30 พฤศจิกายน 2551 16:21 น.

Assasin วีรบุรุษแห่งเลือดบทที่ 2

LoveNeverJang

บทที่ 2 สูญเสียทะเลทรายคมเขี้ยว
	"เฮ้ ไคนายจะเอาไม้ไปเปลี่ยนนักดาบ (Swordman) หรือไง"  เด็กผู้ชายผมสีเขียวในชุดโนวิซ (Novice) ตะโกนต่อว่าเพื่อน ไคเด็กชายผมสีแดงที่ทำท่าเงอะๆงะๆในมือมีท่อนไม้ (solid trunk) กับรากไม้ (Tree Root)  มีผู้ช่วยพระ อโคไลท์(Acolyte) ผมสีฟ้ายืนเกาหัวมองทั้งคู่อยู่
	"ก็... ก็ฉันไม่รู้นี่ ลูฟี่นายก็ไม่เห็นต้องว่าฉันขนาดนี้เลย"  ไคพูดทำท่าเหมือนจะร้องไห้
	"อ๊าก... ไคอย่าร้องไห้นะเฟ้ย"  เด็กชายที่ชื่อลูฟี่รีบวิ่งมาหา
	"นายจะเป็นนักเวทย์ไม่ใช่หรอ  ฉันนึกว่าเรามาพาย่อน (Payon) เพื่อมาเอาน้ำจากบ่อที่พาย่อนซะอีก"  อโคไลท์หันมาถามลูฟี่อายุของทั้งสามดูจะไม่ห่างกันมากนัก
	"บ้าเหรอยูคิ ฉันบอกว่าฉันจะเป็นนักฆ่าเว้ย  นักฆ่าน่ะรู้จักมั้ย  แอซซาซิน (Assasin) ที่ใช้กาต้า (Katar) เหมือนพี่ชายฉันน่ะ"  ไคพูดอย่างหัวเสีย  จริงๆที่ทั้งสามรู้จักกันเพราะเข้าเทรนนิ่งกราวพร้อมกันแต่ด้วยนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วทำให้เลิกเดินทางคนละสายกันแต่ทั้งสามก็รักกันยิ่งกว่าอะไรเสียอีก  แม้ภายนอกดูแล้วจะสนใจเรื่องของตัวเองแต่คนที่ปกป้องไคตลอดก็คือลูฟี่
	"อ้าว...  งั้นนายก็พาพวกเราหลงทางมาน่ะสิ"  อโคไลท์แหย่เพื่อน
	"ก็... ก็..."  ลูฟี่เถียงไม่ออก  เป็นเพราะไม่รู้จักเส้นทางสักเท่าไหร่ทำให้ทั้งสามหลงทางแต่บังเอิญมาพบเมืองพาย่อน
	"เอาเถอะๆ  ให้คาฟร่า (Kafra) ประจำเมืองพาไปก็ได้นี่"  ยูคิบอกแล้วเดินนำเข้าเมืองมา
	"ไปเถอะไค  ชักช้าเดี๋ยวเจ้ายูคินั่นจะไม่รอนะ"  ลูฟี่บอกแล้วก็เดินเข้าเมืองไปโดยมีไคที่รีบวิ่งตามหลังมา  ทั้งสามมายืนแบ่งกันอยู่ที่ตลาดกลางเมืองพาย่อน
	"พี่สาวครับ  ค่าวาร์ปเดินทางจากพาย่อนไปมอร็อค(Morroc)เท่าไหร่หรอครับ"  ไคที่เป็นหน่วยกล้าตาย (จำเป็น&จำใจ) เดินมาถามคาฟร่าสาว  คาฟร่าประจำเมืองพาย่อนนั้นจะเป็นผู้หญิงใส่แว่นที่ท่าทางน่ากลัว
	"สองพันเซนีจ้ะ" คาฟร่าสาวหันมาตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูต่างจากท่าทาง
	"ขอบคุณครับ"  ไคยิ้มตอบก่อนจะวิ่งกลับมาหาเพื่อน
	"ว่าไงเท่าไหร่หรอ" ลูฟี่รีบถามทันที
	"เขาบอกว่าสองพันเซนี"  ไคตอบ
	"อืม... ตอนนี้ฉันมีอยู่สี่พัน" ลูฟี่หยิบเงินขึ้นมานับดู
	"ส่วนฉันมีอยู่สองพัน"  ยูคิบอก
	"เอ่อ...  แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยนะ"  ไคบอกพลางเทถุงเงินแล้วเขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายหวังจะมีเหรียญเซนีตกลงมาสักเหรียญ
	"ก็ทำไงได้  ลูฟี่เล่นไม่ให้นายเก็บขยะมาขายเลยนี่"  ยูคิจงใจพูดเสียงดัง  ผู้ถูกพาดพิงสะดุ้งเล็กน้อยที่ตนเองเป็นสาเหตุ
	"งั้นฉันออกให้ก่อนก็ได้  เอาไปสิ"  ลูฟี่โยนถุงเงินถุงหนึ่งให้ไค ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนสองพันเซนีพอดี
	"ขอบใจมาก"  ไคพูด
	"อย่าเข้าใจผิดสิ  เดี๋ยวถึงเวลาฉันจะเอาคืนรับรองดอกเป็นเท่าตัวแน่"  ลูฟี่พูดเสร็จก็วิ่งไปหาคาฟร่าคุยกันอยู่สักพัก ร่างของเขาก็หายไป ไคกับยูคิจึงเดินตามไป
	"ไปที่มอร็อคครับ"  ยูคิกับไคพูดพร้อมกัน  คาฟร่าสาวทำการเปิดประตูมิติส่งทั้งคู่เข้าไป
	เมื่อทั้งสองเข้ามาถึงเมืองมอร็อคก็ต้องตกตะลึงกับความอลังการของศูนย์การค้าแห่งมิดการ์ด (Mid-gard) ทั้งปราสาทที่อยู่ใจกลางเมืองและโอเอซิสที่ถูกทำให้กลายเป็นบ่อน้ำเพื่อให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าหรือนักท่องเที่ยวต่างเมืองใช้สำหรับดื่มกิน  ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของสฟิงซ์ (Sphinx) โบราณสถานขนาดเก่าแก่ขอชาวอียิปต์โบราณ ทิศใต้ของเมืองเป็นทะเลทรายที่เรียกว่าทะเลทรายคมเขี้ยว (Desert Fang)  ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือยังเป็นพีระมิด (Pyramid) เขาวงกตที่ว่ากันว่าต้องคำสาปจากฟาโรห์แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสมาคมโจรหรือเหล่าทีฟ(Thife) ไปตั้งอยู่ภายในพีระมิดในชั้นแรกและนั่นคือเป้าหมายของพวกเขา
	"ยูคิ  ไค ฉันอยู่ทางนี้"  ท่ามกลางเสียงจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนขายของอยู่นั่นมีเสียงของลูฟี่ตะโกนแทรกมาทั้งคู่หันไปเห็นลูฟี่กำลังโบกมือเรียกพวกเขา
	"เฮ้อ...  ร้อนชะมัดเลยรีบๆไปเถอะ"  ยูคิมีอาการเซ็งๆกับแสงแดดที่ส่องมาอย่างแรงกล้าต่างกลับไคที่มีท่าทีตื่นเต้นกับบรรยากาศเมืองทะเลทราย  ทั้งหมดพากันเดินมายังพีระมิดประจำเมือง  พอไปถึงลูฟี่ก็บอกให้พวกยูคิรออยู่ด้านนอกส่วนเขาเข้าไปคนเดียวแต่ก่อนจะเข้าไป  
	"อินเซท  อะจิ (Increuse Agi) เบสซิ่ง (Blessing)" ยูคิร่ายเวทย์อวยพรให้ลูฟี่  เด็กชายผมสีเขียวหันมามองงงๆ
