4 กรกฎาคม 2550 14:18 น.
nok_yak
พระอาทิตย์คล้อยต่ำทอดแสงอ่อนล้ายังท้องทุ่งเบื้องล่าง ขณะยอดข้าวเขียวอ่อนต้องลมพลิ้วไหวเห็นเป็นลูกคลื่นโลดไล่กันไปจนสุดคันนา นกกระยางฝูงน้อยขยับปีกโผขึ้นฟ้าพร้อมกัน ดูคล้ายปุยนุ่นที่ฟุ้งกระจายในสายลม เป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงกลางท้องทุ่งยุติลงแล้ว เด็กหนุ่มเผลอยิ้มอย่างอิ่มใจ ตั้งแต่พวกนกกลับมาอาศัยอยู่แถบนี้ เขาก็ไม่เคยกังวลว่าต้นข้าวจะถูกหอยเชอร์รี่กัดแทะอีกเลย
เด็กหนุ่มมักจะมานั่งปล่อยอารมณ์ริมคันนาของตนอย่างนี้เสมอ เขาชอบสูดกลิ่นใบข้าวเคล้าไอดินเป็นที่สุด แม้จะหอมสู้ดอกมะลิหลังบ้านไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาสดชื่นและภูมิใจในอาชีพของตน อาชีพที่ดูไม่โดดเด่นมีหน้ามีตา แต่กลับทรงคุณค่าในฐานะผู้หล่อเลี้ยงคนทุกชนชั้น และเป็นกระดูกสันหลังให้ประเทศยืนหยัดมาได้ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
ไม่กลับบ้านอีกหรือวะ บุญส่ง เสียงคุ้นเคยของผู้มาเยือนเอ่ยถาม
ยังจ้ะ ลุงผู้ใหญ่ ฉันอยากให้ไอ้จำปากับไอ้จำปีกินหญ้าต่ออีกนิด เด็กหนุ่มว่าพลางชี้ไม้ในมือไปยังควายสองตัวที่เล็มหญ้าอย่างเพลินใจ ว่าแต่ลุงผู้ใหญ่มาหาฉันถึงที่นี่ มีอะไรให้ฉันรับใช้หรือเปล่าจ๊ะ
โอ๊ย รับใช้อะไรกัน หนุ่มใหญ่กล่าวปนยิ้ม ลุงแค่แวะมาถามว่าอีกสองวันเอ็งว่างไหม ลุงจะพาไปดูงานเรื่องสหกรณ์หมู่บ้านด้วยกัน
สหกรณ์หมู่บ้าน ! บุญส่งทวนคำเสียงสูง
ใช่ ท่านกำนันจะพาพวกเราไปดูงานที่ตำบลใกล้ ๆ นี่แหละ ได้ข่าวว่าระบบจัดการเขาดี ลุงจะเอาแบบอย่างดี ๆ มาใช้กับหมู่บ้านเราบ้าง
ก็ดีนะลุง ถ้าหมู่บ้านเรามีสหกรณ์ ชาวบ้านคนไหนไม่มีทุนทำนาก็ได้มากู้ ไม่ต้องไปง้อพวกนายทุนหน้าเลือดอีกแล้ว
ที่สำคัญกว่าก็คือ ลุงอยากให้ชาวบ้านได้รู้จักเก็บออม อาชีพอย่างเราที่จริงก็พอมีเงินเหลือใช้อยู่บ้าง แต่เพราะเก็บไม่เป็น เงินมันเลยไหลลงขวดเหล้าเข้าวงไพ่ไปหมด
นี่ถ้าเอาเงินก้อนนั้นของทุกคนมารวมกัน แล้วช่วยกันดูแลให้มันเกิดดอกผล ก็จะเอามาทำประโยชน์ให้หมู่บ้านได้อีกมากเลยเชียวล่ะ เด็กหนุ่มแสดงทัศนะ เอาเป็นว่าอีกสองวันฉันจะไปกับลุงละกันนะ
ขอบใจเอ็งมาก ลุงผู้ใหญ่ว่าพลางนั่งลงข้างๆ บุญส่ง แววตาเปี่ยมประกายจ้องมองผืนนากว้างใหญ่ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า ทุ่งยางยืนของเราจะดีขึ้นได้อย่างวันนี้
นั่นซีนะลุง เหมือนมีปาฏิหาริย์ เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า ขณะที่ความคิดกลับย้อนไปยังอดีตเบื้องหลัง
