28 ตุลาคม 2551 13:37 น.
nirvanar-t
คุณกุหลาบเหลืองเป็นรักแรกพบครั้งที่ 2 ของฉัน
หลังจากได้เห็นดอกเล็ก ๆ สีเหลืองของเขาใน Home & Decor
ฉบับเดือน ก.พ. 51 ฉันก็ร้อนใจอยากได้มาอยู่ในฮาเรมลอยฟ้า
เลยบึ่งไปจตุจักร ควักเงินจ่ายค่าเสียหายไป 80 บาท (น่าจะเป็นราคา
มาตรฐานของกุหลาบหนูทั่วไป) ก็ได้เขามาอยู่ในอ้อมกอดหลวม ๆ
(ขืนกอดแน่น...หนามของน้องก็เกี่ยวพี่ระบมซิจ๊ะ)
ก่อนจะใช้ชีวิตร่วมกัน
เรามาทำความเข้าใจกันสักนิดก่อนนะ
"รักจะเป็นต้นไม้ของเรา...ต้องอดทน" (สงสัยจะดู 2499
อันธพาลครองเมืองมากไปมั๊ง)
เพราะฉันจะมาที่นี่เพื่อรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ยให้เธอได้
แค่วันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น
ที่เหลือคงต้องฝากเทวดาเลี้ยงล่ะ...
รักจะอยู่ด้วยกัน ก็ต้องปรับตัวหน่อยนะ
แต่ฉันจะพยายามทำให้เธอลำบากน้อยที่สุด
วิธีการของฉันคือเวลานำต้นไม้ลงปลูกในกระถาง
จะต้องรองก้นกระถางด้วยกาบมะพร้าวให้สูงสัก1-1นิ้วครึ่ง
แล้วค่อยรองด้วยดินผสมที่ปรุงใหม่ เอาต้นไม้ลง
เอาดินโป๊ะนิดหน่อย แล้วปิดด้วยกาบมะพร้าวเปียกเพื่อเก็บความชื้น
จากนั้นหาจานรองกระถางมาวางแล้วก็เทน้ำให้เต็มจาน
ก็คิดว่าน่าจะเพียงพออยู่สัก 4 - 5 วันนะ...
ตอนแรกเราก็อยู่ด้วยกันดี ๆ เขาออกดอกดก ๆ
มาให้ชมได้ 4 - 5 รุ่น ก็เริ่มใบหงิก ใบเหลือง ทิ้งใบ
และไม่ออกดอก ฉันคิดว่าปุ๋ยคงหมด และมีแมลงรบกวน
เลยลองให้ปุ๋ยอินทรีย์จากสะเดา สลับกับปุ๋ยจากพืชตระกูลถั่ว
แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้น...
แทนที่ฉันจะเอาใจใส่เขาให้มากขึ้น ...
กลับไปเที่ยวหาต้นไม้ใหม่ ๆ เข้ามาไว้ในฮาเร็ม
และในทีสุดฉันก็แทบจะลืมว่ามีเขาอยู่...ตรงนั้น
แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ฉันแทบลมใส่...
จู่ ๆ ก็มีเห็ดดอกเบ่อเร่อโผล่ออกมา
ในกระถางคุณกุหลาบเหลืองนั่นเอง ...
ชูช่อบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นคล้ายเห็ดฟางตลบอบอวล
ไม่ได้การแล้ว!...
ฉันรีบบรรจงถอนเขาขึ้นมา
พบว่าราสีขาวทอเส้นใยไปทั่วดินและรากฝอย
ฉันจึงพยายามขูดมันออกจากรากฝอยของเขาให้หมด
แล้วก็ปรุงดินใหม่ ใส่กระถางใบใหม่
อัญเชิญเขาไปสถิตย์ในนั้น สัปดาห์หน้าฉันจะให้ยาฆ่าเชื้อรา
พร้อมกับหวังว่า...เขาจะให้อภัยฉัน
และรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายในการขับเคลื่อนชีวิตต่อไป
ถึงตอนนี้ ทุกอย่างกำลังดีขึ้น
แต่ก็ไม่อาจลบล้างความรู้สึกผิดที่ได้ละเลยต่อสิ่งมีชีวิตหนึ่ง
ขอโทษนะ...คุณกุหลาบเหลือง
ทั้ง ๆ ที่เธออยู่ตรงหน้าฉันแค่นี้
กลับเป็นฉัน...ที่ปล่อยให้เธอต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้าย
โดยลำพังคนเดียว...
ฉัน...เสียใจ...
27 ตุลาคม 2551 13:01 น.
nirvanar-t
เคยมั๊ยที่ได้ยินเพลงบางเพลงลอยมาตามสายลมแล้ว
ทำให้เราฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ...
ฉันเป็นอย่างนั้น...
ฉันเรียกมันว่า "เพลงของเรา"
ฉันมี "เพลงของเรา" กับต้นไม้เกือบทุกต้น
Annie's song ที่ทำให้ฉันนึกถึง คุณมะยมด่าง
เพลงที่พริ้วไหวด้วยน้ำเสียงและคอร์ดกีตาร์เบาสบาย...
เหมือนพุ่มใบกลมที่ไหวไปตามระลอกคลื่นของสายลม
ลอยสูงขึ้นไป...พาใจเราให้ล่องลอยไปอย่างเสรี...
ทุกสิ่งบนโลกนี้ดูเล็กราวเท่าหัวไม้ขีดไฟ...
ในขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าได้ยินเสียงครางเบา ๆ อย่างพอใจของเขา
ฉันเชื่อว่าต้นไม้ทุกต้นมีชีวิตและความรู้สึกเหมือนกับคน
พวกเขามีวิธีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคนที่แตกต่างกันออกไป
และสามารถรับรู้ความห่วงใยของเราได้
จากการพูดคุยและสัมผัสอ่อนโยนทะนุถนอม
เมื่อเขาสบายใจและมีความสุขมากพอ
เขาก็จะแสดงออกด้วยการแตกใบใหม่ ผลิดอก ออกผลที่สวยสมบูรณ์
เมื่อสายสมพัดลอดผ่านใบ เขาก็จะร้องเพลงคลอออกมาอย่างมีความสุข
บางครั้งเมื่อเดินสังเกตไปตามข้างทาง
ต้นไม้ที่น่าสงสารบางต้นกลับเต็มไปด้วยใบและดอกที่พิกลพิการ
ทั้งที่ไม่เห็นมีแมลงรบกวนให้เห็นสักตัว
นั่นเป็นวิธีการที่เขาบอกเราว่า
ไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว เพราะไม่มีใครสักคนที่ใส่ใจเขา...
ฉันอยากเห็นคนไทย ใจดีกับต้นไม้ให้มากกว่านี้
รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย สัมผัสเขาอย่างอ่อนโยน
และมอบบทเพลงที่ทำให้คุณนึกถึงเขา
มันคือ "เพลงของเรา"
เมื่อคุณนึกถึงมันในช่วงเวลาที่รู้สึกแย่ ๆ
หัวใจคุณก็จะอุ่น...
และอยากลุกขึ้นมาทำอะไรดี ๆ เพื่อโลกใบนี้...
21 ตุลาคม 2551 11:27 น.
nirvanar-t
คิดว่าทุกคนคงเจอเรื่องประสาทแดกกันมาแล้วตลอดวันทำงาน
ตั้งแต่คุณตื่นเช้า จวบจนหัวถึงหมอน
คุณเคยคิดถึงการทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งให้กับตัวเองหรือไม่
นั่นก็คือการสร้างความสุขให้กับตัวเองสัก 1 ครั้งเป็นอย่างน้อยใน 1 วันไง
ขณะนี้ฉันพบว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อหามาก็ได้ ...
แค่ปรับแนวคิด มุมมอง ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ต่อสิ่งที่อยู่รายรอบตัว
เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีมีคุณค่าเกินกว่าจะเสียไปกับความซึมเซา เหงาเศร้า
สำหรับฉันคิดว่า ไม่รู้ล่ะ...4 โมงครึ่งแล้ว ฉันจะปิดลิ้นชักเรื่องงานล่ะนะ
ต่อไปนี้คือเวลาแห่งความสุขของฉัน ว่าแล้วก็นั่งรถกลับไปเซฟเฮ้าส์ส่วนตัว (ซ่องโจรของเรา)
เปิดเพลงเพราะ ๆ ที่ชอบสร้างบรรยากาศรอบตัวให้แจ่มใส
ค่อย ๆ ละเลียดกับรสชาติอาหารแสนอร่อยที่ซื้อมาจากหน้าปากซอย
ดูแสงสวย ๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังโบกมือลา
แล้วก็นั่งชื่นชมความงามของเจ้ากุหลาบหนูน้อย ๆ ที่กำลังแตกตาใหม่
บ้างก็ผลิดอกเล็ก ๆ น่ารักน่าเอ็นดู...
พระเอกของสวนนี้คือมะยมด่าง ที่เต็มไปด้วยใบกลมๆ เล็ก ๆ น่ารัก
คอยสั่นไหวราวกับดีใจที่ฉันอยู่กับมัน
แล้วฉันก็รดน้ำ ให้ปุ๋ย เก็บใบเสียทิ้ง รวมถึงพูดคุยกับมันด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน
เราต่างซึมซับความสุขของกันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ
เวลา 2 ชั่วโมงแห่งความสุขผ่านไปไวเหมือนโกหก
แถมท้ายด้วยความรู้สึกดีกับตัวเองอย่างประหลาด
มันเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเอง เป็นตัวเอง และทำอะไรเพื่อสิ่งอื่นอย่างเต็มใจจริง ๆ ...
บางครั้งสิ่งที่คิดไม่ออกมาตลอดวัน ก็ผุดคำตอบขึ้นมาเองจนแทบจะคว้าปากกามาจดไม่ทัน...
เมื่อเรากลับถึงบ้าน...ความสุขนั้นยังคงอยู่ ได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...
นอกจากคืนนี้ฉันจะหลับอย่างมีความสุขพร้อมรอยยิ้มให้กับตัวเอง...
20 ตุลาคม 2551 10:19 น.
nirvanar-t
คนส่วนใหญ่มักไม่อยากคิดถึงความตายและการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก...เพราะจินตนาการไม่ออกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ยังไง
แต่สำหรับต้นไม้ใหญ่ในป่า การตายของมัน ไม่อาจเรียกว่าเป็นเรื่องเศร้าได้เต็มปาก...
มันเป็นเรื่องของเวลาและสภาวะที่เหมาะสม
เป็นเรื่องของการเปิดทางให้แสงแดดสาดส่องลงมามีส่วนร่วมในการสังเคราะห์อาหารภายในใบสีเขียวเล็กๆ ของต้นกล้าน้อย ๆ
เพื่อรอเวลาที่วันหนึ่งมันจะเติบโตสูงตระหง่านดังเช่นบรรพบุรุษของมัน
เมื่อซากของไม้ใหญ่ค่อย ๆ ผุพัง ย่อยสลาย
มันคือการคืนธาตุอาหารกลับสู่พื้นดินที่มันถือกำเหนิดขึ้นมา
แล้วชีวิตเล็ก ๆ อีกนับร้อย นับพัน ก็เบ่งบานงอกงามบนซากเน่า ๆ นั้น
ไม่มีอะไรสูญเปล่าเลยสำหรับการตายอย่างธรรมชาติของต้นไม้ต้นหนึ่ง
แล้วมนุษย์ล่ะ?
17 ตุลาคม 2551 09:46 น.
nirvanar-t
เมื่อหลายวันก่อน เพื่อนสนิทคนหนึ่งโทรมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกสุดขีด
ด้วยมีน้องงูตัวยาวเกือบเมตร มานอนซุกตัวอยู่เงียบ ๆ ที่กะบะวางต้นไม้
โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ แต่เจ้างูกลับโชคร้าย "ชะตาขาด"
ถูกลุงยามตีตายที่หน้าบ้านเพื่อนฉันนั่นเอง เล่นเอาเพื่อนฉันประสาทกินไปทั้งคืน
ฉันนึกแล้ว ว่าวันนี้มันจะต้องมาถึง ก็จะไม่ให้น้องงูเข้าบ้านมันได้ไงล่ะ
มันเล่นกว้านซื้อต้นไม้สารพัดชนิดมาวางกอง ๆ ไว้กับพื้นเสียมืดทึบไปหมด
รู้มั๊ยว่างูมันชอบจะตาย!
วันรุ่งขึ้นฉันจึงไปช่วยเพื่อนจัดสวนเสียใหม่ แนวความคิดในครั้งนี้คือ "สวน
แนวตั้ง" ไปถึงก็ปาเข้าไปเที่ยงแล้ว
ดีที่มันแยกประเภทต้นไม้ชอบแดด ชอบร่ม ไม้กระถางเล็ก กระถางน้อยไว้ให้บ้างแล้ว
จึงสามารถลงมือทำได้เลย เมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นไม้กระถางที่ชอบแดดอย่าง
ต้นหลิวไต้หวัน เข็มเหลือง หัวใจม่วง ประมาณ 30 กว่ากระถางได้
ฉันเลยจัดการเอาลวดมาร้อยกระถางแล้วเอาขึ้นไปพันไว้ที่ด้านนอกระเบียงบ้าน
ซึ่งได้รับแสงทั้งวัน แถมเวลารดน้ำก็จะไม่มีเศษดินให้เลอะเทอะระเบียงด้านใน
อีกด้วย ผลออกมาสวยงามโดนใจมาก ๆ เมื่อมองขึ้นไปแล้ว ดูอ่อนหวาน สมเป็นบ้านของหญิงสาว บ้านดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกจมหู!
ถึงเวลามาจัดการกับมุมหลังบ้าน โอ๊ะ โอ๋...ไอ้บ้านี่เล่นเอาต้นเฮลิโคเนียวางไว้ในร่องระบายน้ำอย่างนั้นเลย
ดีนะที่ท่อไม่ตันซะก่อน ไม่งั้นน้ำเสียได้เอ่อท่วมขังให้อนาถใจเป็นแน่
พอยกกระถางขึ้นมา
โอ้โห...น้องไส้เดือนน้อยกำลังเต้นระบำอย่างร่าเริงเลย
แต่จะว่าไปมันก็มีประโยชน์นะ...ฉันแนะนำว่าน่าจะเลี้ยงไว้ในกะบะ
ให้มันช่วยย่อยเศษใบไม้ที่มีเยอะแยะ และขึ้ไส้เดือนก็เป็นปุ๋ยชั้นดีเลยล่ะ
แต่เพื่อนของฉันกลัวและขยะแขยงเกินกว่าจะเห็นประโยชน์ของมัน เล
ยต้องทิ้งไป
ฉันจึงเอาเฮลิโคเนียมาใส่กะบะไม้รวมกัน ทำความสะอาดร่องระบายน้ำ
และทำให้มันโปร่งโล่งที่สุด เพื่อให้แสงแดดช่วยส่องลงมาทำความสะอาด
เอาไม้กระถาง 2 ใบมาแขวนไว้ห่าง ๆกัน ผลคือเราได้มุมหลังบ้านที่ดูโล่งสะอาด น่ามองขึ้นเยอะ
มาถึงส่วนหน้าบ้านเราก็ช่วยกันเอาตะแกรงสีเขียวสูงประมาณเอว
มาขึงตรงประตูเป็นแนวยาวตามประตู เพื่อกันงูเลื้อยเข้ามาอีก
แล้วเลือกเอาเฉพาะต้นไม้ต้นใหญ่วางไว้ไม้กี่ต้น อย่างคล้าน้ำ หมากเขียว ว่านช้างกระ
แซมด้วยเดหลี กนกนารีบ้าง โดยพยายามทำให้ช่วงพื้นโล่งที่สุด
เพราะถ้ามีงูเข้ามาอีกจะได้เห็นช้ดๆ (แล้วหนีทันไง)
สำหรับไม้กระถางที่วางในร่มได้ เช่น ไผ่เงิน ไผ่ฟิลิปปินส์ กำแพงเงิน เดป
ก็จัดการเอากระถางมาพันลวดแล้วแขวนกับประตูรั้วและช่องลมบนกำแพงเสียเลย
สวยงาม โปร่งตา แต่ก็เป็นส่วนตัว และให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนเดิม
ส่วนหน้าบ้านที่อยู่นอกรั้วต้นไม้กระถางใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เช่น ฤาษีผสม
ลั่นทม บุหงาส่าหรี เฟื่องฟ้า เอื้องหมายนา เฟินอเมซอน เพื่อนฉันตัดใจเอาไปฝากไว้ที่อื่นไม้ได้ จึงได้แต่เคลื่อนต้นไม้ออกมาแล้วทำความสะอาดพื้น ตัดกิ่งก้านที่ยาวระเกะระกะออก แล้วก็เคลื่อนกลับ ต้นไหนเฉาเราก็เอามาให้ได้แสงแดดกับเขาบ้าง ที่จริงแล้วในส่วนนี้ไม่ควรมีต้นไม้มากเกินไปนัก เพราะน้องงูอาจจะมาซุ่มตัวอยู่เงียบ ๆ อีกก็ได้นา....
เวลา 6 ชั่วโมงผ่านไปพร้อม ๆ กับความเหนี่อยล้า แต่เมื่อได้นั่งพักและดูผลงานแล้ว ก็พอใจในระดับหนึ่งนะ ถึงกระนั้นเพื่อนฉันมันก็ยังไม่กล้าออกมานั่งหน้าบ้านอยู่ดี ฉันจึงเอาไฟราวมาขดกับสแตนเหล็กดัด เพื่อสร้างมิติและความน่าสนใจให้สวนในยามค่ำคืน อีกอย่างงูมันคงไม่ชอบแสงในตอนกลางคืนนักหรอก...
เฮ้อ...ไม่รู้ว่ามันจะทำใจออกมานั่งชมสวนได้หรือยัง
แต่ที่แน่ ๆ มันคงเลิกบ้าขนซื้อต้นไม้มาวางสุม ๆ ไว้อีกแล้วล่ะ