมาว่า "จริงด้วยครับคุณป้า อย่าให้ต้องลำบากเลยนะครับ" "นายยุ่งอะไรด้วย?" สอถาม เธอกำลังอารมณ์เสียอยู่ กานต์ลุกขึ้นยืน "ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ก็ฉันเป็นคู่หมั้นเธอ" กานต์หยุดพูด แล้วเขาก็เดินขึ้นข้างบนไป "เชื่อแม่เขาหน่อยเถอะหนูสอ แค่อยู่บ้านน้าที่นี่ไปก่อน นะจ๊ะ" นางนงนุชพูดขึ้น สอก้มหน้า "ที่พวกแม่ทำอย่างนี้ เพื่อจะให้หนูไม่ต้องไปมีใครคนอื่น นอกจากกานต์ใช่ไหมคะ?" สอถาม พวกแม่เงียบ ก่อนที่จะพยักหน้า สอเดินหันหลังไป "ก็ได้ค่ะ" สอพูดเสียงสั่น แล้วเดินไปที่ห้องซึ่งพวกคนใช้ได้จัดให้ เธอไปร้องไห้อยู่คนเดียวในนั้น
เช้าวันต่อมา สอซึ่งกำลังหลับอยู่ในห้องได้ถูกคนใช้ปลุก "คุณสอคะ จะได้เวลาอาหารแล้วนะคะ" สอลืมตาขึ้น หมอนที่เธอหนุนยังคงเปียกน้ำตาที่เธอนอนร้องไห้เมื่อคืน แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวฉันจะไป" แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เธอเดินมาที่ประตู เธอตัดสินใจอยู่นานทีเดียว ก่อนที่จะเปิดประตูช้า ๆ แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร ที่ห้องนั้นนางนงนุชกำลังนั่งจิบกาแฟ และคุยกับนายราชัน ส่วนกานต์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ สอเดินเข้าไปช้า ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า "อรุณสวัสดิ์ค่ะ" "อรุณสวัสดิ์จ้ะ" นายราชัน และนางนงนุชพูดพร้อมกัน "นั่งก่อนสิ เมื่อคืนนอนสบายดีนะ" นางนงนุชถาม สอพยักหน้า และเธอก็เดินไปที่ตู้เย็น และหยิบเหยือกนมมา แล้วมานั่งที่โต๊ะ รินนมใส่แก้วแล้วยกดื่ม นายราชัน นางนงนุช และกานต์มองสอ สอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นหน้าของคนทั้งสามหลังจากดื่มนมเสร็จ และเธอก็ลุกขึ้นนำแก้วไปล้าง คนรับใช้คนหนึ่งรีบพูดทันที "เดี๋ยวล้างให้เองค่ะ" คนรับใช้คนอื่น ๆ ยิ้ม สอรู้สึกแปลกใจ เธอกลับมานั่งที่โต๊ะ สังเกตเห็นว่านายราชัน และกานต์หัวเราะเบา ๆ สอพูดขึ้นมาว่า "มีอะไรเหรอคะ?" "หนูสอ ทีหลังไม่ต้องไปล้างแก้วเองหรอกนะ มีพวกคนรับใช้เขาจัดการให้อยู่แล้ว หนูมีหน้าที่ทานอย่างเดียวก็พอ" นางนงนุชพูดขึ้น สอก้มหน้า "ขอโทษค่ะ หนูติดนิสัยอย่างนี้มาจากบ้าน ว่าถ้ากินอะไรเสร็จแล้ว ต้องล้างจานให้เรียบร้อย" ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นายราชันจะพูดตัดบทว่า "ช่างมันเถอะนะ วันนี้วันหยุดนี่นา กานต์พาหนูสอเขาไปเที่ยวหน่อยสิลูก" กานต์ถอนหายใจ แล้ววางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วเขาก็พูดช้า ๆ เหมือนจะปฏิเสธว่า "คือว่าผม" "กานต์!" นางนงนุชแทรกเข้ามา เหมือนรู้ดีว่ากานต์คิดอะไรอยู่ กานต์เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า "ก็ได้ครับ" นายราชันและนางนงนุชยิ้มเมื่อได้ฟัง กานต์ลุกขึ้นแล้วพูดกับสอว่า "เดี๋ยวตามฉันมานะ" แล้วเขาก็เดินออกมาข้างนอก สอรู้สึกแย่มาก เมื่อเห็นว่ากานต์จำใจที่จะพาไปเที่ยว เธอจึงรู้สึกไม่อยากไปเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดใจนายราชัน และนางนงนุช
กานต์ได้ขับรถพาสอมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางกะปิ แล้วทั้งสองก็ลงไปซื้อของใช้โดยที่พูดอะไรกันไม่มากนัก เมื่อทั้งสองซื้อของเสร็จกานต์ก็พูดขึ้นมาว่า "ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะยินยอมมาอยู่ที่บ้านของฉัน ทั้ง ๆ ที่คุณแม่เธอก็ตามใจเธอดี" สอมองหน้า เธอไม่พอใจเท่าไรนัก แล้วพูดขึ้นมาว่า "ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของฉันและของนาย ต้องการให้ฉันมาอยู่ที่นี่เพื่อจะได้จะได้ให้ฉันไม่ต้องไปมีคนอื่นนอกจากนาย ฉันไม่ชอบหรอกนะ แต่ที่ทำไปเพราะประชดพวกท่าน อีกอย่างหนึ่งก็คือฉันไม่อยากขัดใจคุณพ่อคุณแม่ และไม่อยากให้พวกเขาขายหน้าเพราะในงานหมั้นมีคนใหญ่คนโตมาตั้งเยอะแยะ ฉันก็เลยจำใจที่จะมา" สอพูดอย่างรีบร้อน กานต์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม แล้วพูดว่า "ความจริง ก่อนที่ฉันจะถูกคุณพ่อเคี่ยวเข็ญให้หมั้นกับเธอ ฉันสลัดรักผู้หญิงไปคนหนึ่งนะ คิดอีกที อยากกลับไปขอโทษเขาจังเลย จะได้ถอนหมั้นกับเธอสักที" "อ๋อเหรอ! ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะแค่วันเดียวฉันก็เบื่อขี้หน้านายเต็มทนแล้ว" สอพูดบ้าง คำพูดของสอทำให้กานต์รู้สึกโมโห เขาหยุดเดินแล้วมองหน้า "เธอนี่มัน" กานต์พูดขึ้น แล้วเขาก็เดินไป ส่วนสอแอบหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่ากานต์เถียงไม่ออก
