29 มีนาคม 2549 22:35 น.
judas
แสงแฟลชวูบวาบสะท้อนที่ใบหน้า แม้ไม่มากเท่าเวลาถ่ายพวกนักการเมืองหรือดารา แต่ก็มากทีเดียว สำหรับ ..อาชญากร..
.
กุญแจมือล๊อกสองมือของผมไว้ไพล่หลัง ตำรวจสองนายประกบซ้ายขวาลงจากรถ ข่าวอดีตมือปืนระดับพระกาฬถูกจับกุมได้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว นักข่าว ญาติผู้ตาย พากันมาออเต็มโรงพักที่ผมจะถูกเอามาฝากขัง..
.
ผลัวะ หน้าสะบัด ชาดิก หันไปมองมือที่ตบ มือเล็กเรียวได้รูป เจ้าของมืออยู่ในชุดนักศึกษา น้ำตานองหน้า ไว้ผมยาว หมวย ขาวจนอมชมพู ใช้เวลาชั่วแวบผมก็จำได้ ทั้งๆที่ผมไม่ค่อยใส่ใจจำหน้าใครต่อใครนัก ยกเว้น ..เหยื่อ..
.
แกจำชั้นได้ไหม จำได้ไหม เธอยังคงกรีดร้อง ปราดเข้ามาทุบ ปากก็ด่า ไอ้สารเลว แกยิงพ่อชั้น ห้าปีก่อนแกยิงพ่อต่อหน้าชั้น แกจำได้มั๊ย
.
..จำได้สิ ทำไมผมจะจำไม่ได้ เหยื่อรายสุดท้ายก่อนผมจะวางมือ..
..............................................................
เปรี้ยง ร่างท้วมของชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเหลืองสำหรับใส่ในบ้านทรุดฮวบ มือกุมคอ เลือดทะลักเป็นลิ่ม ส่งเสียงคร่อกๆอยู่ในลำคอ สำลักเลือด..
.
เปรี้ยง ผมยิงซ้ำเข้าไปอีกนัด คราวนี้เข้าที่ขมับซ้าย หัวกระจุย เศษกระโหลก คราบเลือดและเนื้อสมองกระเซ็นไปโดนฝาผนัง ห่างไปไม่ไกลสาวหมวยผมสั้นหน้าตาน่ารัก อายุราว 15 อยู่ในชุดนอนยืนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิด
.
กรี๊ดดดดดดดด หลังจากได้สติเธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ทำอะไรไม่ถูกกับภาพที่เกิดตรงหน้า
.
ผมคว้าขวดใส่ยาผงสีขาวใบเล็กบนโต๊ะใส่ลงกระเป๋ากางเกง หันหลังวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่จะมีใครมาตามเสียงกรีดร้อง วูบหนึ่งที่ฉุกใจคิด ทำให้หันกลับ คว้าแก้วน้ำส้มบนโต๊ะติดมืออกมาก่อนสาดโครมเข้าไปในพุ่มไม้ประดับริมรั้ว แก้วถูกขว้างทิ้งแตกกระจายหลังจากพ้นรั้วบ้านมาไม่ไกล
.............................................................
ผมเดินเกือบถึงประตูโรงพักแล้ว แต่เสียงเธอคนนั้นยังคงตะโกนอยู่ด้านหลัง แม้ญาติและเพื่อนเธอจะฉุดเธอเอาไว้ไม่ให้พุ่งมาถึงตัวผม
แกทำลายชีวิตชั้น
.
แกรู้มั๊ย ว่าตั้งแต่วันนั้นชีวิตชั้นบัดซบแค่ไหน
.
เด็กที่เหลือพ่อเพียงคนเดียว แล้วพ่อก็มาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา แกรู้ไหมว่าการมีชีวิตต่อไปแต่ละวันมันยากยังไง เสียงนั้นกรีดร้องเจือร้องไห้ จนฟังดูโหยหวน.. หดหู่..
.
ผมรู้ดี ว่าวันนั้นผมทำอะไรลงไป
.........................................................
มองผ่านหน้าต่างกระจก เห็นชายร่างท้วมในชุดเหลืองบรรจงเอายาผงสีขาวละลายลงในน้ำส้ม เด็กสาวในชุดชมพูยืนดูอย่างสนใจ
.
เอ้า กินซะนะ จะได้หายปวดท้อง เลื่อนแก้วมาวางไว้ตรงหน้าเด็กสาวก่อนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
.
ผมกระชากปืนออกจากเอวถีบประตูเปรี้ยง พรวดเข้าเกือบถึงตัวแล้วลั่นไก!!!
.....................................................
ก่อนจะเดินเข้าไปโรงพัก ผมหันไปสบตา เด็กหญิงคนนั้น ซึ่งบัดนี้เป็นสาวเต็มตัวในชุดนักศึกษา
.
สำนึกผิดรึไง นายตำรวจที่ยืนประกบอยู่ข้างๆถามเสียงเยาะๆ
.
ผมคร้านที่จะตอบอะไร
.
......................................................
ก่อนวันลงมือ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มืออาชีพอย่างผม ต้องหาข้อมูลเหยื่อให้ละเอียดที่สุด งานแบบนี้ มักไม่มีโอกาสซ้ำสอง คำว่า พลาด มีความหมายไม่ห่างนัก กับคำว่า ตาย
.
ดักฟังโทรศัพท์มือถือก็เป็นอีกทักษะหนึ่งที่ผมเรียนรู้สำหรับใช้ในอาชีพมือปืน
.
ยาที่ให้ไปได้ผลมั๊ย เสียงเพื่อนไอ้เสี่ยที่เป็นเหยื่อของผมถามมาตามสาย
.
อั๊วยังไม่ได้ลองเลยว่ะ ว่าจะลองพรุ่งนี้
.
เฮ้ย เกิดเปลี่ยนใจหรือไงวะ ถ้ายังไงยกให้อั๊วก็ได้นะ ขาวหมวย เด็กๆยังงี้น่ะ อั๊วชอบ ฮ่าๆ
.
เรื่องอะไรจะยกให้ง่ายๆวะ เลี้ยงมาตั้งสิบกว่าปี ลูกก็ไม่ใช่ ติดแม่มันมา ได้เวลาถอนทุนคืนซะที สวยกว่าแม่มันที่ตายไปซะอีกนะโว้ย
.
เด็กมันไม่รู้เหรอวะ ว่ามันไม่ใช่ลูกแท้ๆลื้อน่ะ
.
ไม่หรอก แม่มันขอไว้ไม่ให้บอก กลัวลูกจะมีปมด้อย มันก็ยังนึกอยู่ ว่าอั๊วน่ะ เป็นพ่อแท้ๆ
.
เด็กมันวางใจขนาดนี้ก็ปล้ำเลยสิ.. จะเอายาปลุกไปใช้ทำไมให้เรื่องมากอีกวะ
.
อั๊วชอบแบบสมยอมว่ะ เอาแบบลูกสาวเคลิบเคลิ้มไปกับความต้องการ..จนสุดท้ายยอมมีอะไรกับคนที่คิดว่าเป็นพ่อแท้ๆ ได้อารมณ์ดี ฮ่าๆๆๆ เสียงหัวร่อฟังน่าขัดหู..
.
.
ผมตัดสินใจเลื่อนวันลงมือให้เร็วกว่าวันที่วางแผนไว้หนึ่งวัน..
............................................................
แกมองทำไม แกจำชั้นได้รึยัง ไอ้สารเลว เด็กผู้หญิงคนที่แกฆ่าพ่อเค้ายังไงล่ะ เสียงนั้นยังคงกรีดก้อง เธอยังกรีดร้อง
.
ผมสบตากับเธอ ด้วยสายตาที่เฉื่อยชา เฉยและเศร้า สายตาที่ผมรู้..ว่าเธอไม่มีวันจะเข้าใจ
.
แกจำชั้นได้ใช่ไหม แกไม่สำนึกผิดเลยใช้มั๊ย ไอ้ชาติชั่ว เธอตะเบ็งและกรีดร้องแทบคลุ้มคลั่ง บางที การที่เธอไม่เข้าใจว่าผมคิดอะไรอยู่ ยิ่งทำให้เธอแค้น จนแทบคลั่ง..
.
ไปตายซะ ไอ้ชั่ว คนอย่างแกต้องโดนประหาร ต้องตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด เสียงนั้นเบาลงไปเมื่อผมเดินไกลออกมา เข้าสู่กรงขัง..
........................................................
บางครั้ง..
เราไม่รู้หรอก ว่าโลกที่เราอยู่นั้นมันก็สุขตามสมควรของมัน ตามอัตภาพ
.
เรามักคิดเสมอ ว่ามันบัดซบ โลกบัดซบ ชีวิตบัดซบ..
.
โลกของเรา อย่างมากมันก็บัดซบได้แค่เท่าที่เราเคยรู้ เคยเห็น
.
บางที โลกที่แท้จริง มันบัดซบได้กว่านั้นมากมายนัก
.
แต่บางครั้ง เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้
.
.
.
จงมีความสุขกับโลกที่คุณคิดว่ามันบัดซบไปเถอะ
.
เพราะบางที โลกที่คุณไม่เห็นมันอาจบัดซบกว่านั้นหลายเท่า!!
............................................................
2 มีนาคม 2549 23:04 น.
judas
ฮัดเช่ย!!!
.
.
ฮัดเช่ย!!!
.
.
ฮ๊าดดดด เช่ยยยย !!
.
.
นี่อะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย
.
.
จามอยู่ได้ทั้งวันพับผ่าเถอะ~~
.
.
จะว่าป่วยรึก็ไม่น่าจะใช่ เพราะนอกจากไอ้อาการจามแล้ว ไอ้อาการปวดหัวตัวร้อนอะไรก็ไม่มี
.
.
ฮ๊าดดดด เช่ยยยย !!
.
.
น่าน เอาอีกแระ
.
.
คราวนี้น้ำลายกระเด็นไปติดหน้าจอคอมพ์เลย
.
.
พอเอานิ้วไปเช็ดๆ คราวนี้ก็เลยเป็นคราบปื้นๆ
.
.
ก็ร้อยวันพันปี ไอ้ฝุ่นที่จับหน้าจอน่ะเคยเอาออกกะเค้าที่ไหนกันล่ะ
.
