30 มีนาคม 2547 14:02 น.
maruko_sos
ภรรยาผู้จากไปของพระเอกของเรื่องเป็นเจ้าหน้าที่ FBI และเขาก็เป็นศาสตราจารย์อยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลในนิสัยของเพื่อนบ้าน จึงนำเรื่องไปคุยให้แฟนสาวในขณะนั้นฟัง แฟนสาวของเขาไม่เชื่อว่าเพื่อนบ้านผู้แสนดีที่อ่อนโยนจะมีความคิดไม่ดี และสั่งให้เขาหยุดสืบเรื่องนี้ เขามั่นใจในความคิดของตัวเองจึงสืบต่อไปและพบเบาะแสเพิ่มขึ้นจนสามารถเดาเหตุการณ์อะไรบางอย่างได้ แต่ไม่รู้จะไปปรึกษาหรือคุยเรื่องนี้กับใครได้ และเรื่องนี้ก็ไปคล้ายกับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องเสียภรรยาไป
ฉันเดาเอาเองว่า ถ้าภรรยาของเขายังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวของหนังเรื่องนี้คงเป็นอีกแบบนึง
ความเหมาะสมระหว่างคู่รัก ซึ่งจะต้องเป็นคู่คิดที่มีเหตุผล
ถ้าคุณเป็นผู้ชายอายุ 25 ปีขึ้นไป ลองถามตัวเองว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงแบบไหน
ผู้ชายคนหนึ่งเคยให้เหตุผลว่าการที่เขาเลิกกับแฟนเพราะไม่ใช่ผู้หญิงที่จะใช้ชีวิตด้วย
รู้ได้ยังไง แน่ใจแล้วหรือ
คนทุกคนมีด้านมืดที่เก็บไว้ อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
เช่นกัน ทุกคนมีด้านสว่างที่อยากให้คนอื่นมองเห็น แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้
เมื่อวานฉันนั่งดูผู้หญิงคนหนึ่งนั่งแกะสลักแตงโมเป็นลูกๆ เธอทำได้สวยงาม เธอตั้งใจทำ ส่วนฉันเอาเครื่องคิดเลขออกมากดค่าของงานที่ยังค้างอยู่ ทั้งที่ตั้งใจจะออกมาสูดอากาศนอกห้องทำงาน ตั้งใจจะพักผ่อนสมอง ผู้หญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงแตกต่างกันในรายละเอียดต่างๆ อาจารย์คนหนึ่งเคยพูดเรื่องของคู่ครองของชนกลุ่มน้อยในคณะอย่างพวกเราว่าไม่พ้นพวกเดียวกัน ฉันเห็นด้วยนะ แต่ไม่เสมอไปหรอก อาจมีผู้ชายอีกหลายอาชีพที่ต้องการผู้หญิงที่ห้าวหาญ ตัดสินใจรวดเร็ว คิดอะไรก็ใช้หลักของ"ความเป็นจริง" ไปเสียหมด นอกจากพวกอาชีพเดียวกัน ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนและเข้าใจในความป่าเถื่อนแบบผู้หญิงๆ
คนเรามันต้องมีคู่ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ
อยู่ที่ว่าเราอยากมีคู่แบบไหน คู่นั้นสำคัญตรงที่บ่งชี้ได้ถึงการใช้ชีวิตของเราว่าจะเป็นไปในทางใด
เมื่อพบเจอเรื่องตื่นเต้นๆ ผู้หญิงคนที่หนึ่งอาจบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา และชวนคุณกลับ เพราะไม่อยากเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามคุณไปและช่วยวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเหตุผลสนับสนุน แม้จะเสี่ยงแต่ก็สนุกดี อยากสนุกก็อย่าได้กลัวอะไร พอกลับบ้าน หัวถึงหมอน เราจะคุยเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้งก่อนนอน ไม่ก็ไปคุยกันที่โรงงานร้างที่ไหนซักแห่งพร้อมกับเชือกที่ถูกมัดติดกัน กับพวกมาเฟียที่คุมเราเอาไว้
ฉันก็ยังเสียใจกับการหายไปของผู้ชายคนนั้น แต่ฉันก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร
เคารพในการตัดสินใจของเขา เพราะเชื่อว่าเขาคงมีเหตุผลบางอย่างที่บอกไม่ได้
แม้หนังเรื่องนี้จะจบไม่ดีนัก มันก็ทำให้ฉันเริ่มคิดถึงวันข้างหน้า
ว่าอยากใช้ชีวิตกับคนแบบไหน
คิดเล่นๆเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกนะ
15 มกราคม 2547 14:58 น.
