26 เมษายน 2551 09:50 น.
judas
พี่สมนึกเป็นอดีตพี่ที่ทำงานของผม แกแก่กว่าผมสักสิบปี
ตอนทำงานเราสนิทสนมกันดี พี่สมนึกอยู่ฝ่ายช่าง ผมอยู่ฝ่ายเซลล์ เวลาผ่านไป เราต่างออกจากที่ทำงานเก่า แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่ พี่สมนึกแกกลับไปเปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านเกิดแก อ่างทอง ก่อนจะเจ๊งไป สุดท้ายแกก็เหลือแต่ร้านขายของชำเล็กๆขายกันอยู่สองคนกับเมีย แกบอกว่าเท่านี้ก็พอแล้วชีวิต จะเอาอะไรมากมาย พออยู่พอกิน ลูกเต้าก็ไม่มีเป็นภาระ ฟังแกพูดเหมือนคนแก่อายุสักหกสิบที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิต ไม่เหมือนคนอายุสี่สิบห้าอย่างที่แกเป็น
ผมยังคงย้ายบริษัทไปเรื่อยๆ ย้ายบริษัททีก็ได้ขึ้นเงินเดือนที แต่ก็ยังเป็นเซลล์เหมือนเดิม เบื่อเหมือนกันกับสิ่งที่ทำอยู่ นานๆไปรู้สึกว่าไม่มีเพื่อน ไม่มีใครจริงใจกับเราเลยสักคน มีแต่มองหาผลประโยชน์จากกันทั้งนั้น
พอผมเบื่อมากๆขึ้นมาสักทีนึง ผมก็จะขับรถไปหาพี่สมนึกที่อ่างทอง ไปลากแกออกมากินเหล้ากันหัวราน้ำ พูดคุยเรื่องเก่าๆ เท้าความถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วก็หัวเราะกันได้เป็นวรรคเป็นเวร หรือไม่บางครั้งก็นั่งกินนั่งหัวเราะกันอยู่ในบ้านแกนั่นแหละ
เราสองคนเหมือนกันตรงที่มีแต่ความหลังเท่านั้นแหละมั้งที่ยังสวยงามอยู่
ทุกครั้งที่ผมไปหาพี่สมนึกแล้วออกไปเมากัน พี่ดวงแก้วเมียพี่สมนึกก็ต้องออกมาค้อนควับเอาทุกที พี่ดวงแก้วเป็นผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ท้วมๆ อายุมากกว่าพี่สมนึกห้าปี มาพบรักกันเอาตอนที่พี่สมนึกแกกลับมาอยู่อ่างทองแล้ว พี่สมนึกบอกว่าที่แกแต่งกับพี่ดวงแก้วไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา แต่แกแต่งเพราะแกคิดว่าแกอยู่กับพี่ดวงแก้วแล้วคงจะมีความสุข ซึ่งก็จริงสมดังแกคิด
พี่ดวงแก้วไม่ค่อยพูด เป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำงานขยันขันแข็ง ทำกับข้าวอร่อย ถึงแกจะไม่ค่อยชอบเวลาที่ผมมาชวนผัวแกเมาข้ามวันข้ามคืน แต่แกก็ต้อนรับขับสู้ชนิดว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นผู้หญิงที่ผมยกมือไหว้เรียกพี่ได้เต็มปากเต็มใจ
เมื่อสักสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง ผมเกิดเบื่อกับงานที่ตัวเองทำอยู่อย่างหนัก ร่ำๆว่าจะลาออกให้ได้ ลูกค้าก็งี่เง่า เจ้านายก็งี่เง่า เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็งี่เง่า ใจคอมันดูหงุดหงิดไปหมด ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่ออฟฟิตพักนึง ก่อนคว้ากุญแจรถเดินลงมาตาร์ทรถออกจากบริษัทโดยไม่ขออนุญาตใคร อย่างไรเสียอีกครึ่งชั่วโมงก็เลิกงานอยู่แล้ว
ผมมาถึงอ่างทองเอาตอนโพล้เพล้จะมืดไม่มืด กะว่าจะมาหาพี่สมนึกแบบเซอร์ไพร์ซดู แวะซื้อไก่ย่างกับเหล้าอีกสองกลมจากตลาดติดไม้ติดมือมา พอจอดหน้าร้านก็พบว่าประตูร้านปิดสนิท
นี่แหละหนา ผลของการไม่โทรมานัดก่อน
ผมลองโทรศัพท์เข้ามือถือพี่สมนึก ปรากฏว่าไม่มีคนรับ โทรเข้าร้านก็ไม่มีคนรับ ผมลองเอามือเคาะๆประตูดูก็เงียบ ร้านพี่นึกเป็นห้องแถวไม้แบบเก่าติดกันสามสี่ห้องอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี ห้องอื่นก็ปิดประตูเงียบกันหมด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ผมมากี่ทีมันก็ไม่เคยเปิด พี่สมนึกเคยบอกว่าบ้านติดๆกับแกเขาประกาศขายแต่ไม่มีใครซื้อ รอทุบทิ้งอย่างเดียว
ผมนั่งแกร่วรออยู่ที่แคร่เล็กๆหน้าร้าน นึกว่าเป็นความซวยของตัวเองแท้ๆ ร้อยวันพันปีถ้าพี่สมนึกไม่อยู่ พี่ดวงแก้วก็ต้องอยู่ นี่ไม่รู้ไปไหนกันหมดสองคน