.
โทรไปปรึกษาพี่เอ๋คนสวยที่มาเรียนเภสัชที่นี่ดีกว่า
.
.
หาเรื่องคุยกะคนสวยด้วย อิอิ
.
.
ตื๊ดด
ตื๊ดด
ตื๊ดด
ตื๊ดด
ตื๊ดด.
.
ห้าตื๊ดดเข้าไปแระ ก็ไม่รับ
.
.
ไรวะ??
.
.
รึเห็นเป็นเบอร์เราเลยไม่รับเนี่ย
.
.
คิดไปโน่น........
.
.
แน่ะ รับแระๆ
.
.
# พี่เอ๋คร๊าบ ผมจาม
## เออ..แล้วทำไม
.
.
อ้าว พูดไม่สมกะเป็นคนสวยเลย ไม่รักเด็ก..
.
.
# ก็พี่เรียนเภสัชไง
##ช่าย แล้วทำไมล่ะ?
.
เอ๋า.............
.
นี่คิดถูกคิดผิดวะเนี่ย
.
# พี่ ผมจามจริงๆ
## ไหน จามให้ดูซิ
.
จะบ้าเรอะ~~
.
มันสั่งกันได้ที่ไหนล่ะ ไอ้จามเนี่ย
.
.
เอาวะ พยายาม~~
.
.
# ฮัดชิ่ว..
## เฮ้ย แกล้งนี่หว่า
.
.
.
# ..........
.
# .........................
.
# พี่ ผมวางหูแระนะ
...
## โอ๋ๆๆ ล้อเล่นๆ
.
.
ทีนี้ละพูดดีเชียว..
.
.
## ปวดหัวรึป่าว?
# ไม่อ้ะ
## เจ็บคอ?
# ไม่
## หายใจไม่สะดวก?
# สะดวก
##ครั่นเนื้อครั่นตัวไหม?
# ไม่อ้ะ
## ขี้ออกมั๊ย?
# ออก
.
.
นี่เกี่ยวไรกะจามวะเนี่ย
.
.
## ก็ไม่เป็นไรนี่
# เป็นสิ
.
.
ก็จามอยู่นี่ไง
.
.
## มีคนคิดถึงม๊างง
# ..............
.
.
# พี่เอ๋
##อะไร?
.
.
# ถามจริง นี่มาเรียนด๊อกเตอร์จริงๆเหรอเนี่ย
## อ้าว..ไอ้นี่
.
.
## แพ้เกสรดอกไม้มั๊ง
# หา..
## แพ้เกสรดอกไม้ไง คนที่นี่เป็นกันเยอะ ช่วงนี้ช่วงเปลี่ยนฤดูด้วย
.
.
ผมนี่นะ แพ้เกสรดอกไม้
.
.
ไอ้เด็กผอมกะหร่องที่วิ่งหนีควาย ไล่ยิงนกอยู่กลางทุ่งตอนเด็กๆเนี่ยนะ
.
.
สำออยมาแพ้เกสรดอกไม้ที่เมืองนอก
.
.
# ฮัดเช่ยยยยยยย
## บอกก่อนได้มั๊ยเวลาจะจามน่ะ เสียงมันดังในหูโทสับ
.
.
เออ.. เดี๋ยววันหลังจะส่งเมลไปบอกล่วงหน้าสามวัน
.
.
ก็แค่คิด ไม่กล้าพูดหรอก
.
.
## ว่างมั๊ย แวะมาหาที่คณะสิ เดี๋ยวเอายาให้
# ยาอะไร?
## ยาแก้แพ้สิ ไอ้นี่.. แกคิดว่ายาอะไรล่ะ
.
.
คนน่ารักๆนี่ไม่ควรสนิทด้วยมากเกินไปนะ
.
.
สนิทแล้วมักจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่
.
.
# เดี๋ยวอีก ชม ไปเอา ขอทำงานแป๊บนึงก่อน
## จะมาก็มาเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวชั้นมีธุระ
.
.
นะ
.
.
ไปก็ไปวะ
.
.
ฮัดเช่ยยยยย
.
.
เอ้า จามเข้าไป
.
.
นี่ต้องส่งเมลไปบอกพี่เอ๋แกก่อนมะเนี่ย เผื่อจะไปจามห้องแก จะได้ไม่โดนข้อหา จามไม่บอก
.
.
คิดประชดไปงั้นแหละ
.
.
คว้าแจ๊กเก็ตกันลมมาใส่ เอามือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง คอมพ์ไม่ต้องปิด เดี๋ยวก็กลับมา..
.
.
##~~ ##~~ ##~~
.
.
โทสับสั่น
.
.
สงสัยบริษัท ส่งเมสเสจมาให้เติมเงินอีกแระ
.
.
ก็เพิ่งเติมไปนี่หว่า
.
.
แกร๊ก แกร๊ก
.
.
แกร๊ก
.
.
.........คิดถึงนะ............
.
.
แกร๊ก
.
.
แกร๊ก แกร๊ก
.
.
# พี่เอ๋
## ไรอีกล่ะ ชั้นกะลังยุ่ง
#ผมไม่ไปเอายาแระนะ
# ทำไม??
.
.
.
.
.
# ผมว่าคงไม่ใช่แพ้เกสรดอกไม้แล้วหละ
.
.
.
.
17 กันยายน 2548 09:44 น.
judas
ผมรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เร่งงาน เพื่อให้เสร็จทันรถเที่ยวสุดท้ายที่จะมีตอนเกือบสี่ทุ่ม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องนอนค้างที่มหาลัย ซึ่งที่จริงแล้ว..มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากมายนักหรอก เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้ก็คืนหนึ่งแล้วที่ผมค้างคืนที่นี่ คืนนี้..ผมอยากกลับไปนอนบนเตียงนอนนุ่มๆ ห่มผ้า แล้วหลับตาให้สนิทบ้างสักคืน
ต๊อก ตะล๊อก ต๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูด้วยปลายนิ้วระรัวขึ้น แค่ฟังจากเสียงผมก็รู้ได้ทันทีว่าคือใคร
เข้ามาสิ ไมเคิล
ไมเคิลเป็นยาม หรือเรียกให้ดูหรูก็ต้องเรียกว่า Security ของมหาลัยแห่งนี้ ช่วงเวลาราวๆนี้ สามทุ่มครึ่งจวนสี่ทุ่ม ไมเคิลกับเพื่อนยามที่อยู่กะกลางคืนอีกสามคนจะขึ้นมากินกาแฟ ดูทีวีกันตรงห้องนั่งเล่นของภาควิชาทุกคืน ซึ่งห้องนั่งเล่นนั้นก็ถ้ดออกไปจากห้องผมเพียงไม่กี่เมตรเอง
นี่คุณยังไม่กลับบ้านอีกหรือ ผมทอง ตาใสสีเขียว บวกกับท่าทางร่าเริงของไมเคิล ทำให้ใครต่อใครรู้สึกถูกชะตาได้ไม่ยากเลย
ยังเลย ผมว่าจะเร่งให้ทันรถเที่ยวสุดท้ายตอนสี่ทุ่มน่ะ
งั้นคุณคงไม่มีเวลากินกาแฟกับพวกผมสิคืนนี้ เพื่อนที่มากับไมเคิล จะเป็นกลุ่มเดิม มีเอียน ไซมอน แล้วก็ไซมอน ซึ่งชื่อซ้ำกัน ผมคุ้นเคยกับทั้งกลุ่ม ออกไปนั่งกินกาแฟด้วยกันกับพวกเขาบ่อยๆ อัธยาศัยดีกันทุกคน
ผลัดไว้พรุ่งนี้ละกัน
โอเค งั้นผมไม่กวนคุณละ คุณจะได้ทำงานต่อ เขามองไปรอบๆห้องผมซึ่งออกจะดูรก
ยังไงคุณก็อย่าหักโหมนักล่ะ ผมกับเพื่อนขี้เกียจพาคุณส่งโรงพยาบาล ยักคิ้วทิ้งท้าย ก่อนปิดประตู ปล่อยให้ผมอยู่กับคอมพิวเตอร์ตามลำพัง
ที่จริงเมื่อก่อนนี้ ผมไม่กล้าอยู่ทำงานดึกๆอย่างนี้นักหรอก มหาลัยที่นี่ก็ไม่ต่างจากมหาลัยทั่วไป ที่มักมีเรื่องผีสางควบคู่ไปกับอายุของมหาลัย ตึกที่ผมอยู่ก็มีเรื่องเล่าอยู่เหมือนกันว่าผีดุ ซึ่งผมก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ทำงานดึกๆมาตลอด จนช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา เทอมสุดท้าย ซึ่งงานต้องเร่งเต็มที่ แม้จะกลัวแสนกลัว แต่เมื่องานไม่เสร็จก็ต้องอยู่ทำ และเมื่อได้อยู่ทำ ผมก็ได้รู้จักกับพวกไมเคิล รู้ว่าพวกเขาจะมากินกาแฟดูทีวีกันประจำในเวลานี้ จากตึกที่เคยน่ากลัว ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรอีกต่อไป
ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามไมเคิลและพวกว่ามีใครเคยเจอผีไหม พวกนั้นหัวเราะกันใหญ่ ก่อนที่เอียน ผู้ชายผอมสูง ไว้หนวดจะพูดขึ้นมาว่า
ถ้าจะมีใครน่าสงสัยว่าเป็นผีสักคน ก็คุณนั่นแหละ
อ้าว.. ทำไมล่ะ ผมถามกลับกลั้วหัวเราะ
ผมเห็นห้องทำงานคุณเปิดไฟอยู่ตอนสามทุ่ม ผมยังตกใจเลย นึกว่าโดนดีเข้าให้แล้ว ธรรมดาคนที่นี่หกโมงเย็นก็กลับบ้านหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ดึกขนาดนี้หรอก คราวนี้เป็นไมเคิลพูด
ตอนเราจะไปเคาะห้องคุณเรายังเกี่ยงกันตั้งนานแน่ะว่าใครจะเคาะ ไซมอนเสริม ไซมอนคนนี้อ้วน ต่างจากอักคนที่รูปร่างค่อนข้างเล็ก เพื่อนๆในกลุ่มนี้จะเรียกไซมอนอ้วนว่า Big boy มากกว่าที่จะเรียกชื่อ ส่วนไซมอนอีกคนก็เรียกไซมอนตามปกติ ..ซึ่งวันนั้น ผมจำได้ว่าคนที่เคาะคือไมเคิล เคาะด้วยเสียงเคาะที่เป็นเอกลักษณ์ของเขานั่นแหละ และยังจำได้อีกด้วยว่า ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะนั้น
นี่ผมนึกว่าวันนั้นผมกลัวคนเดียวซะอีกนะ ตอนที่พวกคุณมาเคาะห้องตอนสามทุ่มครึ่งน่ะ ไม่นึกว่าจริงๆพวกคุณก็กลัวเหมือนกัน
ต่างคนต่างกลัวน่ะนะ เอียนพูดพลางหัวเราะ
เวลาทำงาน ผมมักเปิดเพลงเป็นเพื่อน มีอยู่คืนหนึ่ง ไมเคิลแวะเข้ามาทักทายตามปกติ จู่ๆเขาก็หยุดพูดกระทันหัน นิ่ง ฟังเพลงแล้วถามผม
นี่เพลงอะไรน่ะ
เพลงของ Michael Franti ชอบเหรอ
อืมม ผมชอบเนื้อร้องเขาจัง แล้วไมเคิลก็ฮัมเนื้อร้องตาม ความจำของเขาค่อนข้างดีทีเดียว
Don't fear your best freinds, because a best friend would never try to do you wrong.
