16 กรกฎาคม 2549 18:38 น.

.. ของขวัญอันวิเศษ ..

keekie

คืนเดือนมืด ..
ฉันนั่งมองท้องฟ้าริมหน้าต่างบานเก่า ..

คืนนี้ท้องฟ้ามืดมิด ..
ปราศแสงจันทร์ ..
ไร้แม้แสงดาว ..
เมฆหมอกปกคลุมทั่วท้องฟ้า ..
คล้ายดั่งว่า .. 
พายุกำลังเริ่มก่อตัว .. 

นั่นคงเป็นเหตุผลกระมัง ..
ที่ทำให้แสงสว่างกลางฟ้ายามค่ำคืนดับหาย ..

จันทร์เจ้าคงรู้ฤทธิ์แห่งพายุว่า ..
มันแรงมากพอจะพัดทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศในพริบตา ..
ดวงดาวคงเข้าใจว่า ..
มันมิอาจต้านแรงแห่งพายุได้ .. 

ด้วยแรงแห่งพายุจะพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างพลัดพราย .. 

มันทั้งหลายจึงพร้อมใจกันหลบลี้อยู่เบื้องหลังเมฆหมอกดำทะมึน ..
ด้วยหวังเพียงรอดพ้นจากความพินาศ .. สูญเสีย .. 

ฉันยังคงนั่งมองท้องฟ้า .. 
ไม่ปิดหน้าต่างแล้วหลบไปนอนคลุมโปงบนเตียง .. 
เพียงเพื่อหลบแรงแห่งพายุ .. 

ยังคงนั่งมองเมฆหมอกดำทะมึน .. 
หากแม้นมันจะสร้างความพินาศพลัดพรายแก่ฉันจริง ..
หลบเลี่ยงเยี่ยงไรคงมิพ้น .. 

ฟ้าแลบแปลบปลาบ ..
สัญญาณแห่งพายุเริ่มต้นแล้ว .. 

ลมเริ่มพัดแรง ..
กิ่งโมกข์แกว่งไกวไหวเอนตามแรงลม ..
ดอกสีขาวร่วงกระจาย .. 
กลิ่นโมกข์ปนกลิ่นไอฝนคละคลุ้ง .. 

มันมาแล้ว .. 

ฉันเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นอีก ..
รับแรงแห่งลมด้วยยินดี .. 

มาเถิด .. 
หากฉันต้องพินาศพลัดพราย ..
ฉันน้อมรับด้วยยินดี .. 

ลมพัดแรงขึ้นอีก ..
จนแทบลืมตาไม่ขึ้น ..
ฉันพยายามฝืนลืมตา ..
เพื่อได้เห็นความจริงกระจ่างแจ้ง ..

กลิ่นไอฝนคละคลุ้งแรงขึ้น ..
พายุใกล้มาแล้ว .. 



ฉับพลัน .. 

เพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งเวลา ..
ท่ามท้องฟ้ามืดดำ .. 
ฉันเห็นแสงสายยาว ..
พุ่งด้วยความเร็ว เริ่ม ณ จุดสูงสุดแห่งท้องฟ้า ..

ดาวตก .. 

ฉันรีบหลับตาอธิษฐาน .. 

ขอพลังแด่ฉัน ..
แกร่งพอจะรับแรงแห่งพายุเถิด .. 
เพื่อเปิดตัวตนแห่งฉัน .. 
และหากเป็นดั่งคำใครเคยว่าไว้ ..
หลังพายุซา ..
ฟ้าจะใสสดงดงาม .. 
ขอพลังแด่ฉัน .. 
ได้เห็นท้องฟ้ายามนั้นด้วยเถิด ..

เมื่อฉันลืมตา .. 
แสงสายยาวเส้นนั้น .. 
หายลับไปแล้ว ..
มันคงตกสู่พื้นดินหลังตึกสูงเบื้องหน้าแล้ว ..

ดาวตก .. 

ฝนเม็ดใหญ่เริ่มกระหน่ำ .. 
จนภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน ..

แรงแห่งลมพัดพาฝน ..
สาดซัดเปียกปอน .. 
แรงแห่งมันมหาศาลเสียจนฉันมิอาจฝืนลืมตาเพื่อมองภาพแห่งความจริงเบื้องหน้าได้ .. 
เสียงฟ้าฟาดเกรี้ยวกราดลั่นสะท้านสะเทือน .. 

หากแต่ฉันยังคงอยู่ตรงนั้น .. 
มิหลบไปไหน .. 
อยู่ท่ามสภาพความเป็นจริง .. 

ความเจ็บจากแรงเม็ดฝนที่กระหน่ำ .. เป็นจริง ..
ความหนาวสะท้านจับหัวใจ .. เป็นจริง .. 

เวลาดำเนินไปเนิ่นนานเพียงใดฉันมิอาจรู้ได้ .. 

แต่แล้วฝนที่ซัดกระหน่ำเริ่มซา .. 
กลิ่นละมุนแห่งไอดินชุ่มฉ่ำโรยตัวอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ ..
หอมชื่น .. 

ฉันลืมตา .. 
สายฝนพรำเป็นริ้วม่านฟ้า .. 
อวดเสน่หาเย็นเยียบ .. 

ลมสงบ .. 
พายุผ่านพ้นไปแล้ว .. 

