20 พฤศจิกายน 2546 16:31 น.
maruko_sos
หากจะทำอะไร ฉันมักจะทำมันอย่างตั้งใจ เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด...คุณรู้
ช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยเจอกัน
ช่วงเวลาที่ฉันเคร่งเครียดอยู่บนช่วงเวลาเดียวกับที่คุณกำลังสนุกสนานเฮอา
บางครั้งฉันรู้สึกว่าฉันปล่อยคุณไว้ลำพัง
ฉันทำหน้าที่คนรักได้ไม่สมบูรณ์
แต่ถึงอย่างไรฉันก็ทิ้งคุณไว้กับเพื่อน
ให้คุณสนุกสนานเฮอาได้ตามประสาผู้ชาย
แค่ช่วงเดียวเท่านั้น
แล้วเราจะกลับมาเป็นปลาท่องโก๋กันอย่างเดิม
ฉันนั่งทำงานอยู่ในร้านนม ร้านประจำของเรา
คุณมักบ่นว่าร้านนี้ขายนมแพง
ที่จริงเรามีร้านที่ประจำกว่านี้ แต่ร้านนี้เขาแต่งร้านสวยและเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
กระจกใสๆหน้าร้านช่วยให้สมาธิของฉันดีขึ้น
กระจกใสนั้นกั้นกลางระหว่างความเงียบภายในและความอึกทึกครึกโครมภายนอก
ทุกครั้งที่ฉันล้า ฉันจะเงยหน้ามองรถราที่แล่นผ่านไปมาหน้าร้าน
รถมันแล่นเฉยๆโดยปราศจากเสียงเครื่องยนต์
บางคนที่เดินผ่านหน้าร้านจะสบตากับฉัน เพราะฉันกำลังมองตาเขาอยู่
หญิง-ชายบางคู่จะควงกันมานั่งคุยกันในร้าน
พวกเขามองโต๊ะรกๆของฉันแล้วเมินหน้าไม่สนใจ
ฉันก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาสนใจมากๆ
รถราแล่นผ่านไป-มา
คนหลายคนเดินผ่านไป บางคนไม่เดินกลับมา
แล้วเสียงกระดิ่งที่ประตูก็ดังขึ้น
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงนั้นพาสายตาฉันหันมอง
คุณถือหนังสือการ์ตูนมา 3 เล่ม
คนดีของฉัน
คุณนั่งลงตรงข้าม มองงานที่อยู่เต็มโต๊ะแล้วเก็บมันให้เป็นระเบียบเท่าที่พอจะทำได้
เท่าที่จะไม่ถูกฉันดุ
คุณวางหนังสือการ์ตูนไว้บนเก้าอี้ตัวข้างๆแล้วถามถึงเวลากลับ
ฉันตอบว่าสักพัก เพราะตอนนี้ก็ล้าพอดูแล้ว
สายตาเป็นห่วงนั้นมองมา ฉันสัมผัสสายตาได้ด้วยสายตา
สัมผัสความรู้สึกที่สื่ออกมา ได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน
รอยยิ้มน้อยๆที่เปี่ยมไปด้วยความสุขปรากฎขึ้น
รอยยิ้มนั้นปรากฎอยู่บนใบหน้าของเรา
งานไม่เสร็จ แต่ฉันไม่มีแรงทำต่อแล้ว
เรานั่งอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ
คุณกินอาหารที่คุณชอบ ฉันกินอาหารที่ฉันชอบ
แต่เรานั่งอยู่ด้วยกัน นั่งใกล้กัน แบ่งกันกิน
ฉันมองตาคุณ
สายตาแห่งความรักนี้ยังคงอยู่ดี
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแรมปีแล้วก็ตาม
วันนั้น เวลานั้น ฉันแอบหวังว่าคุณจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิต
6 พฤศจิกายน 2546 20:05 น.