	"กลับมาเร็วๆนะเฟ้ย  ฉันขี้เกียจรอนาน"  พอพูดเสร็จก็หันหลังเดินไปยังโอเอซิสบริเวณนั้น
	"โชคดีนะ"  ไคบอกก่อนจะรีบวิ่งตามยูคิไป
	"เชอะ  พวกบ้าเอ้ย"  ถึงปากจะว่าแต่หน้าของลูฟี่แทบจะกลายเป็นมะเขือเทศอยู่แล้ว  เขาเดินเข้าไปภายในพีระมิดด้านในเป็นเขาวงกตที่ค่อนข้างซับซ้อนวกไปวนมาพอสมควร  แต่เขาก็มีแผนที่ติดตัวมาจึงสามารถหนีเหล่าฝูงค้างคาวกระหายเลือดเข้ามายังสมาคมโจรได้สำเร็จ  เมื่อคุยกับหัวหน้าสมาคมและได้รับภารกิจให้ไปเก็บเห็ดแล้ว  ลูฟี่ก็รีบย้อนกลับมาด้านนอกอีกครั้ง  พอมาถึงข้างนอกเขามองหาไคกับยูคิแต่ทั้งคู่ไม่อยู่ซะแล้วอาจจะไปหาซื้อของแถวนี้ล่ะมั้ง  เขาคิดก่อนจะเดินไปคุยกับชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูฟาร์มเห็ด  ชายคนนั้นส่งเด็กชายเข้าไปด้านใน  ด้านในเต็มไปด้วยบรรดาเห็นต่างๆ  ทั้งมอสรูมและเพอซั่นมอสรูม เห็ดราที่สามารถพบเห็นได้ตามป่าที่มีอากาศชื้นทั่วไป  สปอร์ (Spore)  เห็ดสีแดงที่กระโดดไปทั่ว  บริเวณหัวมีลิ้นห้อยออกมาคล้ายเด็กตัวเล็กๆใส่หมวกที่มีลิ้นห้อยออกมา  เด็กหนุ่มกระโดดตีลังกาข้ามหัวแล้วฟันกลางหมวกมันไปหนึ่งที  เห็ดตัวนั้นหันมาแล้วใช้ลิ้นฟาดใส่เด็กหนุ่มแต่เขาก็ไวพอที่จะหลบไปด้านหลังมันแล้วใช้มีดแทงเพื่อจบชีวิตของมัน  เห็ดที่ตกลงมาจากมันถูกเก็บใส่กระเป๋าผ้าขนาดเล็ก  เขาเดินไปทั่วฟาร์มเห็ดใช้มีดที่พกติดตัวถอนบรรดามอสรูมทั้งหลายเก็บใส่กระเป๋า  ก่อนจะใช้ปีกผีเสื้อ (Butterfly wing) ที่มีความสามารถย้ายผู้ใช้ไปยังสถานที่ล่าสุดที่ผ่านมาได้  เขาขยี้มันจนละเอียด  แล้วก็วาร์ปออกมาด้านนอกฟาร์มเห็ด  เขากลับเข้าไปในสมาคมโจรอีกครั้ง  นำเห็ดไปให้ยังหัวหน้าสมาคม  หัวหน้าสมาคมจึงทำการลงทะเบียนให้ลูฟี่กลายเป็นโจรฝึกหัดอย่างเต็มตัว
	"ชุดอยู่ห้องถัดไปนะ ไปเปลี่ยนชุดซะแล้วก็ขยันฝึกเข้าล่ะ  โชคดีนะหนุ่มน้อย"  หัวหน้าสมาคมกล่าวพร้อมกับบอกทางให้เด็กหนุ่ม  ลูฟี่เดินไปยังห้องเปลี่ยนชุดที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่
	"มาขอชุดหน่อยครับ"  ลูฟี่บอกชายคนนั้น  ชายคนนั้นยิ้มแล้วหันไปเปิดตู้หยิบชุดสีน้ำตาลชุดหนึ่งออกมา  เขาลองใส่ดูพบว่ามันพอดีกับตัวเขาเลย  ที่แขนเสื้อและคอเสื้อมีขนสัตว์เย็บติดไว้  เนื้อผ้าถูกใช้ผ้าที่บางที่สุดเพื่อสามารถระบายความได้ดีแต่มีความทนทานสามารถสมบุกสมบันได้  ลูฟี่ยิ้มอย่างพอใจ  ยื่นชุดโนวิซให้ชายคนนั้น  ก่อนจะรีบวิ่งออกมาอย่างดีใจ  เมื่อถึงด้านนอกพีระมิดเด็กชายก็ต้องแปลกใจ  เพราะจำนวนคนที่เหมือนจะมารวมกันอยู่ด้านหน้าพีระมิดเต็มไปหมด  
	"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่ชาย"  ลูฟี่หันไปถามทหารคนหนึ่งที่ขี่เปโก้เปโก้ผ่านมา
	"มอนสเตอร์น่ะ  อยู่ดีๆก็ดุร้ายขึ้นแล้วก็บุกเข้าโจมตีเมืองตอนนี้กำลังเตรียมอพยพคนไปยังแอซซาซินกิลด์ (Assasin guild) อยู่  เธอก็รีบไปกับเขาซะสิเร็วๆเข้า"  ทหารคนนั้นบอกแล้วรีบไปรวมกับทหารที่กำลังจัดแถวอยู่  เขาเดินลงไปยังทะเลทรายทิศตะวันตกของเมืองที่เป็นสฟิงซ์  พบว่าบริเวณนี้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำหรับปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ  บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าพระ (Prise) และผู้ช่วยพระ ที่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาด้วยเวทมนต์ที่สุดในมิดการ์ด  รวมถึงเหล่าบรรดาโจรและนักฆ่าที่เชี่ยวชาญเรื่องพิษคอยวิ่งรักษาผู้ที่โดนพิษ  เด็กชายหน้าซีดลงทันทีเมื่อนึกถึงสองเพื่อนรัก  เขารีบวิ่งสำรวจไปทั่วตามบริเวณเต็นผู้ป่วยแต่ก็ไม่พบทั้งไคและยูคิ  เขาก็คิดว่าทั้งสองอาจจะหนีทันหรือไม่ก็อพยพไปแล้วล่ะมั้งทันใดนั้นเองบริเวณภายในตัวเมืองก็เกิดระเบิดขึ้นไฟเริ่มล่ามตามบ้านเรือนควันที่โชยออกมาจากตัวเมือง  ดึงความสนใจจากผู้คนให้หันไปมอง  แต่ทว่าประตูทางเข้าสฟิงซ์ก็มีทหารวิ่งไปรวมตัวกัน  ช่วงบริเวณสะพานแขวนที่ทอดไปยังสฟิงซ์มีปิศาจที่อาศัยอยู่ภายในบุกออกมาบรรดาพลธนูก็ทำหน้าที่สาดธนูใส่ซึ่งทางที่แคบจนแทบจะเรียงหนึ่งนั้นเป็นตัวบังคับอย่างดี ตัวใดที่หลุดรอดจากลูกศรมาได้ก็ถูกดาบถูกหอกผลักตกลงไปยังหลุมลึกไร้ก้น  บรรดาพระทั้งหลายเห็นท่าไม่ดีจึงเปิดประตูมิติเชื่อมไปยังเมืองหลวงและอพยพผู้ป่วยเข้าไป  บริเวณนั้นจึงเต็มไปด้วยประตูมิติและความชุลมุนก็เกิดขึ้นเมื่อมีปิศาจออกมาจากประตูเมืองทิศตะวันตก  ทหารอีกกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งไปจัดการกับปิศาจบริเวณประตูเมืองทิศตะวันตก  เหล่าผู้ช่วยนักบวชทั้งชายและหญิงเริ่มไล่ผู้คนเข้า
ไปยังประตูมิติ  ลูฟี่หันไปมองนครมอร็อคเป็นครั้งสุดแล้วเดินเข้าไปยังประตูมิติ

จบบทที่ 2 สูญเสียทะเลทรายคมเขี้ยว				
30 พฤศจิกายน 2551 16:16 น.