maruko_sos
เสียงเพลงเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์แว่วมา ...ฉันเปิดเองแหละ
ตัวเองมีเบียร์ 1 ขวดกับฟุตลอง 1 อันเป็นเพื่อน
เหงาเมื่อไรมีสองอย่างนี้เป็นเพื่อนทุกที
วันวาเลนไทน์สินะ...วันนี้
ฉันมองดาวบนฟ้า
เหงาไหมดาราบนนั้น
วาเลนไทน์กับวันไหนไหนก็เหมือนกัน
คนช่างฝันก็ได้แต่นั่งมองดาว
ปีที่แล้วทำอะไรอยู่น้า- -
14 กุมภาพันธ์ 2546
กำลังนั่งมองนังตัวดี
มันหลับไม่รู้เรื่องเลย
19.00 น. เหมือนนิ่มจะรู้ว่าไม่มีที่ไป มันสั่งให้มาที่ร้าน นึกว่าจะหวังดี ที่แท้ก็ให้มาช่วยงาน-เสี่ยวแดก
ที่ร้านมันคนเยอะมาก ก็เล่นทำผับซะบรรยากาศดีขนาดนี้ โรแมนติกขนาดนี้ ใครๆเขาก็อยากพาแฟนมา
ฉันวุ่นกับการจัดโต๊ะให้ลูกค้าตามที่จองไว้ ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลยก็มีงานให้ทำเสียแล้ว
สามีของเพื่อนหัวฟูไม่แพ้กัน ฉันเห็นมันแอบซึ้งกันสองคน นึกเหรอว่าจะไม่อิจฉา...อิจฉานะเฟ้ย
21.00 น. ไม่มีเวลามานั่งมองใครเขาโรแมนติกกับใครหรอก ทอดเฟร้นฟรายจนหน้ามันอยู่ก้นครัวโน่น
จะแต่งหน้ามาทำไมก็ไม่รู้
22.00 น. ฉันสั่งสามีของเพื่อนเปิดเพลงที่ต้องการ ด่วน!!
"ฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้ว่าคนเรานี้เกิดมีความรักอย่างไรกัน ราวกับเป็นดังเช่นนิทาน เรื่องราวเล่าขานว่ากาลครั้งหนึ่งวันนั้น เริ่มจากคนสองคนที่เดินเข้ามาสบตาต่อกัน สบตาประสานจิตใจเกิดเป็นความหมายต่อกัน อยากอยู่ใกล้ชิดผูกพันกันเรื่อยไป เกิดเป็นความรัก....ขึ้นในหัวใจ"
23.00 น. ลูกค้ายังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง วาเลนไทน์บ้าอะไรก็ไม่รู้ กินเบียร์จนเมาแล้วเนี่ย ผู้ชาย เอ้ย ข้าวยังไม่ตกถึงท้องซักเม็ด
0.00 น. นิ่มเรียกไปรับโทรศัพท์ มันบอกว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าที่ร้าน ให้ไปเรื่องนี้ก่อน มันเห็นเพื่อนรักเป็นตัวอะไรเนี่ย ฉันได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจอีกที
1.00 น. ของวันใหม่ ฉันมองหลังนังโมที่ถูกหิ้วขึ้นลิฟท์โดยแฟนของมัน
"แกไปเอามันก่อน ที่ร้านนี่เดี๋ยวฉันจัดการได้" ฉันลบความไม่พอใจในตัวเพื่อนรักเจ้าของผับทิ้งไป เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจในตัวเพื่อนรักคนใหม่แทน
"พอดีมีประชุมด่วนน่ะ เลยทิ้งโมไปประชุม" เวรกรรม...