ฉันส่ายสายตารอบตัว ..

ต้นโมกข์พ้นผ่านแรงแห่งลม ..
กิ่งก้านหักโค่น ..
ดอกสีขาวร่วงกระจาย ..

ริ้วม่านฟ้าเริ่มจางหาย .. 
จนขาดเม็ด ..

ท้องฟ้าโปร่ง ..
ระยิบระยับด้วยแสงแห่งอัญมณี .. 
เพชรน้ำเอกเพียงหนึ่งเดียวประทับ ณ กลางท้องฟ้า .. 

ฉันยิ้มให้ภาพเบื้องหน้า ..

เช่นนี้เอง ..
หลังพายุซา .. 

ฉันดื่มด่ำอิ่มเอมกับบรรยากาศยามพายุผ่านพ้น .. 
จนชุ่มฉ่ำใจ .. 

พลางปลอบใจต้นโมกข์ที่หักโค่นด้วยแรงแห่งพายุ .. 
พรุ่งนี้เจ้าจะแตกกิ่งก้านใหม่ ..
ผลิดอกขาวบานสะพรั่งหอมกรุ่น ..
หากเจ้าแกร่งพอจะอยู่ท่ามแรงลมพายุได้ .. 
โดยมิพังพินาศ ..
เจ้าจะได้รับของขวัญร่วมกับฉัน ..

.. คำอธิษฐานต่อดาวตกสัมฤทธิ์ผล .. 

ฉันหันหลังเดินกลับมายังเตียงนอน ..
โดยไม่ปิดหน้าต่าง .. ไม่ปิดม่าน .. 

ทอดตัวนอนบนเตียงนุ่ม .. 
ใต้ผ้าห่ม ..

ทอดสายตามองประกายระยิบระยับบนท้องฟ้า .. 

รู้สึกถึงกระแสเลือดที่ฉีดพล่านทั่วร่าง ..
ได้ยินเสียงหัวใจดวงเล็กเต้นแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ .. 

อบอุ่นแผ่ซ่าน .. 

ฉันหลับตาด้วยรู้สึกอิ่มเอม ปิติ .. 

มันคงเป็นรางวัลหลังพายุผ่านพ้น .. 

รางวัลสำหรับฉัน ..  

				
24 มิถุนายน 2549 13:50 น.

.. วันที่ไม่มีอะไร ..

keekie

.. เดินทางมานานๆ  ฉันเริ่มเห็นด้วยกับถ้อยคำที่เคยอ่านเจอในหนังสือว่า .. 
เราควรมีวันหยุดคิดและหยุดเจออะไรใหม่ๆ .. เพื่อพักบ้าง ..
หลายคนใช้วันอย่างนี้เป็นวันซักผ้า .. อ่านหนังสือ .. จิบกาแฟ ..
หยุดหาอะไรใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจ .. 
พักหัวใจให้กลับไปเต้นในจังหวะเดิม แล้วค่อยออกเดินทางอีกที .. 


ลืมตาตื่นมาเพราะได้ยินเสียงตอกตะปูดังแว่วอยู่ปลายหู ..
มันค่อยดังขึ้นๆ ตามระดับสติสัมปะชัญญะของฉันที่เริ่มฟื้นตัวจากการหลับลึก .. 
.. ทำให้ฉันได้รู้ตัวว่า เสียงที่กำลังได้ยินนั้นมันเป็นความจริงมิใช่ความฝัน ..  

หลายครั้งที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในที่ๆ มิใช่ห้องนอนของตัวเอง ..
แต่น้อยครั้งนักที่เมื่อลืมตา .. ภาพที่ปรากฏตรงหน้าจะกลายเป็นขื่อไม้เก่าๆ อันเขื่องกับหลังคาทรงสูง .. ฉันกวาดสายตารอบตัว .. พบว่าตัวเองนอนซุกตัวอยู่บนเตียงในมุมหนึ่งของห้องโถงโล่งกว้างกลางบ้านแบบสมัยเก่า บนฝาบ้านมีแต่ภาพถ่ายบรรพบุรุษเก่าๆ และภาพถ่ายของลูกหลานติดเต็มพื้นที่ ซึ่งหากได้เดินไปพินิจดูใกล้ๆ จะมีรูปเด็กหญิงตัวดำๆ ในชุดกางเกงขาสั้น ยิ้มฟันหลอ .. อยู่ด้วย .. 

โป๊กๆๆๆๆๆ ..  เสียงตอกตะปูดังขึ้นอีกระลอก 
ฉันลุกขึ้นจากเตียงเดินหาที่มาของเสียง .. จนเมื่อฉันโหนตัวกับลูกกรงพยายามก้มลงไปมองบริเวณใต้ถุนบ้าน .. ภาพที่เห็นคือปู่กำลังง่วนอยู่กับการทำราวบันได โดยใช้ไม้หน้าสามหยาบๆ ตอกติดกับซี่ลูกกรงที่ไสพอเป็นรูปทรงสวยงาม .. 

