30 มิถุนายน 2551 22:24 น.
keekie
.
.
เมื่อคืนนี้ฉันฝัน ..
.
.
ในฝันนั้น
ฉันยืนอยู่ในห้องที่ไร้แสงไฟ
มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องเป็นทางยาว
ลำแสงทอดผ่านพื้นสู่ผนังด้านตรงข้าม
ทำให้ฉันมองเห็นเธอ ..
หญิงสาวคนหนึ่ง
เธอนั่งอยู่บนโซฟาเก่าๆ ทอดมองดวงจันทร์ผ่านทางหน้าต่าง
ท่าทางเธอสิ้นเรี่ยวแรง ดูเหนื่อย ท้อแท้ สิ้นหวัง และเป็นทุกข์เสียเหลือเกิน
ความเวทนาเกิดขึ้นในใจ ..
หากฉับพลัน .. !!!
ความรู้สึกหนึ่งแทรกผ่านบรรยากาศความวังเวงเข้าสู่ความนึกคิด ..
เธอไม่ใช่คน... !!!
ความเวทนาแม้ยังอยู่ ..
หากแต่ความกลัวเข้าเบียดแทรกจับจิต ..
ฉันหันหลังเตรียมวิ่งออกจากความวังเวง ในห้องนั้น!!!
ทันใด .. !!
เสียงเธอดังขึ้นริมหู ..
"ใจร้ายมาก .. คุณเห็นฉันเป็นทุกข์มากขนาดนี้ คุณยังหันหลังวิ่งหนีฉันได้ลงคอหรือ? .."
แม้ฉันจะหันหลังให้เธอ ..
แต่ภาพเธอที่ละสายตาจากดวงจันทร์ ค่อยๆ หันหน้ามาทางฉันช้าๆ นั้น
แจ่มชัดทุกเสี้ยววินาที ..
บอกไม่ถูก ..
ความเวทนา ความสังเวช มันปนเปกับความกลัว
ผสมผสานกับกระแสแห่งทุกข์และความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส
เหมือนมันทั้งหลายเหล่านั้น ประดังประเดกันวิ่งเข้าจับขั้วหัวใจ ..
จนแทบทนไม่ได้ ..
แววตาเธอช่าง ..
ฉันจะช่วยเธออย่างไร .. ?
.
.
.
ฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก ..
กลิ่นไอแห่งความทุกข์ระทมยังอบอวลในบรรยากาศรอบตัว ..
อะไรบางอย่างในแววตาของเธอ ยังติดตรึง ..
สิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้เธอทุกข์ระทมได้ขนาดนั้น ..?
หากฉันรู้ ..
แค่เพียงรู้ ..
.
.
14 กรกฎาคม 2550 15:30 น.
keekie
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์
คว้าได้แบงค์ยี่สิบติดมือมาจากซอกหนึ่งในนั้น
เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์อีกข้าง ..
เหรียญห้าและเหรียญสองบาทรุ่นใหม่ ..
เศษเหรียญที่ทอนมาจากรถเมล์ที่เธอเพิ่งก้าวลงมาเมื่อสักครู่ ..
เธอยิ้มให้กับตัวเอง ..
แม้ไม่ต้องเปิดกระเป๋าตังค์ เธอก็รู้ดีว่า ..
ในนั้นมีเพียงสารพัดบัตรอันจำเป็นสำหรับยืนยันสถานภาพความเป็นคนบนผืนแผ่นดิน กับเศษกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์สองสามเบอร์ ..
แค่นั้น ..
"สายฝน 10 บาท" เธอบอกหญิงวัยกลางคนที่นั่งขายบุหรี่ ลูกอม กระดาษทิชชู่ อยู่ริมถนน คนขายเงยหน้ามองเธอแวบหนึ่งก่อนส่งบุหรี่สี่มวนให้เธอ
เธอขยี้หัวบุหรี่ก่อนหยิบกลักไม้ขีดในเป้ใบเก่า
ขีดหัวไม้ลงข้างกล่อง ประกายไฟสว่างวาบ ..
เธอจ่อไม้ขีดบนปลายมวน .. สูดควันสั้นๆ ติดๆ กัน .. แล้วโยนก้านไม้ขีดทิ้ง
สูดควันยาวๆ .. ก่อนพ่นควันออกทางจมูก ..
เธอนั่งลงบนม้านั่งข้างทาง
เด็กชายตัวน้อยมอมแมมสองคนยืนมองเธออย่างสนใจ
ผู้หญิงสูบบุหรี่ ..
เธอยิ้มให้เด็กชายสองคนนั้น ..
พลันหวนคิดไปถึงเรื่องในวันวาน ..
วันที่เธอแวะหาแม่ที่ร้านเพื่อจะบอกว่าเธอจะออกไปท่องราตรีกับเพื่อน
แล้วเธอก็หันหลังเดินออกมาอย่างไม่สนใจว่าแม่จะพูดอะไร
จึงไม่รู้ว่าแม่เดินตามเธอออกมาพร้อมเงินในมือ ..
แม่ห่วงว่าเธอจะไม่มีเงิน ..
แล้วแม่ก็ทันได้มาเห็นคนขายส่งบุหรี่ซองสีแดงให้เธอ ..
.
.
เธอยิ้มกับตัวเอง ..
เมื่อนึกถึงสีหน้าแม่ในวันนั้น ..
แต่แม่ก็ยังคงยื่นแบงค์ห้าร้อยในมือให้เธอ ในขณะที่สายตาแม่หยุดอยู่ที่ซองบุหรี่มาร์โบโลในมือของเธอ
โดยไม่มีเสียงเล็ดรอดออกจากริมฝีปากแม่ซักคำ
ไม่เป็นไรมั้ง กะอีแค่บุหรี่ ..
เธอสูดควันเข้าปอดอย่างแรง ..
ก่อนระบายควันพร้อมลมหายใจออกมาทางจมูก
เผื่อ ..
ลมหายใจของเธอมันจะสั้นลงบ้าง ..
โทรศัพท์มือถือดัง ..
"น้องอยู่ไหน รีบกลับมาด่วนเลย .." เสียงพี่ข้างห้องที่พยายามชวนเธอเข้าร่วมปาร์ตี้สารพัดยาเมื่อคืน
"อีแก่มันเอาเสื้อผ้าน้องโยนออกมานอกห้องหมดแล้ว .. มันบอกว่าไม่มีเงินจ่ายก็ไม่ต้องอยู่" เสียงสูงๆ นั่นฟังดูตื่นเต้น
"ช่างมันเหอะพี่ .."
"เฮ้ย .. ของแพงๆ ทั้งนั้น ไม่เอาแล้วหรอ?" เสียงยิ่งตื่นเต้นหนักเข้าไปอีก
"ฮื่อ .. อยากได้ก็เอาไปเหอะ .." เธอบอกเนือยๆ ก่อนกดวางสาย
อยากได้ก็เอาไป .. กะอีแค่เปลือกหุ้ม ..
เธอสูดควันอีก ..
เปลือกหุ้ม ..
นึกถึงรถยนต์สีดำคันหรู ที่มีใบพัดสีฟ้าติดอยู่เหนือกระจังหน้ารถ ..
ภาพนั้นปรากฎขึ้นพร้อมกับคำกระแนะกระแหนค่อนขอดที่เหมือนดังก้องอยู่ในหูเธออยู่เสมอ
"โอ๊ย!!! ใครจะกล้าไปรับ ไอ้รถผมมันก็ทั้งเก่าทั้งแก่ ซ่อมแล้วซ่อมอีก
จะกล้าเสนอหน้าไปรับให้เค้าอับอายว่าเค้ามีแฟนกระจอกๆ หรอ!!!"
