4 ธันวาคม 2547 15:51 น.
Limonade
แม่คะ หนูอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้ ฉันชี้นิ้วไปที่บูธขายตุ๊กตาในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตุ๊กตาตัวนั้นเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารัก แล้วก็ยังแต่งชุดกระโปรงสีชมพูในแบบที่ฉันชอบด้วย
ไม่เอาหรอก เอาไปทำไม ไร้สาระจะตายไป แม่พูดแล้วก็จูงมือน้องสาวฉันเดินไปแผนกที่ขายเสื้อผ้าเด็ก ฉันมองเห็นเสื้อผ้าหลากสีสัน มีแต่ชุดสวยๆทั้งนั้นเลย ฉันเลยดึงชายเสื้อแม่เบาๆพร้อมกับชี้ไปที่ชุดกระโปรงสีชมพูตัวที่แขวนอยู่ข้างชุดเอี๊ยม
แม่คะ ชุดนี้สวยจัง แม่ซื้อให้หนูด้วยนะ
อย่าเพิ่งมายุ่งกับแม่ได้มั๊ย แม่กำลังจะพาน้องไปลองชุดนี้อยู่ น่ารำคาญจริงๆนะเราน่ะ
ฉันได้ยินแม่พูดแบบนั้นแล้วก็คิดว่าตัวเองจะไม่ได้ชุดนั้นแน่ๆ ฉันจึงเริ่มร้องไห้ เผื่อว่าน้ำตานั้นจะทำให้แม่ใจอ่อนได้บ้าง เผื่อว่าแม่จะยอมซื้อชุดสวยชุดนั้นให้ฉัน แต่ ...
จะแหกปากร้องไปทำไม ห๊า ... หนวกหู!!
แล้วแม่ก็กระหน่ำฝ่ามือของแม่ลงมาตามเนื้อตามตัวฉัน ทั้งตี ทั้งหยิก จนฉันเจ็บไปหมดทั้งตัว ฉันกลัวว่าแม่จะตีซ้ำอีกเลยต้องกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้ แล้วสายตาที่บ่งบอกว่าเยาะเย้ยถากถางก็มาจากน้องสาวฉัน เกลียดสายตาแบบนั้นจริงๆเลย รอยยิ้มที่มุมปากแบบยิ้มเยาะนั่น ฉันเกลียดมันที่สุด!!
เราสามคนแม่ลูกกลับมาถึงบ้านก็เมื่อบ่ายแก่ๆ แม่หอบหิ้วทั้งถุงกระดาษและถุงพลาสติกหลายใบ ข้างในมันมีแต่ของของแม่และน้องสาวเท่านั้น แต่ของฉัน ... ไม่มีซักชิ้นเดียว ฉันเดินร้องไห้ไปหาพ่อที่กำลังลูบหัวเจ้าลูกหมาข้างบ้านที่มันมักจะเดินมาเล่นกับพ่อเสมอๆ
พ่อคะ ... แม่ตีหนู ... หนูเจ็บ ...
พ่อดูรอยเขียวช้ำตามเนื้อตัวฉันแล้วยิ้มให้ฉันบางๆ ก่อนที่จะเดินไปหาแม่ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เสียงปาข้าวของแตกกระจาย แล้วก็เป็นเสียงแม่เดินกระแทกเท้าออกมา
อีลูกตัวแสบ!! ฟ้องพ่อแกเหรอ ฟ้องว่าฉันไม่ซื้ออะไรให้แกเลยงั้นเหรอ ใช่สิ ใครจะอยากซื้อให้แกล่ะ ในเมื่อแกมันไม่ใช่ลูกสาวฉัน แกมันเด็กนรก เด็กเวร!!
ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินคำนี้ เพราะฉันเชื่อมาตลอดว่าฉันคือลูกสาวของแม่ จนพ่อวิ่งตามออกมาห้ามแม่ไม่ให้พูดนั่นแหละ แล้วแม่ก็กระแทกเท้ากลับเข้าบ้านไป พ่อเลยยอมบอกความจริงกับฉันว่าแม่จริงๆของฉันตายไปตั้งแต่วันที่ฉันเกิด พ่อเลยมาแต่งงานใหม่กับแม่คนนี้แล้วถึงมีน้องสาว แม่ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่นัก เพราะตอนที่พ่อกับแม่แต่งงานกันแล้วมีฉันอยู่ด้วย ช่วงนั้นพ่อตกงาน แล้วแม่ก็เป็นเพียงแม่บ้านไม่มีรายได้ ครอบครัวของฉันตอนนั้นถือว่ายากจนมาก พอมามีน้องสาว พ่อฉันจึงได้งานทำอีกครั้ง ฐานะครอบครัวเลยดีขึ้นตามลำดับ ที่ผ่านมาแม่คงถือว่าฉันเป็นตัวอัปมงคลของเค้าล่ะมั๊ง
นั่นเป็นเรื่องสมัยเด็กๆที่ฉันจำได้ ตอนนี้ฉันมีอายุ 15 ปีเต็มแล้ว เค้กวันเกิดก้อนโตพร้อมเทียน 16 เล่ม ปักอยู่นั้น ทำให้ฉันยิ้มกว้าง พ่อตั้งใจซื้อเค้กนี้มาเพื่อฉันโดยเฉพาะ รวมถึงตุ๊กตาหมีสีชมพูขนฟูนุ่มเป็นของขวัญวันเกิด ส่วนแม่กับน้องก็ยังคงไม่มีอะไรให้ฉันเหมือนเคย คอยแต่จะพูดจาเหน็บแนมฉันเสมอ และคอยรังแกฉันตลอดมา
15 ปีแล้วเหรอแก ไม่น่าอายุยืนมาจนป่านนี้เลยนะ แกน่าจะตายพร้อมแม่แกตั้งแต่เกิดแล้ว อีตัวซวย!!
หยุดพูดเถอะคุณ นี่วันเกิดของลูกนะ พ่อปรามแม่ แม่จึงเงียบไป
เมื่องานวันเกิดปีที่ 15 ของฉันจบลง พ่อก็ขึ้นไปนอนที่ห้องของพ่อ ส่วนแม่และน้องนอนด้วยกันอีกห้อง ฉันเก็บกวาดข้าวของจนเสร็จ แล้วมานั่งที่โซฟาห้องรับแขกพร้อมตุ๊กตาหมีสีชมพูที่เพิ่งได้มาจากพ่อ ฉันลูบขนนุ่มฟูของมันอย่างทะนุถนอม นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของฉัน แล้วก็เป็นปีแรกที่พ่อจัดงานวันเกิดให้ เพราะที่ผ่านมาพ่อมัวแต่ยุ่งกับงานเสมอ จะมีก็แค่จูบฉันเบาๆที่หน้าผากแล้วบอกว่า สุขสันต์วันเกิดนะลูกพ่อ แต่แค่นั้นฉันก็ดีใจมากแล้ว พ่อต่างจากแม่และน้องมากเหลือเกิน พ่อเป็นฮีโร่ เป็นเทวดาของฉัน ที่มักจะมาปกป้องฉันจากเงื้อมมือของปิศาจร้ายอย่างแม่และน้อง
ใช่แล้ว ... ปิศาจแบบพวกแก ปีนี้น่าจะให้ของขวัญวันเกิดกับฉันซักหน่อยนะ
ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วก็วางตุ๊กตาลงบนโซฟาอย่างเบามือ ฉันค่อยๆเดินช้าๆไปที่โรงรถ ในนั้นมีอุปกรณ์หลายอย่างของพ่อ ไม่ว่าจะใช้ซ่อมรถ ซ่อมท่อประปา รวมถึงของเล่นเก่าๆของน้องที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ด้วย ฉันเปิดประตูเข้าไปช้าๆ ไฟฉายที่ถือมาด้วยแม้จะส่องแสงไม่สว่างมากนัก แต่ก็พอมองเห็นว่าของชิ้นไหนคืออะไร