หิวข้าวหรือยัง? ..  เสียงถามเป็นภาษาพื้นเมืองที่ดังขึ้นด้านหลัง .. ทำฉันสะดุ้งจนแทบหัวคะมำตกลงไปใต้ถุนบ้าน

ปู่ทำอะไรแต่เช้าคะ? .. อยากจะถามเป็นภาษาใต้เหมือนกันแต่ก็จนใจ แค่ฟังได้นี่ก็นับว่าบุญแล้ว 

สร้างเรือนหลังเล็ก ..  คำตอบดุจเป็นเรื่องธรรมดาที่ชายชราอายุ 90 ปี จะสร้างเรือนสักหนึ่งหลังด้วยตนเอง				
17 มิถุนายน 2549 01:09 น.

ผ่านสายลมและฝนโปรย ..

keekie

เป็นอีกหนึ่งครั้งในหลายครั้งที่ฉันอยากซ่อนตัวจากความวุ่นวายทั้งปวง 
เพื่อแอบอยู่ในมุมสงบที่มีเพียงตัวเอง และครั้งนี้ฉันเลือกที่จะซ่อนตัวเองบนเกาะ
อย่างที่เคยมา ..

ทะเลทางใต้สวยงามนัก แม้จะต้องเดินทางไกลสักหน่อย 
แต่เมื่อได้มาเห็นผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาจรดขอบฟ้าฟากฝั่งโน้น .. 
ทำให้ต้องแอบยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกชุ่มฉ่ำใจ .. 
ในที่สุดทั้งสองก็มาบรรจบพบกันจนได้ แม้มันจะเป็นเพียงภาพที่ฉันเห็น 
แต่นั่นก็สร้างความรู้สึกหวานลึกๆ ในหัวใจ .. ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน .. 

นั่งรถเก้าชั่วโมงจากกรุงเทพฯ  ฉันลืมตาตื่นขึ้นที่ท่าเรือดอนสัก .. ราวตีห้าครึ่ง .. 
ได้เวลาที่จะทักทายดวงตะวันที่กำลังไต่ขึ้นทางขอบฟ้าฟากโน้น .. สาดแสงสู่ท้องฟ้าและท้องทะเลทอประกายสีชมพู .. 				
11 พฤษภาคม 2549 13:56 น.

หิ่งห้อยร้อยแสงมิแรงนัก ..

keekie

ลงดีๆ นะคุณ .. 
ลุงคนเรือบอกเมื่อเห็นฉันกระย่องกระแย่งก้าวลงเรือแจวลำเล็ก 

ผมไม่ได้เอาเรือออกมาสองเดือนแล้ว ไม่รู้รั่วตรงไหนบ้างหรือเปล่า? 
คุณลุงสาธยายต่อ 

ฉันชะงักขณะกำลังก้าวขาจากท่าลงเรืออย่างระมัดระวัง .. 
แหม ลุงคะ ลุงพูดยังงี้หนูอุ่นใจจังเลย .. ฉันหยอก 
พอลงเรือได้ก็รีบชะโงกดูผืนน้ำในคลองเขิน .. มันมืดสนิท .. 
พลางเริ่มจินตนาการถึงอะไรก็ตามที่อยู่ใต้ผืนน้ำยามค่ำคืนเช่นนี้ .. 
บรื๋อออ .. 

ก็สมัยนี้เขาลงเรือยนต์กันทั้งนั้นนี่คุณ .. นี่คุณนึกยังไงถึงอยากนั่งเรือของผม .. 
คุณลุงคนพายเรืออธิบาย ในขณะที่มือก็ถ่อเรือล่องตามคลองไปเรื่อยๆ 

เรือยนต์เสียงดัง  หิ่งห้อยก็หนีหมดสิคะ .. ฉันตอบ
ฉันมองสองฟากฝั่งคลอง บ้านเรือนแต่ละหลังอยู่ไม่ห่างกันนัก
แสงจากหลอดไฟนีออนส่องสว่าง ..  
คืนพระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ .... ท้องฟ้ากระจ่างสวยงามนัก .. 

แสงสว่างแห่งดวงเดือนจะกลบแสงริบหรี่เล็กน้อยเสียหมด ..
อย่าว่าแต่แสงหิ่งห้อยเลย .. แม้ดาวสักดวงก็แทบมองไม่เห็น .. 
อะไรที่สวยงามมันก็คงมีสองคม .. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ล่ะมั้ง .. ว่าเราจะโดนคมไหนเข้า

คืนนี้เดือนหงาย .. คงไม่ค่อยได้เห็นนักหรอกคุณ  คุณลุงบอก

.. คืนเดือนหงาย .. 

.. เอ .. ฉันแทบจะลืมคำนี้ไปเสียแล้ว .. 
แล้วคืนเดือนคว่ำหน้าตาเป็นยังไงนะ? .. 

ไปไหน? .. เสียงตะโกนทักทายเป็นภาษาถิ่นเหน่อๆ ดังมาจากริมฝั่งคลอง ..
พาเขาไปดูหิ่งห้อย ..  ลุงตะโกนตอบ 
อ้อ .. จะเห็นเร้อ .. เดือนเต็มดวง ..  พูดพลางโบกไม้โบกมือ .. 
เออ ๆ  เดี๋ยวกลับมาคุยด้วย ..  ลุงตะโกนพลางโบกมือตอบ ..

