9 พฤศจิกายน 2546 16:22 น.

Love phone

kesie about u

เรื่องมันเริ่มขึ้นตอนที่ฉันไปฝึกงานตอน summer ตอนอยู่ปี 2 ฉันเลือกที่จะไปฝึกงานที่บ้านเพื่อน ฉันและเพื่อนๆ อีก 3คน ได้ไปพักที่บ้านของญาติเพื่อนคนหนึ่ง  ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ค่อยได้อยู่บ้านสักเท่าไหร่นัก ซึ่งทุกๆคนน่าจะรู้ว่าการพักอยู่บ้านคนอื่นมันน่าอึดอัดเพียงใด ห้องที่พวกเราพักกันไม่มี  furniture สักชิ้น ไม่มีโทรทัศน์ วิทยุ ไว้ดูไว้ฟังยามเหงา ไม่ใช่ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีหรอกนะ มันมีแต่ว่ามีอยู่ในห้องเจ้าของบ้าน ซึ่งไม่ใช่วิสัยของเราที่จะไปละลาบละล้วงอยู่แล้ว พวกเรามีแค่หนังสือเพลงเก่าๆ ที่ไปรื้อหามาได้จากห้องเก็บของเท่านั้น เราร้องกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเบื่อ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำหลังจากที่พวกเราเลิกฝึกงานในตอนเย็น  เวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างช้าๆ ก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน เราอยู่กัน 4คน แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหงา แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เฮ้ยโทรศัพท์แกเล่น 5วิได้ไม่ใช่เหรอ เอามาเล่นแกล้งคนหน่อยสิ(ใครที่เคยใช้ วัน ทู คอล จะรู้ว่าถ้าโทรไม่เกิน 5วินาที ไม่ต้องเสียเงิน) เออ ตามสบาย  ฉันตอบรับเพื่อนไปอย่างเซ็งๆ 
1 วันต่อมา
ตื๊ด ตื๊ด อ้าววางไปซะละด้วยความสงสัยฉันจึงยิงเบอร์กลับ วันนั้นเราเล่น 5วิกันหลายรอบด้วยความสงสัยของทั้ง 2ฝ่าย ตกเย็นฉันถามเพื่อนว่ารู้จักเจ้าของเบอร์นี้ไหมซึ่งก็ได้รัยคำตอบว่า อ๋อไอ้โต้เด็กวิศวะปี1  น้องชมรมเขาเอง เมื่อคืนเขาแกล้งมัน ดีๆ อย่างนี้ต้องแกล้งซะให้เข็ด  คืนนั้นฉันและเขาต่างเล่น 5วิหากัน ไม่มีใครยอมเสียเงินโทรหากันก่อน ฉันคิดว่าถ้าใครยอมเสียเงินโทรคุยก่อย ก็ย่อมป็นฝ่ายแพ้ แล้วในที่สุดฉันก็เป็นฝ่ายชนะ เขายอมเป็นฝ่ายเสียเงินโทรมาหาฉันก่อน เขาถามว่าฉันเป็นใคร เอาเบอร์เขามาได้อย่างไร ฉันไม่บอกเขาสักอย่าง ฉันโกหกเขาไปเรื่อยหวังแกล้งเล่นสนุกๆ ทีแรกเขาคิดว่าฉันแอบชอบเขาเลยโทรมา แต่เขาก็คิดไปไกลถึงขั้นที่ว่าฉันเป็นหญิงรักสนุก เขายังเสนอเพื่อนเขาให้ฉันว่าเพื่อนเขาหล่อกว่าเขาก็มี ทีแรกฉันรู้สึกโกรธเขาเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงเขาก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นใครอยู่แล้วนี่  วันนั้นเขาโทรหาฉัน 14 นาที ในคืนนั้นฉันนอนหลับไปอย่างมีความสุข  โดยคิดว่าคืนนี้ฉันเป็นฝ่ายชนะ แต่ฉันไม่คิดเลยว่านั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ของฉัน  หลังจากนั้นฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายโทรหาเขา  ฉันก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันอยากโทรไปหาเขาทุกวัน วันละหลายๆหน ทั้งๆที่บางครั้งเขาก็พูดไม่ดีกับฉัน อาจจะเป็นคำว่าครับๆที่ลงท้ายทุกประโยคที่ทำให้ฉันหลงไหลเขาก็ได้   ฉันนั่งพร่ำเพ้อถึงเขาทั้งวัน  มันเป็นครั้งแรกที่ฉันหลงรักใครตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า (ปกติฉันมักชอบคนที่หน้าตา) ฉันไม่รู้หรอกว่าหน้ตาเขาเป็นอย่างไรเท่าที่ฉันรู้ก็คือ เขาชื่อโต้ เป็นรุ่นน้องฉัน 1ปี ผิวขาว หน้าตี๋ ผมหยิก (ขาวตี๋นี่ก็โอเค แต่ว่าฉันไม่ชอบคนผมหยิก) เพื่อนทั้ง 3คนของฉันรู้จักเขาดี  ต่างคนต่างมีความเห็นที่แตกต่างกัน คนนึงบอกว่าดูดี อีก 2 คนบอกธรรมดา แต่ฉันไม่สนหน้าตาเขาหรอก ฉันรู้แต่ว่าฉันมีความสุขที่ได้คุยกับเขา เพื่อนคนนึงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฉันเลย  พยายามเปลี่ยนความคิดของฉัน แต่ว่าฉันก็บอกว่าไม่หรอก แค่เล่นๆ แต่จริงๆแล้วฉันก็พยายามคิดให้เป็นเล่นๆ แต่มันก็จริงจังขึ้นทุกวัน  
1 เดือนต่อมา
เปิดเทอมแล้ว ฉันกลับมาเรียนที่มหาลัย ฉันยังโทรไปหาเขาเกือบทุกวัน เราใช้โทรศัพท์สายในคุนกันโดยไม่ต้องเสียเงิน  ทุกวันในห้องเรียนฉันจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาให้เพื่อนสนิทฟังเสมอ  มีอยู่วันหนึ่งฉันโทรไปหาเขาด้วยโทรศัพท์มือถือ และบอกกับเขาว่าฉันจะโทรสายในหาเขา หลังจากวางโทรศัพท์ ฉันอ่านการ์ตูนต่อ และให้เพื่อนยืมโทรศัพท์ไปใช้พอเพื่อนฉันวางโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นทันที พอฉันรับโทรศัพท์ปรากฏว่าเป็นเขา เขาบอกว่าไหนว่าจะโทรทำไมไม่โทร  ฉันรีบไปโทรหาเขาทันที ฉันโทรไปนานพอสมควร สักพักก็มีคนรับสายฉันขอสายเขา แต่ว่าคนที่รับสายบอกว่าเขาไม่อยู่ ไปเข้าห้องน้ำ แต่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงเขาฉันจึงคุยต่อและง้อเขา  มีบางทีที่ฉันโทรไปหาเขาบางทีเขาก็ไม่ยอมรับสายเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน  ฉันไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไรกับฉันกันแน่รำคาญหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะถ้ารำคาญเขาคงไม่โกรธฉันที่ฉันไม่ยอมโทรหาเขาฉันเริ่มเกิดความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายในใจฉันควรโทรหาเขาดีหรือไม่  แล้วฉันก็คิดว่าควรจะไม่  ฉันจึงพยายามที่จะโทรหาเขาน้อยลง  ฉันรู้สึกอยากเห็นหน้าเขาเพื่อที่จะตัดใจ  ฉันเข้าไปในชมรมเพื่อไปดูรูปของเขา ในขณะที่เพื่อนฉันกำลังหารูปเขาให้ฉันดู  เขาก็โผล่เข้ามาในชมรมพอดีเพื่อนฉันก็บอกว่าคนนี้แหละเขา ฉันใจเต้นตูมตามทำอะไรไม่ถูกแต่ฉันก็เริ่มออกอาการจนเขาสงสัยและชี้มาที่ฉันว่าพี่คนนี้หรือเปล่าที่โทรหาผม  ฉันอึ้งเลย เพื่อนต้องรีบแก้ตัวแทน ฉันอยู่ไม่ได้แล้วรีบออกมาจากชมรม  ฉันได้แต่กลุ้มตลอดเลยว่าน้องเขาจะรู้ไหม    ถึงแม้ฉันจะเห็นหน้าเขาแล้วถึงแม่เขาจะดูดี แต่ก็ไม่ได้อยู่ในเป้กฉันเลย  แต่ทำไมถึงยังไม่เลิกชอบเขา  ฉันยังโทรไปหาเขาอยู่ด้วยความรู้สึกขัดแย้งในใจว่าไม่ควรโทร  ฉันรู้สึกวาควรจะบอกเขาดีไหมว่าฉันเป็นใครแต่ฉันก็ยังไม่ได้บอก  น้องเขารู้ชื่อฉันแล้ว เขายืมโทรศัพท์เพื่อนฉันและกดโทรออกเบอร์ฉัน ซึ่งมันจะขึ้นชื่อฉัน  ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะเปิดตัวเสียที  ว่าฉันคือใคร  วันนั้นฉันไปกินหมูกระทะกับเพื่อน  ฉันขอร้องให้เพื่อนชวนเขามา  ซึ่งเขาก็ยอมมา พวกเราจัดฉากให้เขากับฉันได้นั่งใกล้กันทีแรกฉันตั้งใจจะเปิดตัว  แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่กล้า  มันเป็นเพราะฉันขาดความมั่นใจในตัวเอง  ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนนึง ไม่ได้สะสวยอะไร  เขาออกจะดูดี คงไม่มาชอบคนอย่างฉันหรอก  ฉันจึงให้เพื่อนๆแนะนำฉันในชื่ออื่นเพื่อปกปิดตัวเอง  แต่เพื่อนมักจะเผลอ  และบางทีฉันก็ลืมตัวเล่าเรื่องของตัวเองโดยแทนชื่อ  ฉันคิดว่าเขาก็คงรู้เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้นเอง  หลังจากนั้นฉันเริ่มรู้สึกผิดรู้สึกว่าการกระทำของฉันมันไปรบกวนเขา  เขาคงไม่ชอบฉันหรอก  ถ้าคุณเคยแอบชอบใคร  คุณคงจะรู้ว่าการที่ได้เห็นหน้าเขา ได้คุยกับเขาคนนั้นมันมีความสุขแค่ไหน  และการที่คนที่เราแอบชอบรู้ว่าเราชอบเขามันน่าอายเพียงใด  สำหรับสาวขี้อาย และขาดความมั่นใจอย่างฉัน  ฉันเริ่มโทรหาเขาน้อยลง  จนไม่โทรเลย  ฉันไม่ได้เจอหน้าเขาอีก  ฉันเคยคิดโทรหาเขาแต่เขาก็เปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว
1 เทอมต่อมา
ฉันเห็นเขาอีกครั้งกับสาวร่างบางหน้าตาจิ้มลิ้ม  เขามีแฟนแล้ว  ถึงเขาจะมีแฟนแล้ว  แต่ฉันก็ยังชอบเขา  เห็นหน้าเขาทีไรสะเทือนถึงใจทุกที  ทุกวันนี้ผ่านมาปีกว่าๆ ฉันทำใจได้ ฉันเลิกชอบเขาไปแล้ว  แต่ว่ามันก็ยังคงค้างคาใจ  ฉันเพียงได้แต่เสียใจว่าฉันน่าจะบอกเขาว่าฉันเป็นใคร รุ้สึกอย่างไรกับเขา  ฉันน่าจะมีความกล้ามากกว่านี้  ฉันมัวแต่ขี้ขลาด  ถ้าตอนนั้นฉันได้บอกเขาไปไม่ว่าผลที่ได้รับจะเป็นการปฎิเสธจากเขา  ฉันก็คงเลิกคิดถึงเรื่องเขาไปนานแล้ว  ทุกวันนี้ฉันยังมีรูปเขาติดข้างฝา  เป็นรูปที่ฉันแอบเอามาจากชมรม  ฉันเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกว่า  นี่เป็นรักครั้งแรกของฉันที่ไม่มีหน้าตามาเกี่ยวข้องเลย				
9 พฤศจิกายน 2546 15:25 น.

Diary of chanee อวบ:Part І ความเป็นมา

kesie about u

ฉันเป็นอะไรไของฉันนี่ ตอนนี้ฉันกำลังนั่งเรียนวิจัย  วิชาที่มันทรหดเหลือเกินสำหรับฉัน เมื่อคืนฉันนั่งหาข้อมูลทั้งคืนยังหาไม่ได้สักที ฉันจะรอดไหมนี่ โอ้ย.......... ปวดหัว อาจารย์ขา ปราณีหนูด้วยหนูและเพื่อนๆ พยายามสุดความสามารถแล้วค่ะ
แทนที่ฉันจะตั้งใจเรียน เสือกไปคิดหมกมุ่นเรื่องของกิน ฉันจะกินอะไรดี ฉันจะทำได้ไหม ฉันจะต้องผอมให้ได้ ฉันต้องทำได้ วันนี้เป็นวันแรก ที่ฉันจะทำตามโปรแกรมลดน้ำหนัก เห็นเพื่อนบอกว่าใช้ได้ผลกัน ก่อนอื่นมาดูตารางกันดีกว่า
