14 มกราคม 2552 10:03 น.
LoveNeverJang
บทที่ 5 ประจันหน้าบรรชิตมาร
เธอแปลกใจกับสายตาคู่นั้น เธอหันมาเพื่อจะถามลูฟี่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันใดนั้นเอง โกเล็ม (Golem) ปิศาจหินที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายร่างกายเป็นหินแข็ง ก็พังประตูร้านเข้ามาพร้อมกับมอนสเตอร์จำนวนมากซึ่งแต่ละตัวมีถิ่นอาศัยต่างกัน ทั้งโพริ่ง (Poring) ที่มีจำนวนมาก ลักษณะของมันเป็นวงกลมสีชมพู ร่างกายคล้ายเยลลี่ โคบอล (Kobold) หมาที่เดินสองขามีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ตัวเล็กกว่ามาก ถิ่นอาศัยปกติทิศตะวันตกของเกฟเฟ่นนอกจากจำนวนที่มากแล้วยังขึ้นชื่อเรื่องความสามัคคีของพวกมัน พวกมันเพียงไม่กี่สิบตัวสามารถล้มหมีได้เพียงวิ่งผ่าน อโนเลี่ยน (Anolian) ปิศาจจระเข้ที่เดินสองขาเหมือนมนุษย์ในมือมีดาบสองคมวาววับถิ่นอาศัยเดิมอยู่ที่ชายหาดโคโมโด (Comodo) เมืองแห่งการเสี่ยงดวง อนูบิส (Anubis) ปิศาจหมาเฝ้าสุสาน แห่งพีระมิดร่างกายใหญ่โตของมันแม้จะดูเทอะทะแต่กลับมีความคล่องแคล่วอย่างน่ากลัว ออร์ค ซอมบี้ (Orc zombie) ซากศพของเหล่าอมนุษย์ที่ตายแล้ว แต่ฟื้นคืนชีพขึ้นปกติจะพบได้มากในสุสานของหมู่บ้านออร์คทางตอนใต้ของเกฟเฟ่น และสุดท้ายที่มีจำนวนมากคือเหล่าเมอร์แมน (Merman) เงือกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์แต่ถูกคำสาปให้มีร่างกายคล้ายปลาอาศัยอยู่ใต้น้ำเพื่อเฝ้าทรัพย์สมบัติ เมื่อโกเล็มโผล่พ้นประตูเข้ามา ก็ปรากฏลูกศรสองดอกปักเข้าที่กลางหัวอย่างแรงด้วยทักษะเฉพาะตัวของเหล่านักธนู (Acher) ดับเบิ้ลสต๊าฟ (Double straf) แต่ลูกธนูสองดอกนี้กลับถูกยิงออกมาจากเครื่องดนตรีของนักดนตรีคนหนึ่ง
จากนั้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น จินและเจนรีบพาจีจี้วิ่งออกไปทางหลังร้านโดยมีอลิซคอยคุ้มครองจากเหล่าบรรดาโพริ่ง (Poring) แม้โพริ่งจะไม่เก่งแต่ก็มีจำนวนมาก ทั้งหมดคิดตรงกันเป็นคำถามเดียวว่า 'ใครเล่นไม้ผี (Dead Brand) ในเมืองกันเนี่ย' ไม้ผีมีความสามารถในการอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาแต่เพราะเป็นไม้ต้องคำสาปจึงไม่มีใครที่สามารถใช้มันได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำได้แค่เพียงอัญเชิญมอนสเตอร์แบบสุ่มเท่านั้น มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ที่เรียกออกมาจากจะมีตั้งแต่ไม่โจมตีจนถึงขั้นสูงอย่างพวกออร์คทีเดียว
บรรดานักเดินทางแบ่งกันออกรับมือกับแองเจิลลิ่งที่เป็นธาตุแสงสว่าง ทำให้เวทมนต์ไม่สามารถทำอันตรายมันได้ ส่วนลูฟี่หลังจากจัดการกับโกเล็มเคราะห์ร้ายเรียบร้อยแล้ว ก็พุ่งตรงเข้าไปหาอนูบิส ฟันขาซ้ายขวาจนมันไม่สามารถทรงตัวได้ล้มลง ถูกลุงโจนาธานทุบด้วยฆ้อนใหญ่หัวแหลกละเอียดไป ลูฟี่พุ่งไปยังเป้าหมายต่อไป ท่ามกลางเสียงคำรามของบัดดี้โลวเด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าความเร็วของตัวเองเพิ่มขึ้นมา ลูฟี่พุ่งมายังออร์ค ซอมบี้ ใช้กาต้าแทงเข้าที่ลำคอ เลือดเสียสีดำไหลออกมาราวทำนบแตก มันทรุดลงคว่ำหน้าตายทันที ตอนนี้แองเจิลลิ่งเสียทีให้กับบาร์ดคนหนึ่ง ทักษะดับเบิ้ลสต๊าฟ ถูกใช้ออกอีกครา ลูกธนูสองดอกพุ่งด้วยความเร็วสูงปักเข้ากลางตัวด้วยแรงยิ่งมหาศาลทำให้มันแตกออก จากนั้นนักเดินทางทั้งหมดก็หยุดมองลูฟี่อย่างตกใจ เด็กหนุ่มที่รู้สึกว่าความเร็วของตัวเองเพิ่มเล็กน้อย แต่ในสายตาคนอื่นราวกับว่าเขากำลังหายตัวไปมาพร้อมกับเสียงคำรามอย่างน่ากลัว สุดท้ายคือบรรดาเหล่าเมอร์แมนที่มีไม่ต่ำกว่าสิบตัว พวกมันตัวหนึ่งเดินเข้ามาแทงหอกใส่นักเต้นคนหนึ่ง เธอเบี่ยงตัวหลบได้ไม่อยากเย็นนัก ก่อนจะเฆี่ยนมันด้วยแส้สีแดงเลือด แต่ก็แลกมาด้วยแผลจากหอกที่ถากเธอไป บาร์ดคนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับเมอร์แมนด้วยความยากลำบาก เพราะกีต้าของเขาถูกหอกของมันแตกละเอียดไปแล้ว บาร์ดคนนั้นพยายามต่อยเตะมันให้ถอยออกไป แต่แล้วเขาก็ล้มลง มันเงื้อหอกเตรียมจะแทง ฉึก!!! ลูกธนูสองดอกปักอยู่กลางหลังเมอร์แมนเคราะห์ร้ายมันกลายร่างเป็นปลาแล้วหายไป ตัวที่สามและสี่ถูกลูฟี่พุ่งเอากาต้าแทงกลางท้องแล้วจับหัวมันกระแทกเขาใส่กัน มันกลายร่างเป็นปลาก่อนจะหายไป ในเวลาต่อมาหกตัวที่เหลือก็มีสภาพไม่ต่างจากเพื่อน พวกมันกลายเป็นปลาแล้วก็หายไป ลุงโจนาธานเป่าลม มือปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขากำลังจะหันไปหาลูฟี่ แต่เด็กหนุ่มไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังวิ่งอยู่บนหลังคาเมืองสอดส่องหาผู้ต้องสงสัย ผู้ที่ใช้ไม้ผี เขากระโดดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเข้ากับชายคนหนึ่ง ผมสีขาวปรกตาข้างหนึ่ง อาภรณ์สีดำแทบจะกลืนเขาให้หายไปในความมืด ในมิดการ์ดอาภรณ์สีดำถือเป็นเรื่องต้องห้าม เด็กหนุ่มไม่สนใจ ใคร่รู้ประวัติความเป็นมาใดๆทั้งสิ้น การใช้ไม้ผีในที่ชุมชนย่อมไม่มีเจตนาดี เขาพุ่งกาต้าเข้าใส่ชายคนนั้นทันที ชายคนนั้นใช้ฝ่ามือปัดกาต้าออกไปอย่างง่ายดาย พลางพูดติดตลกว่า
"ฟู่ว... ยังไม่ทันได้กินก็จะได้ออกกำลังกายก่อนแล้วมั้ยล่ะ" ลูฟี่ชะงักเล็กน้อยกับเสียงที่คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินแต่ก็ดึงผ้าปิดปากป้องกันคำสาปขึ้นมาใส่ไว้ อาภรณ์สีดำมืดเมื่ออยู่ที่สูงลมย่อมแรงทำให้ชายผ้าปลิวสไวดูน่ากลัว และผู้ที่สวมชุดแบบนี้ ลูฟี่คิดว่ามันอาจจะเป็นบรรพชิตมารแต่เขาก็ไม่แน่ใจนัก ตำนานเกิดขึ้นและจบลงนานมากแล้ว
"แก..เป็น...ใคร" สามคำสั้นออกจากปากของนักฆ่าหนุ่ม เขาปาดเลือดให้ชโลมกาต้าทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้เสียงของมันดังก้องไปทั่ว ชาวบ้านที่กำลังหลับนอนต่างเปิดไฟเพื่อที่จะออกมาดูเหตุการณ์
"ว้า...แย่ๆๆ คนตื่นหมดงี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้น่ะสิ เอ๋....หรือว่าทำได้ ฆ่าให้หมดเมืองเลยดีกว่ามั้ย" หลังจากพูดจบก็ส่งรอยยิ้มกวนแต่โหดมาให้
"ถ้าทำได้ก็ลองดู" ลูฟี่พุ่งเข้าใส่กาต้าแทงออกซ้ายขวาแต่ชายคนนั้นก็แค่เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย วิชาการโจมตีด้วยความเร็วสูงถูกใช้ออก โซนิคโบล์ว (Sonic blow) กาต้าถูกฟันออกอย่างรวดเร็วแต่แม่นยำ แต่ชายคนนั้นก็แค่สร้างเกราะขึ้นมา เมื่อครบกระบวนท่าเกราะก็สลายลง ลูฟี่ชิงลงมือด้วยการอาบพิษลงบนใบมีด เอ็นชาร์น เพอร์ซั่น (Enchat posion ) ฟันมันใส่ช่วงเอวของชายปริศนา คมมีดปาดถากทำให้ผ้าคลุมขาดไปเล็กน้อย
'ดาร์ก พรีสทำอะไรใจตามใจชอบอีกแล้วนะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย' เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงที่ถูกส่งผ่านมาทางมโนจิตซึ่งมีเพียงดาร์กพรีสคนเดียวที่ได้ยิน แต่ลูฟี่ยังโจมตีไม่หยุด เขาจึงหาวิชาที่จะหยุดลูฟี่