ป๊อดรับผ้าขนหนูไปเช็ดตัวให้แฟนสาวจอมเฟี้ยวของตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงของฉัน ฉันได้แต่ภาวนาให้มันอย่าลุกขึ้นมาอ้วก
ป๊อดเล่าได้ความว่าคู่รักคู่นี้นัดดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับครอบครัวของโม พอป๊อดไม่ว่าง เพื่อนรักของฉันเลยไปกินเหล้าเมาแอ๋ที่ไหนก็ไม่รู้แล้วโทรเรียกให้ป๊อดมารับ
"ไม่แน่จริงนี่หว่า" ฉันว่ามันในใจ
แล้วอยู่ดีๆมันก็ลุกขึ้นมาด่าแฟนตัวเองเฉยเลย ป๊อดได้แต่เงียบ ฟังมันด่า สงสัยชินแล้วมั้ง
โมด่าไปน้ำตาไหลไป ป๊อดใช้มือข้างนึงลูบหัวมันอย่างเอ็นดู ผ้าเช็ดตัวกลายเป็นผ้าซับน้ำตาไปโดยปริยาย
มันรู้ตัวมั๊ยเนี่ยว่ามันอยู่ที่ไหน
มันรู้ตัวมั๊ยเนี่ยว่ามันทำอะไรอยู่
มันรู้ตัวมั๊ยเนี่ยว่าแฟนมันยอมรับผิดแล้ว
มันรู้มั๊ยเนี่ยว่าแฟนมันอ่อนโยนกับมันมากขนาดไหน
ทั้งสองคนลากกันไปที่ระเบียง เอ้อ..ใช้คำผิด
ทั้งสองคนประคองกันไปที่ระเบียง เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าอยากอยู่กันตามลำพัง
สักพัก...นังเพื่อนรักก็หลับคาระเบียง
ฉันมองป๊อดอุ้มแฟนจอมเอาแต่ใจของตัวเองมาที่เตียง
มันจะรู้ตัวมั๊ยนะว่ามันโชคดี...
"โมเค้าจะนอนที่นี่น่ะ ฝากด้วยนะพู่" ไม่ต้องฝากก็ดูแล...ป๊อดเอ๋ย เพื่อนรักทั้งคน
3.00 น. นังนิ่มเพิ่งปิดร้าน ทิ้งสามีไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แล้วรีบมาดูสภาพนังโม
มันว่ามันกับสามีมีวันแห่งความรักทุกวัน วันนี้ไม่อยู่ด้วยกันซักวันไม่เห็นจะเป็นไร
ฉันว่าความคิดมันเข้าท่า แต่ที่เข้าท่ามากที่สุดคงเป็น
"วันนี้ได้กำไรเยอะเลย เลยเอานี่มาฝากแก"
มันชูสตรอเบอรี่ไวน์ที่ฉันชอบ
เราสองคนนั่งชนไวน์ตรงระเบียง โชคดีที่นังโมไม่อ้วกไว้
"อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอวะ"นิ่มถาม
"ม่าย...สบายดีออก"
ช่าย...อยู่คนเดียวสบายใจดีออก
5.30 น.
15 กุมภาพันธ์ 2546
จะเอาอะไรมากมายกับความรัก
ฉันหยุดหามาตั้งนานแล้ว
เมื่อพบว่าไม่มีใครคิดจะรักษาและดูแลหัวใจให้ดีจริง
ทุกคนเข้ามาเพื่อจากไป
ดังนั้น ไม่ว่าวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ
มันก็แค่วันธรรมดาๆวันนึง
ฉันมองท้องฟ้าสีดำอันว่างเปล่าอีกครั้งแล้วรินเบียร์ให้ตัวเอง
ขณะรินจึงนึกขึ้นได้ว่ากำลังถือศีล 5
เวรแล้ว...