Assasin วีรบุรุษแห่งเลือดบทที่ 1

LoveNeverJang

บทที่ 1 นครแห่งความอาดูร
	"อ๊าก..." เสียงโหยหวนดังมาจากซากเมืองโบราณ กลาสแฮม ตามมาด้วยเสียงดาบกระทบและของแข็งดังไปทั่วตัวเมือง
	"ระวังลูกธนู"  นายทหารไนท์ (Knight) คนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ตะโกนขึ้น บรรดาทหารที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่ต่างยกโล่ขึ้นสูงเหนือหัวตนเองและคนที่อยู่ใกล้เคียง  ทันใดนั้นก็มีลูกธนูตกลงมาราวกับห่าฝน  ตกใส่ผู้ใดก็ทิ่มแทงทะลุเกราะด้วยแรงยิงมหาศาลแต่มิอาจทะลุโล่ที่ทำจากแร่เหล็กชั้นดีและออกแบบมาเพื่อรับการโจมตีอันรุนแรงได้
	"เอ้าเลยทุกคน ทะลวงออกไป  กำลังของเรามากกว่า เราชนะอยู่แล้ว"  ทหารที่แต่งตัวเด่นกว่าคนอื่นสั่ง  เขาคือนายกองเอเฟรด ที่ดวงตาของนายกองมีบาดแผลเป็นกากบาทน่ากลัว เมื่อนายกองตะโกนสั่งทหารก็ส่งเสียงพร้อมกับช่วยกันถาโถมเข้าไป  ปิศาจที่ขวางทางอยู่มีทั้งเรดิก (Raydric) ปิศาจชุดเกราะไร้กาย  อินจัสติส (Injustice) ปิศาจที่ถูกทรมานจนตายที่ข้อต่อมีของแหลมฝังอยู่  ซอมบี้ (Zombie) ซากศพเดินได้ ทหารคนใดเข้าใกล้ก็ถูกเหล่าปิศาจที่บางกัดบางแทงบาดเจ็บล้มตาย  ฝ่ายมนุษย์ก็ไม่น้อยหน้า  ปิศาจตัวไหนที่อยู่ในระยะแนวรบก็ช่วยกันรุมฟันจนร่างแหลละเอียด  จุดเด่นของปิศาจคือความแข็งแกร่งทนทาน ส่วนมนุษย์ที่มีสมองย่อมคิดออกว่าจำนวนคือข้อได้เปรียบหากพละกำลังเป็นรอง
	"ฮึ...โง่เง่าสิ้นดี" ด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยการสู้รบกลับมีชายคนหนึ่งที่ยืนดูการต่อสู้เหล่านั้นอยู่บนเสาหักๆที่อยู่สูงขึ้นไปผ้าคลุมสีดำปลิวไสว ผมสีขาวยาวลงมาปรกตาไว้ข้างหนึ่ง หน้าที่ซีดราวกับคนตาย ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเสาต้นถัดไป
	"ถ้ามันน่ารำคาญขนาดนั้นก็ทำให้มันจบซะทีสิ" เด็กหญิงผมแดงบอก คำพูดนี้ทำเอาชายผมขาวหัวเราะเบาๆ
	"งั้นก็อย่าเสียเวลาเลยนะ" ชายคนนั้นบอกพร้อมกับกระโดนขึ้นไปยืนบนกำแพงเหนือหัวมนุษย์  เมื่อทหารมองเห็นพากันเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจกับการปรากฏตัวของชายลึกลับ "เจ้าพวกมนุษย์ที่อ่อนแอทั้งหลาย  จงจำไว้ผู้ใดที่บังอาจเป็นศัตรูกับเหล่าปิศาจมันผู้นั้นจะต้องพบกับวาระสุดท้าย ด้วยความตาย...อันน่าสยดสยอง"  เมื่อพูดจบคัมภีร์ปกดำก็ถูกกางออกทันใดนั้นผู้คนก็พากันอุดหู  พลางร้องอยากทรมาน  นายกองหน้าบากที่ผ่านศึกมามากมาย ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับบรรดาหนังสือปกดำนั้นมีมาก รวมทั้งรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้ จึงทำให้เขาไวพอที่จะเอาที่อุดหูที่เตรียมมาใส่ไว้ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงบทเพลงแห่งความตาย!! นายกองพุ่งสุดตัวผ่านทหารที่นอนดิ้นไปมา  วิชาหอกระยะไกลถูกใช้ออก
	"สเปียบูมเมอร์แรง (Spear Boomerang)" หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น ด้วยทักษะหอกแหวกลม หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น  หวังบั่นทอนสมาธิ  เป้าหมายคือใบหน้า  ทันใดนั้นขณะที่หอกน่าจะอยู่ห่างจากชายคนนั้นเพียงคืบเดียว ก็เสียบเข้ากับเกราะเวทมนต์  ชายคนนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
	"ในที่สุดชะตาก็ทำให้เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะพี่ชาย!!" ชายผมขาวบอกและสลายเวทมนต์ออกทำให้หอกที่ปักค้างอยู่ลอยกลับไปหานายกอง เขาตั้งท่าเตรียมจู่โจมซ้ำ  แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของนายกองพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมแดง  นายกองสติดีพอที่จะไม่ตกใจแต่ก็ช้าไปสำหรับการจู่โจมตอบโต้  เด็กสาวใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวจิ้มตามจุดต่างๆบนร่างกายของนายกองทำให้เขาไม่สามารถขยับได้
	"เบิกตาดูไว้เถิดพี่ชาย วาระสุดท้ายของมนุษย์ที่เป็นปรปักษ์กับปิศาจ" คัมภีร์ปกดำถูกกางออกอีกครั้ง  เกิดอาณาเขตวงเวทย์ขึ้นล้อมทหารที่กำลังนอนดิ้นไปมาบางส่วนไว้  นายกองเบิกตาโพลง  นี่คือวงเวทย์ที่เขาเคยเห็นมาก่อน  นี่คือวงเวทย์ที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมือง  นี่คือวงเวทย์ที่...ทำให้เมืองนี้ล้างและเต็มไปด้วยปิศาจ
	"เดธแลนด์ คิลเลอร์ (Deadland Killer)"  เกิดเสียงระเบิดขึ้นบริเวณภายในวงเวทย์ทำให้ทหารที่อยู่ในวงเวทย์หายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยปิศาจร่างยักษ์สองตน  หนึ่งคือผู้ช่วยเพรชฆาตในกลาสแฮม เรบิโอ (Rybio) ในมือมีมีดอาบเลือดสองเล่ม อีกหนึ่งคือเพรชฆาตแห่งกลาสแฮม นามเฟรนดาร์ก (Fhendark) ที่ใช้อาวุธเป็นที่ช็อตไฟฟ้า
