16 สิงหาคม 2547 18:47 น.

ยุงและความรัก > >

idaho

 ศิลปะการดื่มเลือดของยุง คือ ค่อย ๆ ย่อง อุ๊ย!! บินซิเนอะ 
บินเข้าไปในมุมมืด บรรจงแทงปากทะลุทลวงผ่านผิว เข้าไปดูดเลือดอุ่น ๆ 
ของคุณ โดยคุณไม่รู้ตัว 
ศิลปะความรัก คือบรรจงแทรกแซง ชอนไช ทะลุทลวงความรู้สึก เข้าไปฝังลึกอยู่ในหัวใจ ของคุณอย่างช้า ๆ อบอุ่นในหัวใจ โดยคุณไม่รู้ตัว 
         กว่าคุณจะรู้ตัว ยุงก็อิ่มแปล้ บินกลับบ้าน >กว่าคุณจะรู้ตัว รักก็มากมายเกินห้ามใจ 
         ยุงตัวไหน ปากหนัก กัดเจ็บ บินไม่เร็วพอ บินไม่รู้จังหวะ บินผิดมุมให้คนเห็นหรือรู้ตัวก่อน ถึงฆาตมาแล้ว กว่า 90 % 
         น้อยนักที่จะรอดฟันฝ่ามือพิฆาตและไบก้อนเขียวไปได้ 
         คนคนไหน ไม่เคยรัก ไม่รู้จักรัก จีบไม่เป็น ไม่มีโอกาส ไม่รู้กาละเทศะ และเหตุผลอีกมากมาย นานับประการที่จะหยิบมาเอ่ยอ้างถึง 
           ความไม่สันทัดจัดเจนเรื่องรัก ก็น้อยนักที่จะรอดพ้น อาการแห้วไปได้     พอยุงกินอิ่มหนำก็บินจากไป และพร้อมจะกลับมาใหม่เมื่อโหยหิว
          ก็เหมือนรักของคนเจ้าชู้อิ่มหนำแล้วก็ผ่านไป แต่จะกลับมาใหม่เมื่อโหยหา ถึงจะถูกตบ ถูกฉีดยา ถ้าไม่ตายเสียก่อน พร้อมจะกลับมาใหม่เมื่อหิวอีกครา (ไม่เข็ดแฮะ) 
         ก็เหมือนคน เจ็บช้ำสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ถึงตาย หัวใจก็ยังโหยหารักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 
          ถึงจะกางมุ้ง จุดยากันยุง หรือติดมุ้งลวด ยุงก็ยังคงเข้ามาได้อยู่ดีแหละ ความรักก็เหมือนกัน ห้ามใจเท่าไหร่ หลีกหนียังไง รักก็ยังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี 
** ป.ล. โปรดระวังไข้เลือดออก ช่วยกันกำจัดแหล่งลูกน้ำยุงลาย ** 				
20 พฤศจิกายน 2546 18:12 น.

เรื่องดีๆ เรื่อง ....อาคารขายเวลา...

idaho

-----Subject: อาคาร..ขายเวลา 

             
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องราวอย่างนี้มันเรื่อมต้นขึ้นที่ไหน 
             ฉันเพียงแต่รู้สึกเหมือนว่ามีคนเอารั้วยาวๆสองแถว 
             มากั้นในทุ่งกว้างให้เป็นทางเดินแคบๆ 
             
แล้วก็ต้อนพวกเราให้เข้าไปเบียดเสียดกันเดินตามทางเดินแคบๆนั้น 
             และเมื่อถึงปลายทาง เขาก็เปิดประตูรับเราไม่หมดทุกคน 
             คนที่ได้มีโอกาสเข้าไปก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนที่ไม่ได้ผ่านเข้าไป 
             แน่ล่ะ...มันก็คงแย่มากทีเดียว จริงอยู่ แม้จะมีทางเลือกอื่นสำหรับบางคน 
             
ที่จะตัดสินใจมุดหรือปีนรั้วออกไปข้างนอกเพื่อหาทางเดินที่ดีกว่า 
             ฉันเองก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่ฉันยังไม่เก่งและกล้าพอ 