13 มกราคม 2547 14:10 น.
maruko_sos
เช้าวันใหม่หลังจากการสอบ ฉันหยิบ "โลกของจอม" ขึ้นมาอ่านต่อ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป จากที่เคยอ่านหนังสืออยู่กับโต๊ะ ก็เปลี่ยนมานอนกับพื้น
"เหมือนอ่านหนังสือเรียนไม่มีผิด" ฉันหยอกตัวเอง
อีกหนึ่งชั่วโมง ฉันพบว่าได้พาตัวเองออกมาที่ระเบียง นั่งบนถังน้ำขนาดใหญ่ไม่ใช้แล้วที่รองรับน้ำหนัก 50 โลกรัมได้ ตายังจับจ้องอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่งของหน้า 55
(จอมไม่เข้าใจว่าเหตุใด ด้วยสมองที่มากกว่าผีเสื้อล้านเท่า คนจำนวนมากจึงไม่เชื่อว่าทุกสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียว การทำลายสิ่งอื่นอย่างไม่ยั้งคิด สุดท้ายคนก็ต้องได้รับผลเสีย คนจำนวนมากปฏิเสธทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ที่ว่า ทุกสิ่งในจักรวาลถูกผูกโยงกันไว้โดย"เส้นด้ายวิเศษ"(Superstring)ซึ่งเรามองไม่เห็น การเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งบนโลกจะสะเทือนถึงดวงดาว การฆ่าปลาวาฬตัวหนึ่งในทะเลเบอริ่ง(Bering sea)จะกระทบระบบนิเวศน์ทั่วจักรวาล)
จบย่อหน้านี้ที่หน้า 56
วันนี้วันอาทิตย์ ฉันคิดถึง"ข้างนอก"อย่างไม่มีเหตุผล
ว่าแล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้อยู่สภาพพร้อมเดินทาง(ที่ยังไม่มีจุดหมาย)กับเป้ใบโปรด จุดประสงค์คือร้านกาแฟหรือร้านอะไรก็ได้ที่พอจะซุกตัวอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบก่อนมืดวันนี้
รถเมล์ยูโรสาย 59 ฉันเลือกนั่งริมกระจก มองทะลุออกไปด้านนอกตลอดเวลาที่รถวิ่ง มาถึงแค่บางเขน ฉันรู้สึกถึงความไม่ลื่นไหลบนท้องถนน หรือจะหยุดการเดินทางไว้แค่เซ็นทรัลฯ ลาดพร้าว ฉันถามตัวเอง เอาน่า ไหนๆก็ออกมาแล้ว ขอไปอีกหน่อย
ผู้หญิงที่อดทนต่อความอึดอัดได้น้อยอย่างฉันไปได้ไกลถึงจตุจักร ผู้คนมากมายในวันอาทิตย์สร้างความอึดอัด คนรอรถเมล์บนถนนยาวมากกว่า 500 เมตร พวกเขาออกมาชะเง้อมองหารถของขสมก.และบริษัทเอกชนในช่องทางเดินรถฝั่งซ้ายสุดแทนที่จะเป็นฟุตบาท รถติดสร้างความอึดอัด ฉันลงรถที่จตุจักรหวังจะนั่งBTSต่อจนถึงสยามเพราะไม่สามารถทนรถติดได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นผู้คนต่อคิวซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ นึกถึงสภาพโบกี้เล็กๆที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน
ฉันตัดใจกลับหอท่ามกลางสภาพอากาศขมุกขมัว สามชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้หนังสือสักหน้า
ระหว่างต่อรถกลับหอ พบน้องสาวคนหนึ่งที่อยู่ในสังคมที่สระว่ายน้ำ เราส่งยิ้มให้กัน ทักทายกันเหมือนทุกครั้งหลังจากไม่เจอกันนานตั้งแต่อากาศเริ่มเย็น ฉันไม่รู้จักแม้ชื่อของเธอ จะว่าไม่เคยสนใจจะรู้จักเลยก็ได้ เพราะไม่ว่าเธอจะชื่ออะไร เธอก็คือเธอ ไม่ว่าจะเจอเธอที่ไหน เธอก็คือเธอ เป็นเพื่อนอายุน้อยที่ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ฉัน เรารู้จักกันจากการเดินทางของเวลาและกิจกรรมของเรา เหมือนเพื่อนบางคนของฉัน
เธอขอคำปรึกษาเรื่องเรียนต่อ ฉันเล่าเรื่องตอนม.ปลายของตัวเองให้ฟังนิดหน่อยก่อนจะแนะนำอะไรเล็กๆน้อยๆ
เธอกำลังกลัวการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงนั้นรวมถึงสังคมและวิถีชีวิต
เธอเล่าจากคำบอกกล่าวที่เคยได้ยินว่าเด็กผู้หญิงจะถูกขึงเพื่อให้เด็กผู้ชายข่มเหง เมื่อรุ่นพี่ผู้หญิงสั่งเพราะไม่ชอบใจเด็กคนนั้น ฉันแนะนำให้เธออยู่ห่างๆ ทำตัวธรรมดา เธอว่ามันทำลำบากเพราะไม่มีวันรู้ว่ารุ่นพี่จะไม่ชอบหน้าเอาเมื่อไร
การจะชอบหน้าหรือไม่ชอบหน้าใครนี่มันก็พูดลำบากเหมือนกัน ครั้นจะบอกอาจารย์ก็อาจจะโดนหนักกว่าเดิมในภายหลัง ว่าแต่ระบบอาจารย์จะอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ จะอ่อนแอขนาดปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองจากพวกเด็กอันธพาลไม่ได้เชียวหรือ ...อันนี้ตอบยากเพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ทำไมอะไรก็ยากสำหรับฉันไปหมดเนี่ย
เด็กเขามีความกดดันของเขา เรื่องเด็กอันธพาลมีจริง ไม่มีปัญหาของใครเป็นเรื่องเล็ก มันกระทบถึงจิตใจ ปัญหาใหญ่ๆมาจากปัญหาเล็กๆ คนเราเกิดมาใครๆก็ต้องเจอปัญหากันทั้งนั้น ทุกคนต้องแก้ปัญหา ไม่มีใครสบาย เกิดมาไม่เคยเจอเรื่องทุกข์ใจเลย
ฉันได้แต่แนะนำน้องให้อยู่ห่างๆคนพวกนั้น ทำตัวให้เหมาะสม และตั้งใจเรียน วันหนึ่งเราจะชินกับสังคมแบบนั้นและรู้วิธีเอาตัวรอด
ก่อนจะจากกันเราลากันพอเป็นพิธี
ฉันกลับหอพร้อมกับเรื่องที่ได้เรียนรู้ในวันนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าออกไปไหนวันอาทิตย์"
30 ธันวาคม 2546 01:19 น.