	"ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้คนของเราก็ดูเหมือนจะเท่ากันแล้วนะท่านพี่" มันระเบิดเสียงหัวเราะชวนขนลุกแล้วก็หายตัวไปทิ้งไว้เด็กสาวผมสีแดงที่ยืนมองหน้านายกองหน้าบากก่อนจะคลายจุดที่สกัดไว้และหายตัวตามไป  พอผู้ที่ใช้เวทย์ย้ายที่ไปที่อื่นระยะห่างของเวทย์มนต์ย่อมเสื่อมลงทำให้ทหารกลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่สองผู้มาใหม่พอมาถึงก็ทุบโน่นแทงนี่เป็นพัลวันผู้ใดต้องคมมีดหรือที่ช็อตไฟฟ้าก็สิ้นใจตายทันที  ฝ่ายนายกองหน้าบากพอหลุดจากพันธนาการก็พุ่งเข้าไปหวังว่าจะช่วยทหารของตนแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงร่ายเวทย์สองเสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
	"ธรรมชาติก่อเกิดพลัง  พลังก่อเกิดความกล้า ความหนาวเหน็บของธรรมชาติจักก่อเกิดพลังแก่ข้า ก่อให้เกิดความกล้าแก่ข้า เวทย์วายุหโลม  สตอมกัส (Strom Gust)" เกิดพายุหิมะขึ้นสองวง หนึ่งที่เฟนดาร์กและอีกหนึ่งที่เรบิโอที่ยืนอยู่แช่แข็งมันทั้งคู่ด้วยความหนาวเหน็บของหิมะเวทย์มนต์ที่ไม่ส่งผลต่อมนุษย์และบริเวณของวงเวทย์ยังกว้างพอที่จะกำจัดปิศาจอื่นๆจนหมดด้วย
	"เอาเลยมาคัส" เสียงหนึ่งในนั้นตะโกนบอก มีอีกเสียงดังขึ้นมาอีก
	"ในนามเทพธอร์บิดาแห่งสายฟ้า พลังแสงสว่างที่ใช้ขับไล่ความมืดจักก่อเกิดพลัง  สายฟ้าพิโรธ จูปิเทลธันเดอร์ (Jupitel Tunder) " บอลสายฟ้าพุ่งตรงไปยังร่างของเฟนดาร์กที่ถูกแช่แข็งอยู่ระเบิดจนมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วก็หันมาใช้ท่าเดียวกันกับเรบิโอ  ทหารที่เหลือรอดเมื่อเห็นศัตรูตัวฉกาจถูกทำลายลงต่างก็ส่งเสียงเฮดังลั่นไปทั้งบริเวณ เมื่อหน้าที่จบลงเอเฟรดก็เดินไปพบกับสองฉกรรจ์หนึ่งเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้  สองในสามเป็นเป็นจอมเวทย์ไฮด์  วิซาร์ท (High Wizard) อีกหนึ่งเป็นนักเวทย์วิซาร์ท (Wizard) สองฉกรรจ์เป็นสองในสิบคนที่ถูกเรียกว่าจอมเวทย์แห่งสายธาตุของเมืองเกฟเฟ่น (Geffen)
	"ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ" เอเฟรดเปิดบทสนาทันทีที่มาถึง
	"เราสองคนคือจอมเวทย์แห่งสายธาตุจากนครมนตรา เรานามว่าวินด์ สหายเรามาคัส ส่วนนั่นคือศิษย์เอกของเราลูท  เราไม่ทราบเลยว่ามีการเดินทัพผ่านเกฟเฟ่น แต่มีผู้แจ้งว่าได้ยินเสียงดาบมาจากที่นี่  เราจึงมาเพื่อให้เห็นกับตา เหตุใดกองทัพของศาสนจักรถึงมาอยู่ที่นี่ได้"  หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกพร้อมกับถามในประโยคเดียวกัน
	"เรามีนามว่าเอเฟรด  คิลลัว  เป็นผู้คุมกองทหารราบที่ 9  เนื่องจากทางกองทัพศาสนจักรได้รับแจ้งว่าได้มีพลังงานลึกลับออกมาจากเมืองกลาสแฮมจึงได้ส่งกองทหารมาสำรวจ  แต่ระหว่างทางเราถูกปิศาจดักซุ่มโจมตี  การเดินทางมิได้ผ่านเมืองเกฟเฟ่นแต่เลยขึ้นไปทางเหนือ  อาจจะเป็นเหตุให้เจ้านครเกฟเฟ่นไม่ทราบก็ได้  ทางกองศาสนจักรต้องกราบขอประทานอภัยไปยังเจ้านคร
เกฟเฟ่นด้วย"  เอเฟรดกล่าวจบก็โค้งให้อย่างสวยงามหนึ่งครา
	"ทางเมืองเกฟเฟ่นมิได้คิดเอาเรื่องแต่อย่างใด เนื่องจากนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วเสียงดาบยังดังไม่หยุด    จึงส่งเราสามคนมาเพื่อตามพวกท่านให้กลับไปพักผ่อนที่นครเสียก่อน วันรุ่งขึ้นเมื่อรวมกำลังพลแล้วจึงค่อยมาที่นี่ใหม่" ชายฉกรรจ์แจ้งวัตถุประสงค์ก่อนจะมอบหมายให้ศิษย์เอกเป็นผู้นำทางกลับไปยังนคร  ทางด้านนายกองเอเฟรดเปาปากหนึ่งครา  ก็มีอัศวินขี่วิหกลมกรด  เปโก้เปโก้ (Pecopeco) เข้ามาหา
	"แจ้งไปยังนครพรอนเทร่า (Prontera) ว่าให้องค์ราชาทราบว่า กองทหารราบถูกซุ่มโจมตี  สูญเสียกำลังทหารฝีมือดีไปเป็นจำนวนมาก  จึงได้ถอยไปยังนครเกฟเฟ่นก่อน  ในวันพรุ่งนี้จึงจะเดินทัพบุกเข้าไปอีกครั้ง"  พอรับคำสั่งเสร็จอัศวินม้าเร็วที่ทำหน้าที่ส่งสารก็ควบวิหคตรงไปยังทิศที่ตั้งของนครพรอนเทร่าทันที  
	ก่อนตะวันตกดินในวันนั้นกองทหารราบที่ 9 ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่กำแพงนครเกฟเฟ่น  แต่ทว่าเมืองมีนี้ไม่มีขนาดใหญ่มากนักสิ่งก่อสร้างภายในส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านเรือนหรือพวกบาร์เหล้ามากกว่า  ทำให้ทหารต้องออกมาตั้งแคมป์ด้านนอกเมือง  เมื่อทั้งหมดแบ่งที่สำหรับกางเต็นเสร็จแล้ว  ก็มีจอมเวทย์คนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่าทหารทั้งหลายต่างมองอย่างสงสัย
	"ผู้นำแห่งเกฟเฟ่นต้องการพบเอเฟรด  คิลลัวไม่ทราบว่าคือผู้ใด"  เมื่อพูดจบ เหล่าทหารต่างสงเสียงซุบซิบกันดังไปทั่วแต่จอมเวทย์คนนั้นหาแยแสสนใจไม่  จนกระทั่ง...