maruko_sos
เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนเหนื่อย ฉันเดินขึ้นสะพานลอยใจเต้นตุบ โชคดีที่ยังไม่มืดมากเท่าไรจึงต้องเร่งก้าวขึ้นบันได สะพานลอยในเมืองหลวงกำลังอยู่ในช่วงเวลาอันน่ากลัว โดยเฉพาะกับผู้หญิง แต่เมื่อเห็นแสงไฟสีส้มของรถราบนถนน จากที่สูงตรงนี้ สามารถมองไปได้ไกล ฉันพยายามมองไปสุดถนน มองไปให้ไกลที่สุด เผื่อบางที สายตาอาจพาให้หลุดจากโลกตรงนี้ไปได้ โลกอันวุ่นวายที่อาศัยอยู่ ฉันมองไป รถแล่นเร็ว แสงไฟเดินทาง รถหลายคัน ลำแสงไฟหลายอัน ส่องตามกันมา รถหลายคัน แสงไฟหลายอัน ต่อผ่านเป็นทอดๆ เมื่อฉันกระพริบตา ดึงตัวเองออกมาจากจินตนาการ รีบเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของสะพานลอย แล้วก้าวลงบันไดด้วยความเร็วพอๆกับตอนขึ้น
ข้างถนน ฉันเดินมาที่ป้ายรถเมล์
สองเท้าหยุด แต่สองตายังมองหารถที่จะขึ้นคันต่อไป รถเมล์หลายคันหยุดรับผู้คน เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีรถเมล์สักคันเป็นคันที่ฉันต้องการ และแล้ว ในเวลาต่อมา รถเมล์คันที่ฉันต้องการจะไปกับมันก็จอดตรงหน้า ฉันก้าวขึ้นรถ หาเว่างๆนั่ง ควานหาเศษเหรียญในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ส่งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร รับตั๋วจากมือเธอ แล้วก็เหม่อมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ที่ปิดกั้นระหว่างตัวฉัน ในสังคมบนรถเมล์กับสังคมด้านนอก เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งของวันที่มีโอกาสออกมาจากสังคมใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ลืมว่าอย่างไรก็ตามฉันก็ยังอยู่ในสังคมอันกว้างใหญ่อยู่ดี
รถเมล์คันใหญ่อีกคันวิ่งมาขนาบข้าง ฉันมองตัวหนังสือข้างรถ (กรุงเทพฯ-นครนายก) รถคันนั้นมีผู้โดยสารเต็มคัน มันค่อยๆวิ่งแซงไป ทำให้ฉันได้สังเกตผู้คนบนรถคันนั้น ตั้งแต่เบาะคู่แรกถึงเบาะคู่สุดท้ายของทั้งสองฝั่ง กว่าครึ่งหนึ่งหลับอยู่ระหว่างทางด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิต อีกครึ่งหนึ่งแสดงมันออกมาได้เพียงสีหน้า ทุกคนต่างครุ่นคิด ฉันเดาว่าเขากำลังคิดถึงปลายทาง บ้านของเขา คนที่รอเขาอยู่ เตียงนอนนุ่มๆ น้ำเย็นๆ อาหารอร่อยๆ พ่อ-แม่
ฉันเดาว่าเขากำลังคิดถึงปลายทาง ฉันคิดถึงปลายทางที่ต้องลงจากรถเมล์คันนี้ที่มีผู้โดยสารร่วมทางระยะสั้นๆกันมาไม่กี่คน พ้นประตูนี้ไป ฉันต้องลงไปอยู่ในสังคมใหญ่ๆ ที่มีผู้คนมากมายเหมือนเดิม
6 พฤศจิกายน 2546 19:43 น.
