25 มีนาคม 2546 21:06 น.
~LiLiTh
หัวใจของฉันวนว่ายในถ้อยคำที่พัดมากับสายลม
เสียงของฉันกลายเป็นก้อนเมฆของวันพรุ่งนี้
หัวใจฉันสั่นไหวในกระจกเงาสะท้อนของดวงจันทร์
หยดน้ำตาอ่อนโยนไหลรินไปในสายธารแห่งดวงดาว
มันคงงดงามมากใช่ไหม
ถ้าเราสามารถเดินกุมมือกัน
อยากไปเมืองของคุณ,บ้านของคุณ
ในอ้อมแขนของคุณ
ฉันฝันว่าได้ซบอกคุณ ร่างกายของฉันในอ้อมกอดคุณ
เลือนไปกับรัตติกาลชั่วนิรัน
คำที่พัดผ่านไปกับสายลมเป็นภาพลวงตาที่อ่อนโยน
ใจที่พัดพาไปพร้อมกับก้อนเมฆเล่าเรื่องราวความรัก
หัวใจฉันที่เคยอยู่ในสายน้ำที่เหมือนกระจก
สะท้อนพระจันทร์ให้เห็นเป็นรอยหยักเลือนราง
ที่ไหลริน
ดวงดาวเหล่านั้นที่สั่นระริกและไหวตามสายธาร
ไม่สามารถซ่อนน้ำตาฉัน
ความฝันที่เห็นหน้าคุณเพียงแค่ฉันสัมผัสอย่างบางเบา
ก็เลือนหายไปพร้อมกับแสงตะวันของวันใหม่
ความรักที่เป็นเพียงความฝัน พัดพามากับสายน้ำ
พัดไปกับสายลม
อรุณรุ่งรางราตรีร่วงโรย หายไปจันทราและดวงดาว
หายไปความฝันของก้อนเมฆวันพรุ่งนี้..
ความรักของฉันเหมือนความฝัน เราฝันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน แต่ในที่สุดแล้วเขาก็จากไป เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพียงความฝัน แต่ก็สายไป เพราะหัวใจได้มอบให้เขาหมดแล้ว วันนี้ที่เราต้องร่ำลา ราตรีมิอาจยืดยาว ลั่นทมร่วงโรย สายน้ำพัดพาไป สั่นไหวด้วยเงาสะท้อนดวงดาว ล่องลอยเหมือนก้อนเมฆ ตามถ้อยคำของสายลม
19 มีนาคม 2546 10:59 น.
~LiLiTh
แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง
เป็นที่รำคาญใจของลูกชายเหลือเกิน
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา
จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน
จึงตัดสินใจแบกเอาไปปล่อยป่าตามยถากรรม
แม่ไม่วอนขอ ไม่ถามไม่ว่าอะไร
ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป
เข้าป่าลึก ไกลมากแล้ว
ลูกชายวางแม่ลงบน โขดหิน
แล้วหันหลัง เดินกลับทางเดิมไป
ตอนนี้เอง ที่แม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า
"ลูกเอ๋ย เดินตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะ จะได้ไม่หลงทาง..."
4 มีนาคม 2546 12:30 น.
~LiLiTh
แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย"หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน"ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จแม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวังส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉันเมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมากสุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่นแน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ ทุกคนจะมีความสุขเพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความคิดอ่าน และอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง!ทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ชัดเจนเพื่อลดความขัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้"ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะ" แม่ตอบง่ายๆหลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนาน สองนานใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงฉันจะอยู่จะกินยังไงต่อไป"แม่อย่างห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว" ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้างนับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตปกติ เพื่อรอวัน 'ย้ายบ้าน 'แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกันและแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยเป็นมาพวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน"แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปีอิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักไสแกไปอย่างนั้น" นี่พี่สาวคนโต"คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันนักหนาชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกันแถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า"ส่วนนี่ก็พี่เขยจอมตืด"แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ""แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งซี ลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้"เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนักแต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน นอกจากฉัน!ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ก็เพราะแม่นั่นแหละวัน ๆ เวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมดแล้วจะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแม่ให้พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละวันหยุดยาวทีไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง"โอ๊ย! ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้วแกไว้ไปคราวหน้าซี เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก"อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้นขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบและของบ้าๆ บอๆ อีกเป็นพะเรอแม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กิน เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหากทุเรศ! แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อนไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขาไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ ไม่มีงานวันเกิดเพื่อนหรืองานสนุกอะไรทั้งนั้นสรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟนล่ะเลยกลายเป็น 'ลูกเหลือขอ' อยู่คนเดียวในบ้านนี่แหละ
ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมา 'ขอ' ไปหมดยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน
ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น 'ลูกเหลือขอ' ได้ดีเท่าฉันใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊วและพี่อ๋อมและใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่น ๆเพียงแต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อนเลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้วฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบตกที่นั่ง ต้องมานั่งเลี้ยงแม่ทนฟังแม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละวันและวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่าง ๆก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้งแม่จำเพราะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้าเอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้งหรือมีนัด กับใครต่อใครซะทุกทีซีน่า"แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน"
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย"วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้"หรือไม่ก็ "วันนี้วันพระใหญ่ ปีนึงมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ไง"โอ๊ย! จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนักไอ้เรื่องไหว้พระไหว้เจ้าของแม่นี่ยังถือเป็นวาระจรนะนอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยา
ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกันไปคือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย วันดีคืนดีก็หกล้มหกลุกให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์เสียได้ไงฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน
หรือมีอันต้องมีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุดจนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูดนายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่ได้นายดีและเข้าใจ)ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าคงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆหรอกจนกว่าแม่จะตาย!แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ใคร
จะรู้!!
แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่องของแม่วางบนตักโดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบา ะหลังพอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติดเป็นแพเต็มถนนฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันทีกลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบทมันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด"แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์" แต่แเม่สั่นหน้าตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"แม่เอาของมาน้อยจัง" ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูดไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้ากับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้"ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไมมันไม่จำเป็น เสื้อสองชุดรองเท้าแตะคู่ก็พอเอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี"ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็ยังงี้แหละ กลัวของหายกลัวคนมาขโมยของของตัวบางทีโวยวายแทบตาย ปรากฎว่าของที่ว่าหายนั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ
รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆฝนบนฟ้าก็เทลงมายังกะเทวดากำสรวลฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยกาลเวลากล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้วและผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้ว
ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่องยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียวลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดีเพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง
รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่นที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรงไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ทั้งที่เราก็มีกล่อง แบบนี้หลายใบอยู่วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือมันดูน่าขัน ยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้านวันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา"ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมดเอาไว้ในกล่องน่ะดีแล้ว"ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆอยู่หลายหนแต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไรในนั้นพวกเรามักเรียกว่า 'กล่องของแม่' ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้ายห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาด
ไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้วฉันเลยถามขึ้นว่า"มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ"แม่มีอาการกระตือ รือร้นเชียว เวลาพูดถึงกล่องของแม่รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบน กล่องออกมาอย่างเบามือแล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู"มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละบน ๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก"แม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกันยิ้มกว้าง
"นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียวหน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะพอโตแล้วซนเป็นบ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน"นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้ และครอบครัวแม่ยังหยิบโน่นหยิงนี่ออกมาอย่างช้า ๆพวกรูปทั้งนั้นแหละมีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่ารูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่รูปที่พวกลูก ๆหลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแม่เก็บไว้ยังกะของมีค่า
แล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่งกระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจาย
เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ"อุ๊ย! อะไรน่ะ"ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรงลม"วันเกิดพวกแกกับพวกหลาน ๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมดนี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน)ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมดทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดีแต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า!
วันเกิดลูกเก็บไว้ซะตั้งกะนั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกทีฉันมันคนไม่รู้หนังสือไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกันแต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคนวันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี"น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจอาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้
ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบาง ๆใบใหญ่บ้างเล็กบ้าง ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตปฏิทินออกมาขนาดไหนตอนเด็ก ๆ อาเจ๊ร้านขายของชำแถวบ้านจะเอามาแจกให้ทุกปีพอเขาเลิกแจก แม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่า เยาวราชนู่นแหละ
ตอนหลัง พี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปีเพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย
มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่นตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็นสีแดงแทน
พวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดีเพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่าน หนึ่ง สอง สามจากปฏิทินพวกนี้แหละพี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุด เพราะอ่านไปฉีกเล่นไป"อย่าฉีก เดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูก"แม่จะหวงปฏิทินมากเพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้นนอกจากวันที่ตัวมหิมาเห็นเด่นชัด โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้วยังมีคำทำนายสั้นๆ อยู่ด้วย สำหรับคนเกิดในวันนั้น
และมีฤกษ์ผานาทีกำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคลหรือไม่ควรทำอะไรและที่สำคัญใบ้หวย...แม่น!
"ลูกแปดคนก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน""อ้าว! ทำไมล่ะ" เออนี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน"ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยากไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวรพ่อแกเค้าหาว่าบ้า เฮ้อ!จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนน่ะแหละของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้วผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่"พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า"พอออกจากโรพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลยย่าแกด่าซะไม่มีดีเค้าห่วงกลัวเราไม่สบายได้ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เลยเสียอกเสียใจยอกใหญ่พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกัน เค้าว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต
เฮ้อ!
ไอ้ฉันน่ะเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยกลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหักไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด เวลาไปไหนๆก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ!แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่
นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว
มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลกที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้"แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแกฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอห่วงก็แต่แกน่ะแหละ อีกไม่กี่ปีจะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ดี อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะจะได้อายุมั่นขวัญยืน
ถ้าฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้วค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย"แม่พูดพร้อมกับที่ค่อย ๆเรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม"ไอ้กล่องนี่ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ หลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่าพวกแกซะอีกหลง ๆ ลืม ๆ"
ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อจนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า "สมองคอมพิวเตอร์"ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เองเห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที
ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า"แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยฉันรู้ว่าพวกพี่ ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉันแต่คนเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียนไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีกแม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้าอะไรๆ ฉันก็รู้ แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันยังไม่ถึงคราวตายมันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละ ใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหนแก่แล้วลำบาก ไปไหนต้องอาศัยคนอื่นทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคนนี้มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้าไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกันบางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่ แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที"
เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตาแสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง"แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่าไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดี เพราะราคามันแพง
จะมีคนแก่ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพง ๆ อย่างนั้นห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมายรีบแต่งงาน รีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบากดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีมาดูแลเวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้"ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่งฉันบอกแม่ว่า "อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ""อย่าพูดยังงั้นเลยเดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมีเรื่องต้องทำก็มีแยะไปหมดเอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกันแต่ถึงพวกแกไม่มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอกชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้วอยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้ อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มาก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที"
แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้นรถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกันฝนที่ขาดเม็ดอีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้วและมีป้ายให้กลับรถได้
ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถแม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบคงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง "กล่องของแม่"