And don't fear your worst friends, because a worst friend is just a
best friend that's done you wrong
ฟังแล้วรู้สึกดี ไมเคิลว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วย หลังจากนั้นผมก็ได้ยินไมเคิลเดินฮัมเพลงนี้อยู่หลายวัน ท่าทางจะชอบเอาจริงๆ
เฮ้..พรรคพวก เดี๋ยวผมกลับก่อนละนะ ผมโผล่หน้าเข้าไปโบกมือลากับแก๊งค์สี่คนที่นั่งหัวเราะกับรายการวาไรตี้โชว์อยู่หน้าจอทีวี
โชคดี..กู๊ดไนท์.. เจอกัน เสียงตะโกนตอบกลับมาดังให้ขรม ผมเดินออกมา ตัวตึกเงียบสงัด ดูวังเวงน่ากลัว นี่ถ้าไม่มีพวกไมเคิลผมคงวิ่งให้เร็วที่สุดออกจากตัวตึกไปแล้ว แต่ความอุ่นใจที่รู้ว่ามีเพื่อนทำให้ผมไม่นึกกลัวแต่อย่างไร คนเรานี่ก็แปลกนะ..แค่ความอุ่นใจก็ช่วยได้ เพราะถ้าว่ากันจริงๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเกิดมีผีโผล่ออกมาตอนนี้ ไมเคิลกับพวกจะช่วยอะไรผมได้
And don't fear to walk slow, don't be a horserace, be a marathon.
And don't fear the long road, because on the long road you got a long time to sing a simple song
ออกนอกตึก อีกมืดและไกล กว่าจะเดินไปถึงป้ายรถเมล์ แต่ผมก็เดินฮัมเพลงไปเรื่อยๆ ไม่รีบ ไม่ร้อน ไม่มีอะไรต้องกลัว เช็คเวลาแล้ว ผมทันรถเมล์แน่นอน
มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านผมไป แล้วจอดลงที่หน้าตึกที่ผมเพิ่งออกมา ผมหันไปมองก็จำได้ว่า เป็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอก มีห้องทำงานอยู่ในตึก มาพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน รูดบัตรที่ใช้เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
.............................................................
เช้าอีกวัน ผมมาทำงานที่มหาลัยค่อนข้างสาย เกือบสิบโมงผมเพิ่งเดินผ่านตึกเรียนเพื่อจะเข้าห้องทำงาน ก็พอดีสวนกันกับพอล เพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือผมในเรื่องการเรียนเสมอ พอลเพิ่งเดินแยกออกมาจากนักศึกษาอีกสามสี่คนที่ยืนพูดคุยกันอยู่
หวัดดีพอล สบายดี ?
