26 พฤศจิกายน 2547 12:06 น.
nava
ไม่มีข่าวจากข้าฯ คนไกล
ย่อมรู้ภายใน
อาจพรั่นหวั่นไหวนานา
มีบางสิ่งซึ่งบางครา
บีบโบยดวงตา
เข่นเฆี่ยนหับห้องแห่งใจฯ
ระหว่างความจริงแสนไกล
ทางห่างวางไว้
เจ้ารู้เพียงใจพบพาน
ห้วงแห่งแต่งดอกไม้บาน
บทเพลงขับขาน
เราเอื้อมใจไว้พบเจอ
ยื่นมือซื่อใส เสมอ
ศรัทธาเลิศเลอ
สายใย-พันธนาการ
พ้นผ่านคืนผันวันวาร
มิกร่อนรอนราน
เติบก้านแตกกอหน่อพันธุ์
หน่อเนื้อแห่งความผูกพัน
เมล็ดแห่งรัก-ปัน
สืบสร้างทางกั้น-เดียวดาย
จดจำถ้อยคำ-ผ่อนคลาย
ริลเค* กล่าวปราย
โดดเดี่ยวเพื่อจะเคี่ยวกรำ
เจ้าคือมิติจดจำ
ในความลึกล้ำ
ดำรงในเนื้อแห่งใจ
ลึกซึ้ง ลงซาบอาบใน-
รื่นอุ่นกรุ่นไอ
ไม่มีวันจบลบเลือน
โดยทางใดทอด-บิดเบือน
ชะตา-ปีเดือน?
ผันผ่านเพียงห้วงเวลา
ล้วนเจ้าในทุกอณูกายา
กระทั่งดวงตา
กระแสแห่งเลือดไหลวน
โดยลมหายใจปริ่มปน
ทุกแห่งทุกหน
เงาเจ้ามิเคยจากจางฯ
สอง
โดยยิ้มกริ่มภาพวาดวาง
แพรรุ้งปรุงค้าง
ดั่งม่านแห่งเจ้าพลิ้วทอ
ภาพเขียนเจ้าเนียนลออ
ในภาพเจ้าทอ
หัวใจต่อลมทักทาย
ความฝันเจ้าปั้นมากมาย
ดวงใจพริ้มพราย
ต่อโลกต่อร้อยสร้อยใจ
ค่ำคืนยืนยันฝันไฟ
ปลายทางยาวไกล
ล่วงในจุดหมายปลายฝัน
เรียนรู้สู่สร้างทางนั้น
ด้วยศรัทธามั่น
ด้วยความตั้งใจแต่ต้น
ฝันเถิดเปิดไปไขว่ค้น
แรงใจจากคน-
ไกลยังจักได้วักเติม
ขอเจ้าอย่าท้อก่อเริ่ม
บางคำซ้ำเติม
แปรเป็นแรงง้างสร้างงาน
คนเราโตด้วยผลงาน
นิ่งเนาเบ่งบาน
สายธารรอเจ้าแล่นลอย
อาจรอยผ่านแดนแสนรอย
คลื่นกาลผ่านคอย-
เก็บรอยเก่าไว้ได้ชม
หวังให้ใจเจ้ารื่นรมย์
บ่มเพาะอารมณ์
อันร่ำด่ำลึกซึ้งรอ
เจ้าแกร่งบนทางสร้างทอ
พินิจรอยต่อ
แห่งโลกความจริงนิ่งงัน
บรรเจิดเฉิดที่นิรันดร์
ปรายใจไปฝัน
ซื่อตรงต่อหัวใจตน
25 พฤศจิกายน 2547 16:34 น.
nava
หนึ่ง
ริ้วลมห่มพรูสู่ระเบียง
เคียงทาบภาพแท้ของเวลา
โดยจิตรกร ชาวนา
จรดลีลาลงผืนดิน
ป้ายเขียนเนียนสีที่เนียนใส
พลิ้วไหวใบค้อมหอมถวิล
ร่มระเบียงพรูพรมลมระริน
กระไอดินกลิ่นรายปรายธาร
โดยแรงแห่งใจได้สร้าง
วางวิญญาณนานนับขับขาน
ภาระในภาระคือเนื้องาน
มือสร้างวางสู่ ฤดูดาว
รวงอ่อนยิ้มอวดซอด* ออก
ชุ่มหมอกชื่นหม่นปรนหนาว
น้ำค้างวางเกร็ดเม็ดพราว
ขาวหมอกพรางตะวันวัยเยาว์
รายรวงท่วงทีที่ยืน
ยิ้มชื่นหมื่นช่วงรวงเช้า
โอนไหวแผ่วลมพรม-เกลา
กล่อมวัยไกวเงาเคล้ารวง
สอง : ฤดูกาลแห่งลมห่มรวง
ฤดูกาลแห่งลมห่มรวง
ในทีมีท่วง-
ทำนองของเพลง-สายลม ฯ
สีทองสาดทาทุ่ง-ลม
รูปเงาแห่งคม-
หรือฝีแปรงแห่งจิตรกร
ฟ้าแต่งแสงสรรพ์อันอ่อน
เพลงทุ่งเว้าวอน
อ่อนหวานอย่างมิเดียงสา
พริ้มงามผ่านเสี้ยวเวลา
เปลวใดได้พา
ความงามมิลาห่างไป..ฯ
แสงเงาเย้าพราว ยาวไกล
ผืนแดนแผ่นใด
ผืนใจผู้ใดปรี่เต็ม
ฟ้าฉวยแดดฉายปรายเต็ม
ท้องทุ่งอันเข้ม
ครึกครื้นหมื่นพันแสง-เงา
ชายหมวกพลิกพลิ้ว-ซีดเก่า
โดยแดดแผดเร้า
กร่อนเกลาวิถีแห่งทาง..