ตารางลดน้ำหนักในสองสัปดาห์
วันที่ 1	เช้า		กาแฟดำ
	กลางวัน		ไข่ต้ม 2ฟอง
	เย็น		ไก่ย่างลอกหนัง ส้มตำ และผลไม้ที่ชอบ
วันที่ 2	เช้า		กาแฟดำ / ขนมปังเปล่า 3แผ่น
	กลางวัน		ไก่ย่างลอกหนัง / ส้มตำ ผลไม้ตามใจชอบ
	เย็น		หมูย่าง
วันที่ 3	เช้า		ข้าวคลุกน้ำพริก 1จาน
	กลางวัน		ไข่ต้ม 2ฟอง / กล้วยน้ำว้า 2ผล
	เย็น		หมูย่าง
วันที่ 4	เช้า		ข้าวคลุกน้ำพริก 1 จาน
	กลางวัน		ไข่ต้ม 2 ฟอง
	เย็น		ผลไม้ตามใจชอบ / โยเกิร์ตรสเปรี้ยว
วันที่ 5	เช้า		กล้วยน้ำว้า 2 ผล
	กลางวัน		มะละกอ / สับปะรด
	เย็น		ไก่ย่างลอกหนัง / ส้มตำ และ ผลไม้ตามใจชอบ
วันที่ 6	เช้า		ขนมปังเปล่า 3 แผ่น
	กลางวัน		ไก่ย่างลอกหนัง
	เย็น		ไข่ต้ม 2 ฟอง / มะละกอ
วันที่ 7	เช้า		กาแฟดำ
	กลางวัน		ผลไม้ตามต้องการ
	เย็น		ทานอะไรก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้
วันที่ 8 	เริ่มงานด้วยแผนเดิม ตั้งแต่วันที่ 1-7 อีกครั้ง
หมายเหตุ	1. ในระหว่าง 2 สัปดาห์นี้  จะต้องทานอาหาร ตามตารางอย่างเคร่งครัด จะสามารถลดน้ำหนักได้ 9กิโลกรัม
		2. ห้าม ดื่มเหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  และน้ำอัดลมทุกชนิด
	คุณดูตารางสิ  ฉันจะทำได้ไหมนี่  ให้ฉันกินได้อยู่แค่นั้น แล้วขนมของโปรดฉันทั้งหลายล่ะโอ้ย........เอาความคิดเรื่องนี้ออกไปจากหัวฉันที
	ก่อนอื่นฉันต้องขอบอกก่อนว่าตั้งแต่จำความได้  ฉันก็น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาโดยตลอด ตอนแรกเกิดฉันออกมา 3โลกว่าๆ ก็ตัวโตทีเดียว แม่บอกว่าตอนเด็กๆ ฉันไม่ค่อยกินอะไร เวลาป้อนข้าว ฉันไม่ยอมกิน แม่เคยโมโหเอาช้อนกระแทกปากซะแตก (ซาดิสม์อ่ะ) ตอนเด็กๆ ฉันห่วงเล่นมากกว่ากิน เลือกกิน กินช้า ฉันก็เลยผอมแห้งมาโดยตลอดขี้โรคอีกต่างหาก (ภูมิแพ้ หืดหอบ) เรื่องฉายานี่ไม่ต้องพูดถึง ทั้งเหี่ยว เหี่ยวฟ้า เด็กเอธิโอเปีย ไม้เสียบผี  พอขึ้นมัธยม เพื่อนๆมันก็มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก  อวบ อ้วน  เพื่อนฉันแต่ละคนก็อ้วนกันทั้งนั้น  ฉันเห็นมันพยายามลดน้ำหนักกัน ฉันก็บอกมันว่า ก็อย่ากินเยอะสิ เดี๋ยวก็ผอมเอง  สำหับฉันแล้วการเพิ่มน้ำหนักทำยากกว่าลดซะอีก ขอบอกก่อนฉันสูง153 หนัก 36 ฉันอยากหนักถึง 40 กะเขาเสียที ทำไงดีอ่ะ  เพื่อนก็บอกก็กินเยอะๆสิ  มันก็ยากเหมือนกับให้พวกมันกินน้อยๆนั่นแหละ ฉันคิดในใจ 
	ฉันค่อยๆซึมซับนิสัยการกินจากพวกมัน  แม่ฉันเพิ่มอาชีพมาขายของชำที่บ้าน ฉันออกไปมีกิจกรรมนอกบ้านน้อยลง  เพราะต้องช่วยแม่ขายของ ฉันเริ่มติดทีวี ดูมันทั้งวัน นั่งกินข้าวหน้าจอทีวี ดูซะมากกว่ากิน แต่นั่งกินขนมทั้งวัน และทุกวันจะมีรถลูกชิ้นทอดมาขายที่หน้าบ้าน ฉันก็กินทุกวัน  พอ ม. 5 น้ำหนักก็ขึ้นมา ถึง 40 โลจาก 36 ตั้งแต่ ม.3 ดูอ้วนขึ้นถนัดตา แต่มันก็ยังผอมอยู่ดีสำหรับคนอื่น แต่ยังไงฉันก็รู้สึกภูมิใจกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