ผมนั่งเหม่อแทะไก่ย่างที่ซื้อมาแก้หิวอยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อมีเสียงทักจากข้างหลัง “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนี่”
ผมหันไป พิโถ พี่ดวงแก้วนั่นเอง วันนี้แกแต่งตัวเสียสวย ผ้าถุงลายสดสีโอรส เสื้อคอกระเช้าขาวใหม่เอี่ยม ผัดหน้าเสียขาวนวล ผมยกมือไหว้แล้วถามว่าพี่สมนึกไปไหน แกบอกว่าออกไปข้างนอก ให้รอสักประเดี๋ยว ผมนั่งรออยู่หน้าร้าน พี่ดวงแก้วแง้มประตูออกมาแค่บานเดียว แกเดินกลับเข้าไปในร้านสักพักก็หยิบขันน้ำแช่น้ำแข็งหยดน้ำยาอุทัยมาให้ ผมพึมพำขอบคุณพลางยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย
ผมถามพี่ดวงแก้วว่าเมื่อกี๊แกไปไหนมา แกบอกว่าแกก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ ผมบอกว่าผมโทรศัพท์เข้าไปนะ เคาะประตูด้วยแต่ไม่เห็นได้ยินเสียงขาน แกบอกว่าแกคงนอนหลับไป วันนี้รู้สึกเพลียๆบอกไม่ถูก
พี่ดวงแก้วถามว่าผมกินอะไรมาหรือยัง ผมชูถุงไก่ย่างในมือให้ดูแกผงกหน้ารับรู้ แล้วหายเข้าไปข้างในร้านสักพัก ก่อนหยิบจานหยิบถ้วยน้ำจิ้มมาวางให้ ผมแกะไก่ใส่จานโดยมีพี่ดวงแก้วยืนมองอยู่เงียบๆ
ผมนั่งบนแคร่ มีพี่ดวงแก้วยืนพิงประตูอยู่เป็นเพื่อนแต่แกไม่ยอมนั่ง ผมชวนคุยโน่นคุยนี่สัพเพเหระเพื่อฆ่าเวลา แกก็ประเภทถามคำตอบคำ ปกติพี่ดวงแก้วพูดน้อย แต่วันนี้พูดน้อยกว่าทุกทีเสียอีก
รอนานจนฟ้ามืดสนิท มีแสงไฟจากริมถนนเพียงแค่สลัวๆเท่านั้นที่ทำให้เห็นหน้ากัน พี่ดวงแก้วไม่เปิดไฟที่ร้านแต่อย่างใด หันไปมองเห็นแกหน้าซีดๆเหมือนคนไม่สบาย ผมบอกว่าให้เข้าไปนอนก็ได้ เดี๋ยวผมนั่งรอพี่สมนึกอยู่นี่เอง แต่ถ้าไม่รบกวนขอแก้วกับน้ำแข็งให้ผมหน่อยได้ไหม ผมจะได้นั่งกินเหล้ารอ พี่ดวงแก้วเดินเงียบๆเข้าไปหยิบแก้วมาให้ใบนึง กับน้ำแข็งยูนิทที่ขายในร้านมาวางไว้ให้ถุงนึง แล้วแกก็บอกผมว่า พี่ขอตัวไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวสักพักพี่สมนึกก็คงมาแล้ว กินเหล้ารอไปแล้วกัน แล้วแกก็เดินเข้าร้านดึงประตูงับเบาๆ
ผมนั่งจิบเหล้าไปพลางนึกเป็นห่วงว่าพี่ดวงแก้วคงไม่สบายมากจริงๆ เพราะแกดูผิดไปจากที่เคย อย่างน้ำแข็ง ทุกทีแกจะต้องจัดการใส่กระติกมาให้เสร็จสรรพ ไก่ย่างแกก็จะรับไปจัดใส่จาน ไม่ใช้เอาของมาให้แล้วให้จัดการเอาเองแบบนี้ บางทีแกอาจจะไม่ค่อยพอใจก็ได้มั้ง เพราะลองว่าผมมาหาทีไรก็ชวนผัวแกเมากลิ้งกันทุกที
เสียงมอไซค์แล่นมาไกลๆ ผมแงยหน้ามองก็เห็นไฟส่องวาบมา ใกล้เข้าก็เลยรู้ว่าเป็นพี่สมนึก หน้าแกออกจะตื่นๆเมื่อเห็นผม
“เฮ้ย มาได้ยังไงวะนี่”
“ก็มาจะชวนพี่กินเหล้านี่แหละ”
“อ้อ” แกทำเสียงเหมือนอึ้งๆ “บ้านไม่ได้ล๊อค ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้าน ตอนออกไปหากุญแจไม่เจอ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ รอนี่ก็ได้ จานชามอะไรพี่ดวงแก้วเค้าก็จัดมาให้เสร็จ”
แกมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกๆ
“แล้วพี่ไปไหนมา”
“ไปหลายที่” แกว่า เสียงรถยนต์ดังเข้ามา แล้วรถกะบะขนอะไรบางอย่างก็มาจอดเทียบที่หน้าร้าน มองใกล้ๆก็เห็นว่าเป็นโลง
“ก็พี่ดวงแก้วเอ็งน่ะ เค้าเพิ่งเสียไปเมื่อเย็น เดินพลาดยังไงไม่รู้ ตกบันไดลงมา คอหักหมุนได้รอบเลย”
“อยู่กันมาแค่สองคน มาเหลือคนเดียว ไม่รู้จะทำยังไงก็นั่งกอดศพเมียร้องไห้อยู่พักนึง สุดท้ายก็เอาศพเค้าอาบน้ำ แต่งตัวสวยๆวางนอนไว้ที่เตียงนอนบนชั้นสองนั่นแน่ะ”
“นี่ก็ออกไปติดต่อวัด ติดต่อพระ ติดต่อร้านโลงให้วุ่น ไปแจ้งข่าวญาติๆด้วย อีกประเดี๋ยวคงมากันแล้วหละ”
ผมหูอื้อ ตาลาย แก้วเหล้าตกลงแตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
.............................................