ฉันนั่งอมยิ้ม .. ฟังเขาทักทายกัน ..
เอ .. คนข้างบ้าน .. นอกจากพี่เล็กที่ขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งฉันรู้จักเพราะต้องอาศัยฝากท้องบ้างเป็นบางมื้อแล้ว .. บ้านอื่นๆ ที่ติดกัน .. ฉันนึกไม่ออกแฮะ .. กลับจากทำงานเขาก็ปิดประตูเข้านอนกันหมดแล้ว วันหยุดถ้าไม่ออกไปไหนฉันก็มุดหัวอยู่แต่ในบ้าน .. ไม่รู้จะเอาเวลาตอนไหนเงยหน้าไปทักทายทำความรู้จักพวกเขา .. หรือคิดอีกทีอาจเป็นพวกเขาเองล่ะมั้งที่ทำงานกันงกๆ ซะจนไม่มีเวลาทำความรู้จักฉัน .. หรือคิดอีกแง่ ทั้งพวกเขาและฉันมันก็พอๆ กัน ..

คุณพายเรือเป็นหรือเปล่า? .. ลุงชวนคุย
ก็พอได้ค่ะ .. ยิ่งพายเรือในอ่างด้วยแล้ว .. ถนัดนัก   ฉันตอบ .. 
ได้ยินเสียงลุงหัวเราะหึหึในลำคอ .. 

มันก็อยู่ที่คุณ .. คุณรู้ตัวไหมว่าคุณพายเรือไปทำไม? .. ลุงตั้งคำถาม .. 
มีด้วยหรือคะ .. คนเราทำอะไรไม่รู้ตัว? .. ฉันถามกลับ
ก็นั่นแหละ คุณรู้หรือเปล่าล่ะ? .. ลุงยังคงย้อนถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

ฉันนิ่งคิด .. 

นั่นสินะ .. ทุกวันที่ไปทำงานหรือไปไหนมาไหนก็ขับรถไป ..
ในชีวิตประจำวันของฉันมันก็จำเป็นต้องใช้แต่ถนนหนทาง ..
คลองในเมืองหลวงน่ะเท่าที่รู้ก็มีแต่คลองแสนแสบที่ยังพอมีเรือ หนำซ้ำยังเน่าเหม็นเสียอีกด้วย .. 
แล้วฉันจะพายเรือไปทำไมหนอ? .. 

นั่นไงคุณ .. ลุงชี้ไปที่ต้นไม้ข้างหน้าฉัน .. แล้วหยุดเรือใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
ฉันพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืด .. มองเห็นดวงไฟเล็กๆ พราวระยับจับยอดไม้
หิ่งห้อยตัวน้อยร้อยเรียงแสงที่พอมีในตัว .. 
พวกมันทำเพื่ออะไรหนอ? .. 

คงเพื่ออะไรสักอย่างที่ฉันไม่เคยรู้ .. 
แม้จะมีใครบอกถึงเหตุผลใดๆ ตามหลักทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ว่า ..
เหตุใดหิ่งห้อยน้อยถึงมีแสงสว่างในตัวเอง .. 

แต่ความจริงใครจะรู้ว่าแสงสว่างที่พวกมันมีนั้นเพื่ออะไร? ..
คงมีแต่พวกมันเท่านั้นกระมังที่รู้ .. และพวกมันก็เจรจาภาษามนุษย์ไม่ได้เสียด้วย .. 

คงมีแต่พวกมันเท่านั้นที่รู้ .. แสงสว่างในตัวของมันนั้นมีเพื่ออะไร?

ลุงคะนั่นใช่ต้นลำพูหรือเปล่า?  ฉันถามพลางนึกถึงอมตนิยายเรื่องดัง .. 
ใช่ ...  ลุงตอบ .. 
ลุงคะแล้วหิ่งห้อยจะอยู่เฉพาะใต้ต้นลำพูจริงหรือเปล่าคะ?..  คำถามพาซื่อ
ส่วนใหญ่พวกมันก็อยู่ใต้ต้นลำพูแหละ แต่วันนี้ลมแรง พวกมันก็กระจัดกระจายไปต้นโน้นบ้างนี้บ้าง ตรงนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เดี๋ยวไปฟากนั้นดีกว่า ..  ลุงตอบแล้วถ่อเรือเคลื่อนไปข้างหน้า ..

เรือพาเราเคลื่อนออกห่างจากกลุ่มบ้านเรือน .. ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนแล้ว 
จันทร์เจ้าส่องสว่างกระจ่างฟ้าทอดแสงทาบบนยอดไม้ .. 
ก่อให้เกิดเงาทอทอดตัวลงบนระนาบผิวน้ำ .. เงาที่แกว่งไกวไหวเอนตามแรงลม

ฉันยิ้มกับตัวเอง .. 
นับเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่ได้พายเรือเลียบคลองยามค่ำคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้ ..

คุณไม่กลัวหรือ? ..  เสียงลุงถามทำลายความเงียบ
กลัวอะไรคะ?..  นอกจากไม่รู้สึกกลัวแล้ว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรที่ฉันควรกลัว
ผมเห็นสาวๆ เขากลัวความมืด .. พามาได้ไกลที่สุดก็ต้นไม้ตะกี้นั่นแหละ หากเลยมาถึงนี่ก็ไม่ไหวแล้ว ร้องให้พากลับบอกว่ามืด ขนาดมากันหลายคนนะนั่น ..  คุณลุงเล่ายาวเหยียด

ฉันหัวเราะ .. ถ้าร้องหนูคงร้องว่า อย่าเพิ่งพากลับได้ไหมคะ .. ไปอีกๆ .. 
นั่นไงคุณ .. ลุงชี้มือไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็คงต้นลำพูอีกนั่นแหละ 

ฉันจ้องมองแสงกระพริบวิบวับบนยอดไม้ .. ไม่สูงนัก ..
นึกถึงต้นคริสมาสต์ในหนังฝรั่ง ..
แต่เนี่ยสวยกว่าเยอะ .. 

ลุงเอื้อมมือรั้งกิ่งไม้เข้ามาใกล้ฉัน ..

อยู่ตรงนี้ตัวนึง .. คุณเห็นไหม?..  ลุงส่งกิ่งไม้นั้นมาให้

ฉันพยักหน้า ..
ตามองแสงริบหรี่วิบวับปลายใบไม้ .. 
ทำไมมันถึงอยู่ตัวเดียวหนอ .. ทั้งที่เพื่อนๆ อยู่กันบนโน้น .. 
หากแต่แม้มีมันเพียงตัวเดียว .. แสงสว่างในตัวเองก็มิได้หายไป ..
มันยังคงเปล่งแสง .. 

ลมพัดมาวูบใหญ่ .. 
แรงจนทำให้เรือโคลง ...

เห็นทีต้องกลับแล้วคุณ ฝนท่าจะตก ..  ลุงบอกพลางปล่อยกิ่งไม้กิ่งนั้น

ค่ะ ..  ฉันรับคำแม้ใจจะยังไม่อยากกลับ

ลุงพาเรือเคลื่อนฝ่าความมืดทวนกระแสน้ำกลับ ..
ฉันปล่อยมือระผิวน้ำชุ่มฉ่ำ ..

แม้กระแสน้ำไม่อาจไหลย้อนกลับ ..
แต่คนเราก็ยังคงหาวิธีทวนกระแสน้ำให้จงได้อยู่นั่นเอง .. 

พรุ่งนี้คุณไม่ทำงานหรือ?  ลุงเอ่ยถามทำลายความเงียบ
ไม่ค่ะ อยากหยุด  ฉันตอบโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
ท่าทางคุณดูเหนื่อยๆ ..  ลุงเลียบเคียง
ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ .. แค่เบื่อน่ะ  ฉันตอบตรงๆ อย่างไม่คิดจะปิดบังใดๆ 

คนเราก็ยังงี้ .. คุณเบื่อชีวิตคุณ .. ผมก็เบื่อชีวิตผม .. แต่ถ้าจะให้ผมแลกชีวิตผมกับใคร ผมก็ยังคงเลือกที่จะมีชีวิตอย่างเดิมอยู่ดี .. และในความเป็นจริงมันก็แลกกันไม่ได้เสียด้วย ..  ลุงอธิบายยืดยาว

ฉันยิ้ม .. นึกถึงคำของ   JERRY   MCGUIRE    พระเอกจากหนังเรื่องที่เคยดู

ชีวิตของผมล้มเหลวพอๆ กับ ประสบความสำเร็จ ...
แต่ .. ผมก็รักชีวิตของผม ..  

แม้ชีวิตฉันจะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ .. ฉันก็ยังรักชีวิตของฉัน .. ซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยความหวังตลอดมา .. 

ลุงไม่ได้เอาเรือออกมานาน แล้วมีรายได้จากไหนล่ะคะ ..  ฉันชวนคุย
ผมตื่นแต่เช้าขึ้นตาลทุกวัน พวกที่ตลาดเขามารับไปขายน่ะ .. ผมไม่เดือดร้อนหรอก .. แม่บ้านผมเขาก็ขายของอยู่หน้าบ้าน ร้านอาหารเล็กๆ น่ะ

ฉันยิ้มอีก กับคำว่า .. แม่บ้าน .. วิธีเรียกคนใกล้ชิดของลุงน่ารักชะมัด

ลูกชายผมก็ช่วยด้วย อยู่ที่บ้านกันเนี่ยแหละ ป่านนี้ยังไม่มีครอบครัวอายุปาเข้าไป 34  แล้ว ก็อยู่แต่กับบ้านแบบนี้จะมีครอบครัวได้ยังไง   ลุงยังคงเล่าเรื่อยๆ

แหมลุงคะ คนจะมีอยู่ที่ไหนมันก็มี ดูแต่หนูสิตระเวนไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ .. แล้วไง? ..  ฉันปลอบใจแก   เอ .. หรือปลอบใจตัวเองหว่า? .. 

ได้ยินเสียงลุงหัวเราะหึหึในลำคอ

ลุงขึ้นตาลตรงไหนคะ ..  ฉันเปลี่ยนเรื่อง ชักอยากเห็นลุงขึ้นตาลเสียแล้ว
ก็สวนข้างพี่พักคุณนั่นแหละ ..  ลุงตอบ
อ้อ .. แล้วพรุ่งนี้ลุงขึ้นตาลหรือเปล่า?..  ฉันถามอีก
ทุกวันแหละคุณ แวะมาสิ ผมจะทำน้ำตาลสดให้คุณชิม ..  แน๊ะ มีชวนอีกแฮะ .. 
 
นั่นคุณต้นหมากเตี้ยๆ นั่นหิ่งห้อยเยอะเชียว .. ลุงหยุดพายเรือชี้ชวนให้ดูหิ่งห้อย
ฉันมองตามมือชี้ชวน ..
เห็นแสงวิบวับจับตัวเป็นกลุ่มก้อนใต้ต้นหมากเตี้ยเกือบระผิวน้ำ ..
น่าจะใช้คำว่า เป็นประกายระยิบระยับจับตา .. 

แสงเล็กๆ .. เรื่อเรืองเพียงน้อย .. 

.. หิ่งห้อย .. 

ขอบคุณนะคะลุง .. พรุ่งนี้หนูจะแวะไปชิมน้ำตาลสดแต่เช้า ..  ฉันกล่าวขอบคุณ 
ได้คุณ .. รีบเข้าบ้านเถอะ .. ฝนลงแล้ว ..  ลุงใจดีบอก .. 
ค่ะ ..   ตอบรับแต่ยังคงยืนอยู่ริมท่าตามองเรือของลุงค่อยๆ หายไปในความมืด

ฝนเริ่มทยอยลงเม็ด .. 
ฉันเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังต้นหมากเตี้ยต้นนั้น ..
เห็นเพียงแสงวิบวับเพียงน้อยนิดจากเจ้าหิ่งห้อยพวกนั้นผ่านม่านฝน ..

แม้ปากจะบอกว่าที่ดั้นด้นมาถึงนี่เพื่อมาดูแสงแห่งหิ่งห้อย ..
แต่ความจริงมีฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า .. ฉันมาที่นี่ทำไม? .. 

และแม้จะไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อดูแสงแห่งหิ่งห้อยเหล่านั้น
หากแต่ฉันก็ดีใจที่ได้มาเพื่อรับรู้ว่า .. 

แสงแห่งหิ่งห้อยอันริบหรี่นั้น .. 
แม้จะไม่ได้ให้แสงสว่างเรืองโรจน์เป็นประโยชน์แก่ผู้ใด ..
และฉันยังคงไม่รู้ว่าพวกมันมีแสงสว่างในตัวเองเพื่ออะไร? ..
แต่สิ่งที่ฉันได้เห็นกับตาเวลานี้ .. 
แสงวิบวับยังคงระยิบระยับผ่านม่านฝน .. 

ทำให้ฉันได้รู้ว่า .. 



สิ่งเล็กน้อยที่คงมั่น 
ไม่ไหวหวั่นสั่นหายกับสายลม
ระยิบระยับวับวาวแม้ขืนข่ม
มิมลายสลายล่มแม้ไม่สมใจ .. 


ฉันยิ้มให้กับตัวเอง .. สายฝน .. ลมแรง .. 
และแสงริบหรี่เล็กๆ เหล่านั้น .. 

พรุ่งนี้ฉันจะกลับเข้าสู่ชีวิตของฉัน ..
นำแสงริบหรี่เหล่านั้นมาจุดประกายสว่างในหัวใจ ..
และแรงแห่งลมจะพัดกระพือโหมให้แสงสว่างนั้นลุกโชติช่วง .. 
สายฝนชุ่มฉ่ำจะเตรียมไว้ .. หากแสงสว่างแห่งไฟในใจนั้นลุกโชติช่วงจนร้อนรุ่ม .. 

ขอบคุณแสงริบหรี่เล็กๆ ที่ต่อเติมประกายในใจมิให้ดับมอด .. 

ฉันยังคงยืนมองแสงริบหรี่วิบวับผ่านม่านฝน ..				
18 เมษายน 2549 20:40 น.

.. พัน - ผูก ..

keekie

เกิดเพื่อตาย อยู่เพื่อพลัดพราก
	ผูกพันเพื่อลาจาก สร้างเพื่อผุพัง
	มีวันเวลาและนาฬิกาคอยเตือนว่า ..
	ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง .. และจะผ่านพ้นไป  ..


	"หัววุ้นหายไปไหนแล้ว .. "  เสียงแม่ถามทันที่ที่ฉันก้าวเข้าบ้าน
	เจ้าหัววุ้นคือปลาทองตัวอ้วนน่ารักที่ฉันเพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วันพร้อมตู้ใบใส .. 
		
	"ยกให้พี่เล็กไปแล้ว .. "  พี่เล็กคือคนข้างบ้าน
	"อ้าว .. ทำไมล่ะ? "  แม่ร้องถามเสียงดัง
	"ไม่อยากเลี้ยงแระ .. "  ฉันตอบแล้วเดินเข้าห้องปิดประตู
	ได้ยินเสียงแม่พึมพำตามหลัง   "อะไรของมัน? นับวันจะยิ่งเพี้ยนขึ้นทุกวัน .. " 

	ฉันวางกระเป๋าลงบนพื้นข้างๆ เจ้าตุ๊กตาหมาสีขาวตัวยักษ์ ..
	
	นั่งจมอยู่เป็นเพื่อนกับความเงียบ ..  

	.............. 

	.......
	....

	รื้อชั้นวางอัลบั้มรูป .. 
	ตะกุยๆๆๆๆๆ .. (แหม ทำยังกะเป็นเจ้าด็อก) .. 
	จนพบเล่มที่มีหมึกสีน้ำเงินเขียนไว้ด้านหน้าอัลบั้มว่า .. 

	.. สัตหีบ  เมษายน 2547 .. 

