22 กรกฎาคม 2549 22:22 น.
judas
เปาะ แปะ เปาะ แปะ
ยุงชุมจัง
ผมเอามือเขียวๆที่มียางเหนียวๆลูบเอาซากยุงออกจากผิวหนังลื่นๆ
มันก็ออกจะเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ที่ผมออกมานอนคุดคู้บนศาลารอรถข้างทางนี่ ใครอาจจะออกมาเห็นเข้าก็ได้ ถึงมันจะดึกแล้วก็เถอะ
แต่ผมก็อยากที่จะเข้าใกล้หมู่บ้านขึ้นมาอีกนิด ได้ใกล้ๆแสงไฟขึ้นอีกหน่อย
มันอบอุ่นดี
.
.
.
.
นี่กี่วันแล้วนะ
ผมยกนิ้วที่มีข้างละสี่นิ้วขึ้นมานับ
ถ้าให้เขียนเป็นภาษาโลกมนุษย์ก็ 15 วัน
ถ้าเป็นภาษาบ้านผมก็ 17 วัน
อ๋อ ผมลืมบอกไปสินะ
ว่าที่ที่ผมจากมาน่ะ เค้าใช้เลขฐานแปดกัน
.
.
.
.
ยานตกกลางไร่ข้าวโพด
ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ระบบนิรภัยในยานได้รับการออกแบบมาอย่างดี
แต่ตัวยานเสียหายหนักเอาเรื่อง ที่แย่หนักคือระบบสื่อสารกับยานแม่พัง
ผมทดลองแกะๆซ่อมๆอยู่สี่วัน ทำท่าจะมีความหวังว่าจะซ่อมได้ อย่างน้อยก็น่าจะพอติดต่อกับยานแม่ได้
ดันโชคร้ายสุดๆ ที่มีคนมาเจอยานผม แล้วก็ลากไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางแตกตื่นกันใหญ่
ดีนะที่ผมออกไปหาน้ำกินที่แอ่งน้ำไกลออกไป ไม่งั้นคงโดนจับไปพร้อมกับยาน
.
.
.
.
หลังจากนั้นก็มีคนมาค้นหาตัวผมนะ
แต่เค้าหาไม่เจอหรอก
ผมตัวไม่ใหญ่ สูงแค่เอวพวกคุณเอง
แค่ผมซ่อนเงียบอยู่ในไร่ข้าวโพดก็ลำบากที่จะมองเห็นแล้วหละ
.
.
.
.
ปัญหาใหญ่นอกจากเรื่องจะกลับบ้านยังไงคือเรื่องอาหาร
ผมกินอาหารที่พวกคุณกินกันได้อยู่นะ
แต่ปัญหาคือจะหาอาหารมาจากไหนแค่นั้นแหละ
ไอ้ครั้นจะให้ไปด้อมๆจับปูจับปลากินรึก็ลำบาก
เกิดงูเงี้ยวกัดตายขึ้นมาก็ไม่ได้กลับดาวกันพอดี
.
.
.
.
ผมทนหิวอยู่ได้สี่วัน หัวใจที่อกข้างซ้ายก็หยุดเต้น
นี่ดีนะที่อีกดวงที่อกข้างขวามันยังทำงานปกติน่ะ
เช้าวันที่ 5 ผมนอนพะงาบๆ น้ำเหนียวๆไหลเยิ้มทั่วตัวอยู่ริมถนนลูกรัง
ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงตายแน่ๆ
พอถึงเวลาจริงๆผมก็ไม่ได้กลัวตายสักเท่าไหร่หรอกนะ
แค่รู้สึกใจหาย
ผมอยากกลับไปตายที่บ้าน..
.
.
.
.
