25 มิถุนายน 2547 16:59 น.
nava
มิติซึ่ง ณ ที่หนึ่งที่ใด
แจ้งชัด ลมหายใจได้เติมอุ่น
หอมเถิดหนอหอมพอต่อละมุน
สุนทรีย์ที่อุ่นอันคุ้นเคย
ยังแต่ความยินดีได้ปรีดา
ล้วนแต่ความศรัทธามาเปิดเผย
วิถีใฝ่ใจฝัน มิผันละเลย
ยังตอกย้ำวันเคยได้เอ่ยชม
บางความหวาดกลัวหัวใจใด
มิตรภาพสลักในหัวใจห่ม
กลับหวาดใจในประจักษ์ที่วักชม
มิกล้าแม้ปรายคมคำทักทาย
วางความหวาด-วาดกลัวไว้เบื้องหลัง
ณ คลื่นฝั่งยังคนค้นความหมาย
เราต่างมาพานพบเพื่อเดียวดาย
ผิดหรือมือตะกายคว้ามือใคร
ยังมีอีกหลายมือจะยื้อยื่น
จากมุมเหงา เศร้าอื่น-ทุกคืนใหม่
เถิดธารมิตรแห่งมิติอันกว้างไกล
สัมผัสเงาด้านในไร้พรมแดน
เพื่อจะยื่นมือรับกับผองมิตร
เพื่อร่วมเขียนชีวิต แม้ไร้แก่น-
เถิดสายตาสาธารณ์ อย่าหมิ่นแคลน
เดินพ้นด่านผ่านแดน-ธรรมดา
ในอุ่นอิ่มพริ้มใจได้ฝัน, ฝาก
มิติแห่งฝั่งฟาก ปรารถนา-
เห็นผลงานผ่านคร่ำเคี่ยวกรำมา
จิตวิญญาณน้อยค่ามิกล้าเคียง
แต่ยินดีกับที่ทางปักวางอยู่
ได้ขีดเขียนเรียนรู้กู่ส่ำเสียง
แม้เช่นเพียงหริ่งหรีดกรีดสำเนียง
กล่อมทางรก ปรกเคียงระงมเงา
เพียงพอต่อหัวใจใต้ดาวอุ่น
พอเพียงจะละมุน-เคยคุ้นเหงา
อาจเป็นได้ เพียงภาพที่ทาบเงา
อันบิดเบี้ยวแหว่งเว้าใต้เงาดาว.
.
๑๘มิถุนายน ๔๗
18 มิถุนายน 2547 06:08 น.
nava
หนึ่ง..
เอื่อยลอยอ่อนลำมุ่นควัน
เตาไฟ-ปรุง,ปัน
หอมข้าวกรุ่นหม้อ-พอหิว
นอกชาน-พงหญ้าพลิกพลิ้ว
ท้องทุ่งคุ้งทิว
กล้าข้าว..อาบตะวันยามเย็น
แสงอ่อนซ่อนอุ่น-คุ้นเห็น
สายลม ริก เล่นฯ
อ่อนหวาน อ่อนหวาน ม่านฟ้า-
แสด,ม่วง ท่วงที- มิถุนา
แต้มสีฝั่งฟ้า
อ้อยส้อย พร้อยแสงแต่งพลบ
สอง..
มาสิ! ราตรี คลี่คลุม
จันทร์ฉายปรายชุ่ม-ชุ่มพลบ
ฟ้าโปร่งโล่งปริ่ม-ยิ้มกลบ
มีใจไม่จบ-พบพาน
ดาวร้อยดั่งรักจักร้อย
ยามเย็นจักคล้อยคล้อยผ่าน
ฝากรอยทรงจำ-ชื่นบาน
ดวงตาพริ้ม-อ่านงานกวี
..................