	หลายอาทิตย์ผ่านไป สอเริ่มชินกับการอยู่ที่บ้านของกานต์ เช้าวันหนึ่งในวันอาทิตย์ สอมานั่งทานอาหารกับคนในบ้านตามปกติ แล้วได้ยินเสียงนายราชันคุยกับกานต์ว่า "กานต์ พ่อว่าลูกควรจะหางานได้แล้วนะ เรียนจบทางด้านกฎหมาย ก็น่าจะมาทำงานเกี่ยวกับทางด้านนี้ เอาอย่างนี้ไหมลูก พ่อจะให้ลูกเข้าการเมืองดู แล้วให้กินตำแหน่งใหญ่ๆ เผื่อว่าอนาคตลูกจะได้สืบตำแหน่งนายกฯ จากพ่อไปด้วย" กานต์ได้ยินดังนั้น จึงวางถ้วยกาแฟลงแล้วพูดว่า "ก็ดีเหมือนกันครับ แล้วคุณแม่ว่าไงครับ?" กานต์ถามนางนงนุชขึ้นมา นางจึงตอบว่า "ดีสิ ถ้าเกิดว่าลูกทำงานทางด้านการเมืองได้จริง ๆ แต่การที่จะเป็นถึงนักการเมืองตำแหน่งใหญ่โตอะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะกานต์ ถึงจะเป็นลูกชายคนเดียวของนายกรัฐมนตรี แต่แม่เชื่อว่าต้องมีนักการเมืองคัดค้านอย่างแน่นอน" คำพูดนี้ทำให้กานต์ชะงักเล็กน้อย สอได้โอกาสจึงพูดว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณป้า เพราะถ้าฝ่ายของคุณลุงราชัน ร่วมมือกับฝ่ายของคุณพ่อหนู ก็คงไม่มีปัญหาแล้วหละค่ะ" นายราชันหันไปมองและยิ้มทันทีเมื่อได้ฟัง "จริงสิ ถ้าให้ราชัยช่วยเรื่องนี้ ก็คงไม่มีปัญหาจริงด้วยนะ หนูสอนี่ความคิดเยี่ยมจริง ๆ" นายราชันชมด้วยใจจริง นางนงนุชก็พลอยเห็นด้วย ส่วนกานต์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขามองสออย่างแปลก ๆ เมื่อถึงตอนเที่ยง สอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา กานต์เดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ แล้วถามว่า "ทำไมเธอถึงช่วยคิดให้ฉันได้เป็นนักการเมืองล่ะ รู้อยู่แล้วว่าฉันกับเธอไม่ค่อยถูกกัน?" สอวางหนังสือลง เธอถอนใจแล้วพูดว่า "ก็ตอบแทนเรื่องที่ให้ที่พักพิงอาศัยไง อีกอย่างก็คือพวกของใช้ เสื้อผ้าต่าง ๆ คนในบ้านนี้ก็ช่วยออกเงินให้ เท่านี้เอง" กานต์มองหน้าสออย่างแปลก ๆ แล้วเขาก็ลุกขึ้นไป
	นายราชัยเมื่อได้ข่าวเรื่องนี้ เขาก็ตกลงทันที และนายราชันก็ได้ปล่อยข่าวว่าจะให้ลูกชายทำงานเป็นนักการเมืองเพื่อสืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป จนเมื่อนักการเมืองท่านอื่น ๆ ทราบก็พากันค้าน แต่เมื่อได้นายราชัยมาช่วยร่วมมือไว้แล้ว นักการเมืองท่านอื่น ๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงยอมให้กานต์ทำหน้าที่นี้
	แต่เรื่องดีก็มักมีอุปสรรคอยู่เสมอ นักการเมืองบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ได้มีเงื่อนไขให้นายราชันคือจะให้ชายคนหนึ่ง ชื่อวิเวก หรือกุณฑ์ หลานชายของรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งอยู่พรรคฝ่ายค้าน เขาเป็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในดวงใจของสาว ๆ ไม่แพ้กานต์ เขารุ่นราวคราวเดียวกันกับกานต์ ซึ่งเพิ่งเรียนจบมาเช่นเดียวกันมาเป็นนักการเมืองและแข่งกับกานต์ ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับการทำงานของคนทั้งสองเอง
	หลายวันผ่านไป สอได้ทำงานเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ส่วนกานต์ก็ได้ทำงานเป็นนักการเมืองแข่งกับกุณฑ์ วันหนึ่งกานต์ไปรับสอที่โรงเรียนมัธยมแห่งนั้น ระหว่างทางเดินมา สอได้ถามว่า "ตอนนี้นายทำงานเป็นยังไงบ้าง?" กานต์ถอนหายใจแล้วพูดว่า "งานก็ดี แต่หนักจริง ๆ เลยฉันต้องแข่งกับนายกุณฑ์ด้วย ก็เลยไม่มีเวลาที่จะมองหาแฟน เพราะฉันก็ไม่อยากให้เธอยุ่งกับเรื่องของฉันแล้ว" สอมองหน้า "อะไรอีกเล่า? หาเรื่องทะเลาะกันอีกแล้วนะ" สอร้อง "ก็เธอนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องทำงานหนัก ถ้าวันนั้นเธอไม่เสนอความคิดเห็นขึ้นมา ฉันก็คงไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องงานอย่างนี้หรอก!" กานต์พูดโดยไม่รู้เลยว่าได้ทำร้ายจิตใจสอมาก สอหยุดเดิน ด้วยความรู้สึกเจ็บใจจึงพูดว่า "ก็นายอยากมีกานงานและหน้าที่ที่ดีไม่ใช่เหรอ? ฉันช่วยนายแล้วนะ ทำไมต้องพูดอย่างนี้กับฉันด้วยล่ะ" สอร้องไห้ กานต์นิ่งเงียบ "เดี๋ยวฉันจะกลับเอง" สอพูดแล้วเดินจากไป กานต์รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากตามไป เพราะกานต์กับสอไม่ได้รักกันจริง ๆ สักหน่อย แล้วกานต์ก็เห็นกุณฑ์เดินมา "นายนี่มันแย่จริง ๆ เลยนะ ทำผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้ร้องไห้ได้!" กุณฑ์พูด "แล้วนายยุ่งอะไรกับเรื่องของชาวบ้านเขา แล้วมาที่นี่ทำไม?" กานต์ถาม กุณฑ์ยิ้มแล้วพูดว่า "ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่มารับหลานชายเท่านั้นฉันว่านะ นอกจากที่เราจะแข่งเรื่องการเป็นนายกฯ แล้ว เรามาแข่งเรื่องนี้ด้วยกันดีกว่า" กุณฑ์พูดขึ้น กานต์แปลกใจ "เรื่องอะไร?" "เรื่องคุณสอไงล่ะ แค่ฉันเห็นคุณสอ และได้รู้นิสัยของเธออย่างคร่าว ๆ ก็ทำให้ฉันรักเธอแล้วหละ" กุณฑ์พูดขึ้นพิกล "หมายความว่านายจะให้ฉันแข่งกับนายเรื่องที่ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของสออย่างงั้นเหรอ?" กานต์ถาม "ใช่ นายว่าไง จะตกลงไหมล่ะ อีกอย่างนายกับเขาก็เป็นแค่คู่หมั้นกันเท่านั้น จะยกให้ฉันก็ไม่เสียหายตรงไหนตกลงนายจะแข่งหรือจะยอมยกให้แต่โดยดี" เขาถาม ทำเอากานต์คิดหนัก ถึงเขาจะไม่ได้รักสอ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะดูจากนิสัยของกุณฑ์แล้ว ค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้ จึงตอบไปว่า "ตกลง" "นายแน่ใจนะ เพราะที่ฉันรู้มานายไม่ได้รักคุณสอจริง ๆ" กุณฑ์ถาม "ฉันแน่ใจว่าฉันจะแข่งกับนายเรื่องสอ ถึงฉันจะไม่ได้รักเขาจริง ๆ แต่ถ้าฉันเป็นฝ่ายชนะ เรื่องนี้ก็ถือว่ายุติ!" กานต์ตอบอย่างมั่นใจ แล้วจับมือกับกุณฑ์
	กานต์กลับมาบ้านด้วยความไม่สบายใจนัก และเมื่อกลับมาถึง นางนงนุชผู้เป็นแม่รีบออกมาถามทันที "กานต์บอกแม่มานะ วันนี้ไปทะเลาะอะไรกับหนูสอ รู้ไหมพอเขากลับมาถึงบ้านก็ปิดประตูเข้าห้อง ไม่ออกมาเลย" กานต์เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "วันนี้ผมไปว่าเขาที่เขาเป็นต้นเหตุให้ผมทำงานหนัก" "ลูกนี่แย่จริง ๆ เลย เดี๋ยวไปขอโทษเขาซะด้วยล่ะ" นางนงนุชดุแล้วขึ้นไปข้างบน กานต์เดินไปที่ห้องของสอ เขาเคาะประตู สอซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ข้างในได้ยินจึงถามว่า "ใครคะ?" กานต์เงียบไปแล้วตอบว่า "ฉันเอง อยากจะขอโทษเรื่องวันนี้" "ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้วหละ นายไปเถอะ" กานต์ได้ยินจึงเดินออกไป แล้วคิดถึงคำพูดของกุณฑ์ขึ้นมา เขาจึงพูดออกมาว่า "สอพรุ่งนี้" เขาตะกุกจะกัก "พรุ่งนี้ไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกนะ" สอได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ สอได้ตอบไปว่า "ขอโทษนะ คงไม่ได้หรอก กุณฑ์เขาโทรมาชวนไปเที่ยวตั้งแต่เย็นแล้ว" กานต์ตกใจมากเมื่อได้ยิน "เธอติดต่อกับกุณฑ์มานานแล้วเหรอถึงยอมไปกับเขาง่าย ๆ น่ะ?" กานต์ถามขึ้น "ก็ไม่กี่วันมานี้เอง นายไปเถอะ ฉันจะอาบน้ำแล้ว" สอพูด กานต์ซึ่งกำลังแปลกใจอยู่ได้เดินไปอย่างว่าง่าย
	วันต่อมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์สอออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยง อย่างสบายใจ ส่วนกานต์ก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่ากุณฑ์คงพาเธอไปทานข้าวเฉย ๆ เขานั่งทำงานอยู่ที่บ้าน จนค่ำมืด แล้วสอก็กลับมา ดูท่าทางสอจะมีความสุขมาก จนกานต์รู้สึกแปลก ๆ "เป็นไงบ้าง ไปเที่ยวกับกุณฑ์สนุกไหม?" เขาถาม สอหัวเราะ "สนุกสิ กุณฑ์เขาเป็นผู้ชายที่โรแมนติกจริง ๆ เลย วันนี้ฉันสนุกมาก ๆ เลยหละ" สอพูดเคลิ้ม ๆ กานต์ตกใจมาก เขาลุกขึ้นยืน จับแขนสอไว้ "นี่เธอ กุณฑ์เขาทำอะไรเธอ บอกมานะ" สอไม่พอใจมาก เธอสะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "ทำอะไรที่ไหนล่ะ เขาก็แค่พาฉันไปกินข้าว ฟังเพลง แล้วก็ไปซื้อของแค่นี้เอง" กานต์นั่งลง แล้วกล่าวว่า "ขอโทษ ฉันนึกว่าเธอถูกหมอนั่นทำอะไรเข้าให้แล้ว เห็นพูดยังไงไม่รู้" สอได้ยินก็หัวเราะ "ฉันแค่แกล้งหน่อยเดียวเอง ว่าไปฉันก็ชอบกุณฑ์เหมือนกันนะ ถ้าฉันคบเขานานกว่านี้อีกหน่อย ฉันก็จะไปบอกคุณพ่อว่าให้ถอนหมั้นกับนาย ฉันไปละนะ" ว่าแล้วสอก็เดินเข้าห้องไป กานต์ก็ไม่ได้คิดอะไร เขาจึงทำงานต่อไป
	ต่อมา สอเริ่มสนิทสนมกับกุณฑ์ขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งกุณฑ์ได้เข้ามาในห้องทำงานของกานต์ "นายมีธุระอะไร?" กานต์ถาม "นายคงจะได้ยินเรื่องการอภิปรายเรื่อง การสร้างโรงไฟฟ้าที่จังหวัดนครนายกแล้วนะ คืออย่างนี้ ฉันคิดว่าการอภิปรายเรื่องนี้แหละจะเป็นตัวตัดสินเรื่องของคุณสอที่ได้เคยคุยกันไว้" กุณฑ์กล่าว กานต์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า "อ๋อพออภิปรายเรื่องนี้แล้ว ให้ดูว่าฝ่ายของฉันหรือของนายจะชนะใช่ไหมล่ะ แล้วผู้ที่ชนะก็จะได้เป็นเจ้าของสอเหรอ?" "ใช่ ฉันก็มีธุระแค่นี้ และฉันก็คิดว่านายคงจะรับคำท้าของฉันใช่ไหมล่ะ?" กุณฑ์ถาม กานต์นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็พยักหน้า ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับกุณฑ์มาก
