10 สิงหาคม 2549 22:30 น.
ketana
คนเราต่างหาสิ่งดีให้ชีวิต
วาดลิขิตงดงามดั่งความฝัน
เสาะแสวงไขว่คว้าสารพัน
ต่างแข่งขันจับจองเป็นของตัว
อยากมั่งมีคณานับด้วยทรัพย์สิน
อยากมีกินให้เขาเรียกเจ้าสัว
หลากวิธีข่มเหงไม่เกรงกลัว
หลงเมามัวเฝ้าปองของนอกกาย
ถ้าหากแม้นได้ชมสมประสงค์
จิตทะนงผ่องพิสุทธิ์พบจุดหมาย
คงลืมหมดความทุกข์ได้สุขสบาย
รีบขวนขวายจับจองเป็นของตน
ถ้าหากนั่นคือนิยามแห่งความสุข
คือสิ่งปลุกปลอบวันอันสับสน
อีกกี่ไขว่กี่คว้าหามาปรน
หรือท่วมท้นกองพะเนินเกินพอดี
ต้องดิ้นรนทำไมให้เหนื่อยยาก
ต้องลำบากเกินใยปัจจัยสี่
อยู่อย่างเราพอใจในสิ่งมี
หาสุขที่เป็นเราเท่านั้นพอ
27 กรกฎาคม 2549 22:56 น.
ketana
พอปี่พาทย์ฉิ่งฉับขยับเร่ง
ก่อนเสียงเพลงเศร้าสลดบทสุดท้าย
ส่งวิญญาณถูกกระชากจากร่างกาย
สิ้นสลายจากโลกที่โศกตรม
เสียงพระสวดอภิธรรมชี้นำจิต
ไปสู่ทิศสู่วิถีที่เหมาะสม
อย่ายึดมั่นอัตตาตามอารมณ์
ขอจงข่มนิวรณ์อย่าร้อนรน
อรุณรุ่งพรุ่งนี้ไม่มีเหลือ
ทั้งเลือดเนื้อร่างกายได้หลุดพ้น
คงสูญสิ้นแล้วสุขหรือทุกข์ทน
ทอดร่างบนเปลวเพลิงที่เชิงตะกอน
ยืนมองร่างมอดไหม้ถูกไฟเผา
สะท้อนเงาภาพพร่าอุทาหรณ์
ให้ตายไปดีกว่าเลิกอาวรณ์
ไม่รุ่มร้อนใจสลายตายทั้งเป็น
26 มิถุนายน 2549 16:46 น.
ketana
ชีวิตหนอเหนื่อยล้า...........บ้างไหม
เจ็บปวดเป็นอย่างไร.........รับรู้
ทุกข์ทนสักเท่าใด..............สิ้นสุด
อยากจะเป็นดั่งผู้...............หลุดพ้นบ่วงกรรม
สัจจะธรรมกล่าวไว้...........ให้ปลง
เพราะไม่มีสิ่งยืนยง...........เที่ยงแท้
แบกไว้ไม่อาจปลง.............ยากอยู่
หดหู่ไร้ทางแก้...................ทุกข์ท้อทรมาน
แต่บางสิ่งยากแท้...............ปล่อยวาง
แม้มืดมนหนทาง................แบกไว้
ค่ำครวญ ฤ ครวญคราง.......เพียงแค่
ต้องพ่ายแพ้สิ้นไร้...............ลบล้างเกียรติยศ
อดทนเพียงต่อสู้..................โชคชะตา
เพียงเพราะเราเกิดมา.........แค่นั้น
ทางเดินที่เสาะหา.................แตกต่าง
อุปสรรคใดขวางกั้น..............อย่าท้อฝ่าไป
8 มิถุนายน 2549 21:32 น.
ketana
หากเธอคือดวงเพ็ญเด่นอร่าม
ดูงดงามประดับฟ้าเวหาหาว
ส่องประกายเจิดจ้ากว่าหมู่ดาว
สุกสกาวแสงนวลเย้ายวนตา
ทั่วทุกถิ่นแซ่ซ้องสรรเสริญ
งามเหลือเกินใครใครต่างใฝ่หา
สักการะนอบน้อมพร้อมบูชา
ปรารถนาเป็นจันทร์คืนวันเพ็ญ
ฉันหลีกลี้ซุกซบหลบหลังฉาก
ไร้แสงฝากยวนใจให้ใครเห็น
ดูมืดมัวสลัวลางอย่างที่เป็น
ยะเยือกเย็นสงบเสงี่ยมอย่างเจียมตน
เธอสุกสว่างฉันหดหู่อยู่มืดมิด
เป็นลิขิตขีดไว้ไร้เหตุผล
เธอสดใสแสงนวลชวนให้ยล
ฉันอ้างว้างหมองหม่นคนข้างแรม
30 พฤษภาคม 2549 00:09 น.
ketana
เจ้าหัวใจหวาดวิตกโอ้อกเอ๋ย
คนคู่เคยเคียงข้างมาห่างหาย
ความอบอุ่นเคยกอดกลับวอดวาย
วันสุดท้ายโศกสะอื้นคืนฝนพรำ
รักเคยหวานซาบซ่านผ่านไปแล้ว
ไม่เหลือแววเริงรื่นเคยชื่นฉ่ำ
รักเคยปลื้มลืมมิได้ใจเจ้ากรรม
เก็บชอกช้ำกล้ำกลืนสุดฝืนทน
ถึงหน้าหนาวใจหวั่นสั่นสะท้าน
ทรมานดวงฤดีอีกกี่หน
ถึงหน้าแล้งคลุ้มคลั่งดั่งร้อนรน
กลัวลมฝนพร่ำเพรียกเรียกน้ำตา
ลมสะบัดพัดพลิ้วทิวไม้ไหว
เหมือนมีใครพร่ำเพ้อละเมอหา
เมื่อวสันต์ฤดูกาลผ่านเข้ามา
ทวงสัญญาหมองหม่นคืนฝนพรำ