	แต่มันไม่ได้หยุดยั้งแค่นั้น พอ ม.6 มันขึ้นมาอีกเป็น 43 เฮ้อ ก็ยังโอเคอยู่ ถ้าเอาส่วนสูง 153 -110 = 43 มาตรฐานเลย  แต่ในความรู้สึกของฉันมันชักจะอ้วนแล้วอ่ะ แต่เพื่อนมันก็ยังว่าตัวเล็กอยู่ดี  
	พอขึ้นมหาลัย ไม่รู้เป็นไร เวลากินข้าวเย็นทีไร 2จานทุกที กินข้าวต่อด้วยก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวตามด้วยสลัด  แถมตอนดึกๆ ยังออกไปหาไรกินอีก  เป็นอย่างนี้ทุกวัน  ฉันรู้สึกว่ากระโปรงมันหดเล็กลงทุกทีๆที่ซัก ตอนจบปี 1 น้ำหนักก็ขึ้นมาเป็น  48 โอ้แม่เจ้า  อ้วนแล้ว  ปิดเทอมฉันกลับไปลดน้ำหนักด้วยการกินข้าวเย็นน้อยลง น้ำหนักก็กลับมาอยู่ใช่วงไม่เกิน 45 พอตอนปี 3 ฉันเป็นหัด (ไปติดมาจากเด็กที่ไปดูแลที่โรงพยาบาล)  นอนซมเป็นอาทิตย์ กว่าจะหาย  แถมยังกินอะไรไม่ลง  ฉันหยุดฝึกงานไปทั้งอาทิตย์  ต้องฝึกชดเชยเสาร์อาทิตย์ไปอีก 3อาทิตย์ เท่ากับว่าฉันไมมีวันหยุดเลย 1เดือน  แล้วหลังฝึกงานยังสอบต่ออีก ตอนป่วยน้ำหนักก็ลดไปเหลือ 41 แล้วยังไม่มีเวลาพักผ่อนอีก  น้ำหนักก็เลยลดลงไปอีกเหลือ 39 ผอมไปถนัดตา เพื่อนบางคนมันก็ถามทำไงผอม บางคนก็ว่าโทรม จะไม่ให้โทรมได้ไงล่ะ  เสื้อผ้าก็หลวมหมดทุกตัว บางตัวก็เลิกใส่ ฉันว่ามันผอมไป เอวจาก 26 เหลือ 22 ก็เลยเพิ่มน้ำหนัก  กะว่าเอาสัก 43 แต่มันไม่หยุดแค่นั้น มันเพิ่มมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ 47แล้ว  กระโปรงจะใส่ไม่ได้อีกแล้ว ทำไงดี ยิ่งกดดัน ยิ่งเครียด ยิ่งกิน ทุกครั้งที่ฉันกินอะไรอยู่ ฉันจะคิดอยู่เสมอว่าจะกินอะไรต่อดี  ยิ่งฉันอยากลด ฉันก็ยิ่งกิน  มันหยุดไม่ได้ ฉันกะจะกินข้าวเย็นให้น้อยลง แต่มันก็ทำไม่ได้ คิดอยู่อย่างเดียวว่า วันนี้กินไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยลด  ท้องมันอิ่ม แต่ปากมันยังอยากกินจนอึดอัด ทุกครั้งที่กินลงไปก็จะรู้สึกผิด  ทุกครั้งที่ส่องกระจกก็จะรู้สึกหดหู่กับพุงที่ยื่นออกมา เอวที่หนาขึ้นทุกวัน
	เมื่อคืนนี้ เป็นคืนที่ฉันตัดสินใจแล้วว่า  จะต้องทำให้ได้ ฉันเลยกินสั่งลา กินจนอึดอัด อยากจะอ้วกก็ทำไม่ได้ เอาล่ะ 2 อาทิตย์นี้  ต้องทำให้ได้ นี่ถือเป็นการวัดใจครั้งสำคัญในชีวิต เป้าหมายอยู่ที่> 43 โล และคงไว้ไม่ให้เกินนี้  ขอกำลังใจจากท่านผู้อ่านด้วยนะคะ (อารายเนี่ย  นั่งเรียนอยุ่ ยังมีอารมณ์มาเขียนเรื่องสั้นอีก)  โปรดติดตามตอนต่อไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkesie about u
Lovings  kesie about u เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkesie about u
Lovings  kesie about u เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkesie about u
Lovings  kesie about u เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงkesie about u