ฉันกางถุงผ้าที่ถือติดมือมาเพื่อใส่ของ ฉันหยิบเลื่อยอันที่ไม่ใหญ่มากนักใส่ลงไป ตามด้วย ค้อน ตะปู ลิ่ม ลูกดอกที่ใช้สำหรับปาเป้า ไม้เบสบอลที่ยังอยู่ในสภาพดี ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันยังอยู่ จำได้ว่าฉันเล่นเบสบอลกับพ่อเมื่อตอนเด็กๆ สุดท้าย ... แม่ก็เดินมาอาละวาดพร้อมกับขว้างไม้เบสบอลฉันไปซะไกลเชียว เมื่อได้ของครบตามที่ต้องการแล้ว ฉันก็เดินกลับเข้าบ้านเงียบๆ
ฉันลากถุงผ้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพราะของที่อยู่ข้างในนั้นมันหนักไม่ใช่เล่นเลย ฉันพาขาสองข้างของตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของแม่และน้อง ฉันใช้กิ๊บตัวเล็กๆปลดล๊อคประตูออกแล้วเปิดเข้าไป
หลับสบายเชียวนะพวกแก เดี๋ยวจะได้หลับกันสมใจอยาก หลับไปตลอดกาล
ฉันเดินไปสะกิดแม่เบาๆ ครั้งแรกแม่แค่งัวเงียไม่ยอมตื่น จนฉันต้องสะกิดอีกครั้งที่สอง แม่ลุกขึ้นมานั่งด้วยความหงุดหงิด เมื่อเห็นหน้าฉัน แม่ก็ชี้หน้าแล้วได้แต่บอกว่า
แกเข้ามาทำอะไร ออกไปนะ
ฉันยิ้มให้ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่น้องเคยยิ้มให้ แล้วฉันก็ใช้ไม้เบสบอลฟาดลงไปที่ต้นคอของแม่เต็มแรง
โพล๊ะ!!
สิ้นเสียงนั้นแล้วแม่ก็สลบไป พร้อมกับน้องที่งัวเงียตื่นขึ้นมา ได้เพียงแค่ขยี้ตาเท่านั้น ฉันก็หวดไม้เบสบอลใส่ท้ายทอยน้อง เหมือนที่ทำกับแม่ เมื่อทั้งสองคนหมดสติไป ฉันก็หัวเราะเบาๆ
แกบอกฉันว่าฉันน่าจะตายพร้อมแม่ไปตั้งแต่เกิดใช่มั๊ย พวกแกต่างหากล่ะที่สมควรตาย ...
ฉันเริ่มจัดการกับแม่ก่อน ฉันลากแม่ลงมาที่พื้นแล้วใช้ค้อนทุบที่หัวของแม่จนเละ มันสมองไหลนองออกมาเต็มพื้น สมองสกปรกที่คิดแต่เรื่องสกปรกแบบนี้ ฉันเหยียบมันซ้ำจนกลืนหายไปกับพื้นรองเท้า แล้วฉันก็ปักลิ่มลงไปตามเนื้อตามตัวของมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า ... เลือดเริ่มไหลออกมาจนพื้นแฉะไปหมด เกือบทำฉันลื่นล้มไปแล้วมั๊ยล่ะ ฉันมองร่างกายที่เละเทะของมันด้วยความสะอิดสะเอียน แทบจะอาเจียนออกมา
เสร็จจากปิศาจนั่นแล้ว ... ฉันก็มุ่งตรงมาที่น้องสาวของฉัน ฉันเกลียดสายตาเย้ยหยันของมันนัก ฉันเลยเอาลูกดอกปักลงไปที่เบ้าตาของมันนับสิบดอก จะไม่มีอีกแล้ว ... สายตาแบบนั้น ปากที่ยิ้มเยาะใส่ฉันอยู่เสมอ ฉันก็เอาเลื่อยมาเลื่อยออกไป ฉันหยิบริมฝีปากมันขึ้นมาแล้วก็เอาค้อนอันเดียวกับที่ทุบหัวแม่ของมันทุบจนแหลกเหลว จะไม่มีอีกแล้ว ... ปากแบบนั้น มือที่มันเคยได้ของมากมายที่ฉันไม่เคยได้ ฉันก็ตอกตะปูไปที่มือมันที่ละดอก ทีละดอก จนตะปูนั้นเต็มมือของมันไปหมด ต่อไปมือนี้ก็คงรับของอะไรไม่ได้อีกแล้ว สุดท้าย ... ฉันก็เอาลิ่มทิ่มไปตามตัวของมันเช่นกัน แต่ไปจบตรงที่ปักลงตรงกลางหัวใจของมัน แต่มันคงไม่เจ็บปวดเท่ากับที่ฉันเคยเจ็บหรอก
ฉันลุกขึ้นยืนหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน เพิ่งจะรู้ว่าการจัดการกับมารร้ายมันจะเหนื่อยขนาดนี้ แต่ก็คุ้มค่าเหนื่อย เพราะต่อจากนี้ก็จะไม่มีพวกมันสองคนมารังแกฉัน มาประณามหยามเหยียดฉันอีก ฉันเดินออกมาจากห้องด้วยร่างกายที่เปื้อนเลือดสกปรกของพวกมัน และไม่ลืมที่จะหยิบอุปกรณ์เหล่านั้นออกมาด้วย ฉันตรงไปที่ห้องของพ่อ เปิดประตูเข้าไป พ่อกำลังหลับสนิทอยู่เลย
พ่อคะ ... พ่อจะเหงาใช่มั๊ยถ้าไม่มีพวกมัน เพราะพ่อจะได้อยู่กับหนูแค่สองคน แต่หนูไม่ยอมให้พ่อเหงาหรอก
ฉันตรงไปที่เตียงของพ่อ สะกิดพ่อและเรียกเบาๆ
พ่อคะ ...
พ่อขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็ลุกขึ้นมานั่ง ฉันมองเห็นแววตาตื่นตระหนกของพ่อ
ลูกพ่อ ... ลูกไปทำอะไรมา ทำไม ...
หนูฆ่ามันแล้วค่ะพ่อ จะไม่มีใครมารังแกหรือทำร้ายจิตใจหนูได้อีก แล้วพ่อก็ไม่ต้องมาคอยปกป้องหนูจากพวกมันอีกไงคะ พ่อจะเหงาใช่มั๊ยถ้าพ่อจะไม่มีพวกมัน เพราะอย่างน้อย ... พ่อก็คงรักอีพวกปิศาจนั่น แต่หนูไม่ยอมให้พ่อเหงาหรอกนะคะ หนูยอมให้พ่อไปอยู่กับพวกมันได้ค่ะ
เมื่อพูดจบ ... ฉันก็ฟาดไม้เบสบอลลงไปที่หัวของพ่อเต็มเหนี่ยวอีกครั้ง เพียงแค่พ่อไม่หมดสติเหมือนพวกมัน พ่อเอามือกุมหัวที่มีเลือดไหลอาบลงมา ทำเอาฉันหงุดหงิด
พ่อนี่หมดสติยากจริงๆเลยนะ อยากเจ็บตัวหลายครั้งหรือไง
แล้วฉันก็เอาค้อนกระหน่ำไปที่หัวพ่อที่นอนตัวงออยู่บนเตียง ได้ผล ... พ่อเงียบไปแล้ว ฉันลากพ่อลงมาที่พื้นอีกเช่นเคย ฉันเอาเลื่อยเลื่อยหัวพ่อจนหลุดออกมา จิกไปที่ผมเพื่อจะเอาหัวพ่อขึ้นมาดูใกล้ๆ แม้มันจะบุบๆเบี้ยวๆเพราะถูกค้อนทุบก็เหอะ ฉันพูดกับพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
พ่อคะ ... หนูรักพ่อนะคะ หนูไม่ผิดใช่มั๊ยที่จะให้พ่อตามไปอยู่กับพวกมัน
ฉันทิ้งหัวของพ่อลงไปกับพื้น สายมองไปเห็นมีดปอกผลไม้อยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปหยิบมันมาแล้วกรีดลงไปที่หน้าอกของพ่อ ฉันตัดเอาหัวใจของพ่อออกมาถือไว้ในมือ
หัวใจดวงนี้สินะที่พ่อมีแต่ความรักให้หนู หนูจะเก็บมันไว้อย่างดีนะคะ
ฉันเปิดตู้เย็นแล้วเอาหัวใจของพ่อเก็บไว้ในช่องแช่เข็ง เพื่อจะได้อยู่ได้นานๆ ฉันเดินกลับมาที่ร่างไร้วิญญาณของพ่ออีกครั้ง ใช่แล้ว ... ฉันใช้วิธีเดิม ฉันเอาลิ่มทิ่มแทงไปตามตัวของพ่อนับครั้งไม่ถ้วน ร่างของพ่อแหลกเหลวไม่แพ้กับปิศาจพวกนั้น