             ฉันเอาคางเกยขอบโต๊ะ ไล่ปลายนิ้วไปตามสันหนังสือที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวรอให้อ่าน 
             ต้องลองสู้ดูสิ...สักครั้ง แต่อีกใจหนึ่งก็คอยบอกว่าเดี๋ยว...ยังขี้เกียจอยู่      ขอนอนก่อน ขอดูที.วี.ก่อน ขอไปเที่ยวก่อน ฯลฯ 
             
               เวลาเป็นปีที่เขาเตรียมไว้ให้เราเตรียมตัวจึงผ่านไปอย่างไม่เป็นชิ้นเป ็นอัน เพราะความเฉื่อยชาของฉันเอง 

             อากาศกำลังดี ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าห่มผ้าขนหนูลายนกนางนวลสีเขียว      เห็นหนังสือกองโตที่ยังค้างคารอให้ฉันไปอ่าน 
             พัดลมขายาวส่งเสียงครางเบาๆแล้วฉันก็หลับไป        มาพบตัวเองอีกทีที่หน้าอาคารหลังใหญ่ 
             ดูเหมือนจะสร้างด้วยหินอ่อนลักษณะคล้ายธนาคาร 
             มีบันไดหินสีขาวเป็นมันวับเรียงรายเป็นชั้นๆ 
             สุดบันไดขั้นสุดท้ายมีประตูกระจกติดฟิล์มกรองแสงเข้ม 
             มีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนไว้ตรงประตูเขียนข้อความว่า 
                                        "มีเวลาขาย" 

             ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวขึ้นไปบนอาคารหินอ่อนแห่งนั้น 

             เมื่อเอื้อมมือผลักประตูกระจกเข้าไป ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ปะทะร่างกาย 

             สถานที่นั้นดูโอ่โถงและสวยงามดูราวกับห้องรับรองชั้นดี มีโต๊ะไม้สีเข้มตัวยาวซึ่งกองแฟ้มเอกสารเรียงรายอยู่บนนั้น 
             ชายหนุ่มคนที่นั่งประจำโต๊ะเอ่ยทักทายฉัน ท่าทางเขาอบอุ่นและเป็นมิตร 

             "สวัสดีครับ" 

         "ค่ะ" ฉันตอบรับคำเขาเบาๆ 

              "ผมคิดว่า คุณคงจะไม่ได้มาซื้อเวลา    ท่าทางคุณยังเป็นเด็กอยู่เลยอายุคงยังไม่เกิน 20" 

             "ฉันไม่ได้มาซื้อเวลาหรอกค่ะ" 
             
ฉันตอบไปทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าสินค้าหรือบริการอะไรกันแน่ที่เขากำลัง ขายอยู่ 

             "เพียงแต่ว่าฉันอยากมาดู...ผู้คน แล้วก็การซื้อขายของคุณเท่านั้น" 
             "ตามสบายเลยครับ" เขายิ้มอย่างมีไมตรี "เชิญนั่ง" 
             เขาผายมือไปทางโซฟาชุดที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง 
             ฉันจึงถอยไปทรุดตัวลงนั่ง   
ลูกค้าคนแรกที่ฉันพบในอาคารขายเวลาคือชายร่างเล็กผอมเกร็ง 
ผมขาวโพลน 
             ใบหน้าซีดเหลือง เขาพยุงตัวให้ก้าวผ่านบันไดทีละขั้นๆ 
อย่างลำบากยากเย็น 
             จนกระทั่งผลักประตูมาหยุดยืนตรงหน้าชายขายเวลา 

             "ผมมาขอซื้อเวลาที่ผ่านไป...ห้าปี" 
             น้ำเสียงเขาแหบแห้งและสั่นพร่าอย่างคนที่กำลังป่วยหนัก 
             "หมอบอกว่าผมมาหาหมอช้าไปห้าปี        ไม่อย่างนั้นแล้วโรคก็คงมีวิธีรักษาให้หายได้" 

             คนต่อมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน 
             เพียงแต่ว่าดูหม่นหมองและหมดหวัง... 
             "ขอซื้อเวลา สามเดือน" เขาพูดกับชายขายเวลา "คุณรรู้ไหม ผู้หญิงที่ผมรัก เธอไปเมืองนอกเมื่อสามเดือนก่อน เราคบกันมาเป็นปี แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกรักเธอ  ทั้งๆที่รักเธอมาก เธอไปโดยไม่รู้อะไรเลย" 

             ชายขายเวลามีทีท่าว่าเห็นใจ 
             ฉันคิดว่าเขาเป็นนักขายเวลาที่มีความอดทนมากทีเดียว 
             ที่จะต้องพบลูกค้าที่ล้วนแล้วแต่มีปัญหาต่างๆกันไป 
             
พร้อมๆกับนึกเสียดายแทนผู้ชายคนนี้ที่เขาผ่านเวลาร่วมปีไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าของเวลาเหล่านั้น...เมื่อมันได้ผ่านไปแล้ว     ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนนั้นจะก้าวพ้นประตูออกไป      หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา  หล่อนสวมชุดไว้ทุกข์สีดำ ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตายังมีรอยบอบช้ำ 

             "อยากได้เวลาค่ะ สักสองปี ปีเดียวหรือเพียงครึ่งปีก็ได้" 
             หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าโศก 
             "ผมคิดว่า คุณคงมีปัญหาเกี่ยวกับเวลาในอดีตเหมือนคนอื่นๆ"          ชายขายเวลากล่าวขึ้น 
             ค่ะ" หล่อนรับคำเสียงแผ่ว 
             "คุณแม่ของดิฉันเพิ่งเสียเมื่อสองวันก่อน 
             ท่านดีกับดิฉันมาก เลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจ 
             
แต่ดิฉันยังไม่ทันทำอะไรให้แม่ชื่นใจเลยมีแต่ตั้งแง่ตั้งงอน             ท่านก็มาด่วนจากไป" 
             "คุณเลยอยากซื้อเวลาที่ผ่านไปเพื่อทำดีกับคุณแม่ของคุณ" 
             ฉันนึกเวทนาหล่อน 
เวทนาที่หล่อนมาคิดอะไรอะไรได้ก็เมื่อสายไป 
             ถ้าหากหล่อนได้ทำอะไรไปตั้งนานแล้ว 
ก็คงไม่ต้องมานึกเสียดายตอนนี้ 
             วูบหนึ่งจึงนึกย้อนกลับมาที่ตัวเอง 

             คนต่อมาเป็นเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขายังอ่อนเยาว์ 
             แต่พกริ้วรอยความกังวลไว้เต็มเปี่ยม 

             "ต้องการเวลาเท่าไหร่ดีครับ" ชายขายเวลาถามขึ้นก่อน 
             "สองปี" เขายิ้มอย่างอ่อนเพลีย 
            "ผมอยากกลับไปเลือกแผนการเรียนใหม่ 
             ผมพลาดไปตอนนั้น บางทีผมอาจเริ่มต้นใหม่ด้วยดี 
             จะได้เรียนวิชาที่ชอบแทนวิชาที่น่าเบื่อตอนนี้" 

             แล้วเขาก็จากไป เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว 
             
ฉันเห็นชายขายเวลาหลับตาลงในขณะที่กำลังเว้นว่างจากลูกค้า แต่เมื่อฉันขยับตัว....         เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันมายิ้มให้ฉัน ดวงตาเขาอบอุ่น... 

เป็นเวลานานเท่าไรก็ไม่ทราบที่ฉันนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมา 
             ล้วนแล้วแต่มีท่าทีวิตกกังวล ผิดหวัง เสียดาย เสียใจ 
แล้วก็มาซื้อเวลาไป 
             เพราะว่าพวกเขาได้พลาดสิ่งที่น่าจะทำในอดีต 

             แล้วชายขายเวลาก็ปิดแฟ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาทางฉัน 
             สักครู่จึงเดินมาทรุดตัวนั่งเก้าอี้โซฟาข้างๆ 

             "จะปิดร้านแล้วหรือคะ" ฉันถาม 

             "ครับ...ได้เวลาแล้ว" 

             "ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ ฉันเห็นจะกลับเสียที" ฉันว่า 
             แม้จะไม่แน่ใจว่าฉันจะกลับไปไหน...อย่างไร... 

             "เชิญครับ ขอให้คุณโชคดี 
จงใช้เวลาของทุกวินาทีที่ผ่านไปอย่างคุ้มค่า 
             ผมหวังว่า...คงจะไม่ได้เห็นคุณมาที่นี่เพื่อซื้อเวลา" เขากล่าวในที่สุด... 

             "ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะไม่ลืมคุณ...และที่นี่" 
ฉันลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไฟก็ดับวูบ 

             ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ 
             เอื้อมมือไปรูดผ้าม่านหน้าต่างสีครีม 
             พบว่าท้องฟ้ายังไม่สว่างดี และไก่ก็ยังไม่ขัน 
             ฉันลุกขึ้นมาเก็บที่นอนและกระโดดเข้าห้องน้ำอย่างสดชื่น 

             
แล้วถึงกลับเข้านั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิมซึ่งฉันไม่เคยจริงจังด้วยมานานแล้ว คิดอยากจะฮัมเพลงไปด้วยซ้ำ 
ถ้าไม่ติดอยู่ว่าจะทำลายสมาธิในการอ่านหนังสือ 

             วูบหนึ่ง...ฉันรู้สึกดีใจที่ฉันยังมีเวลาเหลืออยู่ 
             ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มลงมือทำอะไรๆอย่างมีความหวัง 
             
ไม่เหมือนกับผู้คนเหล่านั้น...ที่ฉันพบที่...อาคารขายเวลา... 
				
3 เมษายน 2546 18:46 น.

รัก~รัก

idaho

จิตใจของคนก้อเหมือนกับไข่ 1 ฟอง 
ที่ดูภายนอกแล้วแข็งแกร่ง 
แต่เมื่อที่คุณลองกระเทาะเปลือกออกมาก้อจะเห็นว่าคนๆนั้นไม่ได้ 
แข็งแกร่งไปกว่าคุณเลย 

ร่างกายของคนๆหนึ่งก้อเหมือนกับน้ำแข็ง 
ที่สักวันหนึ่งมันก้อต้องละลายไป 

นิสัยของคนก้อเหมือนกับข้าว 
ถ้าคุณไม่หุงมันย่อมกินไม่ได้ 

ความรักที่อกหักก้อเหมือนกับต้มยำมีทุกรสชาติ 
เว้นแต่ความหวาน 

ความรักก้อเหมือนกับไข่เจียวที่คุณๆกินกันได้ทุกวันแต่ก้อยังไม่เบื่อ 

ชีวิตวัยรุ่นก้อเหมือนกับสัตว์หลายๆชนิดในสวนสัตว์ที่ต้องการออกไปสู่โลกกว้าง 

ชีวิตของวัยรุ่นเหมือนดั่ง Pepsi 
ที่อึกแรกมักจะซ่าแต่เปิดทิ้งไว้นานเข้าก้อหายซ่าไปเอง 

ถ้าคุณกำลังอกหักแล้วยังหารักใหม่โดยหวังที่จะเอามารักษาแผลเดิมก้อจะเหมือนกับตอนที่คุณท้องเสีย 
ก้อยังจะกินส้มตำ 

แฟนก้อเหมือนกับเพลงใหม่เพลงหนึ่งที่คุณคอยบอกกับตัวคุณว่ามันเพราะแต่เมื่อฟังไปสักร้อยรอบ 
คุณก้อเบื่อไปเอง 

ต่างกับ "เพื่อน" ซึ่งเหมือนกับเพลงคลาสสิก 
ที่นานๆคุณเปิดทีแต่มันก้อยังคงไพเราะไม่ต่างกับครั้งแรกที่คุณฟัง 

คนหนึ่งๆที่คุณเคยชอบแต่เค้าไปชอบคนอื่น 
แต่คุณก้อยังจำทุกๆอย่างเกี่ยวกับเค้าได้ 
ก้อเหมือนกับเพลงของค่าย RS หรือ Grammy 
ที่คุณบอกว่าเกลียดแต่คุณก้อยังร้องเพลงนั้นได้จนจบ 