	เปิดหน้าแรก .. 
	รูปหมาลาบราดอร์สีครีมตัวโต .. กำลังยกขาหน้าสวัสดีต่อหน้ากล้อง .. 
	กับอีกรูป มันกำลังกัดแทะกระดูกไก่ที่ฉันแวะซื้อจากตลาดไปฝากมัน .. 
	
	ฉันยิ้มให้กับ .. เจ้าบิ๊ก .. 
	นึกถึงวันแรกที่ฉันไปอุ้มมันมาจากแถวสุขุมวิท .. 
	ฉันไปพบมันตอนเข้าไปดูไซด์งาน .. 

	"ไอ้หย๋า .. มันออกทีครอกนี้สามตัว จะเลี้ยงยังไงไหว? .. ลื้อขายๆ มันไปเห๊อะ .. " 
	เสียงอาแปะเจ้าของร้านกาแฟใกล้ๆ ดังลั่นหน้าร้าน
	ฉันหันไปมองตามเสียงพบเด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมีเจ้าหมาสามตัวเล็กในอ้อมกอด
	เธอส่ายศีรษะช้าๆ .. เป็นทีบอกว่าไม่มีทางที่เธอจะขายพวกมัน
	"ถ้าลื้อไม่ขายมันไปนะ อั๊วจะเอามันไปปล่อย .. ที่มีอยู่นี่ก็เลี้ยงกันไม่ไหวแล้ว .. " 
	เด็กสาวเริ่มร้องไห้กระซิกๆ .. 

	ในที่สุดด้วยความสงสารฉันก็เลยอุ้มเจ้าตัวพี่ใหญ่สุดกลับบ้าน
	โดยสัญญิงสัญญากับเด็กสาวเจ้าของมันว่าจะกลับมารับเจ้าตัวน้องอีกสองตัวในวันหลัง
	จะดูแลมันอย่างดีและอนุญาตให้เธอไปเยี่ยมมันได้ในทุกเวลาที่เธอคิดถึงพวกมัน ..

	ก้าวแรกที่ฉันอุ้มเจ้าบิ๊กเข้าบ้าน .. 

	"ไปเอามันมาจากไหน? .. อย่าบอกนะว่าจะเลี้ยงมันที่นี่ .. ไม่ -ได้ ..
	ที่นี่บ้านคนนะไม่ใช่สวนสัตว์ .. พามันออกไปเลย .. " 
	ไม่ใช่ใครที่ไหน .. แม่ของฉันเอง ท่านเกลียดการเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดในโลก
	แม้แต่มดและแมลงสาปในบ้านฉันยังไม่มีซักตัว ..
	เพราะพวกมันคงได้ยินกิตติศัพท์ถึงการเกลียดพวกมันของแม่ฉัน
	จนขนหัวลุกไปตามๆ กัน ไม่กล้าเยื้องกรายเข้ามาพักพิงในบ้าน .. 
	
	ฉันจึงพามันไปฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านพ่อ .. ยังไงซะพ่อฉันก็รักหมาล่ะน่า .. 
	แต่เจ้าบิ๊กมันอยู่ได้ไม่กี่สัปดาห์ .. ฉันก็ต้องพามันระเห็จหาที่อยู่ใหม่ 
	เพราะมันโตเร็วมาก .. ตัวมันใหญ่เอาการ .. บวกกับความขี้เล่นของมัน
	ที่ชอบกระโจนใส่คนที่เดินผ่านไปมาหน้าบ้านจนทุกคนกลัวมัน ..
	ไม่มีใครไว้ใจหมาซักคน .. 

	และบรรดาคนที่บอกว่ารักหมานักหนา .. ก็ไม่มีใครยอมรับมันไปเลี้ยง 
	เหตุผลเพราะ .. ไม่ชอบหมาสาวๆ .. จะเลี้ยงเฉพาะหมาหนุ่มๆ เท่านั้น .. 

	ในที่สุดฉันจึงต้องลากมันขึ้นรถ ..
	พามันไปอยู่ถึงไซด์งานที่สัตหีบ .. ฝากให้พี่อ่ำช่วยดูแลมัน

	ฉันขับรถไปเยี่ยมมันทุกวันเสาร์ .. และในระหว่างสัปดาห์บ้างหากต้องไปทำงาน
	และอีกไม่นานฉันก็อุ้มไอ้เจ้าน้องสาวสองตัวของเจ้าบิ๊กไปอยู่ที่นั่นด้วย ..
	พวกมันได้กลับมารวมพี่น้องกันอีกครั้งหลังจากพลัดพรากกันตั้งแต่เกิด
	หากแต่พวกมันก็ขาดพ่อกับแม่อยู่ดี .. 

	ชีวิตก็อย่างนี้ .. ตอนมีชีวิตอยู่ก็เลือกอะไรไม่ได้มากนักหรอกเจ้าหมาเอ๊ย .. 

	น้องสาวสองตัวของเจ้าบิ๊กขี้โรค .. มันอยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากไปด้วยโรคพยาธิ .. 
	
	ชีวิตก็อย่างนี้ .. หนีการพลัดพรากไม่พ้นหรอกเจ้าหมาเอ๊ย .. 
	ไม่พรากเป็นก็พรากตาย .. 