"ดีเซท อะจิ (Decrease AGI)" มนต์ลดความเร็วถูกใช้ออก ตอนนี้ในสายตาของดาร์กพรีส เห็นลูฟี่เป็นเพียงหอยทากที่กำลังกระโดดไปมาเท่านั้น "เทเลพอร์ต (Teleport) " แล้วร่างของดาร์กพรีสก็หายไปทิ้งไว้เพียงเส้นแสงเท่านั้น
"ชิ...หนีไปจนได้" เด็กหนุ่มบนเบาๆ ดึงผ้าปิดปากออกก่อนจะกระโดดลงมาหลังตึก แต่เขาก็พบเข้ากับนักดนตรีปริศนาที่ดูจะมีเซ้นต์มากกว่าเพื่อน นักดนตรีคนนั้นกำลังยืนพิงกำแพงในมือมีกีต้า (Guitar) ตัวหนึ่งอยู่เขาบรรเลงมันเบาๆ นักดนตรีคนนั้นหันมามองลูฟี่ก่อนจะยิ้มโชว์ฟันขาว
"สู้กับดาร์กพรีส โดยไม่มีความรู้สึกกลัวเลยช่างกล้าหาญ เสียจริงๆ" นักดนตรีคนนั้นพูดขึ้น ทำเอาลูฟี่ชะงัก
"ถ้าไม่รู้ก็ไม่กลัว แล้วการที่มาแอบดูคนอื่นต่อสู้กับตัวอันตรายโดยไม่คิดจะช่วย ไม่เสียมรรยาทไปหน่อยเหรอ" ลูฟี่พูดบ้างตีหน้าเฉยชา 'หมอนี่เป็นใครกันแน่ทั้งๆที่การต่อสู้เมื่อกี้น่าจะไม่มีใครสามารถเห็นได้แล้วนี่' เด็กหนุ่มคิดในใจระแวดระวังภัย แต่สีหน้ากลับตีออกอย่างเฉยชา
"ว้า... แย่จังไม่รู้หรอกหรือนี่ ไอ้เราก็นึกว่าบ้าดีเดือดกล้าสู้กับดาร์กพรีส ก็เลยไม่อยากขัด แต่เอ... คนที่มีไอเทมในตำนานอย่างบัดดี้โลวจะกลัวอะไรล่ะ จริงมั้ย?" ท่อนหลังบาร์ดคนนั้นถามทำหน้ากวนๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้านักฆ่าหนุ่มที่บ่งบอกถึงอาการ 'ไม่เล่นด้วย' เขาก็ทำหน้าเบ้ "ไม่ตอบก็ได้ ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน" พอพูดจบก็กระโดดหายไปในความมืด แล้วอลิซก็วิ่งเข้ามา โดยที่ไม่สังเกตุเห็นกวีปริศนาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
"ลูฟี่ เฮ้อ...หาแทบแย่ มาทำไมอะไรที่นี่ รู้ไหมว่าลุงโจนาธานกับจีจี้ตามหานายกันใหญ่แล้ว รีบกลับกันเถอะ" เธอพูดจบก็เดินมาจูงมือเขาเดินมายังกลุ่มของโจนาธานที่กำลังรวมทำท่ากระวนกระวายที่จู่ๆลูฟี่ก็หายตัวไป พอทุกคนเห็นลูฟี่เดินเข้ามาก็ทำท่าโล่งใจพลางเดินเข้ามาหาลูฟี่ คนแรกที่เข้าถึงตัวลูฟี่ก็คือจีจี้ที่รีบวิ่งมาหาเขา ดวงตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เด็กหญิงวิ่งเข้ามาโอบรอบเอวของลูฟี่
"พี่ลูฟี่ ฮึก... พี่ลูฟี่หายไปไหนมา จีจี้กลัว"แล้วเด็กน้อยก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบ ลูฟี่ลูบหัวเด็กน้อยสองสามทีเพื่อปลอบโยน
"โอ๋... ไม่เป็นไรแล้ว พี่กลับมาแล้ว พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ให้ปิศาจตัวไหนเข้าใกล้น้องสาวพี่ได้อีกแล้ว" พอจบประโยคเด็กหญิงก็หยุดร้องไห้แล้วเงยหน้าขึ้นมองแอซซาซินหนุ่ม
"พี่ลูฟี่สัญญานะ" เด็กหญิงบอกพร้อมกับยิ้มแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมา ลูฟี่ย่อตัวลงให้ความสูงทำกันแล้วก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวไขว้กัน
"อืม พี่สัญญา"
"เอาล่ะ... วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้จีจี้ต้องเข้าเรียนไม่ใช่เหรอ จินเจนด้วย"ลุงโจนาธานพูดเสียงดัง จีจี้หันไปมองแล้วทำแก้มป่อง แต่ก็ยอมเดินตรงไปยังทางไปบ้าน พอทั้งหมดมาถึงบ้าน จิน กับเจน ก็เดินขึ้นไปยังห้องของตนตามประสาเด็กไม่พูดมากเหลือเพียงจีจี้ที่ยังนั่งเฝ้าลูฟี่ราวกับว่าถ้าเธอขึ้นไปนอน ลูฟี่อาจจะหายตัวไปตอนใดตอนหนึ่งก็ได้
"จีจี้ พ่อบอกให้ขึ้นไปนอนได้แล้วไง" โจนาธานดุเสียงดัง
"ก็ได้ค่ะ" เด็กหญิงตอบอย่างเสียไม่ได้ แล้วหันไปมองอลิซ "พี่อลิซคะ วันนี้นอนห้องเดียวกับหนูได้รึเปล่าคะ" อลิซหันมายิ้มให้เด็กหญิงอย่างอ่อนโยน
"ได้สิ งั้นไปกันเถอะ พี่ขอดูห้องของจีจี้หน่อย" พอได้ยินอลิซตอบตกลง จีจี้ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นแล้วจึงดึงมือนักเวทย์สาววิ่งขึ้นไปชั้นบน
"เฮ้อ... ตอนแกไม่อยู่จีจี้ซึมกว่านี้เยอะ แต่จะทำไงได้ แกมันพวกไม่ติดบ้านซะด้วยสิ" พอจีจี้หายขึ้นบันไดไป โจนาธานก็หันมาคุยกับลูฟี่
"เหรอครับ" ลูฟี่ตอบสั้นๆ
"แล้วนี่จะออกเดินทางไปไหนอีกล่ะ" โจนาธานทิ้งตัวลงบนม้านั่งเหนื่อยแล้วหันมาถาม
"ก็จะไปเกฟเฟ่นน่ะครับ ว่าจะไปหาไอ้นี่" พูดจบเขาก็ล้วงเอาอัญมณีสีแดงออกมา มันเป็นอัญมณีที่เจียระไนไว้อย่างสวยงามด้านบนของมันสลักเป็นรูปแมลงสาบตัวใหญ่ตัวหนึ่ง พอเขายื่นมันให้โจนาธานดู ช่างชราก็ทำท่าตาโต
"เฮ้ย... นั่นมันหินพันธสัญญาไม่ใช่รึไง นั่นมันของโกลเด้นทีฟบั๊ก (Golden Thife Bug) ที่อยู่ในท่อไม่ใช่รึไง รึว่าแก..."
"ครับ ผมได้รับพรจากเกชา ตอนที่ไปฝึกวิชาน่ะ ให้พูดภาษาได้ดั่งใจคิด ไว้ใช้เจรจายามคับขัน ผมลงไปเจรจากับเจ้าแมลงในท่อน้ำตะวันตกมา" พอพูดจบโจนาธานก็พยักหน้าเข้าใจ หินพันธะสัญญาแสดงถึงความเป็นพันธมิตรของเจ้าของหินกับผู้ถือ
"แล้วนี่ไม่ใช่ว่าจะไปเจรจากับเผ่าออร์คหรอกนะ เข้าไปดีไม่ดีโดนดอกศรเจาะกระโหลกมาเท่านั้น" โจนาธานพูดดักแล้วโยนหินพันธะสัญญาคืน ลูฟี่รับแล้วหย่อนมันลงในกระเป๋าลับ
"อ้อ... ไม่หรอกครับ ไม่มีความจำเป็นนี่ครับ ว่าแต่ว่า...ลุงรู้สึกถึงความผิดปกติในมิดการ์ดรึเปล่าครับ" ท่อนหลังลูฟี่ลดเสียงให้เบาลง โจนาธานก็เอนตัวลงนอนอย่างไม่สนใจ
"ก็เท่าที่เห็นหลักเลยนะ อากาศร้อนขึ้น น้ำทะเลลดลงแต่คลื่นกลับแรงขึ้น บริเวณพาย่อนมีต้นไม้ตายเป็นบริเวณมาก แล้วก็พลังงานรั่วออกมาจากเกฟเฟ่นทาวเวอร์...หรือว่า" โจนาธานลืมตาโพลงเหมือนเพิ่งจะสำนึก ในใจกลับเอาแต่โกรธตัวเองที่ไม่เคยรู้สึกถึงความผิดปกติเหล่านี้
"ครับ ผมจะไปสำรวจเกฟเฟ่นทาวเวอร์ ถ้าจำเป็นการเจรจากับนักดาบเงาในตอนนี้อาจจะดีที่สุด..." พอพูดจบโจนาธานก็สะดุ้งพรวดขึ้น
"หา... ว่าไงนะ จะเจรจากับนักดาบเงา นี่แกบ้าไปแล้วรึไงฉันให้แกนั่งเรือฝ่าพายุไปบิบาลันตอนนี้ยังปลอดภัยกว่า ไหนจะพวกไนแมร์ (Nightmare) อีก พวกนั้นมีหวังแบะหัวแกส่งมาให้ฉันแน่" โจนาธานทำท่าร้อนใจกับความบ้าบิ่นของหลานชาย แต่ก็ต้องถอนหายใจเมื่อเห็นสายตามุ่งมั่น เป็นอย่างนี้มานานแล้ว หลานชายคนนี้ เมื่อตั้งใจว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ เขาจำได้ว่าตอนที่รับมาใหม่ๆ ลูฟี่เป็นเด็กหนุ่มที่กล้าบ้าบิ่นแค่ไหน ตอนที่เขารับลูฟี่มาครั้งแรกเด็กหนุ่มยังเป็นพวกโจร แต่กลับหาญกล้าคิดจะไปเรือล่ม (Sunken Ship)ไม่ว่าโจนาธานจะห้ามยังไง ลูฟี่ก็คงยืนยันว่าจะไปให้ได้ แล้วจู่ๆลูฟี่ก็หายตัวไป ทำเอาโจนาธานร้อนใจมาก สามวันต่อมาลูฟี่ก็กลับมาพร้อมผ้าคลุมหัวโจรสลัดผืนใหญ่ ตาของลูฟี่ในตอนนี้กับตอนนั้นในความทรงจำของโจนาธานกำลังทับซ้อนกันอยู่ "จะออกเดินทางวันไหนล่ะ" โจนาธานถามอย่างอ่อนใจ
"ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปพรุ่งนี้เช้าเลยครับ ไม่อยากรบกวนลุงมาก" ลูฟี่บอก โจนาธานหัวเราะเสียงดัง
"พูดอย่างกับว่าแก ไม่เคยใช้ที่นี่ซุกหัวนอนตั้งห้าปี" พอฟังลุงพูดลูฟี่ก็รู้สึกผ่อนคลายจากความเคลียดที่ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่น
"งั้นลุงนอนก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้แกจะไม่ตื่นซะ" ว่าแล้วโจนาธานก็เอนตัวลงนอนตรงม้านั่งหน้าทางเข้า ลูฟี่เดินไปยังม้านั่งตรงข้ามแล้วก็เอนตัวนอน
จบบทที่ 5 ประจันหน้าบรรพชิตมาร
6 ธันวาคม 2551 12:09 น.
