8 กันยายน 2547 12:17 น.
nava
หนึ่ง
เอนไหวในลมเช้า
สดฉ่ำพราวน้ำค้างใส
ทุ่งข้าวพลิกพลิ้วใบ
ในแสงเงาของเช้ามัว
เวิ้งฟ้าเมฆหนา-บด-
บังแสงสด-ทอสลัว
พรานเบ็ดเร่งรี่รัว
กู้เก็บเบ็ดตามคันนา
พึมพำ พร่ำเดียวดาย
ปลามากมาย..ไม่มีตา!..
เหยื่อเหย่อยังค้างคา
ปักทั้งคืนไม่มากิน
ตีเบ็ดสะบัดเหยื่อ
หญ้ารกเรื้อ-พาลเบื่อสิ้น
ตา-ใจไม่ยลยิน
วิถีเช้าแห่งทุ่งทอ
สอง
ฉันคือชาวนากรำกร้านพอ
รอยทางที่ต่อ
วิถีพันธะจากบรรพ์
โดยจิตวิญญาณดาลฝัน
ดวงใจได้จรร-
โลงห้วงบางห้วงชื่นบาน..
ผืนดินถิ่นเกิดเพริศ-กาล
ดาว-จันทร์-ตะวันขาน
ฤดูอันร่ำด่ำชม
เลาะเลียบคันนา-น้ำฟ้าพรม
พลิ้วพราย-สายลม
ในเช้าอันหมดจดสรรพ์
ข้าวเขียวเติบคืนชื่นวัน
คลองน้ำแบ่งปัน
หล่อเลี้ยงต้นข้าว-ยิ้มใส
โดยแรงแห่งกาย,หัวใจ
ดินแดนแสนไกล-
จากห้วงแห่งเมืองเฟื่องฟู
ปิติในสายลมห่มพรู
ชื่นชม-เป็นอยู่
วิถีแห่งทุ่ง - รุ้งทอ.
สาม :ห้วงแห่งการรำลึก
รึ..จะผ่านเพียงแผ่วแล้วหนอ
ในการรั้งรอ
เพียงพอ-พานพบถ้อยคำ
สักถ้อยรอย กวีลำนำ
ใดเธอ-ไม่จดจำ
ฉันจะไม่ช้ำย้ำใจ
อยากถามเธอสบายดีไหม?
บนทางสายใด?
เธอได้ย่ำเท้าก้าวเดิน
ทิวข้าว-ลมระลอกหยอกเอิน
เธอเคยอยากเดิน
ท่องทุ่งอันฟุ้งกลิ่นไอ
ห้างนาร้างเงียบกระไร
โดยความเป็นไป
อันขื่นค้ำคอท้อ ถึง
ฉันรู้ใจเธอไม่พึง
รับได้สักหนึ่ง-
แห่งเสี้ยวส่วนใจได้เลย..
6 กันยายน 2547 22:09 น.
nava
๑
ลมวูบจูบพรมเส้นผม พลิก
ท้องน้ำระริกระรี้ ไหว
แผ่วซ่านผ่านซมสายลมไกว
แผ่นน้ำยวบไหวไล้ฟองฟาย
ดวงแดดซ่อนหับ-ผืนเมฆกลบ
ริมน้ำร่ำ สงบ ของยามสาย
เลียบถนนร้างผู้คน-ความวุ่นวาย
คนจรนั่งทักทายสายลม-บทกวี
เรือถีบเดียวดายในเวิ้งน้ำ
หนุ่มสาวฝากคำมิหน่ายหนี
เห็นสาวน้อยเขินอายอยู่ในที
เขวี้ยงแขนถี่ถี่ จนลิบไกล
๒
ท่องกวี หากโลกนี้ไม่มีเจ้า
เวิ้งน้ำ ฟ้า พาเศร้าเงาไม้ไหว
อินทนิล ยิ้มโบกโยกเยกใบ
เหมือนจะย้ำเย้ยใจของคนจร
๓
เมฆกู้ม่าน ฉายแดดจับท้องน้ำ
พริบพรายสีแดดสะท้อนวิบวับ
สายถนนเลียบบึงหนุ่มสาวเดินคล้องแขน
ลมวูบหนึ่งหอบแผ่นงานกวีฉันไป
หนุ่ม-สาวไล่ตะครุบ ยื่นให้แนบรอยยิ้ม
ขอบคุณครับฉัน.ยื่นยิ้มให้..ดุจเดียวกัน
ท่ามกลางความพลุกพล่านวุ่นวายของ
จักรกลยนตรกรรมแห่งเมือง..
เมืองที่โอบล้อมบึงกว้าง
บึงน้ำสงบงาม ทิวทัศน์ภาพวัด เจดีย์ตัดรับกับริมน้ำสวยงาม
คนจรเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในทรงจำ.เก็บงานกวีลงเป้
สะพายขึ้นหลังเดินจากไปด้วยดวงตาชื่นบาน
แต่ภายในคิดถึงใครบางคนเหลือเกิน.
..................
ริมบึงแก่นนคร เทศบาลนครขอนแก่น
๖กันยายน๔๗
4 กันยายน 2547 12:52 น.
nava
อย่างไร..เถิด ทรงจำอันแสนดี
ฉันยังเคยมีและคงใจ
ย่อมมิยอมจักเสียใจ
หากทางเดินเธองดงาม
ยังยิ้มต่อความงามที่ผ่านเลย
อวลอยู่มิรู้ระเหย-เอ่ยถาม-
ทรงจำอันอุ่นกรุ่นบาน
ขับขานเพลงเก่าคลอเคล้าใจ
เก็บไว้ในใจให้ร่ำอบ
มิโรยล้างลบ-พร่าไหว
พลิ้วอยู่พริ้มอย่าง-กว่าทางใด
ในสักเสี้ยวแดนที่แสนดี
มิเป็นไร..แม้เธอไม่ใส่ใจ
ยังคงความอุ่นใน การร้างหนี
ฉันยังคงครุ่นคำนึง-ทุกนาที
ขอเธอสู่วิถีที่แสนงาม..
ไม่เจ็บปวดเลยที่เธอลา
เพียงแค่หยาดน้ำตามันย้อนหยาม
แต่ก็กรุ่นสุขใจในช่วงยาม-
ได้เปิดดูถ้อยความจากคำเธอ
ด้วยลายมืออัน ยิ้ม - ตรง
ร้อยเรียงรูปทรงสม่ำเสมอ
กลั่นจากกล่องใจอันเลิศเลอ
ต่อฉันผู้เพ้อเจ้อ เพ้อใจ
จดหมายถึงกวีหนุ่ม โดยลุ่มลึก
ปาฏิหาริย์บันทึกรัก ชื่นฉ่ำ,ใส
บทกวีชั่งกิโล - ละมุนใจ
พลิ้วผ้าผวยถักใยจากใจเธอ.
2 กันยายน 2547 20:00 น.
nava
นาทีนี้แล้วชีวิต
ครุ่นในความเป็นมิตรจะสื่อสรรค์
รุ้งทอร้อยทาง หว่างตะวัน
โดยแดดแต่งสรรค์ละอองอณู
ที่ดวงใจได้วาดวาง
เจื่อนร้างค่อยคว้างห่างรู้
ลึกลง-ร้างในใจใคร่ดู
เห็นความหดหู่อยู่อึงอล
หนอเกินทอถ้อยคำดำรงได้
อาจมิใช่บาดแผลแปรค่าผล
อาจมิรู้ชัดแจ้งแสดงตน
เท่าที่เป็นเช่นที่ทนสับสนใจ
นาทีนี้แล้วชีวิต
ถ้อยคำแห่งมิตรจักหลับใหล-
กับวันคืนขื่นคร่ำตอกตำใจ
ปวดร้าวได้จะเก็บไว้เอง
/font>