18 กุมภาพันธ์ 2548 17:15 น.
ketana
กลางขุนเขา คีรี ผีปันน้ำ
หน้าที่ทำ คุ้มภัย ไทยทั้งผอง
อาณาเขต ประเทศแคว้น แดนขวานทอง
คอยปกป้อง เชื้อชาติ อธิปไตย
ทนยืมยาม กอดปืน ในคืนหนาว
มีเพียงดาว ที่วับวับ ระยับไหว
สติมั่น พร้อมรับ กับผองภัย
ดำรงค์ไว้ คือหน้าที่ พร้อมพลีกาย
เจ็ดวันครั้ง ทางการ ท่านส่งของ
เพียรเฝ้ามอง ถามไถ่ ถึงจดหมาย
ที่ตัวฉัน เพ้อพร่ำ คำบรรยาย
ว่ามากมาย ความรู้สึก นึกถึงเธอ
แค่ข้าหลวง จนจน คนต่ำต้อย
ได้เพียงร้อย อักขะรา มาเสนอ
เพียงสื่อสาร ข้อความ อันเลิศเลอ
แค่ละเมอ ในจดหมาย ด้วยลายมือ
ส่งถึงเจ้า ขวัญใจ ใยทำเฉย
ไฉนเลย ลืมกัน อย่างนั้นหรือ
ฤเป็นกัน อย่างนั้น ชาวบ้านลือ
คุยมือถือ ทิ้งจดหมาย มิใส่ใจ
ฉันเป็นเพียง นักสู้ อยู่ภูธร
ยังอาวรณ์ ข่าวคราว เจ้าไปไหน
หากมีสุข เริงระรื่น ชื่นกับใคร
แค่บอกให้ รู้บ้าง อย่างหมางเมิน
ทนกอดปืน ยืนยาม ทุกค่ำเช้า
ข้อความเรา จืดจาง จึงห่างเหิน
อยู่เดียวดาย แม้เศร้า เหงาเหลือเกิน
ถึงนานเกิน แค่ไหน ได้แต่รอ
จดหมายจาก แนวหน้า ถึงแนวหลัง
เพียงความหวัง มีบ้าง อย่างใจขอ
จากแนวหลัง ตอบรับ กลับก็พอ
หน้าที่ทำ มิท้อ สู้ต่อไป
15 กุมภาพันธ์ 2548 21:33 น.
ketana
คงเป็นเรา โง่งม จึงขมขื่น
เห็นเขายื่น ไมตรี มีมาให้
นึกว่าคือ ความรัก จากหัวใจ
หลงฝันใฝ่ คิดไป ไกลเกินจริง
ยิ้มกรุ้มกริ่ม รู้สึก นึกผยอง
คึกคะนอง ชีวี ดังผีสิง
เลิกเหน็บหนาว มีเขา เฝ้าแอบอิง
คือทุกสิ่ง เปรียบสรรค์ ท่านประทาน
มองไปถึง หนทาง ที่ข้างหน้า
ลืมเวลา ลืมทุกข์ สนุกสนาน
นึกว่าสุข อยู่กับฉัน นิรันดร์กาล
จึงซาบซ่าน คิดฝัน มั่นอัตตา
มารู้ตัว ที่แท้ แค่สงสาร
ทรมาน กายทรุด สุดเหว่ว้า
หรืออาภัพ จึงเป็นเหตุ เวทนา
ใช่สัญญา ที่ฉันเขลา เฝ้าตามทวง
ช่างไม่เจียม กะลาหัว ตัวเองบ้าง
คิดเข้าข้าง คิดไป จนใหญ่หลวง
เขามิได้ ทำผิด คิดหลอกลวง
จึงหลงห้วง เพ้อรำพัน มันคนเดียว
ตักน้ำใส่ กระโหลก ชะโงกดู
น่าอดสู ดวงแด ใครแลเหลียว
ไหนจะมี สัมพันธ์ มั่นกลมเกลียว
มาข้องเกี่ยว เหนี่ยวรั้ง ทั้งหัวใจ
อยู่กับดิน เกลือกทราย อย่าหมายฝัน
อยู่อย่างนั้น อยู่มัน อย่าหวั่นไหว
อยู่กับฝัน เดียวดาย ไม่อายใคร
อยู่มันไป อย่างรันทด จนหมดลม
10 กุมภาพันธ์ 2548 18:19 น.