	วันหนึ่งนั้นเอง สอมาสอนหนังสือนักเรียนตามปกติ แล้วในช่วงกลางวันก็ได้ไปคุยถึงเรื่องกุณฑ์ให้ลิลิตซึ่งทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่เดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องความประทับใจที่มีต่อกุณฑ์ "เธอคงจะรักเขาล่ะสิ แล้วเรื่องของกานต์ล่ะเธอจะว่ายังไง?" ลิลิตถาม สอยิ้มแล้วพูดว่า "ก็ถอนหมั้นกับเขาไง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยากอะไรเลย" "แต่ฉันไม่อยากให้เธอคบกับคุณกุณฑ์หรอกนะสอ เพราะฉันรู้สรรพคุณของเขาดี เขาเป็นผู้ชายที่มีสาว ๆ มาติดพันมากมาย และก็เป็นคนที่เจ้าชู้ด้วย" ลิลิตเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า "ฉันเป็นห่วงเธอนะ ฉันไม่อยากให้เธอต้องเสียใจทีหลัง" "ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดีลิต" สอพูดทันที "ขอบคุณนะ แต่ไม่ต้องห่วงน่า คนอย่างฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้วหละ และถ้าหากว่าฉันถอนหมั้นกับนายกานต์เมื่อไร เธอก็ค่อยหาทางสนิทกับเขาก็ได้นี่" สอพูด และยิ้มกว้าง เธอสังเกตเห็นว่าแก้มของลิลิตเริ่มเป็นสีแดง และถึงสอจะพูดอย่างนั้น แต่ลิลิตก็เป็นห่วงสอ สอก็ไม่ค่อยอยากฟังคำเตือนของเพื่อนเลยด้วย เพราะไปหลงคารมของนายกุณฑ์เข้าให้แล้ว
	ส่วนทางเรื่องของกานต์นั้น เขามีสุขภาพไม่สบาย เนื่องจากทำงานหนัก เขาจึงถูกคุณพ่อคุณแม่สั่งไม่ให้ทำงานในช่วงที่ป่วย แล้วให้นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ กานต์ก็ทำตามคำสั่งของพวกท่าน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงการอภิปรายเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้า แต่เนื่องจากสุขภาพของเขาไม่ไหวจริง ๆ จึงไม่ได้เตรียมการอะไรมากนัก
	และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง กานต์ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ จนนักการเมืองท่านอื่น ๆ  เห็นสุขภาพแย่มากจึงพูดว่า "กานต์ ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยนะ" กานต์ได้ฟังดังนั้น  ก็นึกถึงคำพูดของกุณฑ์จึงรีบแย้งทันที "มไม่เป็นไรครับ ผมยยังไหว" กานต์พูดจบก็ล้มตัวลง ทำให้นักการเมืองคนอื่น ๆ ตกใจมาก และช่วยรีบประคองทันที ส่วนกุณฑ์เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ้มและพูดว่า "ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยกานต์" เขาพูดจบก็หัวเราะ แล้วพูดต่ออีกว่า "เมื่อนายแข่งกับฉันไม่ได้ ก็เท่ากับว่าชัยชนะนี้เป็นของฉันสินะ" แล้วเขาก็เข้าไปในห้องประชุม กานต์มองอย่างไม่สบายใจ แต่ร่างกายของเขาอ่อนเพลียมาก และสติทั้งมวลก็ดับวูบไป
	เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่านี่เลยมาหนึ่งชั่วโมงกับอีกห้านาทีแล้ว เขาลุกขึ้นมาแล้วถามคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "เสร็จการประชุมแล้วเหรอ? แล้วฝ่ายไหนชนะล่ะ?" คนนั้นได้ยินจึงตอบว่า "ตอนนี้เสร็จการอภิปรายแล้วครับ ฝ่ายค้านของคุณกุณฑ์คู่แข่งคุณเป็นผู้ชนะครับ" กานต์รู้สึกไม่สบายใจมาก จึงถามต่ออีกว่า "แล้วตอนนี้เขาไปไหนล่ะ?" "อ๋อ! คุณกุณฑ์เพิ่งพาคุณสอไปเมื่อไม่นานนี้เองครับ" ชายคนนั้นตอบ "ความจริงคุณสอมาช่วยเฝ้าไข้ให้คุณจนการประชุมเลิก แล้วคุณกุณฑ์ก็เข้ามาพาคุณสอไปน่ะครับ" กานต์ได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นไปทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายดีนัก เขาวิ่งออกมาข้างนอก มองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะเจอสองคนนั้น แต่ก็ไม่เจอเลย แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา "สวัสดีครับ กานต์ครับ" เขารับสายด้วยความไม่สบายใจนัก "กานต์เหรอ ไงล่ะตอนนี้ฉันชนะแล้วนะ" เป็นเสียงของกุณฑ์ ทำให้กานต์ตกใจมาก "ตอนนี้นายพาสอไปไหน" เขาถาม "เรื่องอะไรฉันจะบอกนาย ตอนนี้สอกำลังนอนหลับน่าเอ็นดูเชียวหละ นายตัดใจเถอะ ตอนนี้ฉันเป็นผู้ชนะแล้ว" กุณฑ์พูด "แต่นายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนี้เลยนี่นา นายปล่อยเขานะ" กานต์ขอร้อง "เรื่องอะไรเล่า!" กุณฑ์ตะโกนแล้วปิดมือถือทันที กานต์ไม่สบายใจมาก ๆ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้นอีก เขากดปุ่มรับ "คุณกานต์ใช่ไหมคะ ฉันเองค่ะ ลิลิตเพื่อนของสอเอง คุณต้องไปช่วยสอนะคะ" เป็นเสียงของลิลิต "ทำไมเหรอครับ?" กานต์ถาม "ฉันเห็นค่ะ กุณฑ์กำลังพาสอเข้าโรงแรมโกเด็น คุณต้องไปช่วยสอนะค" กานต์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ แถมสายก็หลุดไปแล้วด้วย เขารีบขับรถไปที่โรงแรมที่ว่านั้น