maruko_sos
ฉันนั่งรถไปเป็นเพื่อนเพื่อนชายคนหนึ่ง
ระหว่างทางฉันคุยเรื่องนี้ให้มันฟัง
มันรู้เรื่องราวมาตั้งแต่แรก
ตั้งแต่ฉันมีเวลาว่างมากจนนึกแผลงๆไปจีบผู้ชายคนหนึ่ง
การจีบผู้ชายก็เหมือนมีเพื่อนคนนึง
ก็แค่โทรไปหาบ่อยๆ คุยกัน ใส่ใจเขาสักนิดนึง
แกล้งทำเป็นหึงหวงบ้าง เจอกันก็แกล้งเขินอายนิดหน่อย
สื่อความรู้สึกทางสายตาสักนิด
ก็ไม่เห็นมีอะไรยาก
ในตอนนั้นไม่เห็นมีอะไรยาก
มันยากตรงที่ ที่พูดมาทั้งหมดนั้นมันเหมือนเป็นการเรียนรู้เขาไปในตัว
ได้เรียนรู้ว่าเขาน่ารัก
ได้เรียนรู้ว่าเขาน้ำใจงาม
ได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษที่แสนดีจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งทำ
เขาน่ารักจริงๆ
เวลาผ่านไปนาน เรายิ่งสนิทกัน
ฉันว่าฉันชอบเขานะ แต่ไม่ถึงกับรักหรอก
ความผูกพันก็มีนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากหรอก
ส่วนเขา..
เหมือนจะเคยถูกจีบ
เขาวางตัวไว้ในขีดคำว่าเพื่อนได้อย่างน่าทึ่ง
ฉันว่าเขาก็ชอบฉันนะ
แต่บางทีมันก็ไม่ใช่
ตลอดเวลาที่จีบเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร
เขาเก็บความรู้สึกเก่ง ฉันคิดว่าในชาตินี้อาจไม่มีวันได้รู้เลยก็ได้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเรา
วันหนึ่งเขาจับมือฉันเมื่อเราอยู่ตามลำพัง
เขาไม่พูดอะไร สายตาของเขาจับจ้องมาที่ฉัน
ฉันอ่านสายตานั้นออก
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อมีโอกาสอยู่ตามลำพัง เราจะจับมือกันตลอด
เขาเริ่มมีปฏิกิริยาแล้ว
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน
นับประสาอะไรกับใจคน
"แกก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอ" เพื่อนถาม
"ก็ชอบ" ฉันตอบตามตรง
"แต่แกกลัวสูญเสียชีวิตความโสดของแกไป"
"แกว่างั้นเหรอ" ฉันย้อนถามมัน
ฉันกลัวสูญเสียความอิสระ
ความอิสระที่จะไปไหนกับใครก็ได้
ไม่ต้องเดินไปตรงหน้าครึ่งก้าวเพื่อให้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาอีกครึ่งก้าว
เพื่อเราจะได้เท่ากัน
ฉันยังไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้น
ฉันยังต้องการไปกินข้าวกับเพื่อนๆ
บางมื้ออาจหลบมุมอยู่ในร้านอาหารสวยๆที่ไหนสักที่
ตอนเย็นอยากไปช้อปปิ้ง
อยากเดินๆให้หายอยากโดยไม่มีใครคอยบ่นว่าเมื่อยให้รำคาญหู
อยากซื้อนั่นซื้อนี่โดยไม่มีคำวิจารณ์ที่น่ารำคาญ
อยากมองผู้ชายหล่อๆที่เดินไปมาตามถนน
"แกก็ยังทำได้" เพื่อนว่า
"เขาให้อิสระกับแกแน่" มันแนะนำด้วยความที่มันก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี
"ความรักไม่ใช่การผูกมัด เขาไม่เห็นมาขอคบแกเลย เขารู้ว่าแกไม่มีใคร
แกก็รู้ว่าเขาก็มีแต่แก พวกแกไม่จำเป็นต้องมาคุยกันว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ
ก็โตๆกันแล้ว เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่ความรู้สึกของคนสองคน"
ที่เพื่อนพูดก็ถูก เพราะบางครั้งที่ฉันเหนื่อยและต้องการกำลังใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็อยากต้องการใครสักคน
เป็นใครก็ได้ที่จะมาให้กำลังใจ
อยู่ใกล้ๆและไม่ทิ้งไปไหน
ความรู้สึกของคนสองคน
ฉันกำลังจะได้เรียนรู้ในอีกขั้น
ความรู้สึกของคนสองคน
ฉันอยากมีเขาเป็นกำลังใจ