ความสะดวกสบายกายที่เธอมี กลายเป็นสิ่งที่ขัดความสบายใจของใครบางคน ..
และแม้แต่ใครอีกบางคนที่คลานตามกันมา ..
"พี่ก็พูดได้สิ มีรถขับสบาย ผมต้องโหนรถเมล์ต่องแต่งไปทำงาน เหนื่อยขนาดไหนใครรู้บ้าง เงินเดือนได้มาก็ต้องให้แม่ซะเกือบหมด"
ถ้าเพียงแต่เธอไม่มีมัน .. .. .. .. .. .. .. ..
ใครอีกหลายคนคงสบายใจ ..
เธอโยนกุญแจรถคนนั้นให้น้องชาย ..
"คอยรับส่งแม่ด้วย .. เติมน้ำมันเองแล้วกัน เรื่องผ่อนจะจัดการเอง .."
เธอรู้ว่าแม่อายุมากแล้ว ..
แพ้ควันรถ เหนื่อยง่าย และแม่ก็เหงาที่จะอยู่บ้านเฉยๆ
เธอรู้ว่าแม่อยากมีรถที่เป็นของเรา ..
และรถคันนั้นมันก็เป็นรถที่แม่อยากได้ ..
นั่นคือเหตุผลที่เธอมีมัน ..
เธอรู้ดีว่า ..
ตลอดชีวิตแม่ที่ผ่านมา ..
แม่พยายามสร้างครอบครัว ..
รถคันแล้วคันเล่า .. บ้านหลังแล้วหลังเล่า ..
เพื่อครอบครัวเราจะได้มีอะไรที่เรียกได้เต็มปากว่า .. เป็นของเรา ..
ไม่ต้องยักย้ายไปอยู่บ้านญาติคนนั้นที คนนี้ที .. ไม่ต้องหอบลูกขึ้นรถเมล์กะเตงไปไหนมาไหน
แต่ .. ดูเหมือนสามีของแม่หรือพ่อแท้ๆ ของเธอก็มักจะทำลาย "บ้านของเรา" และ "รถของเรา" เสมอ
"ใช่ซี้ !!! ฉันไม่ได้ออกเงินซื้อบ้านซื้อรถนี้นี่ เลยกลายเป็นหมาหัวเน่า!!!"
แล้วสามีของแม่หรือพ่อแท้ๆ ของเธอก็ปาแก้วเหล้าในมือไปโดนแจกันแก้วใบใหญ่ของแม่ ..
ตกแตกกระจายทั้งแก้วเหล้าและแจกัน
เธอหลับตา .. เพื่อหยุดภาพเหตุการณ์อันเคยเกิดขึ้นในวัยเด็กที่ประดังกันเข้ามาในความทรงจำ ..
เธอพ่นควันสีเทาอย่างเชื่องช้า ..
แล้วมองดูมันลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ..
หลังม่านสีเทาปรากฎภาพบ้านหลังใหญ่บนเนื้อที่กว่าไร่ครึ่ง ..
บ้านในฝันของแม่ ..
เธอจำแววตาของแม่ได้ ..
แววตาของแม่เมื่อเธอพาแม่ไปเลือกบ้านหลังที่แม่อยากได้ ..
แล้วแม่ก็ได้ ..
.
.
"ผมรู้ว่าบ้านหลังนี้พี่ซื้อ ผมมันก็แค่คนอาศัย รถก็ของพี่ บ้านก็ของพี่ ใหญ่คับฟ้าเหลือเกินนี่ ผมไม่อยู่ก็ได้ อึดอัด!!!"
วันนั้นเธอรู้ดีว่าแม่ยืนแอบอยู่หลังประตูนั่น ..
ยืนดูพี่น้องทะเลาะกัน ..
และเธอก็รู้ดีว่าแม่ไม่อยากให้น้องชายของเธอออกจากบ้านไปไหนอีก
หลังจากที่เขาเคยทำมาแล้ว ..
"อยู่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหน เรื่องค่าบ้านเดี๋ยวจัดการเอง"
ก่อนเธอก้าวออกจากบ้านพร้อมเป้ใบเก่า ..
เธอเห็นแม่ยืนมองเธออยู่หลังประตูบานนั้น ..
เธอยิ้มให้แม่เพื่อจะบอกแม่ว่า .. ไม่เป็นไร ..
.
.
"อย่างคุณน่ะหรอ จะมาอยู่บ้านโกโรโกโสของผม บ้านผมมันรังหนู ไม่ใช่คฤหาสน์หรูอย่างของคุณนี่!!!"
เธอยิ้มให้กับคำพูดที่ดังก้องในโสตประสาท
คำพูดจากผู้ชายคนเดียวกันกับที่เคยตะโกนใส่หน้าเธอว่า "ผมไม่อยู่บ้านคุณ ผมไม่ใช่แมงดานี่!!!"
.
.
เธอทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น ก่อนจะหยิบมวนใหม่ขึ้นมาขยี้หัวแล้วจุดด้วยไม้ขีดกลักเดิม ..
มวนที่สามแล้ว ..
เธอคิดหาเหตุผลว่าเธอจะสูบบุหรี่ไปทำไมอีก ..
ทั้งที่หลังจากวันนั้น ..
วันที่แม่รู้ว่าเธอสูบบุหรี่ .. วันที่เธอเห็นแววตาแม่เมื่อมองบุหรี่ในมือเธอ ..
เธอเคยไม่แตะต้องมันอีกเลยจนเกือบสองปี ..
.
.
เธอยิ้มเพื่อบอกกับตัวเองว่า ..
เอาเถอะน่า ..
ยังเหลือบุหรี่อีกสองมวน .. กับเงินอีกสิบเจ็ดบาท ..
ก่อนบุหรี่จะหมดเธอคงคิดออก ..
.
.
12 มิถุนายน 2550 11:34 น.
keekie
ฉันเป็นเพียงแค่ใบไม้ใบหนึ่งที่ผลิ ยอดอ่อนบนปลายก้าน
แย้มกลีบใบเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ ..
ค่อยๆ เติบโตจากอาหารที่ปลายรากแก้วดูดส่งขึ้นมาจากผืนดิน ..
เบิกบาน เขียวชอุ่ม ..
รอวันเติบโตเป็นใบไม้เต็มตัว
เพื่อรับหน้าที่ปรุงอาหารหล่อเลี้ยงกิ่ง ก้าน ดอก ..
ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทุกส่วนของต้นไม้ ..
ฉันเฝ้ารอวันที่จะได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่กำเนิด ..
และแล้ว ..
มันก็มาถึง ..
ช่างน่าภาคภูมิใจเสียนี่กระไร
ฉันชูใบรับแสงอาทิตย์ร้อนแรงที่สาดส่อง
คลอโรฟิลด์ในตัวฉีดพล่าน ..
สังเคราะห์อาหารแล้วส่งต่อไปตามส่วนต่างๆ ของต้น ..
ส่วนต่างๆ ที่ให้กำเนิดฉัน ..
หน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ฉันเฝ้าทำวันแล้ววันเล่า ..
วันแล้ววันเล่า ..
จนความเขียวชอุ่มในตัวฉันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
คลอโรฟิลด์ที่เคยพลุ่งพล่านทุกครายามต้องแสงร้อนแรง ..
มาวันนี้แทบไม่มีเหลือ ..
แม้ฉันยังอยากทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เพื่อส่วนต่างๆ ที่ให้กำเนิดฉันเพียงใด
หากแต่ .. .. .. .. ..
ทุกส่วนเสี้ยวของต้นที่เคยผสานเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน ..
ดูจะปฏิเสธการมีฉันอยู่ร่วม
ทั้งที่เราเคยอยู่ร่วม ..
"วัฎจักรมันเป็นเช่นนี้ .. เด็กน้อย "
เสียงแผ่วที่แว่วมาตามสายลม ..
ก่อนที่ฉันจะเริ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายขั้ว ..
ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านดั่งถูกคมกรีด ..
ผสมผสานกับความว่างโหวงที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดลงผืนดิน
ฉันคงต้องตอบแทนผืนดินอีกสินะ
เพราะการเติบโตและดำรงอยู่ของฉันก็เคยได้มาจากผืนดินเหมือนกัน ..
ยินดี ..
หากซากร่างที่ไร้คลอโรฟิลด์จะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ..
ฉันก็ยินดี ..
แต่ในชั่วแวบฉันยังอดหวังไม่ได้ว่า ..
คราวหน้า ..
ฉันจะได้เกิดมาเป็นรากแก้ว .. กิ่ง หรือก้านบ้าง
เพื่อหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของฉันจะคงอยู่ยาวนานตราบลำต้น ..
ฉันหวัง ..
15 กุมภาพันธ์ 2550 10:11 น.
keekie
ฉันเก็บดอกไม้มาฝาก ..
ดอกไม้หายากที่ฉันไม่คิดว่าจะพบในที่ๆ ฉันไป
เป็นดอกไม้ที่คนสองคนช่วยกันปลูก .. ใส่ปุ๋ย .. อย่างไม่ได้ตั้งใจ ..
แล้วฉันก็จากมา ..
โดยไม่ได้รู้ว่าดอกไม้ดอกนั้นเติบโตและเบ่งบานอยู่บนเกาะ ..
จวบจนวันนี้ ..
คนร่วมปลูกเขาเอามันมาให้ ..
เขาคือคนเดียวกับคนที่อุ้มฉันลงจากเรือและอยู่ปฐมพยาบาลจนอาการเมาคลื่นของฉันหาย ..
เขาคือคนเดียวกับคนที่ทำฉันตกใจแทบช็อคหน้าห้องน้ำตอนตีสอง
เพราะเขาเห็นฉันออกจากเต๊นท์ไปเข้าห้องน้ำคนเดียวเลยตามไปเป็นเพื่อน
ผลก็คือเขาได้อุ้มฉันกลับมาส่งที่เต๊นท์อีกรอบ .. 555 บอกแล้วว่าฉันกลัวผีอย่างหนัก
และเขาก็คือคนเดียวกับคนที่ชวนฉันเตะตะกร้อริมหาด
แม้ฉันพร่ำอธิบายว่าคนไทยเขาถือไม่ให้ผู้หญิงเตะตะกร้อกับผู้ชาย
แต่หนุ่มอิตาเลี่ยนตาสีฟ้าน้ำทะเลอย่างเขาคงไม่เข้าใจ ..
เขาคือคนเดียวกับคนที่เล่นวอลเล่ย์บอลชายหาดคู่กับฉัน
โดยฝ่ายตรงข้ามมีถึงสี่คน ..
และเขาคือคนเดียวกับคนที่นั่งริมหาดดูดาวพราวฟ้าด้วยกัน
ฉันพยายามสอนภาษาไทยให้เขา ในขณะที่เขาพยายามสอนภาษาอิตาเลี่ยนให้ฉัน
เขาคือคนเดียวกับคนที่ถามฉันว่า .. "คุณอยู่ที่นี่ต่อจนถึงวาเลนไทน์ได้ไหม?"
และเขาคือคนเดียวกับคนที่ได้รับคำตอบจากฉันว่า .. "ไว้ฉันมาใหม่คราวหน้าดีกว่า .."
โดยที่ฉันเก็บคำต่อจากนั้นไว้ในใจ .. "เราคงได้พบกันหากคุณยังอยู่ .. "
และเขาก็คือคนเดียวกับคนที่เพิ่งมาหาฉันเมื่อกี้ ..