	"ทุกคนเงียบ"  เกิดเสียงตะคอกดังขึ้นจากเต็นตรงกลางพร้อมกับการปรากฏกายของทหารในเครื่องแบบชั้นสูง  ลอร์ดไนท์ (Lord Knight) เขาคือนายกองกอลดัลที่เดินออกมาพร้อมกับผู้นำแห่งกองทัพศาสนจักร อัศวินศักสิทธิ์พาราดิน (Paladin) "ขออภัยสำหรับเหล่าทหารที่ไร้ระเบียบพวกนี้  ข้าเองที่ท่านตามหา  โปรดนำทาง"  กอลดัลบอก  จอมเวทย์คนนั้นเดินเข้าสู่ตัวเมือง  กอลดัลเดินตามไปช้าๆ  ส่วนอัศวินศักสิทธิ์เดินแยกตรงไปยังพาหนะซึ่งก็คือวิหคลมกรดคล้ายกับที่อัศวินใช้แต่มีขนาดและสีสันแตกต่างกัน  ขนาดที่ใหญ่และหางที่สีสันสวยงามกว่า  มันถูกเรียกว่าแกรนเปโก้เปโก้ (Grand Pecopeco)  เขากระโดดขึ้นขี่แล้วควบหายไป
	ณ  ยอดสูงสุดของเกฟเฟ่น ทาวเวอร์ (Geffen tower) ที่โต๊ะประชุมนายกองกอลดัลนั่งอยู่ด้านซ้ายเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก  เพราะว่าส่วนใหญ่ที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามาสักเท่าไหร่  ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้นำชั้นสูงอนุญาติจึงจะเข้ามาได้แต่ก็เฉพาะนักเวทย์เท่านั้น  เพราะฉะนั้นที่โต๊ะประชุมแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทย์ระดับแนวหน้าที่แต่ละคนดูหน้าตาดูขึงขังไม่พอใจที่เห็นอัศวินที่ไม่ใช่คนสำคัญเข้ามาที่ห้องประชุมซึ่งถือว่าเป็นความลับ  ยกเว้นแต่จอมเวทย์สองคนที่ไปช่วยเขา  ทั้งคู่นั่งประกบเขาพลางยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นนายกองทำท่าอึดอัด
	"ท่านว่าพรอนเทร่ารู้ถึงพลังงานลึกลับจากนครกลาสแฮมงั้นหรือ"  ผู้นำจอมเวทย์ชราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนจะมีอำนาจมากที่สุดในห้องประชุมแห่งนี้เปิดหัวข้อสนทนา
	"ทางพรอนเทร่าได้รับแจ้งมาจากสาธาณรัฐจูโน่ (Yuno)  ว่ามีพลังงานความมืดมหาศาลแผ่ออกมา  องค์ราชาจึงได้มีพระบัญชาให้นำกองทหารส่วนหนึ่งมาตรวจดู"  กอลดัลตอบด้วยท่าทีสุภาพ
	"ฮึ...  พรอนเทร่าไม่เห็นหัวเกฟเฟ่นแล้วรึยังไง  ถึงได้ปิดข่าวเกฟเฟ่นแล้วแอบทำอะไรโดยพลการ"  จอมเวทย์ที่นั่งตรงข้ามกับเขาพูดขึ้นอย่างฉุนเชียว
	"ใจเย็นก่อน  สไตเนอร์  เจ้าลองฟังคนอื่นก่อนจะไม่ได้เลยรึไง  เอ้า...ว่าต่อไปอัศวิน"  จอมเวทย์คนหนึ่งปรามก่อนจะให้เขาพูดต่อ
	"โปรดเข้าใจก่อน  กองทัพตามที่กำหนดไว้จะต้องมาถึงเกฟเฟ่นเช้าของวันนี้แต่ระหว่างทางได้ถูกลอบโจมตีโดยปิศาจทำให้แผนการเปลี่ยนไปเราไล่ต้อนปิศาจเหล่านั้นจนมันถอยกลับเข้าไปในนครร้างเกฟเฟ่น  ขณะที่เรากำลังถอนทัพออกจากนครนั้นก็ถูกปิดล้อมด้วยปิศาจจำนวนมาก  พวกเราพยายามตีฝ่าออกไปแต่ดาร์กพรีสก็ปรากฏตัวขึ้น..."
	"ว่าไงนะ... ดาร์กพรีส บรรพชิตมารน่ะรึปรากฏตัวขึ้น" เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วโต๊ะประชุม  "เงียบๆ"  จอมเวทย์ชราตะโกนสั่งก่อนจะผายมือให้กอลดัลอธิบายต่อ
	"ใช่  ดาร์กพรีสปรากฏตัวขึ้นและก็ทำพิธีเรียกสองจอมปิศาจออกมา  พวกเราที่เสียกำลังไปเป็นจำนวนมากพยายามต่อสู้จนกระทั่งสองท่านนี้ไปช่วยเราไว้"  เขาบอกแล้วชี้ไปยังสองจอมเวทย์ที่นั่งประกบเขา  ทั้งคู่ยิ้มแต่ไม่กล่าวว่าอะไร
	"แต่มีผู้บอกว่าดาร์กพรีสถูกกำจัดไปเมื่อนานมาแล้ว"  จอมเวทย์ที่ใส่แว่นเลนส์เดียวถาม 
	"เอ่อ..."  นายกองอ่ำอึ่งไม่รู้จะอธิบายว่าอะไรดี
	"มีจริงๆ  ไวด์ข้าเห็นมากับตา แต่ก่อนที่ข้าจะทำอะไร  ดาร์กพรีสก็หายตัวหนีไป"  วินด์บอก
	"งั้นเราก็คงต้องเตรียมตัวพร้อมพบกับตำนานที่ชั่วร้ายอีกครั้ง รึว่า ท่านเห็นเป็นอย่างไร  สไตเนอร์"  จอมเวทย์หญิงที่ใส่หมวกเป็นรูปเด็กผู้หญิงนอนอยู่บนหัวถามสไตเนอร์
	"ฮึ...  นักบวชหรือจะสู้นักเวทย์ได้  หมดยุคของดาร์กพรีสไปนานแล้ว" สไตเนอร์บอกอย่างมั่นใจ
	"ท่านก็มั่นใจอย่างนี้เสมอแหละ ประมาทนักแล้วจะเสียใจภายหลัง"  นักเวทย์ตาบอดพูดขึ้น
	"ไม่อยากเชื่อเลยว่าอัจฉริยะแห่งการสาปอย่างท่านจะกลัวบรรพชิตเพียงคนเดียว"  สไตเนอร์เหน็บแต่จอมเวทย์ตาบอดมิได้ใส่ใจ
	"งั้นพรุ่งนี้ทางเกฟเฟ่นจะให้ยืมทหารบางส่วน  หากท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงหมายกำหนดการ  แต่ถ้าหากท่านถอนกำลังกลับนครหลวง  ทางเกฟเฟ่นจะรับหน้าที่เฝ้าคอยสังเกตุการณ์ให้" จอมเวทย์ชรากล่าว
	"ราชโอการคือคำสั่งสูงสุดสำหรับเหล่าอัศวินแม้ตัวตายเกียรติยังคงดำรงอยู่  พรุ่งนี้กองทหารราบที่เหลือจะเคลื่อนทัพเข้าสู่นครร้างเพื่อสืบที่มาของพลังงานลึกลับ "  นายกองกอลดัลกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
	"งั้นเป็นอันตกลง  เห็นแก่ความเด็ดเดี่ยวของท่านและเกียรติของเหล่าอัศวิน  พรุ่งนี้จอมเวทย์ฝีมือดีบางส่วนของนครเกฟเฟ่นจะเข้าร่วมกองทัพกับท่านด้วย"  จอมเวทย์ชรากล่าวและปิดการประชุมอนุญาติให้แยกย้ายไปพักผ่อน				
30 พฤศจิกายน 2551 16:10 น.

