18 พฤศจิกายน 2549 01:03 น.
Jintalohitt
ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก นี่ไม่ใช่เสียงโฆษณาลูกอมเย็นซ่าชุ่มคอยี่ห้อดัง หรือโฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดจี๊ดจ๊าดแซ่บลิ้นแต่อย่างใด หากแต่คือเสียงลมปากดัง แฮ่ก แฮ่ก.. ผสานลมจมูกดัง ฟืดฟาด.. ฟืดฟาด.. ที่แข่งกันหายใจให้ทันชีพจรที่เต้นระรัว ด้วยร่างกายออกแรงจนเริ่มล้า ลิ้นห้อย ตาลอย น้ำตาริน ขาสั่นพั่บพั่บพั่บ ฟันกัดกันกึกกึกกึก ส่วนลมหายใจก็ยังดัง แฮ่ก..ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก
ที่ผมบรรยายมานั้นไม่ใช่ว่าผมเสียสติ หรือติดเชื้อพิษสุนัขบ้าแต่อย่างใด จริงๆผมแค่เหนื่อย แต่แม้จะเหนื่อย จิตใจผมก็ยังไม่หน่าย หัวใจยังสั่งสองเท้าตะกุยทางขึ้นไป จึงจะว่าผมเหนื่อยหน่ายนั้นมิได้ เพราะผมยังไม่ได้ถอดใจที่จะเดินต่อไปอย่างหลายๆคนที่เริ่มจะทอดตัวแผ่กายตามกองหิน สุมทุมไม้ หรือพุ่มหญ้า ตามแต่ว่าจะถอดใจใกล้กับอะไร สายตาพวกเขาโรยริน ลมหายใจพวกเขารัวระโรย บางคนในนั้นผมรู้จักเป็นอย่างดี แต่อีกหลายคนผมก็ไม่รู้จัก คงไม่แปลกอะไรที่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างพ่อต่างแม่ และต่างจิตต่างใจ ที่มารวมกันในค่ายฝึก รด.(รักษาดินแดง) นามเขาชนไก่ จะไม่รู้จักกัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักเด็กโรงเรียนอื่นเท่าไรนัก แม้ว่าเราจะมาอยู่ร่วมกองพันเดียวกันได้ หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้วก็ตาม
สายตาละห้อยจากเบื้องล่างรายทางที่ทอดมายังผม ราวกับจะบอกว่า
“ฝากที่เหลือด้วยนะ ข้ารู้ว่าทางอีกยาวไกล แต่แกต้องทำได้.. อ้อ! บอกเพื่อนๆด้วยว่าข้าได้ยอมแพ้อย่างองอาจเพียงใด”
ยอมแพ้มันมีองอาจด้วยเหรอ(วะ).. ผมคิดในใจ ทุกครั้งที่สบกับสายตาพวกนี้ เหมือนบ่าของผมจะแบกรับภาระและความคาดหวังมากขึ้นๆ จนหลายครั้งก็คิดท้อใจอยากจะล้มตัวลงนอน ส่งภาระและความคาดหวังทั้งหมดขึ้นบ่าชาวบ้านแบบสายตาพวกนั้นบ้าง แต่ทิฐิในใจก็คอยปฏิเสธความคิดเห็นแก่ตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา ทิฐิในใจยังส่งเสียงให้ผมได้ฮึดสู้ ดัง บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย.. เอี้ย!
“เอ้า! เสียงดังหน่อย” ครูฝึกตะโกนสั่ง นศท.(นักศึกษาวิชาทหาร) ที่นอนหมอบคลุกฝุ่นหน้าดำกลางแดดเปรี้ยง
“บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย เอี้ย!” พวกผมขานรับคำสั่งพร้อมเพรียง หลังจากโดนสั่งยึดพื้น(วิดพื้น)เสียหลายสิบยก จนไม่มีใครกล้าแผดเสียงแตกกลุ่มออกมาอีก หรือไม่ก็อาจจะหมดแรงออกเสียงไปแล้ว แม้จะ“อยาก”แหวดเสียงเอ่กโค่กวนบาทาครูฝึก และสหบาทาเพื่อนทั้งกองพันก็ตาม
อันคำว่า “บรึ๋ย”นี่ เป็นเสียงแสดงอารมณ์ว่า ไม่ไหว ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ซึ่งครูฝึกได้นำมาตั้งชื่อเป็นสิริมงคลแก่กองพันของเรา เพื่อจะบอกกลายๆว่าพวกผมเป็นอย่างไรในสายตาของพวกครูฝึก
ส่วนคำว่า “เอี้ย”นี่ เป็นคำสบถที่แผลงเสียงมา ผมคงไม่ต้องบอกว่ามันเอาเสียง “ห. หีบ”ออก ทุกคนก็คงเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจผมก็จะเฉลยว่าคำนี้เป็นคำที่เอาเสียง “ห. หีบ” ออกไปนั่นเอง
“วันนี้ ขึ้นเขา” คำสั่งเรียบง่าย ต่างจากทางเดินขึ้นเขาที่ว่ามากมายมหาศาล
“ข้างบนสวยมาก เชื่อผม” จบคำสั่ง เหมือนจะช่วยสร้างแรงจูงใจ แต่.. แต่ไม่มีส่วนใดบ่งบอกเลยว่าทางขึ้นเขาเป็นหินกรวดเล็กใหญ่มากมายเกลื่อนก่ายไล่ระดับทั้งคมทั้งลื่นทั้งชัน ตลอดทางไม่มีร่มไม้ใบหญ้าใดให้หวังพักพิง และคำว่าวันนี้ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นเวลาเที่ยงแดดเปรี้ยงกลางกระหม่อม
คำว่า“สวยมาก เชื่อผม”เลยยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ และถึงจะจริงตามที่ว่า มันก็คงไม่ใช่เหตุปัจจัยสำคัญแล้ว เพราะสิ่งที่พยุงขาที่เปียกโชกด้วยเหงื่อกาฬจากทั้งร่างกายที่ไหลหลั่งลงมาเป็นทางอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงจิตใจที่พร่ำบอกตัวเองว่า “กูทำได้ กูทำได้ บรึ๋ย เอี้ย!” ไม่ใช่ทัศนียภาพงดงามใดๆที่ครูฝึกพยายามเอามาสร้างแรงจูงใจ ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สำเร็จแต่อย่างใดกับหลายๆคน ที่ขณะนี้เริ่มส่งสายตาฝากฝังชาวบ้านกันแล้ว
ผมปีนมา ป่ายมา ดั้นมา ด้นมา ลงเขาลูกนี้ ข้ามเขาลูกนั้น หลายครั้งเหนื่อยแทบปิดตา หลายคราหวิดจะถอดใจ เดินบ้าง หยุดบ้าง สะดุดบ้าง แต่ไม่ถอยบ้าง เพราะทุกก้าวที่ส่งไปข้างหน้าเท่ากับว่าจุดหมายร่นระยะลงอีกก้าวแล้ว จากเที่ยงล่วงมาบ่ายแก่ๆ ผมยันตัวนอนแผ่หลาหมดแรง ส่งสายตาให้เพื่อน ไม่ใช่สายตาฝากฝังอย่างใครๆ หากเป็นแต่คำกู่ร้อง ดังก้อง “พวกเราทำได้แล้ว พวกเราทำได้แล้ว”ต่างหาก
มองทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ครูฝึกว่าสวยนักหนา ผมได้แต่อึ้งน้ำตาไหล และครางออกมาเบาๆ “เอี้ย..บรึ๋ย”