แล้วถามฉันว่า .. "ผมอยู่ที่นี่จนหมดวันวาเลนไทน์ได้ไหม?"
และเขาก็คือคนเดียวกับคนที่ได้รับคำตอบจากฉันเมื่อกี้นี้ว่า ..
"คุณอยู่ที่นี่วันวาเลนไทน์ไม่ได้ .. แต่ถ้าเป็นวันอื่นคุณอยู่ได้ .."
นั่นคือเขา ..
คนที่ร่วมปลูกดอกไม้บนเกาะ ..
เราปลูกมันด้วยกัน ..
และเขานำมันมาให้ฉันวันนี้ ..
ฉันเลยเก็บมาฝาก ..
ถึงมันจะมีแค่ดอกเดียวแต่ฉันก็ให้พวกคุณได้ ..
เพราะพรุ่งนี้เขาจะมาอีก ..
เขาบอกว่าจะหอบดอกไม้ช่อโตมาให้ ..
เขาจะบอกฉันว่า .. "Be my Valentine .."
และฉันห้ามปฎิเสธ ..
วาเลนไทน์ของฉันปีนี้ คือ 15 กุมภาพันธ์ ..
27 มกราคม 2550 12:55 น.
keekie
"เออ ฉันดูละครเรื่องที่แกบอกแล้วนะ .."
เพื่อนซี้ของฉันบอกขึ้นมาระหว่างคุยโทรศัพท์
เรามักอัพเดตข้อมูลของกันและกันให้ฟังเสมอๆ อย่างน้อยสองวันครั้ง ..
"เรื่องรัย? .." ฉันนึกไม่ออก
"ก็ละครช่องสามไง ที่แกดูน่ะ ฉันไม่เคยเห็นแกดูละครซักที เมื่อคืนเลยลองดู นึกว่าสนุก เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดดู และฉันจะไม่ดูมันอีกแล้ว"
มันว่ามาเป็นชุด
"ฉันรู้แล้วว่าทำไมสังคมไทยถึงเสื่อมทรามลงทุกวัน ก็เพราะมันทำสื่อแบบนี้ออกมาเผยแพร่นี่เอง .."
แล้วมันก็ใส่อารมณ์มากจนฉันชักไม่แน่ใจว่ามันกำลังพูดถึงละครหรือป่าว
"นางเอกเคยเป็นเมียน้อยของพ่อพระเอกมาก่อน แล้วก็มามีอะไรกับคนที่มีลูกมีเมียแล้ว แล้วเมื่อคืนแกดูหรือป่าว?"
ระหว่างมันพูดๆๆๆ มันก็ย้อนถามเสียจนฉันแทบตั้งตัวไม่ติด ..
"ป่าว เมื่อคืนกลับบ้านดึก .." ฉันตอบ
"เออ เมื่อคืนนางเอกก็ยังไปมีอะไรกับพระเอกอีก .. รับไม่ได้ว่ะ .. ฉันไม่ดูแล้ว .."
มันบ่น แล้วก็เล่าต่อถึงละครตอนเมื่อคืน ว่านางเอกทำมารยาสาไถยังไงบ้าง
ฉันถอนหายใจเบาๆ ..
นี่ถ้ามันรู้ว่า นางเอกมีลูกอายุราวสิบสามสิบสี่กับผู้ชายอีกคน มันจะช็อคมั๊ยนะ
"๕๕๕๕ แล้วแกคิดบ้างหรือป่าวว่าบางทีมันอาจไม่ใช่แค่ละคร มันอาจมีอะไรที่ยิ่งกว่าที่แกรับไม่ได้ซุกอยู่ในซอกหลืบของสังคมมนุษย์ใกล้ๆ ตัวแกนี่ก็ได้นะ"
ฉันพูดกลั้วหัวเราะ ..
เรามันวัยเกินกว่าจะใช้คำว่า .. อ่อนต่อโลก ..