LoveNeverJang
บทที่ 4 ตระกูลช่างใหญ่โคโรเนล
แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบดวงตาของนักเวทย์สาว เธอรีบลุกขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ห้องที่เธออยู่หันไปทางหลังโรงแรม เธอมองออกไปแล้วถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเต๊นสีน้ำตาลยังคงอยู่ หน้าเต็นมีแอซซาซินหนุ่มนั่งดูอะไรสักอย่างอยู่บนขอนไม้ที่ใช้แทนม้านั่ง เขาคงเข้ามาอาบน้ำในโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เธอเดินเข้าไปอาบน้ำสักพักก็ออกมาเปลี่ยนชุด ชุดเก่าถูกพนักงานของโรงแรมเก็บไปซักล้าง เมื่อแต่งตัวเสร็จเธอก็เดินมาหาลูฟี่ แอซซาซินหนุ่มยิ้มให้เธอก่อนจะก้มหน้าลงอ่านกระดาษแผ่นหนึ่ง
"ทำอะไรอยู่เหรอ" อลิซถาม
"อ๋อ... ก็ภารกิจกำจัดมอนสเตอร์น่ะ คราวนี้รู้สึกว่าจะเป็นเอ่อ... วิสเปอร์ (Whiper) ตัวหนึ่งน่ะออกมาจากเกฟเฟ่นทาวเวอร์ แล้วก็ก่อกวนชาวเมืองวุ่นวายไปหมด ตอนนี้ฉันกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะไปดีรึเปล่า เพราะว่ามอร็อคกับเกฟเฟ่นห่างกันพอสมควร เวลาเดินทางอาจจะเยอะเกินไปหน่อย" ลูฟี่บอกแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน "ไปหาของใช้จำเป็นในตลาดเถอะ" เขาบอกก่อนจะเดินนำไป มีอลิซเดินอยู่ข้างๆ
"นี่ ลูฟี่เมื่อคืนนี้ทำไมนายถึงใช้สฟิงซ์เป็นที่ทดลองให้ฉันดูล่ะ" ระหว่างที่เดิน อลิซถามเรื่องที่ค้างคาใจ แม้เขาบอกว่าจะทดลองกาต้าให้เธอดูแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าไปในสถานที่อันตรายแบบนั้นเลยนี่
"ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไม่อยากไปไกลเท่านั้นเอง" พอลูฟี่พูดจบ อลิซก็จ้องหน้าลูฟี่ประมาณว่า 'แค่เพราะขี้เกียจเนี่ยนะ' แต่แอซซาซินหนุ่มกลับหลบตา ทำให้เธอยังรู้สึกสงสัยอยู่ราวกับว่าเขาปิดบังความจริงบางอย่างจากเธอ
"นี่ ลูฟี่นายมีปีกผีเสื้อสักสามอันมั้ย" จู่ๆอลิซก็ถามขึ้นทำเอาลูฟี่สะดุ้ง
"เอ่อ... ก็พอมีอ่ะนะ ทำไมเหรอ" ลูฟี่ถามงงๆ
"งั้นไปเถอะ... ไปเกฟเฟ่นกัน ฉันขอเดินทางไปกับนายด้วย" อลิซพูดอย่างร่าเริง ทำเอาลูฟี่ได้แต่ยืนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาทั้งสองถูกจับตาดูโดยชายคนหนึ่ง ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายคนนั้น อาภรณ์สีดำปลิวไสวก่อนร่างทั้งร่างจะหายไปทิ้งไว้เพียงเส้นแสง 'สักวันเราคงพบกันแน่'
ทั้งสองตัดสินใจวาร์ปผ่านบริการคาฟร่ามายังเมืองหลวงพรอนเทร่าก่อน เนื่องจากลูฟี่มีธุระกับญาติคนหนึ่งเป็นช่างตีดาบที่อยู่ในเมืองนี้ ทั้งคู่เดินมาจนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่งมีป้ายสลัก 'โคโรเนล' สีทองไว้อย่างสวยงามที่ด้านหน้า ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเปิดประตูลูฟี่ก็ต้องดึงอลิซหลบแม่ค้า (Merchant) คนหนึ่งที่ลากรถเข็นบรรจุของพะรุงพะรังซึ่งสวนออกมา ลูฟี่สังเกตุในรถแล้วส่วนใหญ่เต็มไปด้วยแร่เหล็ก (Steel) และบรรดาหินบรรจุเวทมนต์ (Gemstone) ไว้ พอทั้งคู่เปิดประตูเข้าไป อลิซก็ต้องตะลึงกับความอลังการภายในบ้านหลังนี้ ด้านหน้าประตูเมื่อเปิดเข้ามาจะเป็นเคาร์เตอร์พนักงานต้อนรับตัวใหญ่ตั้งอยู่มีรูปภาพประดับประดาตามฝาผนังซึ่งแต่ภาพคงมีราคาแพงนาดูทีเดียว ตุ๊กตาของมอนสเตอร์ชนิดต่างๆที่ถูกทำโดยช่างฝีมือเพียงไม่กี่คน ถูกจัดใส่ตู้ไว้อย่างสวยงาม ลูฟี่พาอลิซไปนั่งรอที่ม้านั่งติดกับประตูทางเข้า เมื่อลูกค้าเหลือน้อยลงเรื่อยๆจนหมด ก็มีชายหน้าบากร่างใหญ่เดินมา เขาทำท่าเหมือนจะเดินผ่านลูฟี่ไปแต่ก็หันกลับมามอง
"ลูฟี่รึ..." เขาถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"ครับผม" ลูฟี่ยืนขึ้นตอบอย่างนอบน้อม
"โอ้...ไอ้หลานรัก หายไปไหนมาเสียตั้งหลายอาทิตย์หึ... ข้ารำคาญเสียงบ่นเจ้าจีจี้แค่ไหนเจ้าคงนึกไม่ออกแน่ ว่าแต่นักเวทย์สาวคนนั้นมาทำอะไรรึ ตอนนี้คิวว่างแล้วนะ แต่วัตถุดิบในการซ๋อมอาวุธหมดเสียแล้ว" ชายหน้าบากหันมาคุยกับอลิซแทน
"ไม่ใช่หรอก เธอมากับผม อลิซนี่ลุงโจนาธาน ลุงครับนี่อลิซ เอ่อ... เราสองคนเจอกันเมื่อวานนี้ตอนที่ผมไปช่วยกองทัพน่ะครับ" คำพูดของเขาทำเอาอลิซสะดุ้งหันมามองหน้าลูฟี่
"ชะ... ช่วยกองทัพงั้นเหรอ งั้นนายก็คือวีรบุรุษแห่งเลือดที่เขาลือกันน่ะสิ" อลิซพูดและหยิกแขนตัวเอง ราวกับว่าเธอกำลังฝัน แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือความเจ็บแปล็บและรอยหยิกที่เกิดขึ้นบนแขนเธอ
"อ้อ... น่าจะใช่มั้ง ก็มีแอซซาซินร่วมกองทัพไปคนเดียวนี่ รู้สึกว่าที่ได้ฉายานี้เพราะบัดดี้โลวของลูฟี่เปื้อนเลือดทั่วใบมีดแทบจะอาบไปทั้งเล่มเลยตอนที่การต่อสู้ยุติลง ตอนนั้นทหารเห็น..." ระหว่างที่โจนาธานกำลังพูดอยู่นั้นก็มีเสียงแทรกขึ้นมา
"พี่ลูฟี่ พี่จิน พี่เจน พี่ลูฟี่กลับมาแล้ว" เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีชมพูน่ารักเปิดประตูเข้ามาเห็นเขาพอดี เธอตะโกนเรียก มีพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งกับแม่ค้าสาวอีกคนหนึ่งตามเข้ามา เด็กหญิงวิ่งเข้ามาเกาะขาของลูฟี่อย่างยินดี ลูฟี่ย่อตัวลงเพื่อคุยกับเด็กหญิง
"ว่าไงจีจี้ เป็นไงบ้างฮะเรา ดื้ออีกล่ะสิ ลุงเขามาบอกพี่แล้วนะ คราวหน้าพี่ไม่พาไปกินเยลลี่ที่อิซลูด (Izlude) แล้วนะ" ลูฟี่ตอบ จีจี้ทำแก้มป่อง แล้วยกนิ้วโป้งใส่ลูฟี่
"ก็พี่ลูฟี่น่ะ อยู่ดีๆก็ออกจากร้านไปเฉยๆ ทั้งๆที่สัญญาว่าจะพาหนูไปกินตั๊กแตนทอดที่อิซลูดแท้ๆ หนูโป้งแล้วด้วย" แล้วเธอก็ทำท่าเมินใส่ลูฟี่ แม้หน้าจะแกล้งหันหน้าไปทางอื่นแต่สายตายังมองมาที่ลูฟี่ราวกับว่ารอว่าเมื่อไหร่ชายหนุ่มจะง้อ
"อ้าว... เหรอ แป่ว... จริงๆด้วยสินะ พี่ขอโทษจีจี้ งั้นคืนนี้พี่จะพาไปนะ พี่สัญญา เกี่ยวก้อยๆ" ลูฟี่ยืนนิ้วก้อยออกมา จีจี้หันมองมาก่อนจะยิ้มแล้วยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวไขว้กันไว้
"สัญญาแล้วนะ" เด็กหญิงทำท่าดีใจกระโดดไปรอบๆลูฟี่ มีอลิซยืนมองดูทั้งสองอยู่ห่างๆพลางอมยิ้ม ลูฟี่หันไปหาสองเมอร์แชน
"ว่าไงจิน เจน" ลูฟี่ทักทายทั้งคู่ ทั้งคู่ยิ้มตอบแต่ไม่พูดอะไร ซึ่งเขาก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว เพราะว่าแม่ของทั้งสาเสียไปตั้งแต่จีจี้เกิด ทั้งสามจึงอาศัยอยู่พ่อเพียงสี่คน แต่ตระกูลโคโรเนลไม่ใช่ตระกูลเล็ก แต่เป็นตระกูลใหญ่ขึ้นชื่อด้านการตีอาวุธและซ่อมแซมชุบเกราะทุกชนิด และที่เป็นเอกลักษณ์เด่นของตระกูลนี้มีสองข้อใหญ่ๆคือ ทุกคนในตระกูลนี้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าทั้งหมดและชื่อทุกคนในตระกูลนี้ขึ้นต้นด้วย 'จ'
"นี่ พี่สาวคะ พี่เป็นแฟนพี่ลูฟี่หรอ" จีจี้ที่ไม่รู้ว่าไปหาอลิซตอนไหน กำลังดึงผ้าคลุมเธอแล้วถามด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน อลิซมองจีจี้อย่างเอ็นดูในความไร้เดียงสาของเด็กหญิง
"ไม่ใช่จ้ะ พี่บังเอิญเดินทางไปทางเดียวกันน่ะ" อลิซตอบ จีจี้ทำแก้มป่องแล้ววิ่งไปหาลูฟี่ที่กำลังคุยอยู่กับจิน เธอสะกิดที่ขาเด็กหนุ่ม ลูฟี่หันมามอง เด็กหญิงกวักมือให้ลูฟี่ย่อตัวลง เขาย่อตัวอย่างว่าง่าย เด็กหญิงกระซิบที่ข้างหูแอซซาซินหนุ่ม อลิซจ้องมองทั้งคู่อยู่ เธอไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่เธอสังเกตุจากสีหน้าของลูฟี่ เธอสังเกตุเห็นใบหน้าของลูฟี่แดงขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าเด็กหญิงน่าจะถามเรื่องเดียวกับที่ถามเธอ ลูฟี่หันมามองอลิซ แต่เธอแกล้งมองไปทางอื่นเสียก่อน เขาจึงก้มไปกระซิบอะไรสักอย่างกับเด็กหญิง
แล้วเย็นวันนั้น ลูฟี่ก็เสนอตัวเป็นเจ้ามือพาทุกคนไปทานอาหารที่ร้านอาหารที่เมืองอิซลูด จีจี้ทำตาโตเมื่อเห็นขาตั๊กแตน (Rocker) ชุบแป้งทอดสีเหลืองน่ากิน ที่เมืองนี้มีอาหารแปลกๆอีกมากมายที่ทำจากมอนสเตอร์พื้นเมืองที่หาได้ง่ายทั้งหนวด (tentacle) ที่เป็นอาวุธของไฮดร้า (Hydra) วัชพืชที่โตในเกาะหัวกระโหลกบิบาลัน (Bybalan) ที่นำมาทำเป็นเยลลี่ เนื้อกระต่าย (Lunatic) ทอด น้ำผลไม้ชนิดต่างๆจากเมืองพาย่อน แล้วที่ดูจะขึ้นชื่อที่สุดในร้านแห่งนี้คือหนอน (Faber) ผัดราดซอส ทั้งหกทานอาหารกันอย่างออกรส ซึ่งจีจี้ก็ดูจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ ตอนนี้ภายในร้าน มีคนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของลูฟี่ ส่วนอีกกลุ่มดูแล้วน่าจะเป็นนักเดินทางพเนจรมากกว่าคนในเมือง ด้วยการแต่งตัวแบบเรียบๆ หมวกสีเขียวบนหัวบ่งบอกความเป็นนักดนตรีพเนจร (Bard) ส่วนหญิงสาวในกลุ่มก็แต่งตัวค่อนข้างหวาบหวิวซึ่งก็คือนักเต้น (Dancer) กลุ่มนักเดินทางสังเกตุดูแล้วออกจะเยอะไปสักนิด มีประมาณ 7-8 คน อาจจะกำลังไปจัดการแสดงที่ไหนสักแห่ง ในขณะที่ทั้งหมดกำลังทานอาหารกันอยู่นั่น ลูฟี่และชายคนหนึ่งในกลุ่มนักดนตรีพเนจรรับรู้ถึงจิตมุ่งร้ายอย่างแรงกล้า ทั้งคู่เพ่งมองไปยังทางเข้าร้าน ลุงโจนาธานน่าจะรู้ตัวแล้วเช่นกัน เพราะเขาคายเนื้อกระต่ายทอดที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปากออกมาพลางก้มลงไปหาอาวุธคู่กาย แต่บุคคลที่เหลือยังไม่รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น อลิซเงยหน้าขึ้นมองลูฟี่จึงสำนึกถึงสิ่งผิดปกติ เธอมองไปยังโต๊ะนักเดินทาง ก็สบเข้ากับตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมา
จบบทที่ 4 ตระกูลช่างใหญ่โคโรเนล
4 ธันวาคม 2551 12:38 น.
LoveNeverJang
บทที่ 3 ก่อเกิดผู้กอบกู้
10 ปีต่อมาหลังจากการสูญเสียเมืองศูนย์การค้ามอร็อค กองทัพมิดกาดได้พยายามที่จะตีเมืองมอร็อคคืนหลายครั้งก็ล้มเหลวทุกครั้งไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่กษัตริย์แห่งอียิปต์โอซิริส (Osiris) และหมอดูคนสนิท พาโรอา (Pharoah) ก็สามารถขับไล่ทัพมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งแอซซาซินหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบอกแผนการให้แก่นายกองสตอร์ม คิลลัว บุตรของเอเฟรดคิลลัว แอซซาซินหนุ่มคนนั้นบอกว่าเมืองมอร็อคมีทางเข้า 4 ทาง ย่อมสามารถปิดล้อมเมืองได้โดยง่าย แต่บัดนี้ทางเข้าทั้งสี่ถูกปิดด้วยฝุ่นทราย การยกทัพตีนครคราก่อนไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อยเพราะเหล่าทหารที่วิ่งฝ่าพายุทะเลทรายเข้าไปต่างหายสาบสูญไปทิ้งไว้แต่เพียงเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัว แอซซาซินหนุ่มคนนั้นบอกว่าฝุ่นทรายเหล่านั้น เกิดจากอาคมมืดให้ใช้แสงศักสิทธิ์ โฮลี่ไลท์(Holy light) ของเหล่าอัศวินแห่งแสงสว่าง ครูเซเดอร์ (Cursader) หรือใช้น้ำมนต์ (Holy water) ของเหล่าพระก็จะสามารถชำระล้างได้ เหล่าทหารของนครพรอนเทร่าจึงถูกเรียกประจำการเพื่อเตรียมการบุกอีกครั้ง เหล่าทหารที่ตอนแรกต่างเสียขวัญเมื่อได้ยินข่าวคราวว่ามีแอซซาซินปริศนามาแนะนำวิธีให้แก่กองทัพก็เริ่มฮึกเหิมมีกำลังใจอีกครั้ง คราวนี้ได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพศาสนจักร ให้เหล่าครูเซเดอร์เข้าร่วมกับกองทัพด้วย ยิ่งทำให้เหล่าทหารมีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อกองทัพเคลื่อนพลมาถึงนครมอร็อคก็ทำการปิดล้อมนครทั้งสามด้านไว้ เว้นไว้แต่ด้านทิศตะวันตกของนครเพราะมีปิศาจจำนวนมากเฝ้าอยู่ สัญญาณการบุกโจมตีคือตะวันขึ้นของวันใหม่ทั้งหมด เมื่อถึงเวลาเหล่าครูเซเดอร์ใช้เวทมนต์โฮลี่ไลท์เปิดทาง เป็นดังที่คาดไว้ฝุ่นทรายที่ตอนแรกก่อตัวอยู่ถูกแสงศักสิทธิ์ชำระหายไปเหล่าทหารจึงรีบบุกตะลุยเข้าไปยังใจกลางเมือง เมื่อกองทัพเข้ามาก็พบกับโอซิริสและพาโรอา โอซิริสหาใช่ปิศาจปลายแถวมันทั้งต่อยทั้งเตะทุกกระบวนท่า กองทัพแค่นี้ย่อมไม่ครณามือ ส่วนพาโรอาที่เอาแต่ร่ายเวทย์ใส่มนุษย์ที่ไม่ระวังและก็คอยป้องกันโอซิริสนั้น อยู่ดีๆก็มีแอซซาซินปริศนาโผล่ขึ้นมาและใช้กาต้าที่กำลังคำรามแทงใส่ เลือดสีดำที่ทะลักออกมาอาบกาต้ายิ่งทำให้เสียงคำรามปริศนาดังยิ่งขึ้นไปอีก ผู้คนต่างตกใจหันมามองยังแอซซาซินหนุ่มเป็นสายตาเดียวเพราะเสียงคำรามที่เกิดจากกาต้าซึ่งทุกคนล้วนเคยได้ยินตำนวนเกี่ยวกับมัน บัดดี้โรว (Bloody Roar) กาต้าหนึ่งในไอเทม (item) ในตำนานที่ว่ากันว่าจะคำรามเมื่อได้ดื่มเลือด แอซซาซินหนุ่มคนนั้นถอนกาต้าเปื้อนเลือดออกจากตัวพาโรอา และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วตรงไปหาโอซิริส โอซิริสถอยหลังไปสองก้าว ใช้แขนไขว้กันเป็นกากบาทพอดีกับจังหวะที่กาต้าเล่มนั้นฟาดลงมา กระดูกที่แข็งราวกับหินสะท้อนแรงฟันของกาต้าเล่มนั้นกลับไป แอซซาซินหนุ่มคนนั้นยังไม่จบแค่นั้น เด็กชายกระโดดถอยหลังแล้วพุ่งแทงมีดเข้าใส่อย่างรวดเร็วด้วยทักษะแบ็คสเต็ป (Back step) ในขณะที่มีดแทงเข้ามาโอซิริสก็ใช้กำปั้นปัดไปที่กาต้าทำให้เบี่ยงออกไป โอซิริสสวนกลับด้วยกำปั้นที่เชื่องช้าแต่ทรงพลัง แอซซาซินหนุ่มเบี่ยงตัวหลบทัน ทำให้กำปั้นนั้นพลาดไปโดนรูปปั้นประดับน้ำพุด้านหลังแตกละเอียด มันอ้าปากที่ไม่มีทั้งฟันและลิ้นดูน่าสยดสยองใส่เขา ก่อนจะกลายเป็นฝุ่นทรายหายไป เหล่าทหารเมื่อเห็นจอมปิศาจหนีไปต่างก็มีกำลังใจฮึกเหิมเฮลั่นและไล่จัดการกวาดล้างปิศาจที่เหลือรอด ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงก็สามารถยึดมอร็อคคืนกลับมาได้
แอซซาซินหนุ่มคนนั้นทรุดนั่งลงมือกุมหัว น้ำตาไหลรินออกมา ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้ว ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแท้ๆ สัญญาว่าจะแก้แค้นให้ ฉันขอโทษจริงๆ ยูคิ ไค
เขาคือลูฟี่ โจรน้อยที่รอดชีวิตจากตอนที่นครมอร็อคถูกโจมตี หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาออกตามหาเพื่อนทั้งสอง ทั้งจากกองบัญชาการที่เขาสังกัดอยู่ พยายามสืบค้นหาตัวทั่วมิดกาด แต่ก็ได้ข่าวเพียงแค่ว่าทั้งสองหายสาบสูญไปไม่มีการพบศพแต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น ลูฟี่จึงสัญญาไว้ว่าจะแก้แค้นปิศาจที่บุกเมืองมอร็อคตอนนั้นให้ได้ สิบปีมานี้เขาได้ฝึกอย่างหนักจนได้เลื่อนขั้นเป็นนักฆ่าในระยะเวลาสั้นๆเขาก็สามารถเข้าสังกัดหน่วยข้อมูลลับของกองศาสนจักร ระหว่างการเดินทางฝึกวิชาในหุบเขาเมจอเนียร์ (Mjolnir) เขาก็พบกับพระชรารูปหนึ่ง พระชราท่านนั้นบอกว่า
"เจ้าเข้ามาฝึกวิชาในป่านานคงไม่รู้ความเป็นไปของมิดกาด ตอนนี้เมืองมอร็อค เต็มไปด้วยความมืดมิดไม่มีแสงสว่างแม้กระทั่งประตูทั้งสี่ทิศก็หามีแสงไม่ หากจะขับไล่ความมืดย่อมต้องใช้แสงสว่าง อันตัวเราแก่ชรามากแล้วหากจักเดินทางไกลๆก็คงลำบากมิใช่น้อย ข้าขอฝากข้อความนี้แก่กองทัพมิดกาดด้วย แสงสว่างที่แท้จริงเท่านั้น ถึงจะลบล้างความมืดได้" แล้วพระรูปนั้นก็เดินหายไปในหุบเขาเมจอเนียร์ หลังจากลับตาจากพระชรารูปนั้นแล้วก็เกิดแสงสว่างวูบหนึ่งขึ้นแล้วเขาก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าบัดดี้โลว ติดอยู่กับแขนของเขาแล้ว เขาใช้เวลาสามวันลงจากเขาเมจอเนียร์พลางไขปริศนาข้อความของชายชรา 'อะไรที่เป็นแสงสว่างอย่างแท้จริง' แล้วเขาก็ได้บทสรุปถึงมนต์ศักสิทธิ์ของทั้งสองสายอาชีพ