	เจ้าบิ๊กซึมเซาลงไป .. 
	ยามฉันไปหามัน .. มันก็จะกระโจนเข้าใส่ ตะเกียกตะกายพยายามแลบลิ้นเลียหน้าฉัน
	มันคงเห็นฉันเป็นญาติคนสุดท้ายของมันที่เห็นมันมาตั้งแต่เกิดล่ะมั้งนะ .. 
	
	ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปในรถ .. หวังจะเก็บรูปมันไว้เป็นที่ระลึกยามฉันไม่ได้มาหามันที่นี่ .. 
	ยามฉันคิดถึงมัน .. กดชัตเตอร์ .. แช๊ะ .. 

	"อย่าถ่ายรูปมันลูก .. โบราณเขาถือ .. ถ้าถ่ายรูปสัตว์เลี้ยง .. เดี๋ยวมันจะตาย .. "  
เสียงพ่อปรามฉัน แต่ช้าไปแล้ว .. ฉันกดชัตเตอร์ไปแล้วนี่นา .. 
	
	สิ่งที่พ่อพูดจะจริงหรือไม่ .. ฉันก็ไม่รู้ ..
	แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ .. 

	พี่อ่ำโทรศัพท์มาบอกหลังจากนั้นไม่กี่วันว่า ..
	เจ้าบิ๊กโดนเบื่อยา .. มันชอบกระโจนใส่คนที่เดินผ่านไปมาเพราะอยากเล่นด้วย .. 
	แต่ทุกคนกลัวมัน .. ไม่มีใครไว้ใจหมา .. 

	ชีวิตก็อย่างนี้ .. เกิดมาเพื่อตาย .. 
ฉันไม่ไปแม้แต่จะไปเพื่อจัดการกับร่างของมันเป็นครั้งสุดท้าย
ต้องให้พี่อ่ำเป็นคนจัดการให้ โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาทำยังไงกับมัน .. 

	สิ่งเดียวที่เจ้าบิ๊กทิ้งไว้ให้ฉันก็คือรอยอาลัยในใจฉันให้ได้คิดถึงมันมาจนทุกวันนี้ .. 

	ก๊อกๆๆๆๆ .. เสียงเคาะประตูห้อง ..
	ฉันลุกขึ้นมาเปิดประตู .. 

	"ฉันไปเอาเจ้าหัววุ้นกลับมาแล้วนะ .. อยู่ดีๆ ไปยกให้เขาทำไม? .." 
	ไม่รู้แม่จะมาบอก หรือจะมาถามกันแน่ .. 

	"หนูไม่เลี้ยงแล้วนะ .. ถ้าแม่จะเลี้ยงก็เอามันไปไกลๆ อย่าให้หนูเห็นมันอีก .. "
	ฉันบอกแม่ .. 
	"อ้าว ทำไมล่ะ .. ไม่อยากเลี้ยงแล้วไปซื้อมันมาทำไม ..? " แม่ถามเสียงดัง
	"ไม่รู้ล่ะ .. เอามันไปให้พี่เล็กเลี้ยงเถอะ .. แล้วบอกพี่เขาด้วย ..
	ว่าไม่ต้องส่งข่าวคราวว่ามันเป็นยังไง .. จะโตขึ้นหรือว่าจะ .. .. .. .. "  ฉันหยุดแค่นั้น
	"แม่เอามันไปให้เขาเถอะ .. อย่าเลี้ยงเลยนะแม่นะ .. "  ฉันอ้อนแม่ .. 
	"เออก็ได้ อะไรของมัน? .. "  แม่บ่นพึมพำๆ แล้วหันหลังเดินไป
	
	ฉันกลับมานั่งที่เดิม .. 
	หยิบรูปหมาลาบราดอร์สีครีมตัวโต .. 
	นึกถึงความน่ารัก ขี้เล่นของมันแล้วอดยิ้มไม่ได้ .. 
	.. ฉันน่าจะดูแลมันได้ดีกว่านี้ .. หากฉันก็ทำได้เพียงแค่นั้น .. 
	

	
	เ กิ ด เ พื่ อ ต า ย   อ ยู่ เ พื่ อ พ ลั ด พ ร า ก

	ผู ก พั น เ พื่ อ ล า จ า ก   ส ร้ า ง เ พื่ อ ผุ พั ง

	มี วั น เ ว ล  า แ ล ะ น า ฬิ ก า ค อ ย เ ตื  อ น ว่ า   . .

	ทุ ก อ ย่ า ง  เ กิ ด ขึ้ น จ ริ ง   .  .   แ ล ะ จ  ะ ผ่ า น พ้  น ไ ป  ..


	ห า ก ไ ม่ อ ย า ก พ  ลั ด พ  ร า ก ..  เ ร า ก็ ไ ม่  ค ว ร อ ยู่  ด้ ว ย กั น ..

	ห า ก ไ ม่ อ ย า ก  ล า จ า ก ..  เ ร า ก็ ไ ม่ ค ว ร  ผู ก พั น   . . 

	วันเวลาและนาฬิกาคอยเตือนว่า .. จงใช้ทุกวินาทีให้มีคุณค่าที่สุด
	สูดหายใจเข้า .. ถอนหายใจออก .. เข้า - ออก .. เข้า - ออก .. 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
  keekie
ไม่มีข้อความส่งถึงkeekie