แม้จะไม่ล่วงเลยจนสามารถใช้คำว่า .. แก่โลก หรือ กร้านโลก ก็เถอะ
หากแต่ควรต้องรับความโหดร้ายหรือความไม่โสภาใดๆ ในชีวิตให้ได้ .. ได้แล้ว
เพราะชีวิตไม่ได้มีสิ่งสวยงามตลอดเวลา ..
"ก็รู้ว่ามีนะ แต่ถ้าเป็นฉันๆ จะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด .."
เสียงของมันที่ดังมาตามสายทำให้ฉันพอนึกสีหน้าสีตามันออก
"แล้วแกเคยดูตอนก่อนหน้านี้หรือป่าว?" ฉันถาม
"ไม่เคย .." มันตอบ
"ตอนก่อนหน้านี้มันมีที่มาที่ไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันอาจบอกแกถึงเหตุผลความจำเป็นที่ทำให้เขาต้องทำแบบนั้นก็ได้นะ.."
ฉันบอกไป
"มันผิด ถึงเขาจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่เขาทำมันผิด ฉันไม่นึกอยากรู้ที่มาที่ไป .."
ฉันนึกในใจ ..
หากฉันที่เป็นเพื่อนกับมันมานานกว่ายี่สิบปีทำสิ่งใดที่สังคมตัดสินว่าผิด ..
มันจะรับฟังเหตุผลมั๊ยนะว่าเพราะอะไร?
หรือถึงแม้ถ้ามันรับฟัง .. และรับรู้แล้ว แล้วมันจะรับได้มั๊ยนะในความผิดนั้น ..
แล้วฉันก็ต้องถอนหายใจพร้อมปลอบใจตัวเองว่า ..
หากมันรับไม่ได้ .. ฉันก็ต้องยอมรับ เพราะมันคือความเป็นจริงในชีวิต
แม้ฉันจะคาดหวังให้ใครเข้าใจในทุกสิ่งที่ฉันทำได้ ..
หากแต่ฉันจะสมหวังหรือผิดหวังนั่นเป็นสิ่งที่ใคร .. หรือแม้แต่ตัวฉันก็ควบคุมมันไม่ได้ ..
ในเมื่อฉันคาดหวัง ..
มันก็มีสองทาง .. สมหวัง .. หรือผิดหวัง .. ก็เท่านั้น .. ง่ายจะตายไป
"ฉันไม่นึกว่าคนอย่างแกจะดูละครแม่ผัวตบลูกสะใภ้ ละครน้ำเน่าแบบนี้ .." มันบอก
ฉันอาจมองว่าละครน้ำเน่าเป็นเรื่องไร้สาระ
หากแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นเรื่องที่เกิดรอบตัว .. รัก โลภ โกรธ หลง ..
ความจริงฉันก็อยากอธิบายให้มันฟังว่า ฉันไม่ได้ดูความเน่าของละคร และไม่ได้ดมกลิ่นเหม็นของมัน
หากฉันดูอย่างอื่น ..
อย่างน้อยนาทีที่ฉันได้คุยกับมันเรื่องนี้ ก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า ..
มีคนส่วนหนึ่งตัดสินคนจากการกระทำปัจจุบันว่า "ผิด" โดยไม่สนใจถึงเหตุผลแห่งการกระทำนั้น
ถ้าเราเหลียวมองย้อนกลับไปดู อาจทำให้เข้าใจก็ได้ว่าทำไม เขาถึงเป็นอย่างนั้น
สิ่งหนึ่งที่ฉันนึกอยู่ในใจเสมอ ..
คือไม่มีใครอยากทำผิด หรือทำสิ่งที่สังคมตัดสินว่าผิด ..
แต่ชีวิตมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ ..
และส่วนที่ยากยิ่งอย่างสำคัญต่อการควบคุมคือ .. อารมณ์ของตัวเอง ..
ยามตัวเราเองทำผิด ..