แต่วันนั้นโชคดี มีมนุษย์หัวล้านๆนุ่งชุดเหลืองๆผ่านมา
พวกคุณเรียกกันว่าพระ? ใช่ไหม? ผมคงจำไม่ผิด
พระหยุดมองผม ผมก็มองท่านทั้งๆที่นอนหมดแรงอยู่นั่นแหละ
ถ้าเป็นธรรมดาผมคงหนีไปแล้ว แต่ตอนนั้นผมหนีไม่ไหวจริงๆ
ผมคิดว่าตอนนั้นท่านคงรู้แล้วหละว่าผมเป็นมนุษย์ต่างดาว ข่าวออกจะดัง
แต่ท่านก็ไม่ยักกะตกใจแฮะ
พระมองผมนิ่งๆอยู่สักพัก
แล้วก็เปิดกระป๋องใบโตๆดำๆที่อุ้มมาด้วย หยิบข้าวมากำมือนึง ต้มจืดอีกถุงนึง มาวางไว้ข้างๆผม แล้วท่านก็เดินไป
ผมกัดก้นถุงแกงจืดดูดกินทั้งน้ำ ทั้งเนื้อ
นั่นแหละที่ทำให้ผมรอดตายมาได้
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็มาดักรอพระที่เดิมทุกวัน
ท่านก็แบ่งอาหารในกระป๋องมาให้ทุกวัน
เออ..
ตอนนี้ผมกินข้าวเป็นแล้วนะ
.
.
.
.
ภาษามนุษย์ผมพอรู้มั่ง งูๆปลาๆ
ให้คล่องเลยคงไม่ได้ เพราะมนุษย์มีภาษาเยอะ พวกผมก่อนมาทำงานก็ต้องเรียนกันคนละหลายๆภาษาตามแต่บริเวณที่จะไปทำงาน
ผมรู้หมดนะ ทั้งภาษาจีน ไทย เขมร ลาว พม่า มลายู
แต่ก็อย่างที่บอกไม่คล่องสักภาษา
ฟังได้อ่านได้ แต่จะให้พูดก็ยังขัดๆเขินๆอยู่
กลัวสำเนียงไม่ได้น่ะ
.
.
.
.
เปาะ แปะ เปาะ แปะ
ยุงชุมชะมัด
ผมมองดูดาวบนฟ้า
คุณรู้จักดาวนายพรานกันใช่ไหม
ดาวของผมน่ะ อยู่แถวเข็มขัดนายพราน ถ้ามองจากโลกนะ
นี่ผมยังนึกไม่ออกเลย ว่าจะกลับบ้านยังไงดี ยานก็ไม่มีแล้วด้วย
ตอนอยู่ที่โน่นน่ะ ผมไม่เคยรักดาวของผมมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ
ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็แย่
แต่ตอนนี้..
อะไรๆเกี่ยวกับดาวผม มันก็เหมือนจะดูดีไปเสียทั้งนั้น
.
.
.
.
ก่อนผมมา มีหลายคนเคยถามว่าทำไมผมชอบเดินทาง เดินทางเพื่ออะไร
ผมตอบอะไรที่เท่ห์ๆไปตั้งหลายอย่างแน่ะ
ผมออกเดินทางเพราะความรักในการผจญภัย เพื่อแสวงหาความท้าทาย ไปเพื่อการค้นพบสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม สวยงามกว่าเดิม หรือเพราะเพื่อต้องการเรียนรู้อวกาศที่กว้างใหญ่ ฯลฯ
แต่ตอนนี้ ถ้าใครมาถามผมตอนนี้ด้วยคำถามเดิมนะ
ผมจะบอกว่า
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ตัวเอง
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะค้นพบความสวยงามในสิ่งเดิมๆเก่าๆ ที่คุ้นชินและจำเจ
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้ เห็น ในสิ่งที่เคย มอง แต่ไม่เคย เห็น
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้พบกับ ความรัก ที่ไม่เคยรู้ว่ามี ซ่อนอยู่ข้างในใจของผม
.
.
.
.
ที่จริงแล้ว..
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้กลับไป
.
.
.
.
แต่ว่าผมจะกลับไปยังไง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน