12 มกราคม 2549 12:49 น.
Jintalohitt
การฆ่าตัวตายของข้าพเจ้า บทว่าด้วยการตัดสินใจ
เช้าวันที่ 20 กันยายน
วันที่ผมคิดฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอก และมันจะไม่สำคัญเลย หากว่ามันไม่ใช่ความคิดฆ่าตัวตายครั้งแรกที่จริงจังและมืดมน เกินกว่าจะปล่อยผ่านไปเหมือนเคย
อะไรกันล่ะที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้
ผมตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนเช้าธรรมดาๆที่มันเคยผ่านเข้ามา ผมชอบนึกเล่นๆก่อนหลับตาลงนอนเสมอว่า ถ้ามีวันใดวันหนึ่งที่ผมไม่ตื่นขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันจะเป็นอย่างไร จริงๆแล้ว ผมไม่รู้คำตอบนั้นหรอก
รู้ไหม ดูเหมือนผมจะชอบผ่านเลยกับเรื่องยุ่งยาก แต่คำถามแบบนี้ก็ยังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา คืนแล้วคืนเล่า
เป็นเรื่องน่าแปลกอีกอย่าง ที่ผมไม่กล้าหาคำตอบนั้นอย่างจริงๆจังๆ ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่ชอบคิดเองตอบเอง จนหลายๆครั้ง มันทำให้ผมเงียบ และดูไม่น่าพูดคุยด้วยเสียเลย เพราะผมให้คำตอบตัวเองจากทุกคำถามแล้วนี่ ไม่เหลืออะไรให้พูดอีกแล้ว
แต่จริงๆแล้วผมต้องการอย่างนั้นน่ะเหรอ ไม่หรอกผมไม่คิดเช่นนั้น มันผิดด้วยหรือที่ผมจะดูแปลกแยก อย่าทำเหมือนผมไม่ใช่คนเลยน่า
[ ถูกแล้ว ในสายตาที่จ้องมองกู มีแค่ตัวประหลาดตัวหนึ่ง ชอบยัดเยียด นักใช่ไหม เออ กูจะเป็น... ]
ผมมีอวัยวะทุกอย่าง อย่างคนทั่วไป แต่แค่การวางตัว มันทำให้ผมหลุดสังคมขนาดนั้นล่ะก็ ผมก็น่าจะไม่ใช่คนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเสียดีกว่า
พวกคุณไม่รู้หรอก เวลาที่ถูกสายตาของคนอื่นมองเราเหมือนตัวอะไรสักอย่าง สายตาที่เหยียดหยาม ดูถูก มันเป็นความร้ายกาจอย่างที่สุดที่คนจะสามารถมอบให้แก่กัน
แต่.. แต่ยังไงผมก็อยู่คนเดียวไม่ได้ โลกนี้กว้างใหญ่เกินกว่าจะเป็นไปเพื่อคนๆเดียว
มันดีแล้วเหรอที่จะแตกต่าง
[ เฮ้ย งั้นกูสมควรเสแสร้ง ทำให้เหมือนไอ้พวกนั้นน่ะเหรอ? ]
..
< ไม่หรอก.. แรกๆอาจจะรู้สึกแย่ แต่ต่อไปมันต้องดีขึ้นแน่ๆ เชื่อสิ >
ถ้าหากการมีอยู่ของคนเป็นไปเพราะมีใครสร้างมาแล้วล่ะก็
[ ใครล่ะ? ] < พระเจ้าเหรอ? >
..ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าใคร อาจพระเจ้าก็ได้ แต่ผมไม่อยากสร้างตัวตนแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว คำว่าพระเจ้าก็เหมือนตัวเลขที่คุณบอกว่ามันคือ อินฟินิตี้
มันเท่ากับว่าคุณกำลังวางกรอบให้จินตนาการอันไร้ขอบเขต เหมือนที่เด็กชายบาสเตียน ตัวละครของมิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ได้ทำ ในท้ายสุด เขาสูญเสียตัวตน และเกือบทิ้งโอกาสกลับบ้าน...
จินตนาการเป็นสิ่งเดียวที่ผมภาคภูมิใจได้ในขณะนี้
หรือมันจะทำให้ผมดูบ้า
อย่างไรก็เถอะ ผมเชื่อว่าการที่เขาสร้างแต่ละคนให้แตกต่างกัน ย่อมมีจุดประสงค์ที่แน่นอนในตัวแล้ว ก็แล้วทำไมผมต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ผมด้วยล่ะ
[ กูเห็นด้วย ]
< ไม่ใช่นะ เราต้องฝืนทำในสิ่งที่รู้สึกแย่ เพื่อคนอื่นในบางครั้ง ท้ายสุด พวกเขาจะเติมเต็มสิ่งที่เราขาดหายเอง.. >
มันผิดอะไรที่ผมจะแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล..
< ก็เราไม่ได้อยู่คนเดียวนี่.. >
..จำเป็นเหรอที่ผมต้องก้าวก่ายชีวิตคนอื่น เหมือนที่พวกเขาทำ..
< ก็นะ.. >
..แล้วการที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลาน่ะ มันเป็นทิศทางที่ถูกต้องของกระบวนการวิวัฒนาการงั้นเหรอ
< เอ่อ...เข้าใจบ้างสิ >
ในที่สุดแล้ว ชีวิตที่ต้องยืมลมหายใจคนอื่น ไม่เท่ากับว่าเราสูญเสียสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ของชีวิตไปเหรอ..
< ... >
แล้วอย่างนั้นการมีชีวิตอยู่ และการตายไป จะต่างอะไรกันล่ะ
ดูเหมือนผมจะได้ข้อสรุปของความว้าวุ่นในใจแล้ว
ตายดีกว่า...
(จบบทหนึ่งว่าด้วยการตัดสินใจ อย่าเพิ่งตีค่ามันจนกว่าจะครบทั้ง 3 บท ในบท2ว่าด้วยการตัดสิน และบทสุดท้าย ว่าด้วยการตัด)
12 มกราคม 2549 12:06 น.
Jintalohitt
ความว่างเปล่า >>
ก่อเกิด >>
จากจุดมืดมิดอันเจิดจ้า ภาพที่ไม่สามารถพรรณนาได้ด้วยความรู้สึกพื้นฐาน ความว้างก่อตัวขึ้นจากความเป็นไปไม่ได้สู่ความเป็นไปได้ ที่ว่างนั้นกลับเกิดวัตถุเคลื่อนคว้าง จากหนึ่งสู่ล้าน จากล้านสู่อนันต์
ในภาพทัศน์ที่กลืนตา ที่ที่ความแตกต่างไม่แสดงอำนาจของมัน วัตถุหนึ่งกลับโดดเด่นกว่าอื่นใด ราวกับงานปฏิมากรรมของเทพีผู้รังสรรค์จินตนาการ ที่นั้นมีความอบอุ่น ความชุ่มชื้น และความต่างเหนืออื่นใด ที่นั่นมีชีวิต!
จากว่างสู่ตัวตน จากไร้ชื่อสู่การกล่าวขาน ในเวลานั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่า 4600 ล้านปีต่อมา โลก คือชื่อที่ใช้เรียกมัน...
ผล >>
"โลก" ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าบุตรแห่งมันนามว่า "มนุษย์" จะเป็นผู้กระทำการปิตุฆาตตัวมัน ในไม่เร็ว... แต่ก็ไม่ช้านี้
ทั้งที่มันก็เอ็นดูและคอยปกปักคุ้มครอง แม้จะมีลงโทษด้วยภัยพิบัติต่างๆแต่ก็เป็นด้วยความรักและการสั่งสอนให้เติบโต
แต่มนุษย์เล่าไหนเลยจะเข้าใจ... พวกมันจึงไม่หยุดคิด หยุดกระทำ... จน...
บทสรุป >>
ความว่างเปล่า.... อีกครั้ง... และอีกครั้ง...
6 มกราคม 2549 15:47 น.
Jintalohitt
กาลครั้งหนึ่ง ณ ทุ่งหญ้ากลางป่าคอนกรีตที่เรียงรายล้อมรอบด้วยความพลุกพล่านของสังคมเมือง ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ไม่มีลำธาร จะมีก็เพียงแต่บ่อน้ำเล็กที่เกิดจากรอยรั่วของท่อประปา และต้นหญ้าที่เกิดจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าของที่ ที่ขณะนี้แข่งขึ้นเบียดยอดในคอกสี่เหลี่ยมกำแพงคอนกรีตจนแน่นขนัด หากมองจากภายนอกมันอาจเป็นแค่ที่ดินที่ถูกทิ้งรกร้างธรรมดา แต่ลึกลงในความไม่เป็นระเบียบสีเขียวที่แซมแทรกนั้นกลับซุกซ่อนสรวงสวรรค์ของสรรพชีวิตที่ไม่อาจอยู่รอดได้ในเมืองใหญ่ หรือกล่าวอีกนัยที่นี่ก็คือโอเอซิสของสัตว์กลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอดจากการเร่งพัฒนาเมืองอย่างบ้าระห่ำ โดยโยนตำราการอนุรักษ์ธรรมชาติทิ้งถังขยะไป ที่นี่จึงไม่มีทั้งกบในกะลา กระต่ายตื่นตูม และคางคกขึ้นวอ แน่นอนคงไม่มีเจ้าชายกบด้วย แต่หากพูดถึงกบ ที่นี่มีกบธรรมดาอยู่สามตัว กับฝูงแมลงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
เนื่องจากมีกบเพียงสามตัว พวกมันจึงไม่เคยทะเลาะแย่งชิงอาหารกัน เพราะมีแมลงมากเพียงพอสำหรับทุกตัว แต่ทว่าโลกนั้นไม่ได้หมุนด้วยความสงบสุข แต่ดำเนินด้วยปัญหาและอุปสรรค ชีวิตเรียบง่ายของกบทั้งสามจึงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อพวกมันตัวใหญ่ขึ้นและต้องการแมลงมากขึ้น ทำให้กบทั้งสามตัวต้องนำปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อหาทางออก
อ๊บ อย่างที่ทราบกันดี ว่าแมลงในทุ่งนี้เป็นแมลงที่ย้ายถิ่นตามฤดูกาล จึงมีบางช่วงที่จะอาศัยในชุมชนมนุษย์และบางช่วงอาศัยในทุ่งนี้ แต่เพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ฤดูกาลจึงเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน แมลงก็พากันสับสน จนเลิกย้ายถิ่น แมลงที่ตัดสินใจอยู่ในบ้านถ้าไม่โดนไบกอน ก็จะถูกจับไปทอดขายเป็นของเปิบพิสดารหมด ส่วนที่อยู่ในทุ่งนี้ก็ถูกพวกเรากินบ้าง กินกันเองบ้าง แม้ปริมาณจะลดลงแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลน ปัญหาก็คือเราจับแมลงได้ปริมาณเท่าเดิม ในขณะที่ท้องของเราย่อยแมลงได้มากขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราอาจต้องทนทรมานกันด้วยโรคกระเพาะเป็นแน่ อ๊บ กบพูดมาก สรุปปัญหาให้ที่ประชุมฟัง
พูดอีกอย่าง คือ พวกเรามักมากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม อ๊บ กบพูดผิด แสดงภูมิรู้
อย่าใช้นิสัยของมนุษย์ มาเรียกความจำเป็นของพวกเรานะ กรณีนี้เขาเรียกว่าการเจริญเติบโตต่างหาก เจ้ากบโง่ กบพูดมากตวาดจนลืมใส่คำว่า อ๊บ ซึ่งถือว่าหยาบคายมากในหมู่กบ ทำให้ที่ประชุมเงียบไปครู่หนึ่ง
อ๊บ ถ้าอย่างนั้น เจ้ามีอะไรเสนอบ้างไหม เจ้ากบประหลาด กบพูดมากหันไปถามกบตัวสุดท้าย
กบประหลาดเป็นกบที่พึ่งอพยพจากชุมชนมนุษย์เข้ามาในทุ่งแห่งนี้ เพราะมันไม่ชอบกินแมลงสาบ ซึ่งเป็นแมลงชนิดเดียวที่เหลือรอดในบ้านจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แมลงของมนุษย์ กบประหลาดได้ชื่อนี้เพราะหน้าตาที่แปลกกบของมัน คือมีไฝที่ใต้ตาซ้าย มีฟันยื่นออกมานอกปาก และบนตัวก็มีลายต่างจากกบอื่น เนื่องจากมันเข้ามาหลังสุด และหน้าตาดูไม่ฉลาดนัก มันจึงไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าใดนักจากเพื่อนกบอีกสองตัว
เอ่อ.... อ๊บ ข้าเคยอยู่แต่ในบ้านคน เอ่อ...ข้าไม่รู้... ไม่ทันกบประหลาดจะพูดจบกบพูดมากก็ชิงสรุป
อ๊บ ข้ากะไว้แล้ว อยู่บ้านมนุษย์นานๆ ก็เลยติดนิสัยพวกมนุษย์มา พวกมนุษย์ส่วนใหญ่น่ะไม่ชอบแก้ปัญหาหรอก อ้างว่าเป็นปัญหาส่วนรวม ตัวเองคนเดียวทำอะไรไม่ได้ ชอบให้ปัญหาหมักหมม รอใครสักคนมาจัดการ แล้วค่อยยกย่องเขา แต่ก็แอบอิจฉาอยู่ในใจ และหากใครคนนั้นแก้ปัญหาไม่สำเร็จพวกที่เหลือก็พร้อมจะกรูเข้ามาต่อว่าซ้ำเติม ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้คิดจะทำอะไรเลยสักอย่าง ..แต่ข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอกนะ ถ้าจะโทษต้องโทษมนุษย์ ที่เราต้องอยู่อย่างยากแค้นก็เพราะมนุษย์ ที่ฤดูกาลผิดเพี้ยนก็เพราะมนุษย์ ที่แมลงน้อยลงก็เพราะมนุษย์ เป็นความผิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกอย่าง กบพูดมากพูดอย่างมีอารมณ์
ใช่ อ๊บ เพราะมนุษย์พัฒนาวัตถุโดยไม่คำนึงถึงหลักการ... หลักการ...เอ่อ..หลักการเอกลักษณ์ธรรมชาติ ใช่ไหม อ๊บ กบพูดผิดเสริม
เขาเรียกว่า หลักการอนุรักษ์ธรรมชาติต่างหาก เจ้าเซ่อ.... อ๊บ กบพูดมากว่าเจ้ากบพูดผิดที่ยังแก้นิสัยชอบพูดผิดๆไม่หายเสียที
เข้าประเด็นดีกว่าอ๊บ ถ้าเราคิดอย่างมักง่ายสุดซึ่งมนุษย์ชอบทำกัน ก็คือถ้าอาหารไม่พอก็จับให้มากขึ้นเท่านั้นเอง แต่หากเราทำเช่นนั้น เราก็อาจต้องเหนื่อยกันมากขึ้นและได้พักผ่อนน้อยลง ซึ่งไม่เป็นผลดีระยะยาวเลย แต่ข้าก็นึกวิธีอื่นไม่ออกแล้ว พวกเจ้ามีใครจะเสนอวิธีอื่นหรือไม่ ถ้าไม่มีเราคงต้องใช้วิธีนี้ กบพูดมากเสนอ ที่ประชุมเงียบไป ไม่มีใครเสนอวิธีอื่นหรือคิดคัดค้านวิธีนี้แต่อย่างใด
เอาเป็นว่าเราจะใช้วิธีนี้แล้วกัน เจ้ากบพูดมากสรุป กบที่เหลือพยักหน้ายอมรับและต่างแยกย้ายกันไปหาอาหาร
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ไปนานพอควร จนเจ้ากบพูดผิดเริ่มมีอาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ตาของมันปรือแทบปิดสนิท บางครั้งมันถึงกับเผลอหลับในขณะหาอาหาร เนื่องจากมันตวัดลิ้นได้ช้า จึงต้องหาอาหารนานกว่าตัวอื่น ทำให้ได้พักผ่อนน้อยลงไปด้วย กบอีกสองตัวต่างก็สงสารแต่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรได้แต่ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป
จนมาวันหนึ่งขณะกบอีกสองตัวกำลังตวัดลิ้นกินแมลงอยู่ริมบ่อน้ำประปา เจ้ากบประหลาดที่กำลังนั่งมองเพื่อนกินแมลงอยู่ก็พลันสังเกตเห็นว่า ที่พวกมันจับแมลงได้ง่ายก็เพราะลิ้นของมันเหนียวนั่นเอง ทำให้มันนึกไปถึงกับดักแมลง เครื่องมือล้างเผ่าพันธุ์แมลงยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งของมนุษย์นอกจากไบกอน มันไม่รีรอ รีบกระโดดพลางร้อง อ๊บ อ๊บ ไปอย่างร่าเริง ดีใจที่นึกอะไรดีดีออกในช่วงเวลาวิกฤต คราวนี้ล่ะมันจะได้เป็นที่ยอมรับจริงๆเสียที เจ้ากบประหลาดคิดพลางมุ่งหน้าไปยังเขตอาศัยของมนุษย์
เวลาล่วงมาถึงย่ำค่ำกบอีกสองตัวยังคงนั่งตวัดลิ้นอยู่ริมน้ำด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่พวกมันกำลังจะเลิกและกลับไปพักผ่อน มันก็สังเกตว่าเจ้ากบประหลาดหายไป แต่ก่อนที่มันจะโวยวายตกใจ เจ้ากบประหลาดก็กระโดดออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น พร้อมกับดักแมลงที่มีแมลงติดหนึบเต็มไปหมด
โอ้โห อ๊บ เจ้ากบประหลาด เจ้าทำได้อย่างไรกัน กบอีกสองตัวอุทานพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
นี่เรียกว่ากับดักแมลง มันเป็นของพวกมนุษย์ ต่อไปนี้พวกเราก็ไม่ต้องลำบากออกหาอาหารอีกต่อไป แค่ตั้งทิ้งเจ้านี่ไว้ แล้วกลับออกมาแกะกินในตอนที่หิวก็พอ เจ้ากบประหลาดตอบด้วยความภูมิใจ กบอีกสองตัวต่างก็ดีใจ ยกยอเจ้ากบประหลาดเป็นการใหญ่ และไม่ดูถูกเจ้ากบประหลาดอีกเลย
ว้าว อ๊บ เป็นเลิศ ประเสริฐศรี โอ้โฮ อ๊บ เป็นเลิศ ประเสริฐศรี
นับแต่วันนั้นพวกกบก็ใช่ชีวิตอย่างสุขสบาย หิวก็ออกไปแกะแมลงกินที่กับดักแมลง อิ่มแล้วก็กลับไปนอน มันสบายเสียจนพวกมันไม่สังเกตเลยว่าแมลงเริ่มน้อยลงๆ จนในที่สุดก็ไม่มีแมลงมาติดกับดักอีกเลย
มันเกิดอะไรขึ้น อ๊บ ทำไมวันนี้ไม่มีแมลงล่ะ เจ้ากบพูดผิดอุทานเมื่อมาพบกับดักแมลงว่างเปล่า
มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน อ๊บ ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้ากบประหลาดเสริม
นั่นสิ อ๊บ เจ้ากบพูดมากตอนนี้พูดน้อยลงผิดหูผิดตา ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้