จบเรื่องราวในอดีต
ลูฟี่รู้สึกตัวเพราะแรงเขย่า เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพบว่าเป็นนักเวทย์ (Wizard) สาวคนหนึ่ง กำลังยิ้มให้เขาพร้อมกับยื่นขวดยาไวท์ โพลชั่น (White Potion) ให้เขา เขาคงเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ตอนนี้ก็เย็นพอสมควร แสดงว่าเขาหลับไปเกือบวันเต็มๆ เขามองลงไปที่เมือง เมืองได้รับการบูรณะซ่อมแซมแทบจะร้อยเปอร์เซ็น เขาหันไปมองนักเวทย์สาว
"ดื่มซะสิ มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น" เธอบอกแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขา เขาเปิดฝาออกก่อนจะกรอกใส่ปากรวดเดียวหมดขวด แล้วก็โยนขวดเปล่าทิ้งไป
"ขอบคุณ" ลูฟี่หันไปขอบคุณก่อนจะทิ้งตัวลงนอนมองดูท้องฟ้า
"นายชื่ออะไรหรอ ฉันชื่ออลิซ อลิซ บาร์ทเนอร์" นักเวทย์สาวแนะนำตัว
"ลูฟี่ อัลทิเมต" ลูฟี่ตอบดวงตายังคงมองไปยังท้องฟ้า
"นายมาทำอะไรที่นี่หรอ" อลิซถาม ลูฟี่เงียบไปไม่ตอบทำให้อลิซรู้ว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรออกมาจึงกล่าวขอโทษเขา ทันใดนั้นสายตาเธอก็มองไปเห็นกาต้าของลูฟี่ "เอ๊ะ... กาต้ารูปทรงแปลกๆนั่นคืออะไรน่ะ" เธอชี้มาที่กาต้าที่ติดอยู่กับข้อมือเขา
"หือ... เนี่ยนะเหรอ พวกคนเฒ่าคนแก่เรียกมันว่าบัดดี้โรวน่ะ " เขาบอกพลางยกกาต้าของตนขึ้นมาดู
"แปลกดีนะ เลือดคำรามงั้นเหรอ" อลิซแปลชื่อพลางมองดูกาต้าของลูฟี่อย่างงุนงง
"มันจะคำรามเหมือนสัตว์ป่าทุกครั้งที่มีคนใช้มัน" ลูฟี่บอก
"จริงเหรอ ทำให้ฉันดูหน่อยสิ" อลิซทำตาโตพลางเร่งเร้าลูฟี่เหมือนเด็กๆ
"เอ่อ... งั้นตามฉันมาสิ" ลูฟี่บอกแล้วลุกขึ้นเดินไปประตูทิศตะวันตกของมอร็อค มีอลิซเดินตามอยู่ไม่ห่าง ลูฟี่ทำท่าจะเดินเข้าไปในสฟิงซ์ อลิซทำตาโตพลางตะโกนห้าม
"นี่ ลูฟี่ อย่าเข้าไปในนั้นมันอันตรายนะ" อลิซตะโกนเรียกนักฆ่าหนุ่มแต่เขาก็ไม่แยแสสนใจ เดินเข้าไปเพียงลำพัง อลิซยืนนิ่งใจหนึ่งก็อยากตามเข้าไป อีกใจก็กลัวว่าจะมีภัยอันตรายเบื้องหน้า ทันใดนั้นเองเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ดังออกมาจากทางเข้าสฟิงซ์ มันดังอยู่สักพักใหญ่และดูเหมือนมันจะดังขึ้นเรื่อยๆ เธอเห็นทหารวิ่งออกมาจากตัวเมืองสามคน ทหารคนหนึ่งวิ่งมาหาเธอ
"มันเกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นมันอะไร " ทหารคนนั้นถามเธอ แต่เธอก็ไม่ตอบมองไปที่ประตูทางเข้าสฟิงซ์ เสียงนั้นเงียบไปแล้ว ที่ประตูปรากฏเงาร่างๆหนึ่ง ลูฟี่นั่นเองเขาเดินออกมาพร้อมกับเลือดเปียกทั่วตัว
"แอซซาซินที่อยู่ตรงนั้นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้" ทหารคนที่ถามเธอ หันไปตะโกนบอกลูฟี่
"ไม่ค่ะ เขามากับฉัน" เธอตะโกนบอก ทหารทั้งสามคนหันมามองเธองงๆ แต่ก็ยังตั้งท่าเตรียมพร้อมเพราะไม่ไว้ใจ ลูฟี่เดินมาพ้นสะพาน เขาทิ้งตัวนั่งลงเช็ดเลือดออกจากเสื้อ ทหารทั้งสามจึงลดอาวุธลง
"ไม่รู้รึไง ว่าที่นี่เป็นเขตห้ามเข้า" ทหารคนนั้นเดินไปกระชากคอเสื้อลูฟี่ขึ้นมาต่อว่า
"เหรอ แล้วทำไมไม่เฝ้าให้ดีๆล่ะ" ลูฟี่ย้อน ทำเอาทหารคนนั้นพูดไม่ออก ทหารคนนั้นปล่อยมือจากคอเสื้อของลูฟี่ แน่นอนว่าถ้าไอ้หนูนี่เอาเรื่องพวกเขาสามคนละเลยหน้าที่ไปแจ้งล่ะก็ เขาคงต้องไปขุดแร่ขายประทั่งชีวิตแน่ ลูฟี่ไม่สนใจเดินจากมา มีอลิซวิ่งตามหลังเขา ทั้งคู่เข้ามาถึงเมือง ลูฟี่ก็เดินตรงไปยังโรงแรม มีอลิซเดินตามอย่างหวั่นๆ ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาทำให้เธอหวาดกลัว เขาหันมามองเธอ พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเธอ ลูฟี่ก็หลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตา อลิซเห็นท่าอย่างนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ
"ขอโทษนะ" พอเธอเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงของลูฟี่พูดเบาๆ "ที่เธอถามว่าฉันมาทำไมที่นี่น่ะ คำตอบก็คือฉันมาแก้แค้นให้กับเพื่อนรักสองคน สองคนนั้นหายสาบสูญไปตอนมอนสเตอร์บุกเมือง" ลูฟี่บอกแล้วก็ทำท่าจะเดินต่อไป
"งั้นเหรอ ฉันก็เสียพ่อแม่ไปตอนนั้นเหมือนกัน" อลิซพูด ลูฟี่หยุดเดินหันมามองเธอ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของอลิซพร้อมกับร่างของเธอทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง ลูฟี่รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ เด็กหนุ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่พกติดตัวเช็ดน้ำตาให้เธอ
"ขอโทษ ฉันไม่รู้จริงๆ" ลูฟี่รีบขอโทษขอโพย อลิซพยักหน้ารับรู้ เธอพยายามหยุดร้องไห้ ลูฟี่ย่อตัวลงปลอบเธอ
"อืม ไม่เป็นไรหรอก ก็นายไม่รู้เหมือนกันนี่" อลิซเงยหน้าขึ้นมา เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่ดวงตายังคงมีคราบน้ำตาอยู่ "วันนี้ ฉันว่าพวกเราคงเหนื่อยมากแล้วล่ะ งั้นไปหาที่พักกันเถอะ" อลิซ บอก ลูฟี่ลุกขึ้น อลิซก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วปัดไปตามผ้าคลุมที่เปื้อนฝุ่น
"งั้นเธอไปพักที่โรงแรมเถอะ ฉันมีเต๊นอยู่หลังโรงแรมน่ะ" ลูฟี่บอกพลางเดินนำตรงไปยังโรงแรม มีอลิซวิ่งตามด้วยท่าทีร่าเริงต่างจากเมื่อครู่ อลิซเข้าไปเช่าห้องในโรงแรมอยู่ แต่ลูฟี่กลับกางเต็นอยู่ด้านหลังโรงแรม ซึ่งอลิซก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอาจจะเป็นนิสัยของพวกนักฆ่าที่ไม่ชอบเข้าสังคม แล้วค่ำคืนนั้นก็ผ่านไป
จบบทที่ 3 ก่อเกิดผู้กอบกู้
30 พฤศจิกายน 2551 16:21 น.
LoveNeverJang
บทที่ 2 สูญเสียทะเลทรายคมเขี้ยว
"เฮ้ ไคนายจะเอาไม้ไปเปลี่ยนนักดาบ (Swordman) หรือไง" เด็กผู้ชายผมสีเขียวในชุดโนวิซ (Novice) ตะโกนต่อว่าเพื่อน ไคเด็กชายผมสีแดงที่ทำท่าเงอะๆงะๆในมือมีท่อนไม้ (solid trunk) กับรากไม้ (Tree Root) มีผู้ช่วยพระ อโคไลท์(Acolyte) ผมสีฟ้ายืนเกาหัวมองทั้งคู่อยู่
"ก็... ก็ฉันไม่รู้นี่ ลูฟี่นายก็ไม่เห็นต้องว่าฉันขนาดนี้เลย" ไคพูดทำท่าเหมือนจะร้องไห้
"อ๊าก... ไคอย่าร้องไห้นะเฟ้ย" เด็กชายที่ชื่อลูฟี่รีบวิ่งมาหา
"นายจะเป็นนักเวทย์ไม่ใช่หรอ ฉันนึกว่าเรามาพาย่อน (Payon) เพื่อมาเอาน้ำจากบ่อที่พาย่อนซะอีก" อโคไลท์หันมาถามลูฟี่อายุของทั้งสามดูจะไม่ห่างกันมากนัก
"บ้าเหรอยูคิ ฉันบอกว่าฉันจะเป็นนักฆ่าเว้ย นักฆ่าน่ะรู้จักมั้ย แอซซาซิน (Assasin) ที่ใช้กาต้า (Katar) เหมือนพี่ชายฉันน่ะ" ไคพูดอย่างหัวเสีย จริงๆที่ทั้งสามรู้จักกันเพราะเข้าเทรนนิ่งกราวพร้อมกันแต่ด้วยนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วทำให้เลิกเดินทางคนละสายกันแต่ทั้งสามก็รักกันยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม้ภายนอกดูแล้วจะสนใจเรื่องของตัวเองแต่คนที่ปกป้องไคตลอดก็คือลูฟี่
"อ้าว... งั้นนายก็พาพวกเราหลงทางมาน่ะสิ" อโคไลท์แหย่เพื่อน
"ก็... ก็..." ลูฟี่เถียงไม่ออก เป็นเพราะไม่รู้จักเส้นทางสักเท่าไหร่ทำให้ทั้งสามหลงทางแต่บังเอิญมาพบเมืองพาย่อน
"เอาเถอะๆ ให้คาฟร่า (Kafra) ประจำเมืองพาไปก็ได้นี่" ยูคิบอกแล้วเดินนำเข้าเมืองมา
"ไปเถอะไค ชักช้าเดี๋ยวเจ้ายูคินั่นจะไม่รอนะ" ลูฟี่บอกแล้วก็เดินเข้าเมืองไปโดยมีไคที่รีบวิ่งตามหลังมา ทั้งสามมายืนแบ่งกันอยู่ที่ตลาดกลางเมืองพาย่อน
"พี่สาวครับ ค่าวาร์ปเดินทางจากพาย่อนไปมอร็อค(Morroc)เท่าไหร่หรอครับ" ไคที่เป็นหน่วยกล้าตาย (จำเป็น&จำใจ) เดินมาถามคาฟร่าสาว คาฟร่าประจำเมืองพาย่อนนั้นจะเป็นผู้หญิงใส่แว่นที่ท่าทางน่ากลัว
"สองพันเซนีจ้ะ" คาฟร่าสาวหันมาตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูต่างจากท่าทาง
"ขอบคุณครับ" ไคยิ้มตอบก่อนจะวิ่งกลับมาหาเพื่อน
"ว่าไงเท่าไหร่หรอ" ลูฟี่รีบถามทันที
"เขาบอกว่าสองพันเซนี" ไคตอบ
"อืม... ตอนนี้ฉันมีอยู่สี่พัน" ลูฟี่หยิบเงินขึ้นมานับดู
"ส่วนฉันมีอยู่สองพัน" ยูคิบอก
"เอ่อ... แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยนะ" ไคบอกพลางเทถุงเงินแล้วเขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายหวังจะมีเหรียญเซนีตกลงมาสักเหรียญ
"ก็ทำไงได้ ลูฟี่เล่นไม่ให้นายเก็บขยะมาขายเลยนี่" ยูคิจงใจพูดเสียงดัง ผู้ถูกพาดพิงสะดุ้งเล็กน้อยที่ตนเองเป็นสาเหตุ
"งั้นฉันออกให้ก่อนก็ได้ เอาไปสิ" ลูฟี่โยนถุงเงินถุงหนึ่งให้ไค ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนสองพันเซนีพอดี
"ขอบใจมาก" ไคพูด
"อย่าเข้าใจผิดสิ เดี๋ยวถึงเวลาฉันจะเอาคืนรับรองดอกเป็นเท่าตัวแน่" ลูฟี่พูดเสร็จก็วิ่งไปหาคาฟร่าคุยกันอยู่สักพัก ร่างของเขาก็หายไป ไคกับยูคิจึงเดินตามไป
"ไปที่มอร็อคครับ" ยูคิกับไคพูดพร้อมกัน คาฟร่าสาวทำการเปิดประตูมิติส่งทั้งคู่เข้าไป
เมื่อทั้งสองเข้ามาถึงเมืองมอร็อคก็ต้องตกตะลึงกับความอลังการของศูนย์การค้าแห่งมิดการ์ด (Mid-gard) ทั้งปราสาทที่อยู่ใจกลางเมืองและโอเอซิสที่ถูกทำให้กลายเป็นบ่อน้ำเพื่อให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าหรือนักท่องเที่ยวต่างเมืองใช้สำหรับดื่มกิน ทิศตะวันตกของเมืองเป็นที่ตั้งของสฟิงซ์ (Sphinx) โบราณสถานขนาดเก่าแก่ขอชาวอียิปต์โบราณ ทิศใต้ของเมืองเป็นทะเลทรายที่เรียกว่าทะเลทรายคมเขี้ยว (Desert Fang) ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือยังเป็นพีระมิด (Pyramid) เขาวงกตที่ว่ากันว่าต้องคำสาปจากฟาโรห์แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสมาคมโจรหรือเหล่าทีฟ(Thife) ไปตั้งอยู่ภายในพีระมิดในชั้นแรกและนั่นคือเป้าหมายของพวกเขา
"ยูคิ ไค ฉันอยู่ทางนี้" ท่ามกลางเสียงจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนขายของอยู่นั่นมีเสียงของลูฟี่ตะโกนแทรกมาทั้งคู่หันไปเห็นลูฟี่กำลังโบกมือเรียกพวกเขา
"เฮ้อ... ร้อนชะมัดเลยรีบๆไปเถอะ" ยูคิมีอาการเซ็งๆกับแสงแดดที่ส่องมาอย่างแรงกล้าต่างกลับไคที่มีท่าทีตื่นเต้นกับบรรยากาศเมืองทะเลทราย ทั้งหมดพากันเดินมายังพีระมิดประจำเมือง พอไปถึงลูฟี่ก็บอกให้พวกยูคิรออยู่ด้านนอกส่วนเขาเข้าไปคนเดียวแต่ก่อนจะเข้าไป
"อินเซท อะจิ (Increuse Agi) เบสซิ่ง (Blessing)" ยูคิร่ายเวทย์อวยพรให้ลูฟี่ เด็กชายผมสีเขียวหันมามองงงๆ
"กลับมาเร็วๆนะเฟ้ย ฉันขี้เกียจรอนาน" พอพูดเสร็จก็หันหลังเดินไปยังโอเอซิสบริเวณนั้น
"โชคดีนะ" ไคบอกก่อนจะรีบวิ่งตามยูคิไป
"เชอะ พวกบ้าเอ้ย" ถึงปากจะว่าแต่หน้าของลูฟี่แทบจะกลายเป็นมะเขือเทศอยู่แล้ว เขาเดินเข้าไปภายในพีระมิดด้านในเป็นเขาวงกตที่ค่อนข้างซับซ้อนวกไปวนมาพอสมควร แต่เขาก็มีแผนที่ติดตัวมาจึงสามารถหนีเหล่าฝูงค้างคาวกระหายเลือดเข้ามายังสมาคมโจรได้สำเร็จ เมื่อคุยกับหัวหน้าสมาคมและได้รับภารกิจให้ไปเก็บเห็ดแล้ว ลูฟี่ก็รีบย้อนกลับมาด้านนอกอีกครั้ง พอมาถึงข้างนอกเขามองหาไคกับยูคิแต่ทั้งคู่ไม่อยู่ซะแล้วอาจจะไปหาซื้อของแถวนี้ล่ะมั้ง เขาคิดก่อนจะเดินไปคุยกับชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูฟาร์มเห็ด ชายคนนั้นส่งเด็กชายเข้าไปด้านใน ด้านในเต็มไปด้วยบรรดาเห็นต่างๆ ทั้งมอสรูมและเพอซั่นมอสรูม เห็ดราที่สามารถพบเห็นได้ตามป่าที่มีอากาศชื้นทั่วไป สปอร์ (Spore) เห็ดสีแดงที่กระโดดไปทั่ว บริเวณหัวมีลิ้นห้อยออกมาคล้ายเด็กตัวเล็กๆใส่หมวกที่มีลิ้นห้อยออกมา เด็กหนุ่มกระโดดตีลังกาข้ามหัวแล้วฟันกลางหมวกมันไปหนึ่งที เห็ดตัวนั้นหันมาแล้วใช้ลิ้นฟาดใส่เด็กหนุ่มแต่เขาก็ไวพอที่จะหลบไปด้านหลังมันแล้วใช้มีดแทงเพื่อจบชีวิตของมัน เห็ดที่ตกลงมาจากมันถูกเก็บใส่กระเป๋าผ้าขนาดเล็ก เขาเดินไปทั่วฟาร์มเห็ดใช้มีดที่พกติดตัวถอนบรรดามอสรูมทั้งหลายเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะใช้ปีกผีเสื้อ (Butterfly wing) ที่มีความสามารถย้ายผู้ใช้ไปยังสถานที่ล่าสุดที่ผ่านมาได้ เขาขยี้มันจนละเอียด แล้วก็วาร์ปออกมาด้านนอกฟาร์มเห็ด เขากลับเข้าไปในสมาคมโจรอีกครั้ง นำเห็ดไปให้ยังหัวหน้าสมาคม หัวหน้าสมาคมจึงทำการลงทะเบียนให้ลูฟี่กลายเป็นโจรฝึกหัดอย่างเต็มตัว
"ชุดอยู่ห้องถัดไปนะ ไปเปลี่ยนชุดซะแล้วก็ขยันฝึกเข้าล่ะ โชคดีนะหนุ่มน้อย" หัวหน้าสมาคมกล่าวพร้อมกับบอกทางให้เด็กหนุ่ม ลูฟี่เดินไปยังห้องเปลี่ยนชุดที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่
"มาขอชุดหน่อยครับ" ลูฟี่บอกชายคนนั้น ชายคนนั้นยิ้มแล้วหันไปเปิดตู้หยิบชุดสีน้ำตาลชุดหนึ่งออกมา เขาลองใส่ดูพบว่ามันพอดีกับตัวเขาเลย ที่แขนเสื้อและคอเสื้อมีขนสัตว์เย็บติดไว้ เนื้อผ้าถูกใช้ผ้าที่บางที่สุดเพื่อสามารถระบายความได้ดีแต่มีความทนทานสามารถสมบุกสมบันได้ ลูฟี่ยิ้มอย่างพอใจ ยื่นชุดโนวิซให้ชายคนนั้น ก่อนจะรีบวิ่งออกมาอย่างดีใจ เมื่อถึงด้านนอกพีระมิดเด็กชายก็ต้องแปลกใจ เพราะจำนวนคนที่เหมือนจะมารวมกันอยู่ด้านหน้าพีระมิดเต็มไปหมด
"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่ชาย" ลูฟี่หันไปถามทหารคนหนึ่งที่ขี่เปโก้เปโก้ผ่านมา
"มอนสเตอร์น่ะ อยู่ดีๆก็ดุร้ายขึ้นแล้วก็บุกเข้าโจมตีเมืองตอนนี้กำลังเตรียมอพยพคนไปยังแอซซาซินกิลด์ (Assasin guild) อยู่ เธอก็รีบไปกับเขาซะสิเร็วๆเข้า" ทหารคนนั้นบอกแล้วรีบไปรวมกับทหารที่กำลังจัดแถวอยู่ เขาเดินลงไปยังทะเลทรายทิศตะวันตกของเมืองที่เป็นสฟิงซ์ พบว่าบริเวณนี้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำหรับปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าพระ (Prise) และผู้ช่วยพระ ที่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาด้วยเวทมนต์ที่สุดในมิดการ์ด รวมถึงเหล่าบรรดาโจรและนักฆ่าที่เชี่ยวชาญเรื่องพิษคอยวิ่งรักษาผู้ที่โดนพิษ เด็กชายหน้าซีดลงทันทีเมื่อนึกถึงสองเพื่อนรัก เขารีบวิ่งสำรวจไปทั่วตามบริเวณเต็นผู้ป่วยแต่ก็ไม่พบทั้งไคและยูคิ เขาก็คิดว่าทั้งสองอาจจะหนีทันหรือไม่ก็อพยพไปแล้วล่ะมั้งทันใดนั้นเองบริเวณภายในตัวเมืองก็เกิดระเบิดขึ้นไฟเริ่มล่ามตามบ้านเรือนควันที่โชยออกมาจากตัวเมือง ดึงความสนใจจากผู้คนให้หันไปมอง แต่ทว่าประตูทางเข้าสฟิงซ์ก็มีทหารวิ่งไปรวมตัวกัน ช่วงบริเวณสะพานแขวนที่ทอดไปยังสฟิงซ์มีปิศาจที่อาศัยอยู่ภายในบุกออกมาบรรดาพลธนูก็ทำหน้าที่สาดธนูใส่ซึ่งทางที่แคบจนแทบจะเรียงหนึ่งนั้นเป็นตัวบังคับอย่างดี ตัวใดที่หลุดรอดจากลูกศรมาได้ก็ถูกดาบถูกหอกผลักตกลงไปยังหลุมลึกไร้ก้น บรรดาพระทั้งหลายเห็นท่าไม่ดีจึงเปิดประตูมิติเชื่อมไปยังเมืองหลวงและอพยพผู้ป่วยเข้าไป บริเวณนั้นจึงเต็มไปด้วยประตูมิติและความชุลมุนก็เกิดขึ้นเมื่อมีปิศาจออกมาจากประตูเมืองทิศตะวันตก ทหารอีกกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งไปจัดการกับปิศาจบริเวณประตูเมืองทิศตะวันตก เหล่าผู้ช่วยนักบวชทั้งชายและหญิงเริ่มไล่ผู้คนเข้า
ไปยังประตูมิติ ลูฟี่หันไปมองนครมอร็อคเป็นครั้งสุดแล้วเดินเข้าไปยังประตูมิติ
จบบทที่ 2 สูญเสียทะเลทรายคมเขี้ยว
30 พฤศจิกายน 2551 16:16 น.