เรามักมีเหตุผลอธิบายต่อตัวเองและคนอื่นเสมอ ..
"ฉันกลับไปดูหนังเกาหลีของฉันต่อดีกว่า .. สนุกกว่าเยอะ .." มันบอก
"แกรู้หรือป่าวว่าทำไมเกาหลีถึงทำหนังรักสไตล์นั้นจนคนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง" ฉันถาม
"ก็คนชอบดูไง .. ดูแล้วสบายใจ อมยิ้มตลอดเรื่อง รักหวานซึ้งขนาดนั้น .." มันทำเสียงเคลิบเคลิ้ม ..
"เกาหลีน่ะ อัตราการเกิดน้อย คนเกาหลีทั้งหญิงทั้งชายตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงตัวเอง จนไม่คิดแต่งงาน มันเป็นนโยบายของผู้ปกครองประเทศที่จะส่งเสริมให้คนเกาหลีหันมาแต่งงานสร้างครอบครัว เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร เขาเลยทำหนังรักหวานออกมาซะส่วนใหญ่ เพื่อให้คนอยากแต่งงาน"
ฉันอธิบายคร่อก เพราะเคยฟังข่าวมา
"จะยังไงก็ช่างเหอะ ดูแล้วสบายใจกว่านี่"
ฉันยุติการสนทนาเรื่องละครเพียงแค่นั้น เพราะความคิดเห็นเราไม่ตรงกัน
มันคงเป็นการดีกว่าที่จะเปิดโสตรับแต่สิ่งที่สร้างความสบายใจ สบายตา
หากแต่เราจะหลีกเลี่ยงความไม่โสภาได้ตลอดเวลาหรือเล่า?
หลายต่อหลายครั้งยามขับรถบนท้องถนน ..
ฉันเป็นคนแรกที่ขับรถไปถึงจุดเกิดอุบัติเหตุและได้เห็นสภาพคนเจ็บ
หรือบางครั้งก็เป็นสภาพศพ ทั้งที่ตัวเองกลัวผีอย่างหนัก และกลัวเลือด
หากถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าต้องพบ ฉันคงไม่ขับรถไปทางนั้น
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันเปลี่ยนช่องทีวีหนีรายการวงจรชีวิต
ที่สะท้อนภาพรันทดของบางชีวิตในซอกหลืบของสังคมไทย ..
หากแต่ก็ต้องไปพบรายการประเภทเดียวกันของช่องอื่นๆ
ถ้าฉันรู้ว่าช่องนั้นกำลังฉายรายการเหมือนๆ กันฉันคงไม่เปลี่ยนช่องไปหรอก
ฉันคงทำได้เพียงเปิดใจให้กว้าง ..
รับรู้เรื่องดี เรื่องร้าย ที่เกิดขึ้นจริง ..
เลือกเสพย์สิ่งโสภา สบายตา สบายใจ
หากแต่ก็ไม่เลี่ยงหากจะต้องพบเจอกับความไม่สวยงาม
แยกแยะให้ออกว่า สิ่งใดเก็บ สิ่งใดทิ้ง ..
ที่สำคัญ ..
ฉันคงไม่เลิศเลอพอจะตัดสินความเป็นตัวตนของใคร
หากแม้นฉันจะได้รับรู้ที่มาที่ไป .. และเข้าใจถึงพฤติกรรมอันนั้น
แต่ฉันก็ระลึกอยู่เสมอว่า ..
ชีวิตใคร .. ใครก็มีสิทธิในชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์
ที่จะเลือกมีเลือกเป็นในสิ่งที่เขาเลือก ..
หรือเขาอาจต้องมีต้องเป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เลือก ..
ฉันก็คงต้องยอมรับว่า ..
นี่แหละคือ .. ชีวิต ..
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ..
เพื่อจะบอกว่า .. ไปดูหนังสมเด็จพระนเรศวรกันเถอะ .. อิอิ ..