อื้อ คุณเป็นไงมั่งล่ะ
ก็ดี นั่นมีอะไรกันเหรอ เห็นยืนคุยกันซีเรียสเลย จริงๆที่หน้าตานักศึกษาในกลุ่มที่ผมเห็นมันก็ไม่เชิงซีเรียส แต่ออกจะตื่นเต้นวิตกมากกว่า
เห็นเขาว่าเมื่อคืน เดวิดโดนผีหลอกที่ตึกนี้
บ้าน่า ผมหัวเราะขำๆ
แต่เดวิดสาบานว่าเขาเจอจริงๆ พอลบอก
เขายังบอกเลยว่าเขาอยากเจอคุณ เขาเห็นคุณเพิ่งกลับออกมาจากตึกตอนเขาขับรถสวนไป
ใช่ ผมก็เห็นเขา มากับแฟน
นั่นแหละ เขาเข้าไปกับแฟน เข้าไปเอาข้อมูลในคอมพ์ที่ต้องใช้เช้าวันนี้เพื่อเอาไปตรวจแก้ แล้วเจอดีเลย ก่อนผมจะพูดอะไรพอลก็หรี่ตาถาม
นี่คุณไม่เจออะไรจริงๆเหรอ
ไม่นี่ เหตุการณ์ปกติ เหมือนทุกคืน
แปลก พอลพึมพำ
ผมว่าคงมีการเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่างแล้วหละ ให้ผมสันนิษฐาน เดวิดกับแฟน อาจไปจ๊ะเอ๋กับกลุ่มของไมเคิลเข้า แล้วอารามที่กลัวเป็นทุนเดิมอยู่ก็เลยทึกทักไปว่าเป็นผีเป็นสาง
ไหนเล่าให้ผมฟังซิพอล ว่าเรื่องมันเป็นยังไง
เดวิดเขาเข้าไปเปิดคอมพ์แล้ว ขณะที่กำลังก๊อปปี้ข้อมูลจากคอมพ์อยู่เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน หลายคน พูดคุยกัน
อืมม ใช่แล้วหละ ไมเคิลกับพวก ผมอมยิ้ม ยังไม่พูดอะไร
แล้วก็มีคนมาเคาะประตูห้อง แฟนเขาก็เปิดประตู แล้วก็เจอผู้ชายสามสี่คน เท่านั้นแหละเดวิดที่กลัวอยู่ตั้งแต่ตอนมีเสียงเคาะก็แหกปากลั่นตึก เปิดหน้าต่างโดดออกจากตึกทันที คุณรู้ไหม ว่าแฟนเค้าเลยต้องโดดตาม พอลเล่าไปก็ยิ้มไป ผมก็ขำ นึกภาพออก นี่ดีนะที่ห้องของเดวิดอยู่ชั้นหนึ่ง ถ้าห้องอยู่ชั้นสองเหมือนผมคงได้คอหักกันบ้าง
นั่นน่ะ พวกไมเคิล พอผมพูด พอลก็มีสีหน้าแปลกใจทันที
คุณรู้จักพวกเขาเหรอ
อื้อ.. กลุ่มนี้น่ะเขามากินกาแฟประจำทุกคืนนั่นแหละ เดวิดคงไม่เคยเจอ เลยไม่รู้จัก แล้วเลยนึกว่าผีสาง พอลอึ้ง อึ้งไปพักนึงเลยทีเดียว ผมเลยพูดต่อ..
กลัวกันไม่เข้าเรื่อง เดวิดอยู่ที่นี่มานานกว่าผม แปลกที่ไม่รู้จักคนพวกนี้ แต่ว่าไปก็ไม่แปลกนะ พวกเขาทำงานกะกลางคืน คนที่กลับบ้านเร็วทุกวันคงไม่เคยเจอ
พอลถอนใจ มองหน้าผมนิ่ง
เดวิดรู้จักพวกเขา ผมเองก็รู้จัก
อ้าว ผมยิ่งขำไปใหญ่ ก็แล้วจะกลัวทำไมล่ะ ถ้ายังงั้น ท่าทางเดวิดนี่ปอดเอาเรื่อง ขนาดมากับแฟนนะ
ปีนึงก่อนคุณจะมาเรียนที่นี่ พอลไม่ขำกะผม
มีไฟไหม้ตึกเคมี ไหม้ไม่มากแค่ในห้องแลบ ยามกะกลางคืนพยายามเข้าไปดับไฟ แต่ถังสารเคมีในห้องเกิดระเบิด ยามที่เข้าไปตายเรียบ คนพวกนั้นผมรู้จักทุกคน พอลเหลือบมองหน้าผม ก่อนพูดต่อ เน้นเสียงชัดทุกชื่อ
ไมเคิล เอียน ไซมอน แล้วก็ ไซมอน
.................................................................
พรุ่งนี้ ผมต้องส่งงานแล้ว
นี่ทำไมผมต้องมารู้เรื่องบ้าๆนี่เอาวันนี้ด้วยนะ
ผมปั่นงาน เร่งมือสุดชีวิตมาตั้งแต่บ่าย ยังไงผมตั้งใจว่าวันนี้ต้องกลับบ้านเร็ว แต่ก็เหมือนยิ่งเร่งก็ยิ่งผิด ตัดตรงโน้นแปะตรงนี้ ตัดไปตัดมางานหายไปหน้านึง ต้องมาพิมพ์ใหม่ เสียเวลาอีก พอเงยหน้าอีกทีฟ้าข้างนอกก็มืด
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง โทรศัพท์เจ้ากรรมดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัว เอื้อมมือสั่นเทาไปรับ
ฮัลโหล
วันนี้ไปกินข้าวในเมืองกันไหม อยากกินอาหารจีน เป็นพี่คนไทยที่คุ้นเคยโทรมา เกือบหัวใจวาย
ไม่ละพี่ งานยุ่งมาก
เหรอๆ เออ..งั้นไม่กวนละ
ผมเร่งแล้วก็เร่งเต็มที่ ที่สุดก็เสร็จ.. สั่งพิมพ์งานออกที่เครื่องพิมพ์รวมที่ห้องข้างล่าง ธรรมดาผมจะลงไปเช็คก่อนว่าพิมพ์ออกมามีปัญหาอะไรไหม เพื่อที่จะได้สั่งพิมพ์ใหม่ถ้าเกิดปัญหา เช่นหมึกพิมพ์หมด หรือกระดาษติดแต่วันนี้ผมปิดคอมพ์ทันที ช่างมัน..คงไม่มีปัญหา
ขณะคอมพ์กำลังปิดตัวเอง ผมเก็บของลงกระเป๋า ฟ้าเพิ่งมืดได้ไม่นาน ยังไม่น่าจะสามทุ่มครึ่ง ผมควรรีบกลับบ้าน ตอนนี้ยังทันเวลา
แล้วตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ต๊อก ตะล๊อก ต๊อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูด้วยปลายนิ้ว
ผมเหลือบดูนาฬิกา เพิ่งจะสองทุ่มครึ่ง
วันนี้ไมเคิลมาเร็ว..........
11 เมษายน 2546 14:31 น.
judas
คืนนั้นมีฝน ตกพรำอยู่ทั้งวันจนล่วงไปถึงกลางคืน ความคิดล่องลอยไปตรงโน้นตรงนี้ และบ่อยๆที่มันวนกลับมาลงที่เธอคนเดิม รอยยิ้มที่ติดตาตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรก แววตาตัดพ้อในบางที และริมฝีปากในวันสุดท้าย ปากที่เหมือนจะเอื้อนเอ่ยคำลา แต่กลับนิ่งเสีย ปล่อยให้สายฝนที่กั้นกลางระหว่างเราหนาขึ้นทุกทีกลบคำใดๆไปสิ้น ใช่ วันนั้นฝนตกเหมือนวันนี้ ..
กริ่งโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น คร้านที่จะยกหู ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง..
"ฮัลโหล.." ไม่มีเสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง อารมณ์เริ่มกรุ่นด้วยหงุดหงิด..
"ฮัลโหล ใครน่ะ" เสียงที่ดังขึ้นอาจทำให้คนที่อยู่ปลายทางอีกด้านตกใจ
"เราเอง" วาบเข้าไปในความรู้สึก เสียงที่อยากลืม แต่หูกลับแว่วหาอยู่ทุกนาทีที่ตื่น บางทีอาจรวมยามหลับเข้าไปด้วยก็เป็นได้..
"น้องเหรอ"
"ใช่ เราเอง"...
"ทำอะไรอยู่น่ะ เราโทรมากวนหรือเปล่า" เสียงเจือเศร้าเล็กๆพอให้จับเค้าได้ ปากอยากบอกว่าไม่รบกวนเลย แต่ทิฐิเท่านั้น ที่ทำให้ไว้ตัว
"ก็นิดหน่อย .. มีอะไรเหรอ"
"ยายไม่สบาย" น้องอยู่กับยายเพียงแค่ 2 คนมาแต่เล็ก นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวสำหรับเขา
"เป็นไรมากหรือเปล่า"
"ยายหกล้มหน้าห้องน้ำ หมอบอกคงไม่เป็นอะไรมาก แต่ให้อยู่ดูอาการก่อนคืนนึงที่โรงพยาบาล เป้ เราเป็นห่วงยายน่ะ แกแก่แล้ว"
ผมปลอบใจไปตามเรื่องจำไม่ได้แล้งว่าพูดอะไรไปบ้าง ยายน้องก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ครั้งผมไปบ้านแกเพื่อหาน้องบ่อยๆเมื่อ 2-3 ปีก่อนนั้น แกเอ็นดูผมดีทีเดียว
"ขอบใจนะเป้ น้องพอจะสบายใจขึ้นแล้วหละ"
"น้อง " ผมถามเหมือนจะน้อยใจ "ทำไมน้องโทรมาหาเป้ล่ะ"
"ไม่รู้เหมือนกัน น้องตอบหลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เราก็ไม่รู้ เราคิดถึงเป้เป็นคนแรก .."หางเสียงหวิว พาใจคนฟังหวิวตาม
"ชัชล่ะ ทำไมไม่โทรไปหาเขา "เสียงผมคงซ่อนน้อยใจไว้ไม่มิด คนพูดเองยังรู้สึกได้
"เราเลิกกับเขาแล้ว"
"เหรอ"
นิ่งงันไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมไม่รู้จะพูดว่าอะไร น้องก็คงเหมือนกัน
"เป้"
"หืมม"
"เป้ มีใครใหม่หรือยัง" คำถามชวนน้อยใจ พอคนนั้นเขาไปค่อยมาคิดถึง..
"ยัง"
"จริงเหรอ "เสียงเหมือนมีความหวังเล็กๆเจือสำนึกผิด
"อือ น้องไม่คิดหาแฟนใหม่เหรอ
"ไม่หรอกเราไม่ชอบทำความรู้จักกับใครใหม่หรอก อีกอย่างนะ เข็ด"
ผมไม่ได้ถามต่อว่าเข็ดอะไรเสียด้วย..
"เราง่วงแล้วหละ น้อง เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเยี่ยมยายนะ"
"ได้ แล้วเจอกันนะ"
"อือ แล้วเจอกัน"
" เป้"
"หืม."
"วันหลังเราโทรมาคุยบ่อยๆจะได้ไหม"
"ก็.." หัวยังคิดไม่เสร็จ ปากก็พลั้ง "ได้"
ฝนตกอยู่ข้างนอก ความเศร้า ความหวานสับสนในหัว ถูกหรือผิด บางทีเหตุผลตั้งมากมายก็แพ้ความรู้สึกของตัว
"พรุ่งนี้นะ น้อง" ผมยิ้มคนเดียวในความมืด
11 เมษายน 2546 14:30 น.
judas
คืนนั้นมีฝน ตกพรำอยู่ทั้งวันจนล่วงไปถึงกลางคืน ความคิดล่องลอยไปตรงโน้นตรงนี้ และบ่อยๆที่มันวนกลับมาลงที่เธอคนเดิม รอยยิ้มที่ติดตาตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรก แววตาตัดพ้อในบางที และริมฝีปากในวันสุดท้าย ปากที่เหมือนจะเอื้อนเอ่ยคำลา แต่กลับนิ่งเสีย ปล่อยให้สายฝนที่กั้นกลางระหว่างเราหนาขึ้นทุกทีกลบคำใดๆไปสิ้น ใช่ วันนั้นฝนตกเหมือนวันนี้ ..
กริ่งโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น คร้านที่จะยกหู ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง..
"ฮัลโหล.." ไม่มีเสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง อารมณ์เริ่มกรุ่นด้วยหงุดหงิด..
"ฮัลโหล ใครน่ะ" เสียงที่ดังขึ้นอาจทำให้คนที่อยู่ปลายทางอีกด้านตกใจ
"เราเอง" วาบเข้าไปในความรู้สึก เสียงที่อยากลืม แต่หูกลับแว่วหาอยู่ทุกนาทีที่ตื่น บางทีอาจรวมยามหลับเข้าไปด้วยก็เป็นได้..
"น้องเหรอ"
"ใช่ เราเอง"...
"ทำอะไรอยู่น่ะ เราโทรมากวนหรือเปล่า" เสียงเจือเศร้าเล็กๆพอให้จับเค้าได้ ปากอยากบอกว่าไม่รบกวนเลย แต่ทิฐิเท่านั้น ที่ทำให้ไว้ตัว
"ก็นิดหน่อย .. มีอะไรเหรอ"
"ยายไม่สบาย" น้องอยู่กับยายเพียงแค่ 2 คนมาแต่เล็ก นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวสำหรับเขา
"เป็นไรมากหรือเปล่า"
"ยายหกล้มหน้าห้องน้ำ หมอบอกคงไม่เป็นอะไรมาก แต่ให้อยู่ดูอาการก่อนคืนนึงที่โรงพยาบาล เป้ เราเป็นห่วงยายน่ะ แกแก่แล้ว"
ผมปลอบใจไปตามเรื่องจำไม่ได้แล้งว่าพูดอะไรไปบ้าง ยายน้องก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ครั้งผมไปบ้านแกเพื่อหาน้องบ่อยๆเมื่อ 2-3 ปีก่อนนั้น แกเอ็นดูผมดีทีเดียว
"ขอบใจนะเป้ น้องพอจะสบายใจขึ้นแล้วหละ"
"น้อง " ผมถามเหมือนจะน้อยใจ "ทำไมน้องโทรมาหาเป้ล่ะ"
"ไม่รู้เหมือนกัน น้องตอบหลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เราก็ไม่รู้ เราคิดถึงเป้เป็นคนแรก .."หางเสียงหวิว พาใจคนฟังหวิวตาม
"ชัชล่ะ ทำไมไม่โทรไปหาเขา "เสียงผมคงซ่อนน้อยใจไว้ไม่มิด คนพูดเองยังรู้สึกได้
"เราเลิกกับเขาแล้ว"
"เหรอ"
นิ่งงันไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมไม่รู้จะพูดว่าอะไร น้องก็คงเหมือนกัน
"เป้"
"หืมม"
"เป้ มีใครใหม่หรือยัง" คำถามชวนน้อยใจ พอคนนั้นเขาไปค่อยมาคิดถึง..
"ยัง"
"จริงเหรอ "เสียงเหมือนมีความหวังเล็กๆเจือสำนึกผิด
"อือ น้องไม่คิดหาแฟนใหม่เหรอ
"ไม่หรอกเราไม่ชอบทำความรู้จักกับใครใหม่หรอก อีกอย่างนะ เข็ด"
ผมไม่ได้ถามต่อว่าเข็ดอะไรเสียด้วย..
"เราง่วงแล้วหละ น้อง เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเยี่ยมยายนะ"
"ได้ แล้วเจอกันนะ"
"อือ แล้วเจอกัน"
" เป้"
"หืม."
"วันหลังเราโทรมาคุยบ่อยๆจะได้ไหม"
"ก็.." หัวยังคิดไม่เสร็จ ปากก็พลั้ง "ได้"
ฝนตกอยู่ข้างนอก ความเศร้า ความหวานสับสนในหัว ถูกหรือผิด บางทีเหตุผลตั้งมากมายก็แพ้ความรู้สึกของตัว
"พรุ่งนี้นะ น้อง" ผมยิ้มคนเดียวในความมืด