ตอนนั้นบุญส่งเพิ่งเรียนจบชั้น ม.๓ เขาก็ออกมาจับคันไถตามรอยพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ยึดอาชีพชาวนามาโดยตลอด จริง ๆ แล้วหัวอย่างเขาน่าจะเรียนต่อไปได้ไกลกว่านี้ แต่เพราะรู้ดีถึงฐานะการเงินของทางบ้าน ที่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ข้าวอีกกี่ยุ้งกว่าเขาจะเรียนจบ และได้ใบปริญญาที่ไม่รับประกันว่าเขาจะมีงานทำ บางทีการเข้ามหาวิทยาลัยอาจไม่ใช่คำตอบของชีวิต บุญส่งคิดเช่นนั้น สิ่งที่เขาควรทำคือช่วยครอบครัวปลูกข้าวและหาเงินมาไถ่จำนองที่นาผืนนี้ เป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อ ซึ่งเป็นชะตากรรมที่ไม่ต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ ในทุ่งยางยืน
หลังออกจากโรงเรียนแล้ว เพื่อน ๆ ของบุญส่งต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง บ้างยังคงยึดอาชีพ เกษตรกรรมอย่างเดิม และบ้างก็สะพายกระเป๋ามุ่งหน้าไปเสี่ยงโชคในเมืองหลวง อนิจจา...น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จที่นั่น บุญส่งเห็นใครหลายคนกลับมาในสภาพสิ้นหวัง หญิงสาวบางคนหอบโรคร้ายกลับมานอนรอตายที่บ้าน เขาไม่อยากรับรู้หรอกว่าพวกเธอไปทำงานอะไรมา แต่สิ่งที่เห็นเป็นภาพที่ชวนสลดอย่างยิ่ง ขณะที่บางคนบอกว่าจะไปขายแรงงานที่ไต้หวัน แต่ก็ไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมาทางบ้านอีกเลย
แม้จะมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย คนหนุ่มสาวก็ยังทยอยทิ้งถิ่นฐานออกไปหางานทำข้างนอก เหมือนนกกระยางที่บินออกไปจากทุ่งทีละตัวทีละตัว บุญส่งเคยได้ยินคนเหล่านั้นพูดกันว่าทำนาอีกสิบปีก็ไม่มีทางรวย สู้ไปตายเอาดาบหน้าจะดีกว่า
นั่นซีนะ ทำไมชาวนาถึงยากจนอยู่ตลอดเวลา บุญส่งก็ยังสงสัยเหมือนกัน
เด็กหนุ่มพยายามสังเกตวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน เขาพบว่า ชาวนาต้องซื้อทั้งพันธุ์ข้าว ปุ๋ย และสารเคมีจากพวกนายทุน ด้วยหวังจะได้ข้าวมีคุณภาพ ขายได้ราคา และมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว การระดมใช้ปุ๋ยและสารเคมีในนาข้าวกลับทำให้ดินเสื่อมโทรมลงอย่างมาก ผลผลิตที่เคยดีในตอนแรกกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ชาวนาต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนซื้อปุ๋ยและสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อจะเพิ่มผลผลิตกลับคืนมา ขณะที่สุขภาพของผู้คนทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
ความเป็นอยู่ของชาวบ้านแปรเปลี่ยนไป ผักริมทางที่เคยเก็บกินก็เกรงกันว่าจะมีสารพิษตกค้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยพวกหอย ปู ปลาที่เคยหาได้ในท้องนา ต่างพากันสูญหายไปหมด แม้แต่น้ำในคูคลองยังพลอยขุ่นข้นไปด้วย สภาพแวดล้อม เสื่อมโทรมหนัก จนในที่สุด ทุ่งยางยืนก็ไม่มีนกกระยางยืนขาเดียวให้เห็นอีกเลย
บุญส่งเริ่มคิดได้ว่า ถ้าเลิกใช้สารเคมี สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติก็จะคืนสู่สภาพเดิม ขณะเดียวกันยังเป็นการลดต้นทุนในการทำนาอีกด้วย
เด็กหนุ่มหันมาศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือในห้องสมุดประชาชนใกล้บ้าน แล้วเขาก็ได้รู้จักวิธีทำปุ๋ยหมักเพื่อใช้แทนปุ๋ยเคมี วัตถุดิบในการหมักนั้นสามารถหาได้ทั่วไปในทุ่งยางยืน ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ มูลสัตว์ เศษอาหาร หรือกากวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ หลังจากทดลองใช้ไม่นาน ข้าวในนาก็กลับมางอกงามขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่เท่าตอนใช้ปุ๋ยเคมี ครั้งแรก แต่บุญส่งรู้ว่าดินกำลังฟื้นตัวและจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ดีอีกครั้งในฤดูฝนคราวหน้า
บุญส่งพบว่า การปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวไม่อาจเป็นการใช้ประโยชน์จากที่นาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การทำไร่นาสวนผสมน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม บุญส่งทดลองปลูกพืชหลายชนิดบริเวณรอบที่นาและบ้านของตนเอง แรกเริ่มนั้น เขาตั้งใจแค่จะปลูกไว้กินในบ้าน จะได้ไม่ต้องไปซื้อหาให้สิ้นเปลือง
เด็กหนุ่มเริ่มต้นปลูกมะนาวจำนวนหนึ่งข้างกระถินณรงค์ต้นใหญ่ท้ายสวน เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่ามะนาวเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขัง ขณะเดียวกันต้นกระถินณรงค์ก็มีความสามารถในการดูดซับน้ำเอาไว้ได้ จึงเป็นการสร้างสภาพสมดุลให้เกิดความพอดี ทำให้เมื่อถึงหน้าฝนก็ไม่มีน้ำเฉอะแฉะให้มะนาวต้องลำบาก และเมื่อถึงหน้าแล้ง ดินก็ยังชุ่มชื้นเพราะมีน้ำที่กระถินณรงค์ดูดซับไว้ ใบกระถินณรงค์ที่ร่วงลงในท้องร่องยังเป็นปุ๋ยชั้นดี เด็กหนุ่มมักโกยเลนใต้น้ำขึ้นมาไว้ที่ใต้ต้นมะนาวเสมอ มะนาวของบุญส่งจึงมีผลใหญ่เปล่งปลั่งเป็นพิเศษ
วิถีพึ่งพาในธรรมชาติเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม จากความช่างสังเกตทำให้บุญส่งปลูกต้นพริกสลับกับต้นกล้วยเพื่อคืนสมดุลของกันและกัน ต้นกล้วยนั้นอวบน้ำสามารถให้ความเย็นกับพริกที่เผ็ดร้อนได้ และพริกก็ไม่ชอบแดดจัด ร่มเงาของใบกล้วยทำให้พริกไม่ต้องรับแสงมากเกินไป
พื้นดินที่โล่ง ๆ นั้นบุญส่งจะปลูกใบพลูและต้นทองหลางไว้เพื่อคลุมดิน อย่างน้อยก็เป็นการรักษาความชุ่มชื้นในดินและเป็นการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างไปกับน้ำฝน ใบพลูนับเป็นของคู่กายสำหรับคนกินหมากอย่างพ่อแม่ของบุญส่ง ขณะเดียวกันใบทองหลางที่ร่วงลงดินแล้วเปื่อยยุ่ยก็มีส่วนช่วยให้ดินมีความร่วนซุยมากขึ้น
ผักสวนครัวอื่น ๆ เด็กหนุ่มก็ปลูกไว้กินเอง แม้ว่าจะมีพวกแมลงมารุกราน แต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เขาลองใช้น้ำหมักใบสะเดาฉีดพ่นแปลงผักเพราะทราบมาว่าสะเดาสามารถไล่แมลงได้ วิธีนี้ได้ผลในช่วงสั้น ๆ เพราะสารธรรมชาติจะไม่ตกค้างบนผักนานนัก บุญส่งจึงต้องพ่นน้ำสะเดาบ่อย ๆ ในที่สุด เขาก็ปลูกสะเดากลางแปลงผักเสียเลย จะได้เก็บมาลวกจิ้มน้ำพริกได้อีกทาง
ไม่นานนัก ต้นไม้น้อยใหญ่ทั้งที่ปลูกไว้และขึ้นเองก็กระจายอยู่โดยรอบที่ดินของบุญส่ง สร้างความร่มรื่นและรื่นรมย์ให้กับบ้านของเด็กหนุ่มอย่างมาก จากทุ่งนาก็แปรสภาพเป็นสวนนาในที่สุด ที่นี่มีพืชผักหลายอย่างที่เด็กหนุ่มและครอบครัวสามารถเก็บกินได้โดยไม่ต้องซื้อหาและไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีสารพิษ สุขภาพของพ่อที่เคยย่ำแย่เพราะรับจ้างฉีดยาฆ่าแมลงเมื่อหลายปีก่อนก็ค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ ผักในสวนของบุญส่งยังมากพอเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้อีกด้วย
คุณภาพพืชผลในสวนนาของบุญส่งได้รับการบอกเล่ากันปากต่อปาก จนกระทั่งน้าพรซึ่งเป็นพ่อค้าขายส่งต้องขับรถมาดูด้วยตนเอง ท่าทางเขาพอใจถึงขั้นออกปากจะรับซื้อ
ทีแรกผมตั้งใจจะปลูกไว้กินเอง ถ้าน้าจะเอาไป ผมเกรงว่าจะไม่พอขาย เด็กหนุ่มรู้ว่าผลผลิตในสวนอาจจะมากเกินกว่าครอบครัวจะกินเองได้หมด แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะขายให้คุ้มทุนสำหรับพ่อค้าขายส่ง
อย่าห่วงเลย น้าไม่ได้ขายของพ่อหนุ่มคนเดียวสักหน่อย เอาเป็นว่าถ้าพริก กล้วยหรือมะนาวออกพร้อมกัน เยอะ ๆ แล้วกินไม่ทันเมื่อไหร่ก็บอกนะ น้าจะช่วยขายให้ ขายมากไม่ได้ก็ขายน้อย ๆ นี่แหละ
ตั้งแต่นั้น บุญส่งก็ได้ขายทั้งกล้วย พริก ใบพลูและผักอื่น ๆ หมุนเวียนกันตลอดทั้งปี ยิ่งมะนาวผลใหญ่ที่ออกลูกตอนหน้าแล้ง ยิ่งขายได้ราคาดีสุด ๆ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงห้าปีนับจากวันที่บุญส่งออกจากโรงเรียน เขาสามารถปลดหนี้ให้ครอบครัวจนหมด
เมื่อไม่มีหนี้สินแล้ว บุญส่งเริ่มคิดถึงอนาคตทางการศึกษาของตนเอง เขากันเงินส่วนหนึ่งสำหรับลงทะเบียนเรียน กศน. อาศัยเวลาว่างยามบ่ายอ่านตำราวันละนิดวันละหน่อย แล้วค่อยไปสอบตามตารางเวลาที่กำหนด อีกหน่อยเขาก็จะได้วุฒิ ม.ปลาย แล้ว ถึงตอนนั้น เขาจะสมัครเรียนหลักสูตรทางไปรษณีย์ของสถาบันอุดมศึกษาที่ไหนสักแห่งก็คงไม่ยากเกินกำลังนัก แม้การเข้ามหาวิทยาลัยอาจไม่ใช่คำตอบของชีวิต แต่ความรู้ที่เขาจะไขว่คว้าจากที่นั่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาชีวิต
ลุงผู้ใหญ่เป็นอีกคนหนึ่งที่รับรู้ความเป็นไปทั้งหมดของบุญส่ง เขาเฝ้ามองความมานะของเด็กหนุ่มด้วยความชื่นชมอยู่เสมอ พลางคิดในใจว่าความช่างสังเกตและใฝ่รู้ของบุญส่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านไม่น้อย
ลุงก็เลยอยากให้เอ็งเป็นวิทยากรช่วยแนะนำเรื่องสวนนาที่ทำอยู่ให้แก่ชาวบ้าน ผู้ใหญ่ว่า
บุญส่งจึงได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้จากการทดลองปฏิบัติของตน ร่วมกับท่านเกษตรอำเภอที่มาเป็นวิทยากรหลักตามคำเชิญของลุงผู้ใหญ่เช่นกัน บรรยากาศในวันนั้นเป็นไปอย่างครึกครื้น เพราะคนที่พูดชี้แนะไม่ใช่แค่บุญส่งหรือเกษตรอำเภอเท่านั้น หากแต่เป็นชาวบ้านทุกคนที่ช่วยกันบอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นกันเอง กลายเป็นองค์ความรู้ระดับชุมชนที่ได้รับการต่อยอดจนสมบูรณ์มากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการตกลงว่าจะเลิกใช้สารเคมีในภาคเกษตร เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
จากนั้นเป็นต้นมา ทุ่งยางยืนก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากความร่วมมือของคนในหมู่บ้าน มีการแลกเปลี่ยนสูตรทำปุ๋ยหมักระหว่างกัน มีการทดลองน้ำหมักชีวภาพและแบ่งปันกันใช้ว่าสวนไหนนาไหนจะได้ผล ตาชมซึ่งมีอาชีพเผาถ่านก็แนะนำน้ำส้มควันไม้สำหรับไล่แมลงให้ชาวบ้านได้รู้จัก แกบอกว่าเป็นภูมิปัญญาของคนรุ่นทวด โดยให้ควันไฟเผาไม้ในระยะที่กำลังจะเป็นถ่านลอยไปกระทบความเย็นจากหม้อเหล็กใส่น้ำ (ก็จะควบแน่น) ได้เป็นหยดน้ำกลิ่นเปรี้ยวฉุนเกาะอยู่รอบหม้อ ถึงแม้น้ำส้มควันไม้ของตาชมจะมีกระบวนการทำค่อนข้างยุ่งยากและได้ปริมาณน้อย แต่ก็ไล่แมลงได้เฉียบขาดกว่าน้ำหมักใบสะเดาของบุญส่งหลายเท่านัก
บางไร่บางสวนก็ไม่ได้ไล่แมลงตามวิธีการเหล่านั้น ชาวบ้านพบว่า เมื่อไม่ใช้สารเคมีใด ๆ แล้ว แมลงคู่ปรับกับแมลงศัตรูพืชก็เริ่มทำหน้าที่ผู้ล่าของมันได้อีกครั้ง หลังจากเมื่อก่อน พวกมันต้องพลอยรับเคราะห์จากสารเคมีฆ่าแมลงที่เกษตรกรใช้อย่างไม่ยั้งมือ อย่างไรก็ตาม พืชผักก็ไม่ได้รอดพ้นจากแมลงร้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกมันยังคงทิ้งร่องรูบนใบผักให้เห็นอยู่เสมอ ทว่านั่นกลับเป็นจุดขายที่สำคัญของผักที่นี่
ผักมีรูแปลว่าปลอดสารพิษ น้าพรบอกทุกคนอย่างนั้น นั่นเพราะลูกค้าเดี๋ยวนี้ใส่ใจสุขภาพ ผักที่รับมาจากชาวบ้านจึงขายดีเป็นพิเศษ