LoveNeverJang
บทที่ 1 นครแห่งความอาดูร
"อ๊าก..." เสียงโหยหวนดังมาจากซากเมืองโบราณ กลาสแฮม ตามมาด้วยเสียงดาบกระทบและของแข็งดังไปทั่วตัวเมือง
"ระวังลูกธนู" นายทหารไนท์ (Knight) คนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ตะโกนขึ้น บรรดาทหารที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่ต่างยกโล่ขึ้นสูงเหนือหัวตนเองและคนที่อยู่ใกล้เคียง ทันใดนั้นก็มีลูกธนูตกลงมาราวกับห่าฝน ตกใส่ผู้ใดก็ทิ่มแทงทะลุเกราะด้วยแรงยิงมหาศาลแต่มิอาจทะลุโล่ที่ทำจากแร่เหล็กชั้นดีและออกแบบมาเพื่อรับการโจมตีอันรุนแรงได้
"เอ้าเลยทุกคน ทะลวงออกไป กำลังของเรามากกว่า เราชนะอยู่แล้ว" ทหารที่แต่งตัวเด่นกว่าคนอื่นสั่ง เขาคือนายกองเอเฟรด ที่ดวงตาของนายกองมีบาดแผลเป็นกากบาทน่ากลัว เมื่อนายกองตะโกนสั่งทหารก็ส่งเสียงพร้อมกับช่วยกันถาโถมเข้าไป ปิศาจที่ขวางทางอยู่มีทั้งเรดิก (Raydric) ปิศาจชุดเกราะไร้กาย อินจัสติส (Injustice) ปิศาจที่ถูกทรมานจนตายที่ข้อต่อมีของแหลมฝังอยู่ ซอมบี้ (Zombie) ซากศพเดินได้ ทหารคนใดเข้าใกล้ก็ถูกเหล่าปิศาจที่บางกัดบางแทงบาดเจ็บล้มตาย ฝ่ายมนุษย์ก็ไม่น้อยหน้า ปิศาจตัวไหนที่อยู่ในระยะแนวรบก็ช่วยกันรุมฟันจนร่างแหลละเอียด จุดเด่นของปิศาจคือความแข็งแกร่งทนทาน ส่วนมนุษย์ที่มีสมองย่อมคิดออกว่าจำนวนคือข้อได้เปรียบหากพละกำลังเป็นรอง
"ฮึ...โง่เง่าสิ้นดี" ด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยการสู้รบกลับมีชายคนหนึ่งที่ยืนดูการต่อสู้เหล่านั้นอยู่บนเสาหักๆที่อยู่สูงขึ้นไปผ้าคลุมสีดำปลิวไสว ผมสีขาวยาวลงมาปรกตาไว้ข้างหนึ่ง หน้าที่ซีดราวกับคนตาย ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเสาต้นถัดไป
"ถ้ามันน่ารำคาญขนาดนั้นก็ทำให้มันจบซะทีสิ" เด็กหญิงผมแดงบอก คำพูดนี้ทำเอาชายผมขาวหัวเราะเบาๆ
"งั้นก็อย่าเสียเวลาเลยนะ" ชายคนนั้นบอกพร้อมกับกระโดนขึ้นไปยืนบนกำแพงเหนือหัวมนุษย์ เมื่อทหารมองเห็นพากันเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจกับการปรากฏตัวของชายลึกลับ "เจ้าพวกมนุษย์ที่อ่อนแอทั้งหลาย จงจำไว้ผู้ใดที่บังอาจเป็นศัตรูกับเหล่าปิศาจมันผู้นั้นจะต้องพบกับวาระสุดท้าย ด้วยความตาย...อันน่าสยดสยอง" เมื่อพูดจบคัมภีร์ปกดำก็ถูกกางออกทันใดนั้นผู้คนก็พากันอุดหู พลางร้องอยากทรมาน นายกองหน้าบากที่ผ่านศึกมามากมาย ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับบรรดาหนังสือปกดำนั้นมีมาก รวมทั้งรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้ จึงทำให้เขาไวพอที่จะเอาที่อุดหูที่เตรียมมาใส่ไว้ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงบทเพลงแห่งความตาย!! นายกองพุ่งสุดตัวผ่านทหารที่นอนดิ้นไปมา วิชาหอกระยะไกลถูกใช้ออก
"สเปียบูมเมอร์แรง (Spear Boomerang)" หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น ด้วยทักษะหอกแหวกลม หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น หวังบั่นทอนสมาธิ เป้าหมายคือใบหน้า ทันใดนั้นขณะที่หอกน่าจะอยู่ห่างจากชายคนนั้นเพียงคืบเดียว ก็เสียบเข้ากับเกราะเวทมนต์ ชายคนนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
"ในที่สุดชะตาก็ทำให้เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะพี่ชาย!!" ชายผมขาวบอกและสลายเวทมนต์ออกทำให้หอกที่ปักค้างอยู่ลอยกลับไปหานายกอง เขาตั้งท่าเตรียมจู่โจมซ้ำ แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของนายกองพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมแดง นายกองสติดีพอที่จะไม่ตกใจแต่ก็ช้าไปสำหรับการจู่โจมตอบโต้ เด็กสาวใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวจิ้มตามจุดต่างๆบนร่างกายของนายกองทำให้เขาไม่สามารถขยับได้
"เบิกตาดูไว้เถิดพี่ชาย วาระสุดท้ายของมนุษย์ที่เป็นปรปักษ์กับปิศาจ" คัมภีร์ปกดำถูกกางออกอีกครั้ง เกิดอาณาเขตวงเวทย์ขึ้นล้อมทหารที่กำลังนอนดิ้นไปมาบางส่วนไว้ นายกองเบิกตาโพลง นี่คือวงเวทย์ที่เขาเคยเห็นมาก่อน นี่คือวงเวทย์ที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมือง นี่คือวงเวทย์ที่...ทำให้เมืองนี้ล้างและเต็มไปด้วยปิศาจ
"เดธแลนด์ คิลเลอร์ (Deadland Killer)" เกิดเสียงระเบิดขึ้นบริเวณภายในวงเวทย์ทำให้ทหารที่อยู่ในวงเวทย์หายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยปิศาจร่างยักษ์สองตน หนึ่งคือผู้ช่วยเพรชฆาตในกลาสแฮม เรบิโอ (Rybio) ในมือมีมีดอาบเลือดสองเล่ม อีกหนึ่งคือเพรชฆาตแห่งกลาสแฮม นามเฟรนดาร์ก (Fhendark) ที่ใช้อาวุธเป็นที่ช็อตไฟฟ้า
"ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้คนของเราก็ดูเหมือนจะเท่ากันแล้วนะท่านพี่" มันระเบิดเสียงหัวเราะชวนขนลุกแล้วก็หายตัวไปทิ้งไว้เด็กสาวผมสีแดงที่ยืนมองหน้านายกองหน้าบากก่อนจะคลายจุดที่สกัดไว้และหายตัวตามไป พอผู้ที่ใช้เวทย์ย้ายที่ไปที่อื่นระยะห่างของเวทย์มนต์ย่อมเสื่อมลงทำให้ทหารกลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่สองผู้มาใหม่พอมาถึงก็ทุบโน่นแทงนี่เป็นพัลวันผู้ใดต้องคมมีดหรือที่ช็อตไฟฟ้าก็สิ้นใจตายทันที ฝ่ายนายกองหน้าบากพอหลุดจากพันธนาการก็พุ่งเข้าไปหวังว่าจะช่วยทหารของตนแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงร่ายเวทย์สองเสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
"ธรรมชาติก่อเกิดพลัง พลังก่อเกิดความกล้า ความหนาวเหน็บของธรรมชาติจักก่อเกิดพลังแก่ข้า ก่อให้เกิดความกล้าแก่ข้า เวทย์วายุหโลม สตอมกัส (Strom Gust)" เกิดพายุหิมะขึ้นสองวง หนึ่งที่เฟนดาร์กและอีกหนึ่งที่เรบิโอที่ยืนอยู่แช่แข็งมันทั้งคู่ด้วยความหนาวเหน็บของหิมะเวทย์มนต์ที่ไม่ส่งผลต่อมนุษย์และบริเวณของวงเวทย์ยังกว้างพอที่จะกำจัดปิศาจอื่นๆจนหมดด้วย
"เอาเลยมาคัส" เสียงหนึ่งในนั้นตะโกนบอก มีอีกเสียงดังขึ้นมาอีก
"ในนามเทพธอร์บิดาแห่งสายฟ้า พลังแสงสว่างที่ใช้ขับไล่ความมืดจักก่อเกิดพลัง สายฟ้าพิโรธ จูปิเทลธันเดอร์ (Jupitel Tunder) " บอลสายฟ้าพุ่งตรงไปยังร่างของเฟนดาร์กที่ถูกแช่แข็งอยู่ระเบิดจนมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วก็หันมาใช้ท่าเดียวกันกับเรบิโอ ทหารที่เหลือรอดเมื่อเห็นศัตรูตัวฉกาจถูกทำลายลงต่างก็ส่งเสียงเฮดังลั่นไปทั้งบริเวณ เมื่อหน้าที่จบลงเอเฟรดก็เดินไปพบกับสองฉกรรจ์หนึ่งเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้ สองในสามเป็นเป็นจอมเวทย์ไฮด์ วิซาร์ท (High Wizard) อีกหนึ่งเป็นนักเวทย์วิซาร์ท (Wizard) สองฉกรรจ์เป็นสองในสิบคนที่ถูกเรียกว่าจอมเวทย์แห่งสายธาตุของเมืองเกฟเฟ่น (Geffen)
"ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ" เอเฟรดเปิดบทสนาทันทีที่มาถึง