เฮ้อ ... เหนื่อยจริงๆเลยกว่าจะครบทุกคน
เมื่อปาดเหงื่อที่ไหลลงมาจนถึงคอออกจนหมด แต่ได้คราบเลือดติดตามใบหน้าแทน ฉันก็เดินลงมาข้างล่างและนั่งลงที่โซฟาตัวเดิม ฉันหยิบตุ๊กตาหมีสีชมพูขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอามีดที่ถือติดมือมาปักลงไปในตัวของมันจนนุ่นกระจายออกมา ไม่เหลือสภาพตุ๊กตาหมีแสนสวยอีกแล้ว
ฉันไม่ผิดใช่มั๊ยที่ฆ่าพวกมันกับพ่อ ไม่มีใครสมควรจะอยู่บนโลกใบนี้อีก แม้แต่ฉัน ...
ฉันใช้มีดเล่มเดิมแทงเข้าไปที่ร่างกายของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!! ภาพสุดท้ายที่ฉันมองเห็น ... เลือดสีแดงสดไหลออกมา มันเลอะไปถึงตุ๊กตาหมีที่เละเทะจนมันเป็นตุ๊กตาหมีสีเลือด สวยจริงๆ ... แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับลง ...
3 ธันวาคม 2547 14:56 น.
Limonade
" กลับมาแล้วค่ะ "
ฉันพูดประโยคเดิมซ้ำกันทุกวันเมื่อกลับมาจากโรงเรียน แต่วันนี้ไม่ได้ยินเสียงป๊อกๆแป๊กๆที่บ่งบอกว่าแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
" หรือว่าแม่จะไปข้างนอก ... มืดขนาดนี้แล้วนี่นะ "
ฉันบ่นพึมพัมกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ฉันเดินขึ้นห้องตัวเองด้วยความเหนื่อยอ่อน อยากจะนอนพักซักงีบแล้วค่อยลงมากินข้าวกับแม่ดีกว่า เมื่อถึงห้องนอน ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วหลับไป
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่หลับ ... แต่ฉันได้ยินเหมือนเสียงแม่เรียก
" นัทสึมิ ... แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ "
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า
" แม่... "
ฉันรีบวิ่งลงมาข้างล่าง ร้องเรียกหาแม่หลายครั้งแต่แม่ก็ไม่ตอบ จนมาถึงห้องครัว ภาพตรงหน้านั้นทำให้ฉันช๊อค น้ำตาไหลลงมาแบบไม่รู้ตัว ฉันพูดอะไรไม่ถูก และคิดอะไรไม่ออก หูตามันลายไปหมด
แม่ฉัน ... ผูกคอตายบนขื่อในห้องครัว
ฉันเข่าอ่อนและทรุดตัวลงร้องให้อยู่ตรงนั้น จากนั้นฉันก็คลานช้าๆเข้าไปหาแม่ กอดขาแม่เอาไว้ มีกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงมา และฉันก็ได้หยิบมันขึ้นมาอ่าน
" นัทสึมิลูกรัก ... แม่รู้ว่าหนูรักแม่มาก แม่เองก็รักหนูมากเช่นกัน แต่ตอนนี้ ... แม่ไม่สามารถทนอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว แม่เป็นโรคร้ายมานานแต่แม่ไม่กล้าบอกหนู โรคนี้มันรุมเร้าแม่จนเกินจะทนไหวแล้ว เราเคยมีกันสองคนแม่ลูก แต่ในวันนี้หนูต้องอยู่คนเดียวลำพัง แม่ขอโทษที่ทำให้หนูต้องเหงา แต่แม่อยากให้หนูสู้ต่อไป อย่าอ่อนแอเหมือนแม่ ... "