ไม่น่าเลย อ๊บ ไม่น่าเลย ข้าพลาดไปเสียแล้ว พวกเจ้าสังเกตกันบ้างไหมว่าวันนี้ไม่มีเสียงของพวกแมลงเลย กบพูดมากพูดเสียเครือ
ถึงฤดูย้ายถิ่นของพวกแมลงแล้วเหรอ อ๊บ กบพูดผิดตอบ
หรือพวกมันเริ่มรู้ทันจึงไม่หลงติดกับดักอีกแล้ว อ๊บ กบประหลาดเสริมบ้าง
ไม่ใช่หรอก ที่ไม่มีเสียงแมลงเลยก็เพราะพวกมันโดนพวกเรากินจนหมดแล้วน่ะสิ กบพูดมากเฉลย
ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม อ๊บ เป็นไปไม่ได้หรอก ก็พวกแมลงมีตั้งเยอะแยะ กบอีกสองตัวแย้ง
จะมีมากเท่าไรก็มีวันหมดลงได้นะ อ๊บ ทั้งๆที่พวกเราชอบว่ามนุษย์ แต่สุดท้ายพวกเราก็เป็นเหมือนพวกนั้นเสียเอง เราพึ่งความสะดวกสบายจากกับดักแมลง เลยกินทิ้งกินขว้าง บางวันมีแมลงติดกับดักเหลือมากมายพวกเจ้าก็คงเห็นกัน แต่พวกเราก็ไม่ได้ใส่ใจ ลืมสนใจว่าแมลงมันโดนจับมากกว่าความต้องการของพวกเรา จนวันหนึ่งพวกมันก็หมดลง ไม่ต่างเลยกับสิ่งที่มนุษย์ทำกับพวกเรา กับธรรมชาติ และพวกเราก็คงจะต้องตายกันในไม่ช้าตามพวกแมลงที่ตายไปก่อนหน้า เพราะขาดอาหาร ฮือ อ๊บ ฮือ อ๊บ เจ้ากบพูดมากพูดไปร้องไห้ไป กบอีกสองตัวได้ยินเช่นนั้นต่างก็สะอึกสะอื้นร้องไห้ให้ระงมทั่วทุ่งหญ้าเขียวขจี
ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำระงมไปทั่วท้องนา... เสียงเพลงในวิทยุดังคลอสายฝนหลงฤดู ที่ตกแทบจะตลอดปี เด็กน้อยคนหนึ่งหลับตาพริ้มกึ่งหลับกึ่งตื่นบนเตียงอุ่น ขณะแม่เอื้อมมือมาค่อยๆเบาวิทยุลง พร้อมกับเดินไปปิดไฟที่หัวเตียง เด็กน้อยตื่นมาพอดีและนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
แม่ครับ เดี๋ยวนี้กบที่ข้างบ้านเราทำไมมันไม่ร้องเลยล่ะครับ เด็กน้อยถามแม่ด้วยความใคร่รู้
อืม...ไม่รู้สิจ๊ะ แต่ถ้าลูกอยากได้ยินเสียงกบ แม่จะเอาวีซีดีชีวิตสัตว์โลกตอนที่มีเรื่องกบ มาเปิดให้ดูนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ลูกคงต้องเข้านอนได้แล้วล่ะ ราตรีสวัสดิ์จ้ะลูกรัก แม่โน้มตัวลงมาจูบเบาๆที่หน้าผากของเด็กน้อย
ราตรีสวัสดิ์ครับ เด็กน้อยตอบพร้อมกับหลับตาลงอย่างมีความสุข
นับแต่นั้นมาไม่มีใครพูดถึงเรื่องเสียงกบ หรือได้ยินเสียงกบในมหานครที่เหมือนกะลาครอบปิดหูปิดตาพวกมนุษย์ไว้อีกเลย...
6 มกราคม 2549 15:38 น.
Jintalohitt
แดดสุดท้ายก่อนสิ้นวันทอดผ่านม่านบางๆพอให้ห้องสว่างขึ้นแลเห็นชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างเตียงเปล่า แสงกระทบใบหน้าเขาให้เห็นประกายสะท้อนของน้ำตาอยู่แวบหนึ่งก่อนเขาปาดทิ้งไป ในมือสั่นเทาของเขาถือกระดาษยับเปรอะคราบน้ำตาอยู่แผ่นหนึ่ง กระดาษธรรมดาๆที่เขียนด้วยลายมือไม่เป็นระเบียบ กระดาษธรรมดาๆที่ทำหน้าที่ดั่งจดหมายฉบับสุดท้ายของคนที่เขียนมัน และเป็นกระดาษธรรมดาๆที่ขึ้นต้นด้วยข้อความธรรมดาๆดั่งจดหมายทั่วไป
ถึง อเนก.. ความรักสุดท้ายของฉัน...
ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าในเวลาที่แม้แต่ความเหงายังทอดทิ้งฉันไว้ นาฬิกาที่ไม่เคยใส่ใจใคร่ฟังก็ดูราวจะหายใจรวยรินลง ราวว่าจะร่วงโรยตามดอกไม้ในแจกันข้างหัวเตียง ที่มีใครสักคนนำมาเยี่ยม หรือบางทีอาจเป็นคุณ ก็ได้ที่นำมาจัดอย่างบรรจงในตอนที่ฉันไม่รู้ตัว ด้วยหวังดีว่าฉันจะได้ดูสิ่งสวยงามให้จิตใจแจ่มใสขึ้นบ้าง แต่คุณคงไม่รู้หรอกว่าเพียงไม่นานนัก ความอ่อนบางของก้านกลีบดอกไม้ก็ไม่อาจทนความจืดชืดเย็นชาที่กลืนกินห้องนี้ไว้จนต้องโรยราร่วงหล่น ไม่ต่างเลยจากฉันที่กำลังทนทรมานจากอาการป่วยอยู่เพียงลำพัง คงไม่ช้าความเดียวดายคงกัดกินลมหายใจของฉันจนสิ้นลง
ฉันไม่ถนัดเขียนจดหมายนัก น่าตลกที่ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้าย ฉบับที่ฉันตั้งใจเขียนให้เธออ่านที่สุด ตอนนี้เสียงนาฬิกาฟังแผ่วเบาลงอีกแล้ว คงไม่มันก็ฉันนี่ล่ะที่จะได้หยุดหายใจลงก่อนกัน ..อีกไม่นานนักหรอก
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงยังรักฉัน ห่วงใยฉัน และคอยเทียวมาดูแลฉันแทบทุกเวลาที่คุณสามารถปลีกตัวจากภาระการงานได้ ทั้งๆที่ฉันตอนนี้ไม่ใช่กุหลาบที่สวยสดตรึงตาตรึงใจหมู่ภมรเช่นแต่ก่อน หากแต่เป็นเพียงดอกไม้ที่เฉาลงด้วยอาการป่วยรุมเร้าให้ทรุดลงรายวัน ได้แต่นอนรอความหวังที่ไม่มีตัวตนเพียงลำพังบนเตียงคนไข้ที่เสมือนกับแท่นบูชายันเสียมากกว่าที่พักรักษากาย
แล้วเหตุใดคุณต้องมาขังตัวเองในคุกปูนสี่เหลี่ยมสีจางเศร้า ทิ้งโลกอันสดใสไว้เบื้องหลังเพื่อผู้หญิงเช่นฉัน คนที่ไม่เคยแม้แต่ชายตามองคุณเลย ไม่เคยถนอมน้ำใจในคำสารภาพรักของคุณ ไม่เคยแม้แต่จะใส่ใจความรู้สึกของคุณ คุณ... คุณคนที่ตอนนี้ฉันรัก... รักมากเหลือเกิน รักจนไม่อาจทนได้เพียงแค่คิดไปว่าเวลาที่จะได้อยู่มองคุณช่างเหลือสั้นเสียเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามฉันยังหวังว่าความตายจะไม่เร่งพรากฉันไปเร็วนัก อย่างน้อยให้วันที่เหลือนี้มากพอเพื่อฉันจะได้ตอบแทนสิ่งต่างๆที่คุณได้มอบให้ฉันตลอดมา หากวันนั้นมาถึงเมื่อใดฉันจะได้ไม่เหลือสิ่งติดค้างในใจว่าครั้งหนึ่ง ได้ทอดทิ้งคนที่รักฉันมากที่สุดเอาไว้ข้างหลัง คงจะดีถ้ากระดาษแผ่นนี้สามารถเขียนถ้อยความรู้สึกนับแสนนับล้านในใจของฉันได้หมด ให้แต่ละบรรทัดเก็บตัวตนของฉันไว้ทดแทนความทรงจำของเราที่กำลังสิ้นสุดลง เพื่อจะได้ปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำจากการสูญเสียของคุณให้กลับมาหยัดยืนได้ดังเดิม
ที่ผ่านมาฉันคงไม่ค่อยได้ทำดีกับคุณนัก ตอนนั้นฉันคงดูไม่ดีเลยในสายตาคุณ ยิ่งตอนนี้หน้าตาที่ซูบโทรมคงทำให้ฉันไม่น่ามองขึ้นไปอีก แต่ฉันอยากให้คุณจดจำฉันในช่วงเวลานี้เอาไว้ แค่สิ่งที่ฉันจะบอกคุณต่อจากนี้ว่า ฉัน... ฉันรักคุณ รักคุณเสมอ.. และจะรักตลอดไปนะ..."
ลายมือช่วงหลังเอนไปไหวมาจนสัมผัสได้ถึงความสั่นเครือของน้ำเสียง เธอคงใช้พลังกายสุดท้ายถ่ายทอดออกมา เขาคิดพลางกำกระดาษแน่นในฝ่ามือด้วยความเสียใจ เจ็บใจตัวเองที่มาไม่ทันวาระสุดท้ายของเธอ ไม่ทันแม้แต่จะรู้ว่าเธอเป็นเช่นไรในช่วงเวลาสุดท้าย เธอจะทุกข์ทรมานสักเท่าใด เธอจะโดดเดี่ยวสักเพียงไหน เธอจะคาดหวังให้เขากลับมาอยู่ตรงนี้ข้างๆเธอมากสักเพียงไร เขาไม่รู้เลย เขาทำได้แค่กลับมาร้องไห้อยู่ข้างๆเตียงที่ว่างเปล่า ไม่ทันแม้แต่จดจำใบหน้าสุดท้ายของเธอ...
เขาปาดน้ำตาอีกครั้ง พลันกลับเห็นภาพอดีตยืนมองเขาอย่างอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้า เธอกำลังยิ้มให้เขา ภาพลวงตาโน้มตัวลงมาข้างๆเขากระซิบแผ่วเบา
สมัยนี้ไม่มีใครเขาผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบแล้วตายในโรงพยาบาลหรอกนะ... แค่ออกไปเข้าห้องน้ำเอง แล้วทำไมต้องไปขยำนิยายที่ฉันแต่งแก้เบื่อด้วยเนี่ย แค่ยืมชื่อมาใช่ในนิยายแค่นี้เอง โกรธเหรอ
เธอหยุดมองดูตาแดงระเรื่อของเขา ที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้นอีก
แต่ฉันก็ขอบใจนะ ที่เธอรักฉันมากขนาดนี้ เธอพูดพร้อมโอบวงแขนกอดเขาอย่างอบอุ่น
ใครบางคนอาจต้องการเวลามากมายในชีวิต เวลาที่จะหาเงิน หาความสุข ทำสิ่งที่อยากทำเพื่อความสำเร็จของตน จนมองข้ามเวลาเล็กน้อยในตอนที่ได้ทานข้าวร่วมกันพร้อมหน้า จนเมื่อวันที่เก้าอี้บางตัวในโต๊ะอาหารว่างไป ถึงได้รู้สึกเสียดายวันเวลาเก่าๆ ฉันไม่คาดหวังให้เราเป็นอย่างนั้นเลย เวลาคงไม่ลำเอียงให้ใครมากเกินไป แต่เราสามารถทำให้เวลาของเรามากพอได้ แค่ช่วงเวลานี้ฉันก็รู้แล้วว่าชีวิตของฉันไม่มีทางไร้ความหมายแน่นอน ขอบใจนะ น้ำตาเอ่อรินในดวงตาของหญิงสาว เสียงเธอสั่นเครือ
ชายหนุ่มสอดมือสวมกอดหญิงสาวผู้เป็นอนาคตของเขาเอาไว้
ขอบใจนะที่เธอไม่จากฉันไป
10 กันยายน 2547 09:08 น.
Jintalohitt
..เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญแทบเป็นบ้า
อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
น้ำใจข้ามึนเมามึนทั้งขึ้นแรม..
มองไปรอบๆตัวเองว่างเปล่าไม่มีใคร
วันนี้ผู้คนล้วนมีความสุขอยู่กับครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก เทศกาลที่ใครต่อใครก็สนุกสนานรื่นเริง พลุไฟ ถูกจุดขึ้นพาดผ่านลำน้ำ ดูสว่างไสว ราวกับงานสังสรรค์ของเกลียวน้ำ กับ แสงไฟ และแล้วค่ำคืนที่สว่างไสวก็ดูกระจ่างใจขึ้นอีก เมื่อเทียนแรกได้ถูกจุดขึ้น มันเป็นอย่างนี้มาเช่นทุกปี แต่ปีนี้ของผมช่างแตกต่าง
จากคนหนึ่งคน...ก้าวออกไป...พบอีกคน และอีกคน ต่อไปอีกคน เป็นกลุ่ม เป็นเพื่อน...ก้าวไปอีก...แค่สองคนแต่ความผูกพันแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่า...ก้าวต่อไป...จากสองคน เป็นสาม ความรู้สึกที่แตกต่าง แต่คุ้นเคย...ครอบครัว...คนที่สามจากไป เป็นอีกคนจากคนหนึ่งคน..ก้าวออกไป...
พบอีกคน และอีกคน...
เป็นวัฏจักรหมุนไปไม่สิ้นสุด ตราบที่มนุษย์เรายังขึ้นชื่อว่าสัตว์สังคม
มองไปรอบๆตัว..ยังคง..ว่างเปล่าไม่มีใคร
แสงเทียนระยิบระยับกลางลำน้ำ ขับเน้นด้วยประกายคลื่น ดั่งแสงดาวที่ประดับประดากลางลำฟ้า พระจันทร์จะเหงาบ้างไหมเมื่อดาวหลบแสง คงไม่หรอกอย่างน้อยกระต่ายก็ไม่เคยทอดทิ้งจันทร์ ต่างไปจากใจของผมโดยสิ้นเชิง
มองดูตัวเอง...จิตใจ...มืดหม่น...เหงา
ที่มหาลัยจะจัดงานลอยกระทง ปีนี้พวกเราห้ามพลาดล่ะ
เสียงหนึ่งดังขึ้นกลบความจอแจในชั้นเรียน เมื่อความสงบจางตัว ห้องก็กลับเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกครั้ง
แกก็ห้ามพลาดด้วยล่ะ
เสียงใกล้พอที่จะรู้ว่าหมายถึงผม
พลาดอะไรวะ ?
สายตาผมยังวุ่นกับรายงานกองใหญ่เบื้องหน้า
เอ้า ก็ลอยกระทงน่ะสิ ถ้าปีนี้ไม่สำเร็จอีก ก็หมดโอกาสแล้วนะเฮ้ย
นี่ๆ สาวๆคนไหนยังไม่มีหนุ่มๆมาชวนปีนี้ ถามพี่ได้นะจ๊ะ เสียงโห่รับ ตามด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา
บรรยากาศที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ต้นเสียงห่างออกไป สายตาผมคงจรดที่เดิม แต่รอยยิ้มนั้นเจืออยู่เนิ่นนาน
ไม่มีใครมากับผมในปีนี้ แต่ผมยังคงมาเดินเที่ยวเหมือนเดิม แม้จุดประสงค์จะแตกต่างกันไป แต่สถานที่และผู้คนก็ยังคงไม่ต่างจากปีก่อนๆ คงจะมีแต่ความรู้สึกของผมเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
มองไปรอบๆตัวรอยยิ้มความสุขคนอื่น
บริเวณงานเป็นสนามหญ้ากว้าง มีพุ่มเทียนทองแทงใบสลับกิ่งหลากสีรับแสงไฟประดิษฐ์รายล้อมโดยรอบ ด้านหน้าของสนามเป็นอาคารใหญ่สีขาวสะอาดตา สะท้อนภาพภายใต้แสงจันทร์นวล เรียงรายด้วยไฟประดับหลากสีสัน ดูมีมนต์ขลังให้จับจ้องอย่างไม่รู้ตัว ที่นี่ยังเป็นเวทีกลางที่ใช้จัดการประกวดนางนพมาศอีกด้วย ปีนี้ตัวแทนของโรงเรียนเราได้เข้าถึงรอบ 5 คนสุดท้าย ดูใครต่อใครก็ให้ความสนใจกันหน้าดู
แต่สำหรับผมแล้ว มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อเธอไม่อยู่ตรงนี้อีกแล้ว
มองไปรอบๆตัวพื้นที่ว่างเมื่อก่อนเธอ
ผมกับเธอเดินไปด้วยกัน ตลอดทางที่ดูจอแจ แน่นขนัดด้วยร้านรวงที่ร่างระเบียบเรียงรายตลอดสองข้างทาง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ แต่กระนั้นก็ยังมีพื้นที่พอให้เดินได้สบายตัวไม่เบียดเสียด ส่วนหนึ่งคงเพราะหน้ามหาวิทยาลัยเป็นถนนสองทางเดินขนาดใหญ่ที่มีที่พอให้จัดกิจกรรมต่างๆได้อย่างสะดวก
ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์แทรกสีสันแซงดอกประชันชูช่ออย่างไม่ละอายความหยาบกร้านของลมหนาวที่พัดต้องผิว เงาของแมกมวลไม้ขับตัดเป็นลายซ่อน ซ้อนสลับกับแสงไฟ เป็นลวดลายที่ถักทอจากแสงเงาอย่างลงตัว
สายลมเอื่อยโชยกลิ่นกรุ่นของแก้วและวาสนาให้ผสานผสมอย่างแปลกประหลาดประปรวนในค่ำคืนแช่มช้า กระจายกระจัดกระทบโสตประสาทให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง ไหลหลั่งระดับไปตามรายละเอียดที่ระบายระบัดระรินร่าง ทั้งสองข้างทางในขณะนั้น
ยามนี้ความมืดคงไม่อาจผิดผันความงามของทัศนียภาพเบื้องหน้าได้ ตราบที่ก้อนกลุ่มละอองขาวไม่ผิดเพี้ยนแสงของดวงเดือน ภาพนี้ได้ดึงเราให้ดำดิ่งและจดจ้องอย่างเงียบงัน ราวกับได้อยู่ในอ้อมกอดของมารดาแห่งโลกผู้มีไอกรุ่นของราตรีที่รจิตระเรืองรองแต่งแต้มอยู่เป็นนิจ เป็นไออุ่นที่คุ้นเคย
เสียงเด็กๆหลายคนอ้อนขอพ่อแม่ให้ซื้อลูกโป่งให้ ซึ่งพ่อค้าได้จัดกลุ่มอย่างสวยงามหลากสีสันดึงดูดตา แล้วคำวอนก็จบลงที่รอยยิ้ม ดูอบอุ่นและบริสุทธิ์ เป็นภาพที่หาดูได้ยากเต็มทีในสังคมเมืองแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน เมืองใหญ่ที่ผมจากความอบอุ่นของบ้านมาอยู่นานเนิ่นนานเหลือเกิน
ผมพยายามชวนเธอคุย เพื่อไม่ให้ความเงียบคุกคามเราให้อึดอัดไปมากกว่านี้ เราเดินไปพลางคุยไปพลาง ความรู้สึกพรั่งพรายเปี่ยมสุข แม้อาจจะเป็นความคิดของผมฝ่ายเดียวก็ตามเถอะ
ทั้งบรรยากาศ ความรู้สึก และ เรา
ผมไม่เคยพยายามทำอะไรที่ก้ำเกินเธอเหมือนอย่างที่คู่อื่นๆเขาทำ ไม่เคยจับมือ ไม่อาศัยการอ้างบรรยากาศหรืออะไรก็ตามแต่ที่มาสนับสนุนการเลยเกินของพวกเขา ผมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ผมอยากให้ค่าของความรู้สึกนั้นบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้น อย่างน้อยนี่ก็คือความรักครั้งแรกของผม ผมรักษาระยะห่างอย่างนี้เอาไว้เสมอ ส่วนหนึ่งเพราะผมคิดเอาเองว่ามันช่วยแสดงความจริงใจต่อเธอ การให้เกียรติจึงเป็นเรื่องสำคัญ
สำคัญพอๆกับความมั่นคงในความรู้สึกที่มีต่อเธอ
สัมพันธ์ที่เรามีนี้จึงแนบแน่นกว่าที่จะถูกเรียกว่า ความรักแบบฉาบฉวย แต่นั่นก็อาจแค่ความคิดของผมเพียงข้างเดียว...
แต่เธอ
มองดูเธอหลบตาเรื่องปิดบัง
ถนนสายนี้ทอดตัวไปได้สักระยะก็จะพบถนนระยะสั้นๆที่แตกออกไปหลายสาย บริเวณนี้จะมีการออกร้านที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทิวแถวของซุ้มอาหารทั้งจานหนักๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไทย ตลอดจนขนมกินเล่น ไม่ว่า ลูกชิ้น น้ำผลไม้ ไอศกรีม ซึ่งโดยมากเป็นของนักศึกษาที่มาออกร้าน เน้นความสนุก มากกว่ากำไร กลิ่นอาหารลอยกรุ่นไปทั่วเชื่อเชิญนักชิมทั้งหลาย จึงไม่แปลกที่ถนนเส้นนี้จะมีผู้คนหนาตา ดูคึกคักตลอดเวลา ไม่ต่างไปจากปีก่อนๆมากนัก ถ้าจะต่างคงเป็นพื้นที่ว่างข้างตัวผมเท่านั้น
ที่ที่เคยเป็นของเธอ เธอคนที่เคยรอกินบัวลอยจนไม่ยอมไปไหน เธอคนที่อ่อนโยน และไร้เดียงสา
หากเดินไปได้สักหน่อยจะออกมาที่ถนนอีกสาย ซึ่งบริเวณนี้จะมีลำคลองทอดตัวไหลเอื่อยดูอ้อยอิ่งไปตลอดแนว ถนนสายนี้มีร้านขายกระทงอยู่เรียงรายรอบบริเวณ
ตรงริมน้ำมีชายหญิงหลายคู่กำลังอธิษฐาน บางทีอาจขอให้ความรักของพวกเขามั่นคง เมื่อกระทงถูกลอยออกไปความหวังของพวกเขาก็อาจจะเป็นจริง ผมนั่งมองอยู่ตรงนี้เนิ่นนาน ครั้งหนึ่งที่ตรงนั้นเคยเป็นของเรา
ผมกำลังนึกย้อนถึงปีก่อน
ความอบอุ่น รอยยิ้ม เธอ ผม.. เรา
จนเมื่อสายลมเดือนสิบสองได้พัดผ่านหยิบยื่นความเย็นชามาเกาะกุมจับขั้วหัวใจ ปลุกความเป็นจริงมาสู่ตัวผมอีกครั้ง ดั่งจะย้ำเตือนอยู่อย่างนั้น ว่าผมยังคงโดดเดี่ยว เหงา
ความอ้างว้าง
ผู้คนดูยิ้มแย้ม อบอุ่น เมื่อมือหนึ่งถูกประสานด้วยมือข้างเคียง ไออุ่นก็ถูกผสานปันไปให้กันและกัน เปี่ยมด้วยรัก และความไว้ใจ
ดูจะมีเพียงผมที่รู้ถึงการมาของสายลมแห่งความว้าเหว่ ที่กัดกินหัวใจของผมในขณะนี้
เธอไม่ใช่คนสวยเท่าไรนัก แต่นั่นก็บอกให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดกับผมลึกซึ้งมากกว่า ชอบ หรือ หลง เท่านั้น ผมรักเธอที่ความคิด การแสดงออก เธอสวยที่สุดในเรื่องเหล่านี้ นั่นดูจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนให้ความสำคัญรองลงมา
ที่เวทีกลาง การประกวดนางนพมาศ ดูคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศรางวัลขวัญใจมหาวิทยาลัย รางวัลที่ตั้งมาเป็นกำลังใจแก่คนรวย แต่จนความสามารถ และความงาม การให้ดอกกุหลาบเพื่อดูปริมาณความนิยม ไม่ใช่สาระหลักของการคัดสรรเลย จะเป็นได้ก็เพียงเครื่องมือของระบบทุนนิยม ที่ดูจะให้ความสำคัญของ มูลค่า มากกว่า คุณค่า
ผมดูคนพวกนั้นอยู่นาน ปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไป นึกถึงเธอ ภาพของเธอ รอยยิ้มของเธอ เธอผู้มีธรรมชาติเป็นความงาม อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่นางงามทุนนิยม
มองดูเธอความในใจความกล้าบอก?
ผมไปดักพบเธอที่เดิม เป็นเช่นนี้มาร่วมปีแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงปักใจได้ขนาดนั้นกับความรักครั้งแรก ผมไม่เคยมองใครอีกเลยตั้งแต่ตัดสินใจว่าเป็นเธอ เพื่อนบางคนเตือนผมว่าความรู้สึกเช่นนั้นจะทำให้ผมเจ็บหนัก ผมเชื่อ
แต่เชื่อในความรู้สึกของผมเองมากกว่า
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ ทำให้เราตกเป็นคู่ที่ถูกแซวอยู่เสมอในกลุ่มเพื่อน พวกเขาหวังดีแต่ทุกครั้งที่พวกเพื่อนๆแซว เธอก็เริ่มห่างผมไปทีละก้าว ดูออกว่าเธออาย
ก่อนที่เธอจะไกลเกินปลายนิ้วของผมจะฉุดรั้ง ผมต้องทำอะไรสักอย่างที่เด็ดขาดเพียงพอ เพียงพอที่จะให้เธอมั่นใจ
ผมไม่เคยบอกความรู้สึกต่อเธอให้ชัดเจน ถึงผมจะคิดว่าสิ่งที่ได้ทำจะสำคัญกว่าก็เถอะ แต่บางครั้งคำพูดก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับการอธิบายทุกการกระทำ เมื่อมันมีเวลามาเป็นพื้นฐานเพียงพอ และตอนนี้ผมก็มั่นใจแล้ว ว่าคำพูดของผมมีค่าความจริงใจพอให้เธอได้รู้
รบกวนการเหม่อลอยหรือเปล่าจ๊ะ? น้ำเสียงที่แจ่มใส คุ้นหู ปลุกผมขึ้นมา
ผมหันขวับไปที่ต้นเสียง
เปล่า เปล่า ไม่เป็นไรว่าแต่มานานหรือยัง
ผมตอบกลับไปละล่ำละลัก
วันนี้ดูไม่เหมือนเดิมเลย มีอะไรหรือเปล่า เสียงเล็กๆ ที่แฝงความอ่อนโยน แสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
คือวันพรุ่งนี้ที่มหาลัยมีงานลอยกระทงน่ะเอ่อ ผมลังเล เจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆที่เกิดไม่กล้าพูดขึ้นมา
อาจเพราะยังกลัวกับคำปฏิเสธ
ไปสิไป ชวนกันไปหลายๆคนนะ จะได้สนุก เธอตอบเหมือนล่วงรู้คำถามที่ยังไม่เผยถ้อยความ รอยยิ้มเธอดูไร้เดียงสา
ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายชวนผมเสียมากกว่า
ผมหัวเราะตามเธอ
วันนี้เมื่อปีก่อน เธอยังไม่รู้จักผม มีแค่ผมที่แอบมองเธออยู่ฝ่ายเดียว และวันพรุ่งนี้ก็เป็นโอกาสที่ผมจะระบายคำพูดคับอกให้เธอรู้
วันลอยกระทงก็เหมือนวันวาเลนไทน์แบบไทย ที่เปลี่ยนจุดประสงค์ไปตามกาลเวลา การชวนเธอลอยกระทงจึงยากพอๆกับการสารภาพรักทีเดียว แต่แล้วผมก็สามารถรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปชวนเธอลอยกระทงเข้าจนได้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะแรงยุของเพื่อนๆผมเองก็ได้
นับแต่นั้นเราก็สืบความสัมพันธ์เรื่อยมา แม้ตอนนั้นเธอจะปฏิเสธคำชวนของผมก็เถอะนะ ท่าทีที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ คำปฏิเสธจึงไม่ทำร้ายผมมากนัก โชคดีที่เป็นเธอ ไม่งั้นผมคงแทบบ้า มันทำให้ผมไม่ท้อแท้กับการเริ่มต้นใหม่
อย่างน้อยปีนี้ผมก็ชวนเธอสำเร็จ
มองดูเธอความในใจความพร้อมบอก
ผมเดินกับเธอเพียงสองคน พวกเพื่อนๆชวนกันปลีกตัวไปหมดแล้วเพื่อเปิดโอกาสให้ผม ผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะบอก บางอย่าง กับเธอหลังจากเราได้ลอยกระทง บางอย่างที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม
มองดูเธอการสารภาพผู้คนจากไป
ความรักเป็นเรื่องเหนือความผิดหรือถูก ผมมีเหตุผลของผม เธอเองก็มี ผมจึงทำไม่ได้ที่จะทำร้ายเธอด้วยการฉุดรั้ง
บางทีผมอาจรักเธอมากไป
มองดูตัวเองทิศทางก้าวเหงาๆลำพัง
ผมเดินออกจากบริเวณริมน้ำ ไปจากความทรงจำเศร้าๆ แต่มันก็ไม่ได้จากผมไปจริงๆหรอก
ไม่มีทางเลย
มองดูรอบข้างความบังเอิญเธอการกลับคืน?
ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ เธอ ยังโดดเด่นตัดกับแวดล้อมรอบข้างอย่างชัดเจนเหมือนภาพที่ผ่านการย้อมฟิล์มให้ฉากหลังหม่นเทา และสีสันที่เปี่ยมชีวิตก็อยู่เพียงที่เธอเท่านั้น ภาพที่มีเธอเป็นจุดศูนย์กลาง เธอคงไม่เห็นผม สีหน้าเธอดูมีความสุข แจ่มใสรื่นเริงเช่นเดิม เธอเดินมาพร้อมกับพวกเพื่อนๆ
บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีพอให้ผมเริ่มต้นใหม่ ความหวังยังอยู่ตราบที่ยังมีเธอ แต่ความคิดเข้าข้างตัวเองของผม
ในขณะนี้ดูจะไม่ประสบผล
ประสบการณ์เก่าๆยังคงตอกย้ำผมเรื่อยมาเหมือนนั่งดูภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำซาก ความลังเลและท้อแท้เข้าแทนที่ โอกาสผ่านไปแล้ว ภาพใบนั้นทั้งใบกลับกลืนเป็นสีเทา โลกของผมเองก็เช่นกัน เธอค่อยๆลับหายไปกับฝูงชน
ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการดีกว่า
ข้างๆเธอมีชายคนหนึ่ง ดูเธอจะสนิทกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่อนของผมเอง
มองดูตัวเองโอกาสการเล่นตลกน้ำตา
ผิวน้ำแตกกระจายแสดงวงขดคลื่นทำลายเงาเพ็ญที่สะท้อนนวลนิ่ง ฟองคลื่นทั้งน้อยใหญ่นับพันนับหมื่นกำลังพุ่งผ่าน ลอยขึ้นผิวน้ำอย่างพลุ่งพล่าน แต่แสนจะเอื้อยอิ่งในสายตาผม กลุ่มฟองกระจายตัวลอยห่างออกไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแสงดวงเดือนที่ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ตาของผมกำลังปิดลงอย่างช้าๆหลังจากสู้ความกระด้างของน้ำตาอย่างระคายเคืองเพียงลำพัง ฟองสุดท้ายได้หลุดลอยไปแล้วอย่างเศร้าสร้อย ห่างออกไป ไกลออกไป ทิ้งไว้แต่แสงนวลที่กำลังเลือนตัวกลัดกลืนไปกับความมืด
ภาพเบื้องหน้าเป็นดั่งรูประบายสีดำชืดที่จิตรกรแสร้งระบัดระบายทับร่างระเรืองรองไว้เบื้องหลัง เหลือไว้แต่ความเย็นเยือกที่โอบล้อมให้สัมผัสสะทกสะท้านจนภายใน หนาวชาจนร่างกายไม่อาจรับรู้เรื่องราวใดๆได้อีกแล้ว
ราวตุ๊กตาที่กำลังอาบแสงจันทร์นวล ตุ๊กตา.. ร่างที่ไร้ลมหายใจ
ขอบคลื่นกระทบตลิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทำกระทั่งกลืนหายไปกับผิวน้ำ เงาเพ็ญสั่นไหวตามแรงระริ้วคลื่น ในที่สุดก็คืนรูปแสดงแสงนวลเนิบนิ่งอีกครั้ง
บางที โชคชะตาอาจเล่นตลกกับผมอย่างร้ายกาจเหลือเกิน เมื่อหนึ่งปีก่อน ถ้าผมไม่ตัดสินใจ ในวันนี้ผมอาจยังพอเป็นเพื่อนกับเธอ อย่างน้อยผมก็คงไม่ต้องมาเดินคนเดียวแบบนี้
มองไปรอบๆตัวว่างเปล่าไม่มีใคร
เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
แต่ค่ำคืนนี้ของผม ก็ยังคงเป็นได้แค่คืนแรม