24 พฤศจิกายน 2547 05:53 น.
nava
มือน้อยๆจับพับจีบพร้อย
เป็นรูปริ้วรอย
นกน้อยกระดาษขาวขาว
ดวงใจดวงน้อยสีขาว
รับรู้เรื่องราว
ว่าบ้านเมืองร้าวดั่งคนละประเทศ
พ่อหนูไปอยู่ร่วมเหตุ
เป็นรั้วของประเทศ
ดั่งเขตสงครามแห่งเมือง
ใจดวงน้อยว้าวุ่นครุ่นเคือง
ไม่รู้ซึ้งราวเรื่อง
รู้แต่เพียงไทยคร่าไทย
เด็กน้อยเหน็บหนาวภายใน
โลกคงโหยไห้
ดั่งสิ้นไร้ใครจะรัก
พ่อจ๋า..พ่อหนูหน่วงหนัก
หน้าที่อันรัก
เถิดพ่ออย่ากรีดพรากฝัน-
ลมหายใจผู้ใดทั้งนั้น
ความรักแบ่งปัน
แม้ต่างฝัน-อุดมการณ์
นกกระดาษ-คำอธิษฐาน
หัวใจจักขาน
วาดหวังพรั่งสันติภาพ
โลกจ๋า..อย่าให้สันติเป็นเพียงภาพ
ความจริงแดงอาบ
คลุ้งคราบเลือดเนื้อเชื้อไทย
ผืนดินถิ่นแดนแผ่นใด
ฤๅอุ่นเท่าไทย
ไยไทยเข่นฆ่ากันเอง..
7 พฤศจิกายน 2547 23:05 น.
nava
ค่ำจะเกลา
เพื่อคร่ำผ่านการเย้าของเช้าหวน
แผ่วรำลึกตรึกผ่านกาลอุ่นอวล
เนิบช้าว่านุ่มนวลล้วนเชื้อเชิญ
กี่หยาดซาบ
อาบเพื่ออิ่มปริ่มอยู่ดูผิวเผิน
หมายเพลงกู่-ฝากฝังยังหยอกเอิน
แท้แต่การเผชิญที่เงียบงัน
สะท้อนเงาวอมไอไฟตะเกียง
หรุบหรู่อยู่เพียง-เสียงดาลฝัน-
ลู่ลมหนาวกราวมาฝ่าคืนอัน-
เวิ้งแห่งฟ้าแสงจันทร์มิสาดทา
เสี้ยวมุมนี้ที่พักพิง
ถามหัวใจหนีความจริง-รึ! ปรารถนา
ไร้คำตอบเงียบกริบ-ชีวิตชีวา
ยังแต่ความโหยหา-เบื้องลึกใจฯ
ขนำ นี้มีแสงดาว
กล้วยไม้นิ่งหนาว-ลมไกวไหว
หอมรวงข้าว-ราวรวงโชยห้วงไกล
รอคมเคียวมือกร้านใดมาโน้มกำ.
6 พฤศจิกายน 2547 23:09 น.
nava
แต่ละหยด
กลั่นจากความหมดจดจนสดใส
แต่ละหยาดหลอมรวมละออง-กระไอ
บ่มอยู่ในท่วงท่าของนาที
พรมรื่นชื่นรางหลังคาหญ้า
ห้อยช้อยชายคาปลายหญ้า-สี
วับ ขับ จับเสี้ยวแสงแห่งราตรี
ซบใบนี้ พรมที่กลีบดอกนั้น
ทีละหยด ละ- หยาดวาดสั่งสม
ปรนชุ่ม ชุ่มพรมปวงดอกฝัน-
กระจิริดนิดน้อยค่อยก่อพันธุ์
โลกกว้างฤาจะกั้นการเติบตน
เช่นนั้นต่างมีวิถีวาง
แม้ดอกหญ้าริมทางที่ต่างหน
ยังหยัดงามตามทางวิถีตน
มิเคยงอกดอก, ผลของต้นใด
แม้นจักเพียงตะไคร่ในความชื้น
มิวาดหวังเป็นอื่นได้พลิ้วไหว
เพียงตัวตนนิ่งเงียบไร้ดอก-ใบ
ด่ำหยดน้ำได้พรำมิคร่ำครวญ