Assasin วีรบุรุษแห่งเลือดบทที่ 1

LoveNeverJang

บทที่ 1 นครแห่งความอาดูร
	"อ๊าก..." เสียงโหยหวนดังมาจากซากเมืองโบราณ กลาสแฮม ตามมาด้วยเสียงดาบกระทบและของแข็งดังไปทั่วตัวเมือง
	"ระวังลูกธนู"  นายทหารไนท์ (Knight) คนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ตะโกนขึ้น บรรดาทหารที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่ต่างยกโล่ขึ้นสูงเหนือหัวตนเองและคนที่อยู่ใกล้เคียง  ทันใดนั้นก็มีลูกธนูตกลงมาราวกับห่าฝน  ตกใส่ผู้ใดก็ทิ่มแทงทะลุเกราะด้วยแรงยิงมหาศาลแต่มิอาจทะลุโล่ที่ทำจากแร่เหล็กชั้นดีและออกแบบมาเพื่อรับการโจมตีอันรุนแรงได้
	"เอ้าเลยทุกคน ทะลวงออกไป  กำลังของเรามากกว่า เราชนะอยู่แล้ว"  ทหารที่แต่งตัวเด่นกว่าคนอื่นสั่ง  เขาคือนายกองเอเฟรด ที่ดวงตาของนายกองมีบาดแผลเป็นกากบาทน่ากลัว เมื่อนายกองตะโกนสั่งทหารก็ส่งเสียงพร้อมกับช่วยกันถาโถมเข้าไป  ปิศาจที่ขวางทางอยู่มีทั้งเรดิก (Raydric) ปิศาจชุดเกราะไร้กาย  อินจัสติส (Injustice) ปิศาจที่ถูกทรมานจนตายที่ข้อต่อมีของแหลมฝังอยู่  ซอมบี้ (Zombie) ซากศพเดินได้ ทหารคนใดเข้าใกล้ก็ถูกเหล่าปิศาจที่บางกัดบางแทงบาดเจ็บล้มตาย  ฝ่ายมนุษย์ก็ไม่น้อยหน้า  ปิศาจตัวไหนที่อยู่ในระยะแนวรบก็ช่วยกันรุมฟันจนร่างแหลละเอียด  จุดเด่นของปิศาจคือความแข็งแกร่งทนทาน ส่วนมนุษย์ที่มีสมองย่อมคิดออกว่าจำนวนคือข้อได้เปรียบหากพละกำลังเป็นรอง
	"ฮึ...โง่เง่าสิ้นดี" ด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยการสู้รบกลับมีชายคนหนึ่งที่ยืนดูการต่อสู้เหล่านั้นอยู่บนเสาหักๆที่อยู่สูงขึ้นไปผ้าคลุมสีดำปลิวไสว ผมสีขาวยาวลงมาปรกตาไว้ข้างหนึ่ง หน้าที่ซีดราวกับคนตาย ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเสาต้นถัดไป
	"ถ้ามันน่ารำคาญขนาดนั้นก็ทำให้มันจบซะทีสิ" เด็กหญิงผมแดงบอก คำพูดนี้ทำเอาชายผมขาวหัวเราะเบาๆ
	"งั้นก็อย่าเสียเวลาเลยนะ" ชายคนนั้นบอกพร้อมกับกระโดนขึ้นไปยืนบนกำแพงเหนือหัวมนุษย์  เมื่อทหารมองเห็นพากันเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจกับการปรากฏตัวของชายลึกลับ "เจ้าพวกมนุษย์ที่อ่อนแอทั้งหลาย  จงจำไว้ผู้ใดที่บังอาจเป็นศัตรูกับเหล่าปิศาจมันผู้นั้นจะต้องพบกับวาระสุดท้าย ด้วยความตาย...อันน่าสยดสยอง"  เมื่อพูดจบคัมภีร์ปกดำก็ถูกกางออกทันใดนั้นผู้คนก็พากันอุดหู  พลางร้องอยากทรมาน  นายกองหน้าบากที่ผ่านศึกมามากมาย ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับบรรดาหนังสือปกดำนั้นมีมาก รวมทั้งรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้ จึงทำให้เขาไวพอที่จะเอาที่อุดหูที่เตรียมมาใส่ไว้ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงบทเพลงแห่งความตาย!! นายกองพุ่งสุดตัวผ่านทหารที่นอนดิ้นไปมา  วิชาหอกระยะไกลถูกใช้ออก
	"สเปียบูมเมอร์แรง (Spear Boomerang)" หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น ด้วยทักษะหอกแหวกลม หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น  หวังบั่นทอนสมาธิ  เป้าหมายคือใบหน้า  ทันใดนั้นขณะที่หอกน่าจะอยู่ห่างจากชายคนนั้นเพียงคืบเดียว ก็เสียบเข้ากับเกราะเวทมนต์  ชายคนนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
	"ในที่สุดชะตาก็ทำให้เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะพี่ชาย!!" ชายผมขาวบอกและสลายเวทมนต์ออกทำให้หอกที่ปักค้างอยู่ลอยกลับไปหานายกอง เขาตั้งท่าเตรียมจู่โจมซ้ำ  แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของนายกองพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมแดง  นายกองสติดีพอที่จะไม่ตกใจแต่ก็ช้าไปสำหรับการจู่โจมตอบโต้  เด็กสาวใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวจิ้มตามจุดต่างๆบนร่างกายของนายกองทำให้เขาไม่สามารถขยับได้
	"เบิกตาดูไว้เถิดพี่ชาย วาระสุดท้ายของมนุษย์ที่เป็นปรปักษ์กับปิศาจ" คัมภีร์ปกดำถูกกางออกอีกครั้ง  เกิดอาณาเขตวงเวทย์ขึ้นล้อมทหารที่กำลังนอนดิ้นไปมาบางส่วนไว้  นายกองเบิกตาโพลง  นี่คือวงเวทย์ที่เขาเคยเห็นมาก่อน  นี่คือวงเวทย์ที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมือง  นี่คือวงเวทย์ที่...ทำให้เมืองนี้ล้างและเต็มไปด้วยปิศาจ
	"เดธแลนด์ คิลเลอร์ (Deadland Killer)"  เกิดเสียงระเบิดขึ้นบริเวณภายในวงเวทย์ทำให้ทหารที่อยู่ในวงเวทย์หายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยปิศาจร่างยักษ์สองตน  หนึ่งคือผู้ช่วยเพรชฆาตในกลาสแฮม เรบิโอ (Rybio) ในมือมีมีดอาบเลือดสองเล่ม อีกหนึ่งคือเพรชฆาตแห่งกลาสแฮม นามเฟรนดาร์ก (Fhendark) ที่ใช้อาวุธเป็นที่ช็อตไฟฟ้า
	"ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้คนของเราก็ดูเหมือนจะเท่ากันแล้วนะท่านพี่" มันระเบิดเสียงหัวเราะชวนขนลุกแล้วก็หายตัวไปทิ้งไว้เด็กสาวผมสีแดงที่ยืนมองหน้านายกองหน้าบากก่อนจะคลายจุดที่สกัดไว้และหายตัวตามไป  พอผู้ที่ใช้เวทย์ย้ายที่ไปที่อื่นระยะห่างของเวทย์มนต์ย่อมเสื่อมลงทำให้ทหารกลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่สองผู้มาใหม่พอมาถึงก็ทุบโน่นแทงนี่เป็นพัลวันผู้ใดต้องคมมีดหรือที่ช็อตไฟฟ้าก็สิ้นใจตายทันที  ฝ่ายนายกองหน้าบากพอหลุดจากพันธนาการก็พุ่งเข้าไปหวังว่าจะช่วยทหารของตนแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงร่ายเวทย์สองเสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
	"ธรรมชาติก่อเกิดพลัง  พลังก่อเกิดความกล้า ความหนาวเหน็บของธรรมชาติจักก่อเกิดพลังแก่ข้า ก่อให้เกิดความกล้าแก่ข้า เวทย์วายุหโลม  สตอมกัส (Strom Gust)" เกิดพายุหิมะขึ้นสองวง หนึ่งที่เฟนดาร์กและอีกหนึ่งที่เรบิโอที่ยืนอยู่แช่แข็งมันทั้งคู่ด้วยความหนาวเหน็บของหิมะเวทย์มนต์ที่ไม่ส่งผลต่อมนุษย์และบริเวณของวงเวทย์ยังกว้างพอที่จะกำจัดปิศาจอื่นๆจนหมดด้วย
	"เอาเลยมาคัส" เสียงหนึ่งในนั้นตะโกนบอก มีอีกเสียงดังขึ้นมาอีก
	"ในนามเทพธอร์บิดาแห่งสายฟ้า พลังแสงสว่างที่ใช้ขับไล่ความมืดจักก่อเกิดพลัง  สายฟ้าพิโรธ จูปิเทลธันเดอร์ (Jupitel Tunder) " บอลสายฟ้าพุ่งตรงไปยังร่างของเฟนดาร์กที่ถูกแช่แข็งอยู่ระเบิดจนมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วก็หันมาใช้ท่าเดียวกันกับเรบิโอ  ทหารที่เหลือรอดเมื่อเห็นศัตรูตัวฉกาจถูกทำลายลงต่างก็ส่งเสียงเฮดังลั่นไปทั้งบริเวณ เมื่อหน้าที่จบลงเอเฟรดก็เดินไปพบกับสองฉกรรจ์หนึ่งเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้  สองในสามเป็นเป็นจอมเวทย์ไฮด์  วิซาร์ท (High Wizard) อีกหนึ่งเป็นนักเวทย์วิซาร์ท (Wizard) สองฉกรรจ์เป็นสองในสิบคนที่ถูกเรียกว่าจอมเวทย์แห่งสายธาตุของเมืองเกฟเฟ่น (Geffen)
	"ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ" เอเฟรดเปิดบทสนาทันทีที่มาถึง
	"เราสองคนคือจอมเวทย์แห่งสายธาตุจากนครมนตรา เรานามว่าวินด์ สหายเรามาคัส ส่วนนั่นคือศิษย์เอกของเราลูท  เราไม่ทราบเลยว่ามีการเดินทัพผ่านเกฟเฟ่น แต่มีผู้แจ้งว่าได้ยินเสียงดาบมาจากที่นี่  เราจึงมาเพื่อให้เห็นกับตา เหตุใดกองทัพของศาสนจักรถึงมาอยู่ที่นี่ได้"  หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกพร้อมกับถามในประโยคเดียวกัน
	"เรามีนามว่าเอเฟรด  คิลลัว  เป็นผู้คุมกองทหารราบที่ 9  เนื่องจากทางกองทัพศาสนจักรได้รับแจ้งว่าได้มีพลังงานลึกลับออกมาจากเมืองกลาสแฮมจึงได้ส่งกองทหารมาสำรวจ  แต่ระหว่างทางเราถูกปิศาจดักซุ่มโจมตี  การเดินทางมิได้ผ่านเมืองเกฟเฟ่นแต่เลยขึ้นไปทางเหนือ  อาจจะเป็นเหตุให้เจ้านครเกฟเฟ่นไม่ทราบก็ได้  ทางกองศาสนจักรต้องกราบขอประทานอภัยไปยังเจ้านคร
เกฟเฟ่นด้วย"  เอเฟรดกล่าวจบก็โค้งให้อย่างสวยงามหนึ่งครา
	"ทางเมืองเกฟเฟ่นมิได้คิดเอาเรื่องแต่อย่างใด เนื่องจากนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วเสียงดาบยังดังไม่หยุด    จึงส่งเราสามคนมาเพื่อตามพวกท่านให้กลับไปพักผ่อนที่นครเสียก่อน วันรุ่งขึ้นเมื่อรวมกำลังพลแล้วจึงค่อยมาที่นี่ใหม่" ชายฉกรรจ์แจ้งวัตถุประสงค์ก่อนจะมอบหมายให้ศิษย์เอกเป็นผู้นำทางกลับไปยังนคร  ทางด้านนายกองเอเฟรดเปาปากหนึ่งครา  ก็มีอัศวินขี่วิหกลมกรด  เปโก้เปโก้ (Pecopeco) เข้ามาหา
	"แจ้งไปยังนครพรอนเทร่า (Prontera) ว่าให้องค์ราชาทราบว่า กองทหารราบถูกซุ่มโจมตี  สูญเสียกำลังทหารฝีมือดีไปเป็นจำนวนมาก  จึงได้ถอยไปยังนครเกฟเฟ่นก่อน  ในวันพรุ่งนี้จึงจะเดินทัพบุกเข้าไปอีกครั้ง"  พอรับคำสั่งเสร็จอัศวินม้าเร็วที่ทำหน้าที่ส่งสารก็ควบวิหคตรงไปยังทิศที่ตั้งของนครพรอนเทร่าทันที  
	ก่อนตะวันตกดินในวันนั้นกองทหารราบที่ 9 ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่กำแพงนครเกฟเฟ่น  แต่ทว่าเมืองมีนี้ไม่มีขนาดใหญ่มากนักสิ่งก่อสร้างภายในส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านเรือนหรือพวกบาร์เหล้ามากกว่า  ทำให้ทหารต้องออกมาตั้งแคมป์ด้านนอกเมือง  เมื่อทั้งหมดแบ่งที่สำหรับกางเต็นเสร็จแล้ว  ก็มีจอมเวทย์คนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่าทหารทั้งหลายต่างมองอย่างสงสัย
	"ผู้นำแห่งเกฟเฟ่นต้องการพบเอเฟรด  คิลลัวไม่ทราบว่าคือผู้ใด"  เมื่อพูดจบ เหล่าทหารต่างสงเสียงซุบซิบกันดังไปทั่วแต่จอมเวทย์คนนั้นหาแยแสสนใจไม่  จนกระทั่ง...
	"ทุกคนเงียบ"  เกิดเสียงตะคอกดังขึ้นจากเต็นตรงกลางพร้อมกับการปรากฏกายของทหารในเครื่องแบบชั้นสูง  ลอร์ดไนท์ (Lord Knight) เขาคือนายกองกอลดัลที่เดินออกมาพร้อมกับผู้นำแห่งกองทัพศาสนจักร อัศวินศักสิทธิ์พาราดิน (Paladin) "ขออภัยสำหรับเหล่าทหารที่ไร้ระเบียบพวกนี้  ข้าเองที่ท่านตามหา  โปรดนำทาง"  กอลดัลบอก  จอมเวทย์คนนั้นเดินเข้าสู่ตัวเมือง  กอลดัลเดินตามไปช้าๆ  ส่วนอัศวินศักสิทธิ์เดินแยกตรงไปยังพาหนะซึ่งก็คือวิหคลมกรดคล้ายกับที่อัศวินใช้แต่มีขนาดและสีสันแตกต่างกัน  ขนาดที่ใหญ่และหางที่สีสันสวยงามกว่า  มันถูกเรียกว่าแกรนเปโก้เปโก้ (Grand Pecopeco)  เขากระโดดขึ้นขี่แล้วควบหายไป
	ณ  ยอดสูงสุดของเกฟเฟ่น ทาวเวอร์ (Geffen tower) ที่โต๊ะประชุมนายกองกอลดัลนั่งอยู่ด้านซ้ายเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก  เพราะว่าส่วนใหญ่ที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามาสักเท่าไหร่  ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้นำชั้นสูงอนุญาติจึงจะเข้ามาได้แต่ก็เฉพาะนักเวทย์เท่านั้น  เพราะฉะนั้นที่โต๊ะประชุมแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทย์ระดับแนวหน้าที่แต่ละคนดูหน้าตาดูขึงขังไม่พอใจที่เห็นอัศวินที่ไม่ใช่คนสำคัญเข้ามาที่ห้องประชุมซึ่งถือว่าเป็นความลับ  ยกเว้นแต่จอมเวทย์สองคนที่ไปช่วยเขา  ทั้งคู่นั่งประกบเขาพลางยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นนายกองทำท่าอึดอัด
	"ท่านว่าพรอนเทร่ารู้ถึงพลังงานลึกลับจากนครกลาสแฮมงั้นหรือ"  ผู้นำจอมเวทย์ชราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนจะมีอำนาจมากที่สุดในห้องประชุมแห่งนี้เปิดหัวข้อสนทนา
	"ทางพรอนเทร่าได้รับแจ้งมาจากสาธาณรัฐจูโน่ (Yuno)  ว่ามีพลังงานความมืดมหาศาลแผ่ออกมา  องค์ราชาจึงได้มีพระบัญชาให้นำกองทหารส่วนหนึ่งมาตรวจดู"  กอลดัลตอบด้วยท่าทีสุภาพ
	"ฮึ...  พรอนเทร่าไม่เห็นหัวเกฟเฟ่นแล้วรึยังไง  ถึงได้ปิดข่าวเกฟเฟ่นแล้วแอบทำอะไรโดยพลการ"  จอมเวทย์ที่นั่งตรงข้ามกับเขาพูดขึ้นอย่างฉุนเชียว
	"ใจเย็นก่อน  สไตเนอร์  เจ้าลองฟังคนอื่นก่อนจะไม่ได้เลยรึไง  เอ้า...ว่าต่อไปอัศวิน"  จอมเวทย์คนหนึ่งปรามก่อนจะให้เขาพูดต่อ
	"โปรดเข้าใจก่อน  กองทัพตามที่กำหนดไว้จะต้องมาถึงเกฟเฟ่นเช้าของวันนี้แต่ระหว่างทางได้ถูกลอบโจมตีโดยปิศาจทำให้แผนการเปลี่ยนไปเราไล่ต้อนปิศาจเหล่านั้นจนมันถอยกลับเข้าไปในนครร้างเกฟเฟ่น  ขณะที่เรากำลังถอนทัพออกจากนครนั้นก็ถูกปิดล้อมด้วยปิศาจจำนวนมาก  พวกเราพยายามตีฝ่าออกไปแต่ดาร์กพรีสก็ปรากฏตัวขึ้น..."
	"ว่าไงนะ... ดาร์กพรีส บรรพชิตมารน่ะรึปรากฏตัวขึ้น" เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วโต๊ะประชุม  "เงียบๆ"  จอมเวทย์ชราตะโกนสั่งก่อนจะผายมือให้กอลดัลอธิบายต่อ
	"ใช่  ดาร์กพรีสปรากฏตัวขึ้นและก็ทำพิธีเรียกสองจอมปิศาจออกมา  พวกเราที่เสียกำลังไปเป็นจำนวนมากพยายามต่อสู้จนกระทั่งสองท่านนี้ไปช่วยเราไว้"  เขาบอกแล้วชี้ไปยังสองจอมเวทย์ที่นั่งประกบเขา  ทั้งคู่ยิ้มแต่ไม่กล่าวว่าอะไร
	"แต่มีผู้บอกว่าดาร์กพรีสถูกกำจัดไปเมื่อนานมาแล้ว"  จอมเวทย์ที่ใส่แว่นเลนส์เดียวถาม 
	"เอ่อ..."  นายกองอ่ำอึ่งไม่รู้จะอธิบายว่าอะไรดี
	"มีจริงๆ  ไวด์ข้าเห็นมากับตา แต่ก่อนที่ข้าจะทำอะไร  ดาร์กพรีสก็หายตัวหนีไป"  วินด์บอก
	"งั้นเราก็คงต้องเตรียมตัวพร้อมพบกับตำนานที่ชั่วร้ายอีกครั้ง รึว่า ท่านเห็นเป็นอย่างไร  สไตเนอร์"  จอมเวทย์หญิงที่ใส่หมวกเป็นรูปเด็กผู้หญิงนอนอยู่บนหัวถามสไตเนอร์
	"ฮึ...  นักบวชหรือจะสู้นักเวทย์ได้  หมดยุคของดาร์กพรีสไปนานแล้ว" สไตเนอร์บอกอย่างมั่นใจ
	"ท่านก็มั่นใจอย่างนี้เสมอแหละ ประมาทนักแล้วจะเสียใจภายหลัง"  นักเวทย์ตาบอดพูดขึ้น
	"ไม่อยากเชื่อเลยว่าอัจฉริยะแห่งการสาปอย่างท่านจะกลัวบรรพชิตเพียงคนเดียว"  สไตเนอร์เหน็บแต่จอมเวทย์ตาบอดมิได้ใส่ใจ
	"งั้นพรุ่งนี้ทางเกฟเฟ่นจะให้ยืมทหารบางส่วน  หากท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงหมายกำหนดการ  แต่ถ้าหากท่านถอนกำลังกลับนครหลวง  ทางเกฟเฟ่นจะรับหน้าที่เฝ้าคอยสังเกตุการณ์ให้" จอมเวทย์ชรากล่าว
	"ราชโอการคือคำสั่งสูงสุดสำหรับเหล่าอัศวินแม้ตัวตายเกียรติยังคงดำรงอยู่  พรุ่งนี้กองทหารราบที่เหลือจะเคลื่อนทัพเข้าสู่นครร้างเพื่อสืบที่มาของพลังงานลึกลับ "  นายกองกอลดัลกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
	"งั้นเป็นอันตกลง  เห็นแก่ความเด็ดเดี่ยวของท่านและเกียรติของเหล่าอัศวิน  พรุ่งนี้จอมเวทย์ฝีมือดีบางส่วนของนครเกฟเฟ่นจะเข้าร่วมกองทัพกับท่านด้วย"  จอมเวทย์ชรากล่าวและปิดการประชุมอนุญาติให้แยกย้ายไปพักผ่อน
	อาทิตย์เลื่อนลับสุดขอบฟ้า	ทุกชีวาต่างกลับเข้าสู่ที่
	มิอาจรู้ได้ว่าในพรุ่งนี้	ทุกชีวีจะอยู่รอดเป็นอย่างไร

จบบทที่ 1 นครแห่งความอาดูร				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟLoveNeverJang
Lovings  LoveNeverJang เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟLoveNeverJang
Lovings  LoveNeverJang เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟLoveNeverJang
Lovings  LoveNeverJang เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงLoveNeverJang