17 พฤษภาคม 2548 15:23 น.
ketana
สองมือข้าประนมก้มวันทา
ตั้งสัจจะวาจาอธิฐาน
องค์พระปฏิมาข้ากราบกราน
ให้พ้นผ่านผองภัยจากใจตน
เพราะพบพานพลัดพรากมามากแล้ว
ความเพริศแพร้วจางหายตั้งหลายหน
ทั้งใจกายยับเยินเกินจะทน
จุดเริ่มต้นมองไปยังไม่มี
อยู่ในกฏแห่งกรรมจำเวียนว่าย
จนกว่าตายจำจากเป็นซากผี
คิดทำชั่วกลัวนรกอเวจี
ยากแท้หนีบาปกรรมที่ทำมา
อยากให้จิตผ่องแผ้วดังแก้วใส
คงน้อมในคำพระศาสนา
สมาธิกำเนิดเกิดปัญญา
ได้มองหาประตูสู่นิพพาน
แต่วันนี้ฤดีเป็นสีหม่น
ยากหลุดพ้นเรื่องราวอันร้าวฉาน
ยากจะข้ามทุกข์ท้อทรมาน
หรือจะผ่านความรันทดเมื่อหมดลม
9 พฤษภาคม 2548 14:55 น.
ketana
ยามอรุณรุ่งสางสว่างไสว
ดวงฤทัยคล้ายลงแดงดูแห้งเหี่ยว
ตะวันรอนร้อนรุ่มกลุ้มคนเดียว
หาพุ่มเขียวต้นไม้อาศัยบัง
ค่ำคืนเหงาเดียวดายใจท้อแท้
เหมือนอ่อนแอร้าวรันทดดูหมดหวัง
ความระทมถมเทประเดประดัง
ธาราหลั่งนองเนตรเพราะเหตุใด
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงกล่อมขวัญ
ทำนองนั้นแว่วหวานกังวาลไหว
ฟังเสนาะพลิ้วทำนองถึงห้องใจ
แล้วไฉนเหม่อลอยมิคล้อยตาม
ความรู้สึกเงียบเหงาคาดเดายาก
อาจเกิดจากจิตเคลือบแคลงจึงแสร้งถาม
ว่าหดหู่อยู่กับตัวกี่ชั่วยาม
คงลุกลามร้าวลึกจึงนึกตรอง
เพราะน้ำคำประณามว่าหยามเหยีด
น่ารักเกียจอยู่กับฉันมันมัวหมอง
สรรพ์สิ่งทั้งหลายที่ใฝ่ปอง
มีอันต้องสูญสลายมลายพลัน
เก็บความฝันมากมีแล้วหนีห่าง
ไปตามทางหวังบรรจบพบสุขสันต์
จึงจากจรจากชีวีไม่มีกัน
ทิ้งผูกพันธ์หายวับไปกับตา
ขอไปดีมีสุขลืมทุกข์สิ้น
อย่าได้ผินพักตรากลับมาหา
เดินให้สุดขอบแคว้นแดนนภา
ปรารถนาฉันช่วยอำนวยพร
คงเป็นเหตุทุกข์ทนจนถึงวัน
ความโศกสันต์คือบทเรียนวนเวียนสอน
เมื่อรู้รสผิดหวังจงสังวรณ์
ได้ไม่นอนเงียบเหงาเศร้าวิญญาณ์
21 เมษายน 2548 20:38 น.
ketana
หาสิ่งใดยึดเกี่ยวเหนี่ยวคงมั่น
ความสัมพันธ์เราไว้ไม่ห่างหาย
ยืนยันว่ารักนี้มิเสื่อมคลาย
มิละลายลางลาลับดับชั่วกาล
ไร้ธำมรงค์วงน้อยคอยสวมน้อง
จนเงินทองสมบัติพัดสถาน
เจ้าเคยบอกแม้ยากจนคนจัณฑาล
คอยสมานชนชั้นที่กั้นเรา
มีสายใยเส้นบางระหว่างฉัน
คอยเกี่ยวพันสองอุราคราหงอยเหงา
แม้เธอนั้นห่างไปไม่เห็นเงา
คลายความเศร้ายามคนึงคิดถึงกัน
โชคชะตากำหนดบทชีวิต
ขีดลิขิตปราโมทย์มาโปรดฉัน
เคยเหว่ว้าเดียวดายอยู่หลายวัน
มาพบกันไร้ใครขวางทางหัวใจ
ฉันมีเพียงเศษมณีหินสีม่วง
มอบแทนความห่วงกันอย่าหวั่นไหว
กันรักนี้เคลื่อนคล้อยลอยเคว้งไป
ทับหทัยสองเรานั้นนิรันดร
15 เมษายน 2548 08:48 น.
ketana
แม้นอนงค์นางไหนข้างกายข้า
เคียงนิททราเปรียบเจ้านี้มิมีเหมือน
หมื่นทิวาพันราตรีมิลืมเลือน
ดุจดวงเดือนสุกสกาวกว่าดาวใด
ตราบสิ้นกาลนานนมสุดขมขื่น
มิหวนคืนเคหาเคยอาศัย
รักโรยลาเริ่มลดเพราะหมดใจ
จึงหนีไกลกันแล้วไม่แคล้วตรม
ซากหทัยเหลือเดนลำเค็ญนัก
ด้วยความรักสิ้นสุดหยุดสุขสม
สิ่งสวยงามเคยสดชื่นรื่นอารมณ์
ไม่ชวนชมเสียแล้วเพราะแก้วตา
หมื่นล้านความรู้สึกลึกถลำ
ไม่อยากจำตราตรึงติดคิดโหยหา
ฟ้าถล่มโลกทลายวายชีวา
ปรารถนารอเจ้ามาเคล้าคลอ
ตั้งสัจจะวาจาอธิฐาน
โปรดประทานเจ้ามาข้าร้องขอ
อีกกี่ภพกี่ชาติวาดหวังรอ
ช่วยมาต่อลมหายใจให้กันที
เจ้ามิใช่ดวงใจในกายข้า
เป็นมากกว่าลมหายใจทุกวันนี้
ทุกอณูในร่างที่ข้ามี
พร้อมยอมพลีแลกรักมาพักพิง
8 เมษายน 2548 13:36 น.
ketana
ดั่งมีแอก แบกใส่ ไว้บนบ่า
จนกายล้า ต้องรับ ทุกข์ทับถม
บางเวลา เจ็บแสบ แทบสิ้นลม
เกินขื่นขม ลำบาก ยากจะปลง
เหมือนสำเภา กางใบ ไว้โต้คลื่น
เสียงครืนครืน โถมซัด จนพลัดหลง
ถ่วงอับเฉา สมดุลไว้ ให้ยืนยง
มิจมลง อับปาง กลางสาคร
คล้ายภาระ หนักอึ้ง ขึงเอาไว้
ต้องลากไป แม้จนตรอก คอยหลอกหลอน
จะปลดเปลื้อง ลงบ้าง อ้างนิวรณ์
แต่ก็ย้อน กลับย้ำ ซ้ำทุกที
ความทุกข์ท้อ ทรมาน มันแสนหนัก
มิอาจพัก หัวใจ ให้สุขี
ทางยิ่งไกล เศร้ายิ่งโหม โถมทวี
สุขเกษม เปรมปรีดิ์ ไม่มีมา
คนอื่นมี ชีวา แสนปราโมทย์
ความสันโดษ ที่ฉัน ใฝ่ฝันหา
อยากหลุดพ้น อย่างองค์พระ ศาสดา
หวังจะคว้า เอื้อมหยิบ พระนิพพาน