รายได้เพิ่มขึ้นกับรายจ่ายที่ลดลงทำให้ภาวะหนี้สินของชาวบ้านเริ่มคลี่คลาย พร้อม ๆ กับสภาพแวดล้อมของทุ่ง-ยางยืนที่ค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ น้ำในคลองก็ใสกว่าแต่ก่อน รวมทั้งสัญญาณอันน่ายินดีคือการกลับมาของฝูงนกกระยาง ซึ่งบ่งบอกว่าทุกอย่างในทุ่งยางยืนกำลังกลับสู่ภาวะปกติ
ชาวบ้านที่นี่แก้ปัญหาอย่าง มีเหตุมีผล ทั้งยัง รู้จักความพอประมาณ ด้วยการใช้ทุนเดิมคือสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาเป็นฐานในการประกอบอาชีพ ที่สำคัญ การปฏิเสธลูกตื๊อของพวกเซลล์แมนขายสารเคมีเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านมี ภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง และรู้เท่าทันกระแสทุน เกษตรอำเภอกล่าวกับผู้ใหญ่บ้านและบุญส่งในบ่ายวันหนึ่ง ผมยินดีด้วย วันนี้ทุ่งยางยืนกลายเป็นทุ่งยั่งยืนไปแล้ว
พระอาทิตย์กำลังโบกมือลากับนาข้าว แสงสีทองที่ขลิบเมฆเอาไว้ก็เลือนหายไปในความมืด ราตรีดุจผ้าผืนใหญ่ค่อย ๆ ห่มท้องทุ่งทีละน้อย นกกระยางบินกลับรังไปหมดแล้ว แต่ควายทั้งสองยังคงเล็มหญ้าในม่านสลัวของแสงจันทร์ ใกล้กันนั้นเป็นเงาราง ๆ ของชายสองคนที่นั่งอยู่ริมคันนา
ตอนนี้คนหนุ่มสาวทยอยกลับมาอยู่บ้านเรากันแล้ว ชายชราหมายถึงพวกที่ไปเสี่ยงโชคแดนไกล
บ้านเราไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้วนี่ บุญส่งพูดเสริม กลับมาอยู่กับครอบครัว ปลูกข้าวเลี้ยงไก่ก็พอมีพอกินแล้ว ฉันว่ามีความสุขกว่าจะไปวิ่งไล่ตามความฟุ้งเฟ้อที่ไม่มีวันจบนั่นเสียอีก
ทำไมตอนนั้น เอ็งถึงไม่เลิกทำนาเหมือนคนอื่นเขา ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถาม
จะให้ฉันเลิกได้อย่างไรล่ะ เด็กหนุ่มตอบน้ำเสียงจริงจัง ในหลวงท่านยังไม่เคยจะคิดเลิกเลย
ชายชรารู้สึกเย็นวาบ เขายังจำวันที่ได้รับพันธุ์ข้าวพระราชทานมาแจกจ่ายชาวบ้านได้ดี มีคนบอกว่า ในหลวงทรงทดลองพันธุ์ข้าวในแปลงนาสาธิตด้วยพระองค์เอง เพราะทรงรู้ว่าข้าวคือรากเหง้าและจิตวิญญาณของคนไทย ถ้าคนไทยเลิกปลูกข้าวเสียแล้ว ประเทศคงอยู่ไม่ได้ ทรงทราบถึงความลำบากของชาวนาที่ขนาดพันธุ์ข้าวยังต้องซื้อจากนายทุน จึงทรงทุ่มเทพัฒนาพันธุ์ข้าว เพียงเพื่อให้ราษฎรอย่างเขาได้มีเมล็ดพันธุ์ไว้ทำนาต่อไป
พระองค์ทรงมีที่นาในพระตำหนัก ทรงทำนา และทรงเกี่ยวข้าวด้วยพระองค์เอง แม้จะเป็นถึงพระมหากษัตริย์แต่ทรงเลือกที่จะสัมผัสความเหนื่อยยากอย่างที่ชาวนาทั้งประเทศต้องประสบ ถ้าฉันเลิกทำนาก็คงเหมือนลูกเนรคุณที่ปล่อยให้พ่อเกี่ยวข้าวอย่างเหนื่อยยากเพียงลำพัง !
ความตื้นตันก้อนใหญ่ตีเฮือกขึ้นมาในอกของชายชรา พลันน้ำตาก็รื้นเต็มสองเบ้า ความปิติอย่างถึงที่สุดไหลซ่านไปทั่วร่างของบุญส่ง เด็กหนุ่มก้มลงกราบแทบแผ่นดินของพระองค์ด้วยหัวใจสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น