เมื่ออ่านจบ ... ฉันทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการร้องไห้ น้ำตามันไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
" แม่ ... แม่บอกให้หนูสู้แต่ทำไมแม่ไม่สู้ แม่อย่าทิ้งหนูนะ อย่าทิ้งหนู แม่คะ ... แม่ตื่นสิ ตื่น ... "
ฉันตะโกนเรียกแม่จนคอแห้งผาก แต่ร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แม่ใจร้ายที่สุด แม่กล้าทิ้งฉันให้เผชิญโลกใบนี้คนเดียวได้ยังไงกัน
ฉันเดินไปที่ห้องเก็บของช้าๆ ที่ที่แม่เก็บอุปกรณ์จิปาถะ ฉันหยิบขวานด้ามเขื่องจับถนัดมือมาได้ แล้วเดินกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง ฉันวางขวานไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วก็ปลดเชือกจากขื่อเพื่อพาร่างของแม่ลงมาข้างล่างแบบที่ค่อนข้างจะทุลักทุเลพอสมควร
อยากตายนักใช่มั๊ย อยากตายก็ตายให้สมใจอยากไปเลยนะคะแม่
ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!!
ฉันกระหน่ำด้ามขวานลงไปบนร่างของแม่ด้วยแรงทั้งหมดที่ฉันมีอยู่นับครั้งไม่ถ้วน เลือดสีแดงฉานกระฉูดไปทั่วบริเวณ รวมถึงตัวของฉันด้วย อวัยวะของแม่เละเทะแทบมองไม่เห็นเป็นชิ้นดี หัวของแม่กระเด็นแล้วกลิ้งไปอยู่ข้างตู้เย็น แขนขวาปลิวไปไม่ไกลจากตัวฉันมากนัก ลำตัวช่วงบนและขาสองข้างแทบขาดออกจากกัน ฉันทิ้งขวานด้วยมือที่อ่อนแรง ทรุดตัวลงไปกอดร่างแหลกเหลวของแม่อีกครั้ง
แม่คะ ... ฉันพูดได้เพียงแค่นั้นแล้วก็ร้องไห้อีกครั้ง
หลังจากที่ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ฉันก็เดินไปที่ห้องเก็บของอีกครั้ง มีเชือกหลายขดวางซ้อนกันตรงมุมห้องที่มืดและอับชื้น ฉันเลือกเอาเส้นที่ใหญ่และดูแข็งแรงที่สุด เมื่อได้ตามที่ต้องการ ฉันก็ลากเก้าอี้มายังขื่อที่แม่ใช้เป็นที่ปลิดวิญญาณของตัวเอง
ฉันค่อยๆผูกเชือกเป็นปมที่สามารถรองรับน้ำหนักตัวฉันได้ แล้วผูกไว้บนขื่อ สายตาฉันจับจ้องลงมาที่แม่ ฉันหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย
แม่คะ ... แม่รอหนูก่อนนะ รอหนูด้วย เราจะไปด้วยกันนะคะแม่
ฉันสอดคอเข้ากับห่วงเชือก ใช้ขาเตะเก้าอี้ที่ยืนอยู่ แล้วทุกอย่างก็ดับสนิท ...
นัทสึมิ ... มาหาแม่สิลูก
ฉันมองเห็นแม่ยิ้มให้ แม่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ฉันไม่รีรอที่จะวิ่งไปกอดแม่อีกครั้ง และฉันก็จะได้อยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น นานตราบชั่วนิรันดร์ ...