	"ขอโทษนะครับ ผมต้องการทราบหมายเลขห้องของคนที่ชื่อเอ่อ วิเวกน่ะครับ ด่วนเลยนะ" กานต์ถามอย่างร้อนรน เขารู้สึกเหมือนเวียนศีรษะมาก "ค่ะ ห้องของคุณวิเวก หมายเลข 415 ค่ะ" พนักงานตอบ กานต์ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปทันที
	ส่วนทางด้านสอ เธอเริ่มรู้สึกตัวก็เห็นกุณฑ์อยู่ข้าง ๆ เธอตกใจมาก "คุณทำอะไรฉัน?" เธอถาม กุณฑ์ยิ้ม "ผมไม่ได้ทำอะไรคุณหรอก แต่จะเริ่มก็ตอนนี้แหละ คุณตื่นขึ้นมาเมื่อไรจะได้รู้สึกตัว" เขาพูด แล้วพยายามจะข่มขืนสอ สอดิ้นทุรนทุราย และร้อง กานต์วิ่งมาที่ห้อง 415 แล้ว เห็นประตูปิดอยู่จึงพังประตูเข้าไป กุณฑ์แปลกใจมาก "นายทำอะไรสอน่ะ" กานต์พูดแล้วชกหน้าของกุณฑ์จนล้มไปกองกับพื้น กานต์ได้โอกาส จึงถามสอที่กำลังมองดูอยู่ด้วยความกลัวว่า "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?" สอส่ายหน้า ส่วนกุณฑ์เมื่อลุกขึ้นมาได้ก็พยายามจะใช้โคมไฟที่อยู่ข้าง ๆ เตียงตีกานต์ แต่สอตั้งตัวได้ทัน เธอจึงดึงตัวกานต์มาที่เตียงทำให้สอโดนเสียเองที่ไหล่ จนเธอสลบไป กุณฑ์ตกใจมากเมื่อรู้ตัวว่าผิดเป้าหมาย กานต์คว้าตัวสอไว้แล้วพูดว่า "นายจะปล่อยสอไปดี ๆ  หรือจะให้เรื่องนี้ตกเป็นข่าว" กุณฑ์ได้ฟังดังนั้นจึงหน้าซีด เขาหมดหนทางที่จะเลือก จึงยอมปล่อยสอ กานต์ได้เห็นดังนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก เขาอุ้มสอเดินลงมาข้างล่าง พามานั่งรถแล้วกลับไปที่บ้าน สอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเมื่อถึงบ้าน เธอเห็นกานต์กำลังอุ้มตัวเธอมาวางไว้ที่เตียงในห้องนอนของเธอ แววตาของสอจ้องแต่ที่กานต์จนทำให้เธอมีความรู้สึกแปลก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วกานต์ก็พูดกับคนใช้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ว่า "เดี๋ยวช่วยทำแผลให้คุณสอด้วยนะ เขาโดนรถเฉี่ยวน่ะ" กานต์พูดจบก็ลุกขึ้นออกไป จากที่สอมีความรู้สึกไม่ดี กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ดีเข้ามาแทนที่ และเธอรู้สึกเหมือนกับว่ากานต์ก็เป็นห่วงเธอเหมือนกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขามีสุขภาพที่ไม่ดีมาก ๆ แต่ที่เขามาช่วยเธอนับได้ว่ากานต์เป็นคนมีความอดทน และเข้มแข็ง ทำให้เธอรู้สึกชอบเขามาก มารู้ตัวอีกทีก็รักกานต์ไปแล้ว
	วันหนึ่งสอมาถามกานต์ถึงเรื่องที่เขาอุตส่าห์มาช่วยเธอจากกุณฑ์ และที่กานต์ไม่ได้ไปทำงานเพราะยังไม่หายดีนัก ส่วนโรงเรียนที่สอสอนอยู่ก็หยุดด้วย "กานต์ ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิทำไมวันนั้นนายต้องมาช่วยฉันด้วยล่ะ นายไม่ได้เป็นเจ้าของฉันจริง ๆ สักหน่อย แล้วการที่นายทำอย่างนั้น เพราะอะไรกันเหรอ?" เธอถามช้า ๆ กานต์ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ได้วางหนังสือพิมพ์นั้น แล้วพูดว่า "เพราะเป็นห่วงเธอไงล่ะ" สอรู้สึกเขินมากเมื่อได้ฟัง แต่ก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ แล้วพูดว่า "แต่เราไม่ได้รักกันนะ" "ฉันรู้ ถ้าจะให้ฉันยกเธอให้ใครก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะได้สัญญาไว้แล้วว่าถ้าเจอคนที่รักจริง ๆ ให้ถอนหมั้นกันได้ แต่ถ้าจะให้ฉันยกเธอให้คนอย่างนายกุณฑ์ฉันคงไม่ยอมหรอก ทีหลังเธอหัดดูนิสัยของคนที่เธอคบบ้างนะ" กานต์พูด สอได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้น แต่ด้วยความที่เธอยังเจ็บไหล่อยู่ทำให้เธอร้อง กานต์รีบพูดขึ้นทันที "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ไปเถอะไปพักในห้องก่อน" เขาพูดแล้วฉุดสอขึ้นช้า ๆ พาไปส่งที่ห้อง ก่อนที่สอจะเข้าไปเธอได้กล่าวขอบคุณและยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน กานต์ยิ้มตอบ แล้วเขาก็เดินกลับไป สอรู้สึกว่ากานต์อาจจะไม่ได้รักเธอจริง ๆ เหมือนที่เคยคิดไว้ แต่แม้เขาจะไม่ได้รักเธอ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเข้มแข็ง ชอบช่วยเหลือคนอื่นและอ่อนโยน ทำให้สอรู้สึกรักกานต์มากขึ้น และคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เธอต้องเอ่ยความในใจไปให้ได้
	คืนหนึ่งนั้น กานต์หายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนแผลที่ไหล่ของสอก็หายแล้วเช่นกัน กานต์เพิ่งกลับมาจากการทำงาน ตอนนั้นประมาณสี่ทุมครึ่งแล้ว สอยังนอนไม่หลับ เธอได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเปิดประตูออกไป ก็เห็นกานต์อยู่ สอรู้สึกแปลกใจ แล้วกานต์ก็ยื่นของขวัญสิ่งหนึ่งให้เธอ พร้อมกับพูดว่า "สุขสันต์วันเกิด สอ" สอยิ้มอย่างดีใจ "ขอบคุณมากนะ" เธอรับมา แล้วแกะออก ของขวัญชิ้นนั้นเป็นสายสร้อยทำด้วยเงิน มีจี้เป็นรูปหัวใจเพชรสีฟ้า ซึ่งเป็นของแท้ "ฉันรู้จากลิลิตว่าเธอชอบสีนี้" กานต์พูด "ขอบคุณมากนะกานต์ ความจริงไม่ต้องซื้อของราคาสูงให้ก็ได้นี่นา" สอกล่าว "จำเป็น" กานต์พูดเบา ๆ เขามีแววตาเศร้าเล็กน้อย ทำให้สอรู้สึกแปลกใจ "ช่างมันเถอะนะ คิดว่ามันเป็นของขวัญที่เธอทำให้ครอบครัวของฉันมีความสุขขึ้นมากแล้วกัน" กานต์พูด สอยิ้มเมื่อได้ฟัง "ราตรีสวัสดิ์" กานต์พูด สอจึงตอบไปว่า "ราตรีสวัสดิ์เช่นกัน" แล้วสอก็ปิดประตูห้องช้า ๆ เธอรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่กานต์หาของขวัญวันเกิดให้ และในที่สุดก็คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องบอกรักให้ได้
	วันต่อมา กานต์ขับรถมาส่งสอที่โรงเรียน สอลงจากรถโดยไม่ได้พูดอะไร วันนี้เธอทราบมาจากอาจารย์ท่านหนึ่งว่าวันนี้ลิลิตลาหยุดหนึ่งวัน สอคิดว่าลิลิตคงไม่สบาย ตกเย็นสอได้โทรหาลิลิตที่คอนโดฯ ที่ลิลิตอาศัยอยู่ แต่ไม่มีคนรับ สอชักเป็นห่วงเพื่อน เธอจึงโทรไปหากานต์ให้เขามารับไปคอนโดฯ ของลิลิตเร็ว ๆ แต่กานต์ดันปิดมือถือ ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน เธอจึงตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปที่คอนโดฯ ของลิลิต
	ในห้องของลิลิตเป็นภาพของลิลิตกับกานต์กำลังนั่งคุยกันอยู่บนเตียง พวกเขาคุยกันอย่างออกรส แล้วเริ่มที่จะมีอะไรกัน แต่สอมาเคาะประตูเรียกเสียก่อน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ยิน สอทั้งเรียกทั้งตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบ เธอจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป
	สอเดินไปเรื่อย ๆ ในห้องของลิลิต แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ในห้องนอนของลิลิต สอจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอน
	ภาพที่เห็นเป็นภาพของกานต์ที่กำลังจะจูบลิลิต แต่เมื่อเขาเห็นสอ ก็รีบลุกขึ้นมาทันที และแก้ตัวว่า "สอ เธอฟังฉันก่อน" สอไม่พูดอะไร เธอมองหน้ากานต์ และมองหน้าลิลิต และรู้สึกเหมือนว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมา "เธอมาที่นี่ทำไม?" ลิลิตพูดแปลก ๆ "ฉันมาหาเพราะเป็นห่วงเธอที่ไม่ได้มาสอนในวันนี้ โทรก็โทรไม่ติด ฉันก็เลยมาที่นี่" สอตอบเสียงสั่น ลิลิตทำหน้าไม่พอใจและพูดขึ้นว่า "เธอนี่มันยุ่งจริง ๆ เลยนะ เธอไม่รู้เลยเหรอว่ากานต์กับฉันรักกัน และเขาก็กำลังจะถอนหมั้นกับเธอ เพื่อมาแต่งงานกับฉันคนอย่างเธอ มันน่าจะไปไกล ๆ ได้แล้ว" ลิลิตไม่เคยพูดอย่างนี้กับสอเลย ทำให้สอตกใจมาก แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ เธอเดินไปช้า ๆ กานต์รู้สึกแย่มาก เมื่อได้ยินคำพูดของลิลิต จึงรีบมาพูดกับสอทันที "สอฟังฉันก่อนสิ" จะให้ฟังอะไรอีกล่ะ ก็ลิตบอกมาหมดแล้วนี่นาว่าเรื่องมันเป็นยังไง นายมันเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมาก ๆ เลยนะ นายเป็นถึงลูกชายนายกรัฐมนตรีแต่ทำตัวแบบนี้ ทำไมไม่คิดถึงจิตใจของพ่อแม่เสียบ้างเล่า!" สอตะโกนใส่ แล้วเดินออกมา กานต์รู้สึกเสียใจ เมื่อสอได้พูดคำ ๆ นั้นขึ้นมา แต่เขาก็กลั้นความรู้สึกไว้ แล้วพูดว่า "ถ้าเธออยากออกไปเธอก็ไปเลย!" เมื่อพูดจบก็ปิดประตูใส่สอซึ่งหันหลังให้ประตูอย่างแรง เมื่อประตูปิดลง สอก็ร้องไห้อยู่ที่ประตูนั้น สักพักก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินออกมา ส่วนกานต์ก็เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป แล้วเขาก็เตรียมตัวจะกลับ ลิลิตจึงรีบมาคว้าเขาทันที "อย่าเพิ่งไปสิกานต์ เราอยู่ด้วยกันก่อนนะ ♥" ลิลิตพูดเสียงร่าเริง กานต์สะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "ขอโทษนะ เราเพิ่งพบกันไม่เท่าไร ผมก็เกือบทำให้คุณต้องเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ต้องขอโทษด้วย เราจบกันแค่นี้แหละ" แล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้ลิลิตยืนนิ่งอยู่คนเดียว
	สอไม่ได้กลับไปที่บ้านของนายราชัน แต่กลับมาบ้านของตนเอง เมื่อนายราชัยได้เห็นลูกสาวก็ดีใจและแปลกใจ เมื่อเห็นว่าสอร้องไห้ "สอลูกร้องไห้ทำไมล่ะ?" นายราชัยถาม สอรีบมากอดพ่อทันที และเธอก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง นายราชัยได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า "นายกานต์นี่ ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้นะ ลูกอย่าเสียใจไปเลย คืนนี้ค้างที่บ้านเรานะลูก" สอพยักหน้า และเช็ดน้ำตา
	ทางด้านกานต์นั้น เขากลับมาบ้านด้วยความที่ไม่สบายใจ เมื่อกลับมาถึงนายราชันเดินออกมาทันที "กานต์ ทำไมแกถึงทำตัวแบบนี้ รู้ไหม ราชัยเขาโทรมาบอกหมดแล้วนะ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา!" เขาพูดด้วยความโมโห "ก็ผมชอบลิลิต แค่นั้นเอง" กานต์ตอบ "ชอบ? ชอบอย่างนั้นเหรอ?" นายราชันกล่าว "ชอบแล้วทำไมต้องไปนอนกับลิลิตอะไรนั่นด้วย" กานต์ฟังดังนั้นจึงรีบแก้ตัวว่า "ผมเปล่านะครับ แค่เกือบ" นายราชันมองหน้า และพูดช้า ๆว่า "พ่อเสียใจมากเลยนะ รู้ไหมตั้งแต่พ่อเลี้ยงลูกมาถึง 21 ปีนี่ ลูกไม่เคยทำให้พ่อแม่หนักใจเลยสักครั้งเดียว แต่ไม่นึกเลยว่า ลูกต้องมาทำตัวแบบนี้แม่เขาก็เสียใจมากนะ เขานั่งร้องไห้อยู่บนห้อง เพราะลูกลูกทำตัวเป็นคนเลวอย่างนี้" เมื่อพูดจบเขาก็เดินขึ้นชั้นบนไป กานต์รู้สึกเสียใจมาก เขาขึ้นไปข้างบน เพื่อไปขอโทษแม่ นางนงนุชกอดกานต์ไว้ "แม่ให้อภัยลูกได้ แต่ลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ" นางพูด กานต์กอดตอบ และพูดว่า "ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับแม่แล้วสอล่ะครับ?" กานต์ถามขึ้นมา นางนงนุช เงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า "สอเขาไปค้างที่บ้านเดิมของเขาแล้วหละ" กานต์ได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าจะไปหา แต่ก็ล้มเลิก เพราะคิดว่าตอนนี้ดึกแล้ว สอคงไม่กลับมาหรอก
	วันต่อมา สอมาสอนหนังสือด้วยหน้าตาที่ไม่สบายนัก วันนี้เธอมีงานที่ต้องทำมากมายจนถึงค่ำ เมื่อเสร็จงานนักเรียนก็กลับกันหมดแล้ว เมื่อเธอเดินออกมาก็พบกับกานต์ "คุณมาหาใคร?" สอพูดเหมือนว่าไม่เคยรู้จักกับกานต์มาก่อน "ก็มาหาเธอไงล่ะ แค่อยากให้เธอฟังฉันได้ไหม" กานต์พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง จนสอใจอ่อน เธอพากานต์มานั่งที่ศาลาที่โรงเรียน แล้วถามว่า "เรื่องอะไร"  กานต์จึงตอบไปว่า "ก็เรื่องเมื่อวานนี้แหละ ฉันต้องขอโทษเธอที่ปิดประตูใส่หน้าเธออย่างนั้นด้วย" สอได้ฟังก็พยักหน้า "อีกอย่างก็คือเมื่อวานฉันเมาก็เลยเกือบจะไปมีอะไรกับลิลิตที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน จริง ๆ ฉันต้องขอบคุณเธอนะสอที่มาช่วยให้ฉันรู้สึกตัว" กานต์พูดช้า ๆ สอได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่อยากให้ลิลิตเสียใจ เพราะรู้มาอยู่แล้วว่าลิลิตก็ชอบกานต์ เธอจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า "มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม ฉันไปก่อนนะ" แล้วเธอก็เดินออกมา กิริยาของสอทำให้กานต์เก้อไม่น้อย เขาเดินมาจับแขนแล้วพูดขึ้นว่า "สอเธออย่าเพิ่งไป ฉันเธอกลับบ้านกับฉันสิ" กานต์พูดตะกุกตะกัก  สอสะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "จะกลับไปทำไม ฉันว่าความจริงคุณอย่ามาแก้ตัวเลยนะ ก็เคยสัญญากันแล้วนี่นาว่าถ้าเจอคนที่รักจริง ๆ ถึงจะเลิกกันได้" "แต่ฉันไม่ได้รักลิลิตนะ" กานต์ตอบอย่างรีบร้อน สอยิ้มแล้วพูดว่า "แต่นาย ก็ไม่ได้รักฉันเหมือนกัน"  คำพูดนี้ของสอทำให้กานต์เงียบไป เขาพยักหน้าช้า ๆ "แต่ฉันก็เป็นห่วงเธอ บอกตามตรงนะสอ ฉันรู้สึกผูกพันธ์กับเธอ" "ฉันก็เหมือนกันแหละ" สอแทรกขึ้นมา เธอก้มหน้า "รู้ไหมคุณกานต์ เมื่อวานที่คุณทำอย่างนั้น แม้คุณจะตั้งใจหรือเปล่านะ ฉันก็เสียใจนะ คุณรู้ไหมว่าฉันน่ะฉันฉันเองก็รักคุณเหมือนกันนะ!" สอพูด แล้วรีบวิ่งหนีไปทันที กานต์อึ้งมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยเป็นอริด้วยกันมาก่อนเช่นสอจะมารักเขาได้ แต่พอตั้งสติขึ้นมาได้ ก็ได้พบว่าสอ เดินจากเขาไปแล้ว
	ทางด้านสอ เธอได้กลับมาที่บ้าน แล้วมานั่งลงบนเตียง พร้อมกับหยิบสายสร้อยเงินที่กานต์ให้ไว้นั้นขึ้นมาดู และมองแหวนที่ประดับอยู่บนมือข้างซ้าย พร้อมกับนึกถึงคำพูดของนางนงนุชที่พูดกับเธอว่า 'ถึงหนูกับกานต์จะเลิกกัน ก็ขอให้เก็บแหวนนี้ไว้ เพื่อเป็นความทรงจำ' และคิดว่าถึงแม้เธอจะได้บอกความในใจกับกานต์ไปแล้ว แต่เธอก็รู้สึกแย่มาก เพราะกลัวว่าถ้ากานต์ที่ไม่ได้รู้สึกรักเธอเลยมารู้เข้าก็จะทำตัวห่างเหินออกไป
	'ฉันรู้แต่เพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาระหว่างฉันกับกานต์ก็เหมือนจะเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดแผ่วผ่านมาเท่านั้น เขาเข้ามาในชีวิตของฉันและจากไปเหมือนอย่างสายลมที่กล่าวถึงมาเมื่อสักครูนี้ กานต์ทำให้ฉันรู้สึกได้รัก แต่ฉันก็รู้ว่าความรักของเราสองคนคงไม่มีวันเป็นจริง ถึงแม้ว่าฉันจะรักเขามากแค่ไหน แต่ก็ต้องพยายามทำใจ เพราะเขาและฉัน ก็เป็นแค่เพียง "สายลมแผ่ว" ที่พัดผ่านมากันและกันเท่านั้นเอง'
	สอได้จดประโยคเหล่านี้ลงในไดอารี่ของเธอ และคิดว่าสิ่งที่ผ่านมาได้ในระยะเวลา 6 เดือนกว่านี่ก็เป็นแค่ประสบการณ์ให้เธอได้รู้ซึ้งถึงความรักที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำ แม้ว่าสอจะผ่านการมีคนรักมาหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้เธอเจ็บได้เท่ากับกานต์คนนี้เลย แล้วพูดว่า "เป็นโสดดีกว่ามั้งเรา จะได้ไม่เจ็บอีก" สอพูดกับตัวเอง
	อีก 1 ปีผ่านไป ในวันหนึ่งสอได้เดินมาซื้อของที่ห้างที่เธอเคยมาซื้อของด้วยกับกานต์ สอยังจำภาพวันนั้นได้ดี เธอได้ทะเลาะกับกานต์ที่นี่ด้วย และบังเอิญ เมื่อเธอได้หอบของมากมายเดินออกมา ก็ได้มาชนกับชายคนหนึ่ง "ขอโทษค่ะ ไม่ทันมอง" สอรีบพูดทันที "ผมตะหากล่ะครับ คิดอะไรเพลิน" ชายคนนั้นพูดและช่วยสอเก็บของ สอรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหู แต่ไม่คิดอะไร แล้วมือของชายคนนั้นก็มาถูกมือข้างซ้ายที่นิ้วนางได้ถูกประดับด้วยแหวนคริสตัลที่กานต์เคยสวมให้ ทั้งสองต่างมองหน้ากัน แล้วสอก็พูดว่า "คคุณคุณกานต์" สอพูดแล้วหน้าแดง เพราะเธอรู้สึกอายที่ชายคนนั้นเป็นกานต์ และอีกอย่างคือเธอยังใส่แหวนนั้นอยู่ แสดงให้เห็นว่าเธอยังรักกานต์อยู่ "เธอซื้อของมาซะเยอะเชียว เดี๋ยวฉันช่วยถือนะ ยังไงตอนนี้ก็จะกลับอยู่แล้ว" สอพยักหน้าช้าๆ
	ทั้งสองเดินมาเรื่อย ๆ และมาหยุดที่สะพานแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวและเย็นมากแล้ว "รู้ไหม ฉันรู้สึกดีนะที่รู้ว่าเธอยังเก็บแหวนและสร้อยนั้นอยู่ ซึ่งมันเป็นของคนที่ทำร้ายจิตใจเธอขนาดนี้" กานต์พูด สอรู้สึกเขินนิดหน่อย และแก้ตัวว่า "เลือกให้มันเข้ากับชุดน่ะค่ะ" กานต์ยิ้ม เหมือนจะรู้ว่าสอนั้นพูดแก้ตัวกับเขา แล้วกานต์ก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ได้เจอมากันตั้งปี ฉันเดาเอาว่า เธอคงยังไม่มีแฟนใช่ไหม" สอหน้าแดง แล้วพูดว่า "ทำไมคุณพูดอย่างนั้นล่ะค่ะ? ตแต่ช่างเถอะค่ะ ก็จริงของคุณนั่นแหละ" กานต์ได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า "ฉันเองก็เหมือนกัน" "หา? อย่างคุณน่ะนะ?"  สอแปลกใจเมื่อพบว่ากานต์ยังไม่มีทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ดีไปหมดเสียอย่างนั้น "ใช่ ก็เพราะว่าฉัน รอเธออยู่ไง" สอได้ฟังก็รู้สึกเขิน "หมายความว่าไง รอฉัน?" กานต์ได้ฟังก็ยิ้ม "ผมขอถามก่อน คุณยังรักผมอยู่ใช่ไหม" เขามีท่าทีเขินเล็กน้อย สอคิดว่าโกหกก็คงไม่ได้ เพราะหลักฐานก็คือแหวน และสร้อยที่เธอสวมอยู่ "ค่ะ ขอโทษนะคะ" "ขอโทษอะไรกัน ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นกับเธอเหมือนกันแหละน่า" เขาพูด สอแปลกใจ และใบหน้าที่แดงอยู่แล้วของเธอ ก็ทวีคูณยิ่งขึ้น "ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจจะบอกความในใจกับคุณตั้งแต่ปีก่อน แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งได้มาพบคุณอีกครั้ง คือฉันก็อยากจะบอกเธอเอาไว้" เขาจับมือสอไว้ "ฉันรักเธอ" แล้วทั้งสองก็เงียบไป มีแต่เสียงลมหนาวที่พัดมา "จริงเหรอ?" สอถามขึ้นแล้วยิ้มเล็กน้อย กานต์พยักหน้า แล้วจูบที่หน้าผากของสอ แล้วกอดเธอไว้ ทำให้สอรู้สึกที่ความสุขและอบอุ่น สอกอดตอบ แม้ว่าลมที่เคยจะเป็นเพียงสายลมแผ่วที่พัดผ่านเราเพียงชั่วครู่ แต่สายลมที่อบอุ่น ก็ยังอยู่ในใจเราตลอดไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
  Nonmin
ไม่มีข้อความส่งถึงNonmin