ketana
มองผู้คน มากมาย เดินขวักไขว่
บ้างก็ใส่ อาภาณ์ ของสูงค่า
เครื่องประดับ แวววับ งามจับตา
หาซื้อมา ด้วยค่า ราคาแพง
บุคคลิก มาดมั่น ท่านผู้นำ
เฝ้าครวญคร่ำ จดจำ ทำกำแหง
เลียนแบบเขา เอาบ้าง อยากแสดง
มิระแวง ว่าดีร้าย อย่างไหนจริง
ชายอีกหนึ่ง ขมุกขมัว ตัวมอมแมม
เดินรอนแรม เก็บของเก่า ที่เขาทิ้ง
บ่าแบกถุง รุงรัง ยังประวิง
เก็บบางสิ่ง ซุกแอบ แนบข้างกาย
มองดูผิด สังเกตุ หาเหตุผล
ใยลุกลน รีบร้อน ซ่อนกลัวหาย
ตามไปดู สงสัย จะได้คลาย
มีเรื่องร้าย หรือไร อย่างใจเชื่อ
สิ่งที่เห็น ผิดคาด อนาถแท้
เป็นเพียงแค่ เศษอาหาร คนกินเหลือ
ให้ลูกน้อย ต่อหายใจ ได้จุนเจือ
พอจะเอื้อ ชีวิตไป ได้อีกวัน
เป็นอะไร ไปเล่า เจ้าสมอง
จึงได้มอง มิคิด จิตหุนหัน
ตัดสินคน จากรูปกาย อย่างไรกัน
สายตานั้น ลวงหลอก บอกสิ่งใด
เห็นเพียงเปลือก เสือกคิด พิพากษา
ตีคุณค่า แค่ที่เห็น เป็นไฉน
เปลือกสวยงาม ไม่รู้ซึ้ง ถึงข้างใน
อาจจะใช่ ถูกหรือผิด คิดเอาเอง
จงอย่าเชื่อสายตา
สิ่งที่เห็นอาจคิดว่าใช่ สิ่งที่เป็น
แล้วสิ่งที่คิดว่าเป็น แน่ใจหรือว่าใช่
9 กุมภาพันธ์ 2548 21:26 น.
ketana
สิ่งที่หวังตั้งใจ ไม่แน่นอน
บทเรียนสอนฝังจำ ความขื่นขม
ยังติดตรึงรักร้าว คราวระทม
เพียงแค่ข่มเอาไว้ ในอุรา
อยากจะเปิดหัวใจ ใหม่อีกหน
ยังเวียนวนกับพลั้งพลาด หวาดผวา
เคยร่ำไห้ทั้งคืน กลืนน้ำตา
จนทิวารุ่งราง สว่างเยือน
อยู่อย่างนี้อยู่ไป อย่างใจเหงา
พอบรรเทาคลายทุกข์ สุขกับเพื่อน
แค่คิดถึงวันเก่า คอยเฝ้าเตือน
มิลืมเลือนแม้ผ่าน นานเป็นปี
เก็บหัวใจกับตัวไม่มัวหมอง
มิหมายปองให้ใคร หทัยนี้
ถึงจะต้องระกำ ช้ำชีวี
ดวงฤดียับเยิน เกินรักใคร
30 มกราคม 2548 00:07 น.
ketana
เก็บเอามา ความเศร้า เหมามาหมด
สิ่งรันทด หดหู่ ดูสิ้นหวัง
เก็บให้มัน บั่นทอน อ่อนกำลัง
จำความพลั้ง พลาดผิด ให้ติดตัว
มีประโยชน์ โปรดเอ่ย เฉลยบอก
เหมือนหนามยอก ตอกปัก เหมือนหักขั้ว
จนฝังแน่น แกะยาก หากยังกลัว
ให้ฝังตัว จนกลัดหนอง ร้องครวญคราง
จงทนเจ็บ เข็มสะกิด สักนิดหนึ่ง
เสี้ยนหนามจึง หลุดไป ให้ไกลห่าง
ค่อยรักษา แผลนี้ คงมีทาง
มิวายวาง หรอกเจ้า จะเข้าใจ
สุดสายป่าน สัมพันธ์ สะบั้นขาด
พิศวาส แสร้งเส เล่ห์สงสัย
ขอความหลัง ล่วงกาล จงผ่านไป
จงจุดไฟ ความหวัง สักครั้งมี
ฟ้าหม่นดำ ชั่วครู่ จงดูเถิด
ไม่นานเปิด แสงทอง ส่องวิถี
คงเห็นทาง ลืมทุกข์ เฝ้าคลุกคลี
เวลาที่ ลืมโลก อันโศกตรม
ก่อกำลัง สร้างแรง ให้แข็งขืน
ลุกขึ้นยืน อย่างเกรงขาม ความขื่นขม
อีกไม่นาน ผ่านเลย เคยระทม
มีสุขสม ได้สนิท ไม่ติดใจ