maruko_sos
คุณบอกว่าคุณกับเธอไม่มีวันจะเหมือนเดิมได้
วันนี้คุณกอดฉัน ฉันรู้สึกได้
ฉันรู้สึกถึงความรักทั้งหมดที่คุณมีต่อเธอได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณให้ฉันในตอนนี้
ที่จริงมันเป็นของเธอคนนั้น
ไม่มีแม้เสี้ยว แม้เพียงนิดที่ฉันเป็นเจ้าของ
บางครั้งที่คุณพร่ำถึงเธอ
ฉันรับฟังทั้งหมดที่คุณเพ้อ
น้ำตาในหัวใจมันปริ่มไว้ใกล้ล่นเอ่อ
เพราะหัวใจคุณมีแต่เธอผู้เดียว
เธอเป็นอดีตของคุณ
ฉันเข้าใจว่าคุณอาจต้องการเวลาเพื่อที่จะลืม
ฉันพยายามช่วยให้คุณลืม
แต่ยิ่งช่วย คุณกลับยิ่งจำทุกสิ่งไว้
ฉันไม่รู้จะช่วยคุณอย่างไร
ฉันเป็นปัจจุบันของคุณ
ฉันเข้าใจว่าคุณมีความรู้สึกดีๆให้กันอยู่บ้าง
แต่เมื่อลองสัมผัส ก็ยิ่งรับรู้ว่ามากเท่าไร
ความรักที่คุณมีให้เธอคนก่อนมีมากมายไม่รู้เท่าไร
ฉันไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร
นอกจากเสียใจ
ทุกครั้งที่ฉันกอดคุณ
คุณบอกให้ฉันมั่นใจว่าคุณจะไม่ไปไหน
แต่คุณรู้ไหม
ฉันรู้ว่าใจคุณมันไปแล้ว มันไปตั้งนานแล้ว
ที่จริงมันไม่เคยเป็นของฉันด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เรามีกัน ฉันไม่เคยได้ใจคุณเลยด้วยซ้ำ
คุณห่วงเธอในฐานะเพื่อนว่าเธอจะอยู่คนเดียวไม่ได้
ตัวคุณอยู่กับฉัน แต่ปากคุณรำพันถึงกลัวเธอจะเหงาและเสียใจ
คุณรู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไร
คุณเข้าใจว่าเธอจะเสียใจแค่ไหนที่คุณจากมา
ไม่ว่าจะกี่เวลา
เธอก็ไม่เคยเลือนค่าไปจากใจ
...มีสิ่งหนึ่งที่คุณไม่รู้
คนที่อยู่เคียงข้างคุณอยู่หัวใจรอนไหว
ทั้งที่สองมือกอด แต่ความเข้มแข็งกลับประคองหัวใจ
ยิ่งคุณอยู่ใกล้ ฉันต้องยิ่งปลอบใจตัวเอง
คุณบอกว่าตอนนี้ฉันมีค่า
แต่ฉันว่าฉันไม่เห็นมีค่าตรงไหน
คุณยังคงห่วงใยเธออยู่เต็มหัวใจ
ส่วนฉันเหมือนเป็นแค่ส่วนเกิน...
ซ้ำร้าย คุณยังไม่เคยให้เศษใจสักนิดนึง
17 ธันวาคม 2546 23:46 น.
maruko_sos
ฉันถามหนึ่งในสองคนว่าแน่ใจแล้วเหรอ
เธอตอบอย่างน่าสนใจว่าการแต่งงานคือการลงทุน
แน่นอนว่าการลงทุนต้องมีความเสี่ยง
ว่าแต่กำไรที่ได้มาคืออะไร
แล้วเราหวังอะไรจากการลงทุนครั้งนี้
วันนี้ฉันเชื่อมือเพื่อนสองคนนี้ว่าจะนำพาชีวิตคู่ของตัวเองไปบนทางที่เรียกว่าความสุขได้อย่างราบรื่น
กลับมาที่ผู้ชายคนนั้น
ฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องของเขา อะไรเป็นอะไร
รู้แค่ว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงการแต่งงานด้วยเหตุผลที่ว่าเขายังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว
จบประโยคนี้ฉันจินตนาการได้ถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังแกล้งเข้มแข็ง
มันเป็นแค่จินตนาการของฉันน่ะ เพราะถ้าฉันเป็นเธอฉันจะแกล้งเข้มแข็ง
ฉันจะกลั้นน้ำตาสุดชีวิต แอบร้องไห้กับตัวเองซักสามสี่วัน
จากนั้นก็ทำตัวปกติ เป็นการกดดันผู้ชายคนนั้นไปในตัว
ถ้าเขารักเราจริงเขาก็ต้องคิดมากทีเดียว
และก็เพราะว่าฉันรักเขาจริง ฉันจึงแกล้งเข้มแข็ง
เพื่อให้เวลาเขาได้ใช้ชีวิตอิสระอะไรที่เขาว่าเขายังรู้จักมันไม่พอ
ฉันจะรอเขา ฉันรอเขาได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน
เพราะเหตุผลง่ายๆแค่ว่าฉันรักผู้ชายคนนี้ และต้องการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้...เท่านั้น
ในตอนนี้ ฉันไม่รู้หรอกว่าที่จริงแล้วเธอคนนั้นเป็นอย่างไร
ฉันรู้แต่ว่าฉันเห็นใจเธอ
จากวันที่เธอกับเขาเจอกัน รักกัน ใช้เวลาร่วมกัน
กับผู้ชายคนหนึ่งที่รับรู้และเข้าใจเรื่องราวของเราและเรื่องราวของกันและกันมาตลอด
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ นอกจากเธอจะคิดมากแล้วยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งที่กลุ้มใจไม่ต่างจากเธอเลย
สองสิ่งที่เขาต้องเลือกระหว่างชีวิตอิสระที่เขารัก
กับผู้หญิงซึ่งเป็นที่รัก
...ฉันถามเขาว่ารักเธอหรือเปล่า
คำตอบของเขาก็คือรัก
...ถ้าฉันมีโอกาสได้คุยกับเธอ ฉันก็จะถามเธอด้วยคำถามเดียวกันนี้
และคำตอบของเธอก็คงไม่ต่างอะไรกับคำตอบของเขา
ฉันว่าความรักมันแก้ปัญหาได้ด้วยตัวมันเอง
เคยได้ยินคำว่าเจอกันคนละครึ่งทาง
แต่ครั้งนี้ฝ่ายผู้หญิงคงต้องเดินมาหาฝ่ายผู้ชาย
เพื่อความต้องการสูงสุดของแต่ละฝ่าย
เราไม่จำเป็นต้องเดินมาเจอกันคนละครึ่งทางเสมอไป
หากว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอม
ยอมจะรอให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ชีวิตความโสดของเขาให้พอใจ
ไปไหนต่อไหนได้ตามแต่ใจ
ทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจ
ให้โอกาสเขาได้ทำเสียให้พอใจ
เมื่อเขาพอใจแล้ว สิ่งที่เธออยากจะได้ก็จะมา
เมื่อให้ความสุขกับเขา เขาก็จะให้ความสุขตอบแทน
เหมือนจะทำง่าย แต่มันไม่ง่ายเลย
ผู้หญิงต้องเข้มแข็งมากๆ
ผู้หญิงจะต้องต่อสู้กับเงื่อนไขของเวลาด้วยความอดทนที่สุด
ก็ตอนที่เป็นแฟนกันเธอยังให้อิสระกับเขาได้
เธอยังให้เขาไปไหนต่อไหนได้ตามแต่ใจ
เธอยังให้เขาทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจ
เขาก็คงรักในส่วนนี้ของเธอด้วยเช่นกัน
ผู้ชายคนนี้คงยังเข้าใจว่าการแต่งงานเป็นการผูกมัด
การแต่งงานเป็นการผูกมัดหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนทั้งคู่
อยู่ที่ใจมากกว่านะ
ถ้าใจมันผูกกันไว้แล้วจะแต่งงานหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ผู้หญิงคนนี้คงยังเข้าใจว่าการแต่งงานเป็นการผูกมัด
การแต่งงานเป็นการผูกมัดหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนทั้งคู่
อยู่ที่ใจมากกว่านะ
ถ้าใจมันผูกกันไว้แล้วจะแต่งงานหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ก็ไม่รู้สินะ ฉันเองก็ไม่เคยแต่งงานเสียด้วยสิ