ลองสังเกตุไหมว่าถ้ามีรูปรวมใบหนึ่งแล้ว คนที่คุณมองหาคนแรกคือคนที่ตัวเองชอบอยู่ 

เบอร์โทรศัพท์ที่ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทคุณคุณก้อจำไม่ได้แต่ถ้าเป็นเบอร์ของคนที่หลงใหลละก็คุณจะจำได้ทุกตัว 
แม้มันจะไม่ซ้ำกันเลยก้อตาม 

เพลงที่คุณชอบมากที่สุดตอนที่คุณมีแฟน 
อาจจะกลายเป็นเพลงที่เกลียดที่สุดของคุณเมื่อเค้าจากไป 

เมล์ร้อยเมล์ที่เพื่อนคุณส่งให้ 
ก้อไม่อาจเทียบได้กับเมลเดียวของคนรักคุณ ที่ตอบมาแค่ว่า 
"ขอบคุณนะ" 

ก้อเหมือนกับวันๆหนึ่งคุณคุยกับเพื่อนเป็นร้อยประโยค 
แต่ก้อจำไม่ได ้แต่เมื่อคุณได้คุยกับคนที่คุณชอบ 
แม้ประโยคเดียวคุณก้อจะจำได้จนกว่าที่เค้าจะมีแฟน 

ขอบคุณที่อ่านจนจบ 

ปล.ระหว่างที่อ่านไปช่วงหลังๆคุณคิดถึงใคร,คนๆนั้นก้อคือคนที่คุณไม่ต้องการจะเป็นแค่ 
"เพื่อน"				
21 มีนาคม 2546 09:17 น.

เพื่อน

idaho

ฉันมองความรักเพื่อน..เป็นความรักที่น่าเคารพยกย่อง 

แต่ต้องเป็นเพื่อนแท้ด้วยนะ..เพื่อน..จะรักกันแบบพอดีๆ 

ไม่หวง..ไม่หึง.ไม่ต้องการอะไรตอบแทน..เรารักกันสบายๆ 

มีปัญหาปรึกษากัน.มีเรื่องเดือดร้อนช่วยกัน.. 

มีอะไรไม่สบายใจปรับทุกข์กัน 

แต่ในขณะเดียวกันต่างคนต่างกมีโลกเป็นของตัวเอง 

เธอมีแฟนฉันไม่ว่า..เธอสนุกของเธอไป.. 

เราต่างยินดีในความสุขของกันและกัน 

ไม่ต้องมาเจอกัน...ก็ยังห่วงกัน..ยังคิดถึงกัน 

ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอยู่เสมอ 

ถ้ามั่นใจว่าเจอเพื่อนแท้แล้ว..เชื่อเถอะว่า.. 

ไม่ว่าเราจะห่างกันอย่างไร..เราจะคิดถึงกัน 

และเราจะไม่มีวันเลิกคบกัน..เพราะเธอไปมีเพื่อนใหม่.. 

ต่างฝ่ายต่างมีเพื่อนใหม่..ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้... 

มันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข 

คนบางคนบอกว่า..คุยกับเพื่อนได้ทุกเรื่อง.. 

แต่คุยกับแฟน..กับพ่อแม่ได้บางเรื่อง 

นี่แหละ..ที่มันเป็นความรักที่ประหลาด...แต่งดงาม 

มันมีความเข้าใจ.. ไว้ใจ ..เชื่อใจ..ในจุดสมดุล				
11 มีนาคม 2546 08:23 น.

ฟิสิกส์ของ... กีตาร์

idaho

ตอร์เรสดามด้านในแผ่นหน้าของกีตาร์ด้วยไม้อันเล็กๆ ที่กระจายตัวเหมือนกระโปรงหญิงสาว ทุกวันนี้ กีตาร์คลาสสิกชั้นดีก็ยังสร้างมาตามแบบที่ตอร์เรสออกแบบไว้ ช่างฝีมือผู้ผลิตกีตาร์จะนั่ง ทำงานอย่างสบายใจในช็อปที่เต็มไปด้วยขี้เลื่อย และกลิ่นเชลแลคฟุ้งกระจาย 

กีตาร์เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีกีตาร์ตัวใดในโลกที่เหมือนกันเปี๊ยบ สาเหตุสำคัญของเรื่องคือ กีตาร์ทำมาจากไม้ โจ โวลเฟ นักฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยนิว เซาท์เวลส์ เมืองซิดนีย์ กล่าวว่า นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ ไม้จัดเป็นวัสดุที่เราไม่อาจคาดเดาคุณสมบัติได้ 

คำกล่าวที่ว่า กีตาร์เหมือนหญิงสาว (หรืออาจเหมือนชายหนุ่มก็ได้) นั่นคงใช้ไม่ได้กับนักฟิสิกส์ หรอกครับ สำหรับนักฟิสิกส์กีตาร์จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกเสียจาก เป็นชุดลูกตุ้มที่เชื่อมต่อกัน โดยสปริง (ฟังดูไม่ค่อยจะสุนทรีเท่าไหร่เลยแฮะ) สำหรับนักฟิสิกส์ กีตาร์คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องสร้างความถี่ชนิดคู่ควบ (coupled oscillator) เครื่องสร้างความถี่เครื่องที่หนึ่งคือ สายกีตาร์ ลำพังการดีดสายนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงดังมากมายนัก แต่การที่เราตรึงสายกีตาร์ไว้ จนแน่นกับสะพานกีตาร์ (bridge) สายกีตาร์ที่สั่นจะส่งผ่านความสั่นสะเทือนผ่านสะพาน ไปยังแผ่นด้านหน้ากีตาร์ ซึ่งจะส่งความสั่นสะเทือนต่อให้อากาศทั้งภายในและภายนอก จึงเป็นเหตุให้เราได้ยินเสียงกีตาร์ที่กังวานใสสบายหู 

รูปแบบการเคลื่อนที่แบบคู่ควบของสายกีตาร์มีความซับซ้อนมาก โน้ต แต่ละตัวของกีตาร์ ก็จะมีรูปแบบการเคลื่อนที่ของสายแบบเฉพาะตัว แต่ผลรวมของการสั่นแต่ละครั้งก็จะกลาย เป็นการสั่นแบบธรรมดาที่เรียกว่า โหมด (mode) อย่างเช่น การเล่นคอร์ด เอฟ ชาร์ฟ บนสายเบสอี (หรืออาจเป็น จี ชาร์ป ขึ้นอยู่กับกีตาร์แต่ละตัว) ส่งผลให้กีตาร์ทั้งตัวมีอาการพองและยุบ เหมือนลูกโป่ง แต่เราจะมองไม่เห็นการพองยุบนี้หรอก เพราะไม้แผ่นหน้าและหลังของ กีตาร์จะสั่นกระเพื่อมเป็นระยะในระดับไมโครเมตร (106 เมตร) และเคลื่อนไปมาด้วย ความเร็วหลายร้อยครั้งต่อวินาที 

และในอีก 1 คู่แปดที่เสียงสูงขึ้น เมื่อกดสาย D ตรงขีด (fret) ที่ 4, 5 หรือ 6 แผ่น ไม้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็จะสั่นเร็วขึ้นอีก ตกในราว 215 เฮิรตซ์ แต่มันเป็น การสั่นแบบพร้อมเพรียง ไปหน้าก็หน้าทั้งคู่ หลังก็หลังทั้งคู่ ส่วนคู่แปดอื่น ด้านบนและด้านล่างของแผ่นสร้างเสียง (soundboard) เท่านั้นที่พองออก ส่วนนั้นที่รอบๆ โพรงเสียงจะยุบตัว หรือกลับกัน 

แผ่นสร้างเสียงนี้ถือเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญในกีตาร์ ที่จะต้องพิถีพิถัน เป็นพิเศษก็คือการเลือกไม้มาทำแผ่นสร้างเสียงนี่แหละครับ ไม้ที่ใช้จะต้องอ่อน พอที่จะรับแรงสั่นสะเทือนจากสายกีตาร์ไว้ได้ แต่ก็ต้องแข็งถึงระดับที่จะ ไม่สร้างเสียงความถี่สูง (overtone) ขึ้นมาได้ โดยทั่วไปเราจะใช้ไม้สน แต่บางครั้งก็อาจเป็นไม้เรดวู้ด หรือไม้ซีดาร์ ไม้เหล่านี้มีมากในภูเขาเขตหนาว มันเติบโตอย่างช้าๆ ทำให้เกิดชั้นวงปีเป็นวงแคบๆ จนช่างทำกีตาร์มั่นใจได้ว่า เนื้อไม้มีความหนาแน่นสม่ำเสมอ ช่างทำกีตาร์ผู้ชำนาญจะตรวจสอบคุณภาพไม้ โดยดัดกับมือ แล้วใช้มือเคาะฟังเสียง อันเป็นการบ่งบอกถึงความหนาแน่นของ ไม้ได้โดยทางอ้อม 

แม้ว่าช่างจะเชี่ยวชาญที่สุด แต่ก็อาจจะหาไม้ที่ดีที่สุดได้ยาก เพราะไม้แต่ละชิ้น จะแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ เสมอ ถึงจะมาจากต้นเดียวกัน ไม้ก็ยังแข็งไม่เท่ากันเลย เมื่อนำไม้ 2 ชิ้นไปทำกีตาร์ที่มีรูปร่างเหมือนกัน ด้วยกระบวนการเดียวกัน เมื่อวัดค่าความถี่ของเสียงสะท้อน มันกลับไม่เท่ากัน 

ด้วยความที่ไม่สามารถผลิตกีตาร์ให้เหมือนกันราวกับเป็น โคลน ซึ่งกันและกันนี้เอง ทำให้การทดลองศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะเราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า เมื่อควบคุมตัวแปรตัวหนึ่งแล้ว ค่าตัวแปรอื่นที่วัดได้จะใช้ได้ ในทุกกรณีหรือไม่ นี่เป็นเหตุผลให้นักสร้างกีตาร์ไม่ค่อยจะใช้หลักการทาง วิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ นอกจากนี้ช่างฝีมือที่สร้างกีตาร์ จะทำกีตาร์ได้เพียงเดือนละ 1 หรือ 2 ตัว ซึ่งไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการทดลอง ต่อเรื่องนี้ ร็อบ อาร์มสตรอง ช่างสร้างกีตาร์แห่งเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษบอกว่า การสร้างกีตาร์นั้นมีขั้นตอน ของมันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครมาถามว่า จะทำอย่างไร 

แต่คุณอาร์มสตรองนั้นไม่เหมือนกับคนสร้างกีตาร์คนอื่นๆ เขาร่วมมือกับ โอเวน เพ็ดจลีย์ นักออกแบบอุตสาหกรรมแห่งมหาวิทยาลัยลูโบโรห์ ประเทศอังกฤษ ออกแบบกีตาร์ที่ทำจากพลาสติกชนิดพอลิคาร์บอเนตฉีดขึ้นรูป และยังมี ไมเคิล คาชา นักเคมีเชิงฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาอีกคนที่สนใจกีตาร์มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 35 ปี คาชาเอากระจกจักรยานส่องเข้าไปเพื่อที่จะดูด้านในตัวกีตาร์ของลูกชาย แล้วเขาก็ต้องอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่ตอร์เรสประดิษฐ์ขึ้น ไม้ที่ดามด้านในแผ่นหน้านั้น กระจายเป็นรูปพัดที่สมมาตร คาชาคิดว่ามันเป็นแผ่นสร้างเสียงแบบดั้งเดิมซึ่งสร้างขึ้น แบบโดยบังเอิญ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

คาชาเสนอทฤษฎีว่า แผ่นสร้างเสียง จะสั่นแบบเฉพาะที่มากกว่า โดยสายเสียงสูง จะกระตุ้นแผ่นสร้างเสียงให้สั่นทั้งแผ่น แต่กระตุ้นที่ด้านเสียงสูงมากกว่า คนทั่วไปคิดว่าแผ่นสร้างเสียงทั้งแผ่นสั่นไปพร้อมๆ กัน แต่คาชาคิดว่ามันไม่ได้ เป็นอย่างนั้น เขาคิดว่าเราสามารถปรับปรุงแผ่นสร้างเสียงให้เหมาะกับช่วงความถี่ โดยแบ่งโซนสะท้อนเสียงออกเป็นส่วนๆ ซึ่งตอร์เรสไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาเพียงแค่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ ที่เกือบๆ เท่ากัน คาชาบอกว่า รูปแบบเช่นนี้ทำให้โน้ต หลายตัวมีเสียงไม่ใส เพราะความถี่เสียงของโน้ตนั้นจะไม่โดดเด่นกว่าความถี่ ของเสียงความถี่สูง เขาจึงออกแบบแผ่นสร้างเสียงขึ้นมาใหม่ โดยดามไม้ในแนว รัศมีแต่ไม่สมมาตร รูปแบบนี้มีหน้าตาคล้ายกระดูกปลาแฮร์ริง ส่วนโพรงเสียง ที่อยู่ด้านหน้าก็ย้ายจากตรงกลางไปอยู่ที่มุม เห็นแล้วนึกถึงยักษ์ไซคลอปต์ตา เดียวยังไงยังงั้นเลยละครับ 

มีผู้ผลิตกีตาร์ตามไอเดียของคาชาอยู่บ้าง และมีการออกอัลบัมเพลงมา 1 อัลบัมที่บรรเลงโดยกีตาร์แบบนี้ แต่กีตาร์ของคาชาก็ไม่อาจตีตลาดกีตาร์แบบ ตอร์เรสได้ แม้จะใช้ความพยายามไม่ต่ำกว่า 3 ทศวรรษ บรรดานักฟิสิกส์ถามถึง แนวคิดพื้นฐานของเขา ซึ่งคาชาเองก็ไม่มีงานวิจัยมายืนยัน ล่าสุดคาชาได้ทดสอบ กีตาร์ของเขาในห้องเก็บเสียงสะท้อน เขาบอกว่าเขาจะตีพิมพ์ผลการทดสอบ ของเขาในไม่ช้า ซึ่งเป็นผลที่บ่งบอกว่า กีตาร์ที่เขาออกแบบนั้นเลิศล้ำเพียงใด 

ถ้าหากจะบอกว่า แบบกีตาร์ที่ได้มา มาจากความฝัน ก็คงจะฟังดูไม่เป็น วิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่จริงมั้ยครับ (แม้ว่าเราบางคนอาจจะคิดว่า มันก็เป็นไปได้) ถ้าคิดเช่นนี้ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า การพัฒนาการผลิตเครื่องดนตรีให้มีหลักการ ทางวิทยาศาสตร์เข้าไปจับคงเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2542 คาชาเองก็ไปพูดในที่ประชุมงานกีตาร์ เฟสติวัลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องนอกเหนือ อำนาจมนุษย์ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้และเข้าใจ และพวกเราคงจะมีวิญญาณแห่งดนตรีสิงอยู่ 

ถ้าจะคิดอย่างนั้นกันจริงๆ ก็คงทำให้การผลิตเครื่องดนตรีเป็นเรื่องของศิลป์ มากกว่าจะเป็นศาสตร์ และเหตุผลอีกประการที่จะหนุนให้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็คือรสนิยมของแต่ละคนนั่นเองครับ หากคาชาจะประสบความสำเร็จในการสร้าง กีตาร์เสียงใสไร้ที่ติ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องชื่นชอบกับกีตาร์ของเขา นี่ครับ มันอยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนมากกว่า ว่าจะโอเคหรือเซย์โน 

เข้าข่ายนานาจิตตังนั่นแหละ

				
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟidaho
Lovings  idaho เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟidaho
Lovings  idaho เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟidaho
Lovings  idaho เลิฟ 0 คน
  idaho
ไม่มีข้อความส่งถึงidaho