"เราสองคนคือจอมเวทย์แห่งสายธาตุจากนครมนตรา เรานามว่าวินด์ สหายเรามาคัส ส่วนนั่นคือศิษย์เอกของเราลูท เราไม่ทราบเลยว่ามีการเดินทัพผ่านเกฟเฟ่น แต่มีผู้แจ้งว่าได้ยินเสียงดาบมาจากที่นี่ เราจึงมาเพื่อให้เห็นกับตา เหตุใดกองทัพของศาสนจักรถึงมาอยู่ที่นี่ได้" หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกพร้อมกับถามในประโยคเดียวกัน
"เรามีนามว่าเอเฟรด คิลลัว เป็นผู้คุมกองทหารราบที่ 9 เนื่องจากทางกองทัพศาสนจักรได้รับแจ้งว่าได้มีพลังงานลึกลับออกมาจากเมืองกลาสแฮมจึงได้ส่งกองทหารมาสำรวจ แต่ระหว่างทางเราถูกปิศาจดักซุ่มโจมตี การเดินทางมิได้ผ่านเมืองเกฟเฟ่นแต่เลยขึ้นไปทางเหนือ อาจจะเป็นเหตุให้เจ้านครเกฟเฟ่นไม่ทราบก็ได้ ทางกองศาสนจักรต้องกราบขอประทานอภัยไปยังเจ้านคร
เกฟเฟ่นด้วย" เอเฟรดกล่าวจบก็โค้งให้อย่างสวยงามหนึ่งครา
"ทางเมืองเกฟเฟ่นมิได้คิดเอาเรื่องแต่อย่างใด เนื่องจากนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วเสียงดาบยังดังไม่หยุด จึงส่งเราสามคนมาเพื่อตามพวกท่านให้กลับไปพักผ่อนที่นครเสียก่อน วันรุ่งขึ้นเมื่อรวมกำลังพลแล้วจึงค่อยมาที่นี่ใหม่" ชายฉกรรจ์แจ้งวัตถุประสงค์ก่อนจะมอบหมายให้ศิษย์เอกเป็นผู้นำทางกลับไปยังนคร ทางด้านนายกองเอเฟรดเปาปากหนึ่งครา ก็มีอัศวินขี่วิหกลมกรด เปโก้เปโก้ (Pecopeco) เข้ามาหา
"แจ้งไปยังนครพรอนเทร่า (Prontera) ว่าให้องค์ราชาทราบว่า กองทหารราบถูกซุ่มโจมตี สูญเสียกำลังทหารฝีมือดีไปเป็นจำนวนมาก จึงได้ถอยไปยังนครเกฟเฟ่นก่อน ในวันพรุ่งนี้จึงจะเดินทัพบุกเข้าไปอีกครั้ง" พอรับคำสั่งเสร็จอัศวินม้าเร็วที่ทำหน้าที่ส่งสารก็ควบวิหคตรงไปยังทิศที่ตั้งของนครพรอนเทร่าทันที
ก่อนตะวันตกดินในวันนั้นกองทหารราบที่ 9 ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่กำแพงนครเกฟเฟ่น แต่ทว่าเมืองมีนี้ไม่มีขนาดใหญ่มากนักสิ่งก่อสร้างภายในส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านเรือนหรือพวกบาร์เหล้ามากกว่า ทำให้ทหารต้องออกมาตั้งแคมป์ด้านนอกเมือง เมื่อทั้งหมดแบ่งที่สำหรับกางเต็นเสร็จแล้ว ก็มีจอมเวทย์คนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่าทหารทั้งหลายต่างมองอย่างสงสัย
"ผู้นำแห่งเกฟเฟ่นต้องการพบเอเฟรด คิลลัวไม่ทราบว่าคือผู้ใด" เมื่อพูดจบ เหล่าทหารต่างสงเสียงซุบซิบกันดังไปทั่วแต่จอมเวทย์คนนั้นหาแยแสสนใจไม่ จนกระทั่ง...
"ทุกคนเงียบ" เกิดเสียงตะคอกดังขึ้นจากเต็นตรงกลางพร้อมกับการปรากฏกายของทหารในเครื่องแบบชั้นสูง ลอร์ดไนท์ (Lord Knight) เขาคือนายกองกอลดัลที่เดินออกมาพร้อมกับผู้นำแห่งกองทัพศาสนจักร อัศวินศักสิทธิ์พาราดิน (Paladin) "ขออภัยสำหรับเหล่าทหารที่ไร้ระเบียบพวกนี้ ข้าเองที่ท่านตามหา โปรดนำทาง" กอลดัลบอก จอมเวทย์คนนั้นเดินเข้าสู่ตัวเมือง กอลดัลเดินตามไปช้าๆ ส่วนอัศวินศักสิทธิ์เดินแยกตรงไปยังพาหนะซึ่งก็คือวิหคลมกรดคล้ายกับที่อัศวินใช้แต่มีขนาดและสีสันแตกต่างกัน ขนาดที่ใหญ่และหางที่สีสันสวยงามกว่า มันถูกเรียกว่าแกรนเปโก้เปโก้ (Grand Pecopeco) เขากระโดดขึ้นขี่แล้วควบหายไป
ณ ยอดสูงสุดของเกฟเฟ่น ทาวเวอร์ (Geffen tower) ที่โต๊ะประชุมนายกองกอลดัลนั่งอยู่ด้านซ้ายเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามาสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้นำชั้นสูงอนุญาติจึงจะเข้ามาได้แต่ก็เฉพาะนักเวทย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่โต๊ะประชุมแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทย์ระดับแนวหน้าที่แต่ละคนดูหน้าตาดูขึงขังไม่พอใจที่เห็นอัศวินที่ไม่ใช่คนสำคัญเข้ามาที่ห้องประชุมซึ่งถือว่าเป็นความลับ ยกเว้นแต่จอมเวทย์สองคนที่ไปช่วยเขา ทั้งคู่นั่งประกบเขาพลางยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นนายกองทำท่าอึดอัด
"ท่านว่าพรอนเทร่ารู้ถึงพลังงานลึกลับจากนครกลาสแฮมงั้นหรือ" ผู้นำจอมเวทย์ชราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนจะมีอำนาจมากที่สุดในห้องประชุมแห่งนี้เปิดหัวข้อสนทนา
"ทางพรอนเทร่าได้รับแจ้งมาจากสาธาณรัฐจูโน่ (Yuno) ว่ามีพลังงานความมืดมหาศาลแผ่ออกมา องค์ราชาจึงได้มีพระบัญชาให้นำกองทหารส่วนหนึ่งมาตรวจดู" กอลดัลตอบด้วยท่าทีสุภาพ
"ฮึ... พรอนเทร่าไม่เห็นหัวเกฟเฟ่นแล้วรึยังไง ถึงได้ปิดข่าวเกฟเฟ่นแล้วแอบทำอะไรโดยพลการ" จอมเวทย์ที่นั่งตรงข้ามกับเขาพูดขึ้นอย่างฉุนเชียว
"ใจเย็นก่อน สไตเนอร์ เจ้าลองฟังคนอื่นก่อนจะไม่ได้เลยรึไง เอ้า...ว่าต่อไปอัศวิน" จอมเวทย์คนหนึ่งปรามก่อนจะให้เขาพูดต่อ
"โปรดเข้าใจก่อน กองทัพตามที่กำหนดไว้จะต้องมาถึงเกฟเฟ่นเช้าของวันนี้แต่ระหว่างทางได้ถูกลอบโจมตีโดยปิศาจทำให้แผนการเปลี่ยนไปเราไล่ต้อนปิศาจเหล่านั้นจนมันถอยกลับเข้าไปในนครร้างเกฟเฟ่น ขณะที่เรากำลังถอนทัพออกจากนครนั้นก็ถูกปิดล้อมด้วยปิศาจจำนวนมาก พวกเราพยายามตีฝ่าออกไปแต่ดาร์กพรีสก็ปรากฏตัวขึ้น..."
"ว่าไงนะ... ดาร์กพรีส บรรพชิตมารน่ะรึปรากฏตัวขึ้น" เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วโต๊ะประชุม "เงียบๆ" จอมเวทย์ชราตะโกนสั่งก่อนจะผายมือให้กอลดัลอธิบายต่อ
"ใช่ ดาร์กพรีสปรากฏตัวขึ้นและก็ทำพิธีเรียกสองจอมปิศาจออกมา พวกเราที่เสียกำลังไปเป็นจำนวนมากพยายามต่อสู้จนกระทั่งสองท่านนี้ไปช่วยเราไว้" เขาบอกแล้วชี้ไปยังสองจอมเวทย์ที่นั่งประกบเขา ทั้งคู่ยิ้มแต่ไม่กล่าวว่าอะไร
"แต่มีผู้บอกว่าดาร์กพรีสถูกกำจัดไปเมื่อนานมาแล้ว" จอมเวทย์ที่ใส่แว่นเลนส์เดียวถาม
"เอ่อ..." นายกองอ่ำอึ่งไม่รู้จะอธิบายว่าอะไรดี
"มีจริงๆ ไวด์ข้าเห็นมากับตา แต่ก่อนที่ข้าจะทำอะไร ดาร์กพรีสก็หายตัวหนีไป" วินด์บอก
"งั้นเราก็คงต้องเตรียมตัวพร้อมพบกับตำนานที่ชั่วร้ายอีกครั้ง รึว่า ท่านเห็นเป็นอย่างไร สไตเนอร์" จอมเวทย์หญิงที่ใส่หมวกเป็นรูปเด็กผู้หญิงนอนอยู่บนหัวถามสไตเนอร์
"ฮึ... นักบวชหรือจะสู้นักเวทย์ได้ หมดยุคของดาร์กพรีสไปนานแล้ว" สไตเนอร์บอกอย่างมั่นใจ
"ท่านก็มั่นใจอย่างนี้เสมอแหละ ประมาทนักแล้วจะเสียใจภายหลัง" นักเวทย์ตาบอดพูดขึ้น
"ไม่อยากเชื่อเลยว่าอัจฉริยะแห่งการสาปอย่างท่านจะกลัวบรรพชิตเพียงคนเดียว" สไตเนอร์เหน็บแต่จอมเวทย์ตาบอดมิได้ใส่ใจ
"งั้นพรุ่งนี้ทางเกฟเฟ่นจะให้ยืมทหารบางส่วน หากท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงหมายกำหนดการ แต่ถ้าหากท่านถอนกำลังกลับนครหลวง ทางเกฟเฟ่นจะรับหน้าที่เฝ้าคอยสังเกตุการณ์ให้" จอมเวทย์ชรากล่าว
"ราชโอการคือคำสั่งสูงสุดสำหรับเหล่าอัศวินแม้ตัวตายเกียรติยังคงดำรงอยู่ พรุ่งนี้กองทหารราบที่เหลือจะเคลื่อนทัพเข้าสู่นครร้างเพื่อสืบที่มาของพลังงานลึกลับ " นายกองกอลดัลกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
"งั้นเป็นอันตกลง เห็นแก่ความเด็ดเดี่ยวของท่านและเกียรติของเหล่าอัศวิน พรุ่งนี้จอมเวทย์ฝีมือดีบางส่วนของนครเกฟเฟ่นจะเข้าร่วมกองทัพกับท่านด้วย" จอมเวทย์ชรากล่าวและปิดการประชุมอนุญาติให้แยกย้ายไปพักผ่อน