21 กันยายน 2546 00:01 น.
hallelujah
ระอุแดดของยามบ่ายสาดส่องลงมาต้องพื้นถนนคอนกรีตของเขตเมือง รังสีความร้อนแผ่ขยายไปทุกอณูของป่าคอนกรีต ตึกสูงเสียดฟ้ายืนยงเคียงคู่กับระบอบทุนนิยม ที่นับวันจะยิ่งผันแปรความเป็นไปของโลกใบนี้เข้าไปทุกที โลกที่ความเจริญทางด้านวัตถุวิ่งสวนทางกับความเจริญทางด้านจิตใจ ผู้คนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด และเพื่อความเป็นหนึ่ง แข่งขันกันตลอด 365 วันใน 1 ปี แทบไม่มีวันว่างให้พอได้พักหายใจ แต่ถึงแม้จะได้พักก็คงพักอย่างไม่สบายใจนัก ด้วยกลัวว่าคู่แข่งจะก้าวแซงหน้าไป ทุกคนล้วนยึดคติ ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็ไม่มีความหมาย ตรงตัวและชัดเจน การได้ยืนอยู่บนหัวของผู้อื่นย่อมได้รับการค้ำประกันจากสังคมว่า อย่างน้อยคุณก็ยังมีความสำคัญอยู่บ้าง คนอื่นจะจดจำคุณได้ และกลับกัน ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็จะไม่มีใครจดจำคุณ แม้เพียงเหลียวมองก็ยากที่จะเห็น คุณจะเป็นเพียง ไอ้กระจอก ตัวหนึ่ง เท่านั้น
ผมยืนอยู่เบื้องหน้าตลาดใหญ่กลางใจเมืองตลาดที่ไม่มีวันหยุด คอยอ้าแขนเปิดรับผู้คนจากทั่วสารทิศ เพื่อสนองตอบตัณหา และกระแสบริโภคนิยมที่อุดมไปทั่วทั้งโลก
ถนนด้านหน้าจอแจไปด้วยรถยนต์ ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ ตุ๊กตุ๊ก ฯลฯ ยังผลให้ถนนขนาด 4 เลนแลดูคับแคบลงถนัดตา ถ้าไม่บอกก็คงไม่เชื่อว่านี่คือสภาพการจราจรในวันหยุด แต่เดี๋ยวก่อน ! ใครบัญญัติว่าวันหยุดแล้วถนนต้องโล่ง มันไม่มีอีกแล้ววันหยุดนี่แหละคือวันทองของการสร้างโอกาสและกอบโกยผลประโยชน์ของพวกที่ย่างตีนเข้าสู่วงการธุรกิจวงการที่คำว่าจรรยาบรรณและจริยธรรมไม่มีในพจนานุกรม สิ่งเดียวที่ผู้คนในวงการนี้ ( อนุญาตให้หมายรวมไปถึงพวกบริโภคนิยมที่เกลื่อนกลาดเต็มประเทศได้ด้วย ) ยึดมั่นและถือมั่นมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ตัวกูและของกู
ผู้คนยังคงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย บ้างลงจากรถประจำทาง บ้างตุ๊กตุ๊ก บ้างขับรถมาเอง หลากหลายที่มา แต่มีจุดหมายที่เดียวกัน คือตลาดแห่งนี้
ผมย่างเท้าเข้าไปผ่านซุ้มประตูเหล็กใหญ่โตโอ่อ่า ที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ให้ไฉไลสะดุดตากว่าเมื่อก่อน
ผมเคยมาที่นี่เมื่อเกือบสิบปีก่อนสมัยที่ซุ้มประตูยังเป็นไม้เก่าคร่ำคร่า ตัวอักษรบ่งบอกชื่อตลาดที่ติดทับอยู่นั้นเป็นเพียงแผ่นเหล็กที่สนิมจับ บางตัวหลุดร่วงลงมากองอยู่บนพื้น สมัยที่ตลาดแห่งนี้เป็นเพียงตลาดเล็กๆที่เปิดเพื่อสนองตอบความต้องการปัจจัยในการดำรงชีวิต ร้านรวง 30 กว่าร้านที่เปิดรับลูกค้าด้วยไมตรีจิต ไม่หวังกำรี่กำไรจนเกินงาม แม่ชอบพาผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ของไม่แพงและคนขายก็อัธยาศัยดี ความเหมือนของวันนี้กับวันวานเหลือเพียงของราคาถูก ( เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในย่านนี้ ) แต่ก็ยังต่างในรายละเอียดอยู่ดีถูกสมัยนี้คือโคตรแพงสมัยก่อน แต่ก็หาได้มีใครสนใจไม่ เพราะผู้คนในสมัยนี้ยึดถือปัจจุบัน และวาดหวังอนาคต มากกว่าที่จะเหลียวหลังมองอดีต
บรรยากาศภายในคึกคักจอแจจนน่ารำคาญ เจี๊ยวจ๊าวจนหงุดหงิด เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายเซ่งแซ่ พ่อค้าแม่ค้าชักจูงลูกค้า ลูกค้าต่อราคาพ่อค้าแม่ค้า ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเป็นภาษาอะไร คลื่นฝูงชนแออัดยัดเยียดเบียดเสียดจนใช้การเดินไม่ได้ ต้องปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสชน
ผมปล่อยตัวลื่นไหลไปตามกระแสชน กวาดสายตาเมียงมองหาของที่ถูกใจ หาใช่ถูกใจผม แต่ต้องถูกใจแม่
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของแม่ เป็นหน้าที่ๆลูกอย่างผมจำต้องหาของขวัญสักชิ้นไปสุขสันต์วันเกิดท่าน แม้ท่านจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่าไม่ต้องซื้อหาอะไรมาให้ท่าน ขอแค่ผมทำตัวเป็นเด็กดี แค่นั้นก็เป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุดแล้ว หลายๆปีที่ผ่านมาผมจึงได้แค่บอกคำว่า รักแม่ เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดให้ท่าน จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดท่าน ท่านจะเฝ้ารอคอยคำพูดนั้นจากปากของผม
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ตระหนักชัดเจน ตระหนักถึงอะไรน่ะหรือ ? คำพูดไงล่ะคำพูดมันลอยลมนะคุณ !จับต้องไม่ได้ ก็เดี๋ยวนี้มีใครเขาให้ความสำคัญกับคำพูดบ้างล่ะมันก็แค่ลมปาก ขอแค่ได้พูด แต่ไม่รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง มีให้เห็นทั่วไป และส่วนมากมักจะเป็นพวกที่มีการศึกษาสูงๆเสียด้วยสิ ผมกลัวว่าแม่จะตกยุค ที่คาดหวังและใส่ใจในคำพูด ผมเลยต้องวิ่งตามกระแสเสียบ้าง
แต่ก็ไม่ใช่วิ่งตามจนเกินงาม และก็ไม่ได้ปล่อยวางจนเกินพอดี ปล่อยวางแต่พองาม และวิ่งตามแต่พอดี ชีวิตนี้ก็เป็นสุขได้
เวลาไม่ถึง 10 นาทีร่างผมล่องตามกระแสชนมาไกลมองกลับไปที่ประตูทางเข้ากะได้ประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางกระแสชนที่เชี่ยวกราดเช่นนี้ เป็นการยากที่จะแทรกตัวหยุดดูของอย่างเป็นกิจลักษณะได้ ทุกคนที่มาล้วนมีเป้าหมาย เมื่อผ่านประตูทางเข้าเข้ามาก็จ้ำอ้าวมุ่งสู่ร้านประจำของตัวเอง ซื้อปลีกไปใช้เอง หรือซื้อส่งไปขายต่อ ก็แล้วแต่ภาระหน้าที่ของใครของมัน คนไร้จุดหมายอย่างผมจำต้องปล่อยตัวให้ไหลไปอย่างไร้จุดหมายจนกว่าจะสุดสายชน
นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่ากว่าที่กระแสชนจะเบาบางลง รู้สึกตัวอีกที่ผมก็ล่องทางมาเกือบร้อยเมตร ผมหยุดยืน และกวาดสายตาสำรวจบริเวณที่ผมยืนอยู่
บรรยากาศแถวนี้ผิดกับบริเวณทางเข้าอย่างมาก ร้านค้าแถวนี้เปิดกันอย่างเบาบาง 10ร้านจะเปิดสัก 3 ร้าน ที่เปิดก็เปิดอย่างไร้วิญญาณ ไม่มีการประดับตกแต่งร้าน ไม่มีแสงสี ไม่มีสีสัน เหมือนกับว่าเปิดไปอย่างนั้น ไม่คิดจะเชิญชวนลูกค้า ไม่คิดจะขายใคร และก็เป็นอย่างที่ว่าแถวนี้ผู้คนบางเบาถึงเบาบางมาก ใช่สิ ! ไม่อย่างนั้นผมจะหยุดยืนได้อย่างไร ความแตกต่างที่เหมือนสวรรค์กับนรกนี้ ทำให้ผมแปลกใจเหลือคณานับ หลายๆคนอาจจะมองสีสัน ความอึกทึก ว่าเป็นสวรรค์สำหรับพวกเขา แต่สำหรับผมแล้ว ด้านหน้านั้นดูเหมือนนรกมากกว่าจะเป็นสวรรค์ ผมเกลียดความวุ่นวาย เกลียดความสับสน ที่นี่เปรียบเหมือนสวรรค์สำหรับผม
ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแม้บรรยากาศจะน่ากลัว เพราะแผงกั้นที่หนาทึบเบื้องบนปิดกั้นแสงสว่างที่ควรจะส่องสว่างลงมายังเบื้องล่างไว้เสีย มืดและเปลี่ยวเหงา แต่ผมก็เลือกที่จะเดินเข้าไป หาของที่น่าจะถูกใจแม่
สองข้างทางหงอยเหงา ร้านที่เปิดบริการค่อยๆลดลงเรื่อยๆตามระยะทาง ความเย็นชื้นเริ่มปกคลุม
ทันใด ! ปลายตาของผมเหลือบไปเห็นร้านๆหนึ่งเยื้องซ้ายของผม หน้าร้านประดับประดาด้วยศิลปะจากงานไม้ ชักพาให้ผมย่างเท้าเข้าไปดู ด้วยเป็นเพียงร้านเดียวในบริเวณนี้ที่เปิดอยู่ ปกติผมไม่สนใจของพรรค์นี้หรอก แต่ผมไม่ได้ซื้อให้ตัวเองนี่ ผมซื้อให้แม่ แม่น่าจะชอบของเมด อินธรรมชาติแบบนี้
ทันใดที่ได้ไปยืนอยู่ด้านหน้าของร้าน ผมก็ต้องตกใจ เพราะภายในห้องเช่าขนาด 3 คูณ 5 เมตรนั้น เต็มไปด้วยงานศิลปะจากไม้ เรียงรายจนเกือบจะเต็มความจุของห้อง บ้างเรียงรายอยู่บนชั้นวางที่ยาวเหยียดจากหน้าห้องถึงหลังห้อง บ้างกองตัวอยู่บนพื้น มากมายจนแทบจะไม่มีทางเดิน
ความตกใจจางหายไปสายตาผมเริ่มกวาดหาชิ้นงานที่น่าสนใจ และน่าตกใจยิ่งกว่า ที่งานทุกชิ้น ( ที่ผมดู ) ล้วนมีความละเอียดในเนื้องาน ไม่พยายามละเว้นถ้าไม่จำเป็น เนื้องานเรียบเนียน ความมันวาวของแล็คเกอร์ช่วยขับความงามของชิ้นงานให้โดดเด่นโลดแล่นออกมา ความสมจริงในแบบเอ็กเพรสชั่นนิสต์ที่ขับดันให้ตัวงานเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นี่คือศิลปะชั้นสูง ! อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ผมสงสัยก็คือ งานศิลปะชั้นสูงอย่างนี้ ทำไม ? มาซ่อนตัวอยู่ในหลืบกาลของความเหงาเช่นนี้ ในขณะที่งานจับฉ่ายดาดๆทั่วไปกลับได้ไปนอนตากแอร์อยู่บนห้างชั้นนำทั้งหลายแหล่
ผมเริ่มพิจดูชิ้นงานอย่างสนอกสนใจมากขึ้น พยายามลงลึกถึงรายละเอียดให้มากที่สุด แล้วผมก็พบสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ความหม่นเศร้าที่ซ่อนตัวอยู่ในงานแทบทุกชิ้นที่ผมดู ไม่เว้นแม้แต่ งาน นกน้อยเหนือกิ่งไผ่ ที่เจ้านกน้อยยิ้มรับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงส่องลงมาเหนือต้นไผ่ สดใสและแช่มชื่น ก็ยังมองเห็นถึงความเปลี่ยวเหงาหม่นเศร้าที่สะท้อนออกมาจากชิ้นงาน หรือว่าผมจะคิดไปเอง ? ทิ้งความสงสัยไปเสีย ว่าแล้วผมก็เดินหาชิ้นงานที่ถูกใจต่อไป
ผมเดินเลือกไปเรื่อยๆจนมาจบที่งานแกะสลักรูปหัวใจสองดวงวางซ้อนกันเหนือแผ่นหัวใจที่รองรับไว้ หัวใจสองดวงที่อ้วนกลมน่ารัก เป็นงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ชิ้นเดียวที่ผมมองเห็นในร้านนี้ แม้จะแลดูเรียบง่ายแต่ก็สมบูรณ์ในตัวของมันเอง รังสีแห่งความรักที่แผ่ออกมาจากเนื้องาน ทำให้ผมตัดสินใจเลือก หัวใจไม้ ชิ้นนี้เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดสำหรับแม่
ผมหยิบงานชิ้นนี้ขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ พลางสายตาก็มองหาเจ้าของร้านเพื่อจะสอบถามถึงราคาของชิ้นงาน
แต่ไม่พบ ! หรือว่าเจ้าของร้านจะถูกงานไม้ทั้งหลายแหล่นี้ทับตายไปแล้ว ความคิดอกุศลผุดขึ้นมาในหัวผม แต่เมื่อครั้นไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้านจริงๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจตะโกนถามเรียกหาเจ้าของร้าน
ขอโทษครับ ทำไมต้องขอโทษวะ ? เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย สมองผมยังคงคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเคย
มีใครอยู่ไหมครับ ? ผมเอื้อนเอ่ยอีกครั้งเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้าน
มีอะไรไอ้หนุ่ม ? เสียงแหบแห้งดังลอดมาจากหลืบมุมห้อง งานไม้ที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นวางบดบังร่างต้นเสียงนั้นไว้ เพียงพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย
จะจะซื้อของหน่อยครับ ผมชี้แจง ในขณะที่สายตาก็พยายามจะมองลอดช่องระหว่างงานไม้เพื่อจะขอเห็นผู้เป็นเจ้าเสียงแหบแห้งนั้น
อยากได้อะไรล่ะ ? เสียงแหบแห้งดังลอดออกมาอีกครั้ง
หัวใจไม้อันนี้ครับ ผมกล่าวตอบพลางยกงานไม้รูปหัวใจสองดวงชูขึ้น หวังให้เจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นต้องเผยกายออกมาดูว่า งานชิ้นไหนวะ ?
แล้วเขาก็หลงกลผม ร่างเจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นเดินออกมาจากหลืบมืดมุมห้อง เชื่องช้าและกระง่อนกระแง่นเต็มทน
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือ ชายชราอายุราว 70 ปี ผมสีดอกเลาประปรายอยู่เหนือศรีษะ รอยหน้ายับย่น แก้มตอบเผยให้เห็นโหนกแก้มชัดเจน ขอบตาลึกลงไปจนเกือบจะถึงเบ้าตา บ่งบอกถึงชีวิตที่กรำงานมาอย่างหนักหน่วง มือซ้ายที่ผอมแห้งคีบมวนยาเส้นที่ส่งกลิ่นฉุนกึก เสื้อกล้ามสีขาวเก่าคร่ำคร่าที่เหมือนกับว่าไม่เคยต้องกับผงซักฟอกมานานนับปีเล็กเกินไปที่จะปกปิดรอยสักเสือเผ่นกลางหน้าอกที่ซีดจางได้หมด กางเกงชาวเลสีเทาหม่นแลดูเข้ากับใบหน้าที่หม่นเศร้าเป็นอย่างดี
อันนั้นเหรอ ? ชายชราทักถามพลางทิ้งก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้กลางร้าน สายตาจับจ้องมาที่ผม
เท่าไหร่ครับ ? ผมตอบคำถามด้วยคำถาม พลางหลบสายตาที่จ้องมาประจันกันพอดี
เอาไปทำอะไรล่ะ ? ชายชราตอบคำถามด้วยคำถามเช่นกันคล้ายกับว่าจะล้อเล่นกับผม พลางยกมวนยาเส้นที่คีบไว้ขึ้นดูด
จะเอาไปให้แม่ครับวันนี้วันเกิดแม่ ผมยุติการตอบคำถามด้วยคำถาม
งั้นรึท่าทางจะรักแม่สินะไอ้หนุ่ม พูดเสร็จ ชายชราก็ยกกระโถนที่วางอยู่ใต้เก้าอี้ขึ้นมาถ่มเสลดที่ฝืดคอทิ้งไป
ผมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นเสียก่อน
แม่ลุงตายตั้งแต่ลุงอายุได้ 3 ขวบ ชายชราแทนตัวเองว่าลุง
ลุงไม่เคยรู้จักพ่อและไม่เคยคิดอยากจะรู้จักด้วย เขาว่ากันว่ามันทิ้งแม่ไปตั้งแต่มันรู้ว่าแม่ท้องลุง ชายชราเริ่มรำลึกความหลัง
การที่คนแก่อายุรุ่นปู่รุ่นย่าเรา มาพูดถึงบุพการีของตัวเอง สำหรับผมออกจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่คำพูดของชายชราก็ทำให้ลำคอผมอึกอักคล้ายกับมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดไว้ หายใจไม่สะดวก ได้แต่กลืนน้ำลาย เตรียมใจเพราะลางสังหรณ์บอกผมว่าการสนทนาในครั้งนี้อาจจะยืดยาว
น่าดีใจนะไอ้หนุ่มที่เอ็งยังมีแม่ให้บอกรัก รักแม่ให้มากๆล่ะ ดวงหน้าที่ยับย่นนั้นหม่นเศร้า หงอยเหงา เหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ทำไม ? ชายชราคนนี้ถึงให้ความรู้สึกที่แสนเศร้าเช่นนี้ แกมีความโศกเศร้าในใจมากมายนักหรืออย่างไร ? อะไรที่ทำให้แกเป็นเช่นนี้ ? ดูจากดวงหน้าแล้วลุงแกไม่น่าจะเป็นคนเมืองหรือว่าจะมาจากบ้านนอก
ในขณะที่ห้วงความคิดของผมโลดแล่นไปไกล ริมฝีปากก็เผยอถามออกไปอย่างอัตโนมัติ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะถามอะไรด้วยซ้ำ
ลุงเป็นคนบ้านนอก เอ๊ย ! ชนบท เอ๊ย ! คนต่างจังหวัด เหรอครับ ?
กว่าจะเลือกใช้คำที่ดูไม่เป็นการเหยียดหยามลุงแกเกินไปนัก ผมก็ได้แสดงการเหยียดหยามแกไปเรียบร้อยแล้ว
ลุงมาจากอุดรฯ ชายชราตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีวี่แววของความขุ่นใจที่ถูกเหยียดหยามเอาเสียเลย
เมื่อก่อนลุงทำนาทำกับเมียสองคน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก็พออยู่ได้ไปวันๆ จน เสียงของชายชราหยุดลงกลางคัน ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมให้ทวีมากขึ้น
จนอะไรครับ ? ผมพลั้งปากถามออกไปตามสันดานสอดรู้สอดเห็น อยากรู้อยากฟังเรื่องของผู้อื่น
จนจนไม่มีนาให้ทำน่ะสิ ชายชราเสียงสั่นเครือเหมือนกับจะร้องไห้
ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมสามัญสำนึกความเป็นคนของผม รู้สึกผิดที่แส่สอดเรื่องของผู้อื่นที่สำคัญ ! มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียด้วย
ขะขอโทษครับลุง ความรู้สึกผิดทำให้ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าก้มต่ำลงด้วยเกรงสายตาของชายชราจะจ้องมาที่ผม แต่ก็มิวายที่ผมจะเหลือบตามอง สำรวจพฤติกรรมของชายชรา
ชายชราปิดเปลือกตาลงคล้ายกำลังต่อสู้กับอดีตที่แสนเลวร้ายของตัวเอง
ไม่เป็นไรไอ้หนุ่ม แต่ไหนๆก็เล่าไปแล้วลุงก็อยากจะเล่าให้จบ เอ็งช่วยฟังลุงหน่อยได้ไหม ? ถือว่าทำบุญทำทานละกัน
ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที
ขอบใจไอ้หนุ่มเอ๊ย ! ลุงไม่เคยเล่าเรื่องให้ใครฟังเลยขอให้ลุงได้ระบายหน่อยแล้วกัน ชายชราพูดพลางจ้องมาที่ตาของผม คล้ายกับว่าจะลำเลิกคำสัญญาเมื่อครู่
ทุกอย่างมันก็คงจะดำเนินไปเรื่อยๆตามทางของมัน พอกินพออยู่ไปวันๆ แม้ไม่มีมากมาย แต่ก็ไม่แร้นแค้นขาดแคลนขนาดไม่มีจะกิน แต่ ! เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฝนเจ้ากรรม ที่เคยตกต้องตามฤดูกาล จู่ๆ ! ก็ไม่ตกซะยังงั้น ลุงได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ ฝนถึงจะตก เดือนแล้วเดือนเล่าก็ยังไม่มีวี่แวว ฝนไม่ตกก็ทำนาไม่ได้ ทำนาไม่ได้ก็ไม่มีข้าว ไม่มีเงิน ไอ้พวกผักสวนครัวที่ปลูกไว้หวังจะใช้ประทังชีวิต มันก็เหี่ยวเฉา ตายไปเป็นแปลงๆ ไม่รู้จะหาอะไรมาประทังชีวิต สุดท้ายก็ต้องไปกู้เงินธนาคารเขา เอาที่นาไปจำนองไว้ เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็เอามาซื้อข้าวซื้อของประทังชีวิต อีกส่วนก็เอาไปซื้อพันธุ์ข้าวเตรียมไว้ ด้วยหวังว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง แต่รอแล้วรอเล่า ฝนก็ยังไม่ตก ข้าวของที่ซื้อมาก็ค่อยๆร่อยหล่อลงไปทุกๆที ข้าวที่เตรียมไว้จะปลูกเมื่อปล่อยไว้เนิ่นนานก็กลายเป็นข้าวลีบ ใช้ปลูกไม่ได้พอทีนี้แหละ ฝนกลับตก แถมตกอย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายกับว่าอดอยากมานาน ลุงไม่เคยช้ำใจขนาดนั้นมาก่อน ได้แต่นอนร้องไห้ ไม่ว่างานหนักหนาแค่ไหน ลุงก็ไม่เคยท้อ แต่ฟ้ามาแกล้งกันอย่างนี้ ต่อให้คนเข้มแข็งแค่ไหน ก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันตอนนั้นลุงเหมือนคนสิ้นไร้หนทาง เสียงสั่นเทาหยุดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตา ชายชรายกมือขึ้นบีบเค้นที่ดวงตาน้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกมาเป็นสายหล่นร่วงลงสู่พื้น เป็นน้ำตาของความผิดหวังที่ร้ายกาจ ที่ร่ำไห้กับโชคชะตาที่เล่นตลก
ผมพูดอะไรไม่ออกเขยิบทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อีกตัวตรงข้ามชายชรา
แต่ลุงยังโชคดีลุงได้เมียดี มันคอยปลอบลุง ให้กำลังใจลุงเสมอมา ชายชราเริ่มเล่าต่อ แม้น้ำใสจะยังคงไหลจากสองตาอยู่
หลังจากที่นาถูกธนาคารยึด ลุงกับเมียก็ปรึกษากันหาทางออก ลุงเห็นเพื่อนๆของลุง เขาพากันเข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง ลุงกับเมียเห็นดีด้วย จึงพากันมาเมืองกรุงมาแรกๆไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยวัดนอน ดีที่หลวงพ่อแกใจบุญ เอื้อเฟื้อลุงกับเมียเป็นอย่างดี แต่ก็อีกนั่นแหละ ! สมัยนี้คนใจบุญมีน้อยเหลือเกิน หลวงพ่อท่านออกบิณฑบาตแต่ละวัน ได้ข้าวมาแค่บาตรกว่าๆ ไหนต้องแบ่งเด็กวัดกับหมาอีก วันๆได้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะ ลุงเห็นว่าเรามาเบียดเบียนพระเบียดเบียนเจ้า ก็ละอายใจ จึงลาหลวงพ่อออกมาหางานทำก็ออกมาเป็นกรรมกรแบกหาม ทำงานก่อสร้างตามที่ต่างๆ ได้ค่าจ้างวันละ 50 บาทก็พออยู่ได้ ลุงเริ่มมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็มีข้าวให้กิน มีที่ให้ซุกหัวนอน แต่แล้ว ! โชคชะตาก็เล่นตลกกับลุงอีกไอ้ผู้รับเหมาฯชาติชั่วมันรับเงินเขาแล้วก็ชิ่งหนีไปทิ้งลุงกับคนงานอีก 60 กว่าชีวิตไว้เบื้องหลังนั่นเป็นอีกครั้งที่ลุงร้องไห้ทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดีแท้ๆ แต่ก็กลับมาพังทลายลงอีกน้ำใจคนเมืองมันแล้งยิ่งกว่าฝนบ้านนอกเสียอีก ลุงหมดหนทาง ไม่รู้จะไปทางไหน เรียนมาก็น้อย ไอ้งานดีๆก็คงไม่มีใครเขาจ้าง ไอ้ครั้นจะไปเป็นกรรมกรก่อสร้างที่อื่นมันก็เข็ดเสียแล้ว ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่ถูกโกงอีก จึงตกลงกับเมียคิดว่าจะกลับไปบ้านนอกถิ่นเกิดกลับไปทำอะไร ลุงก็ยังไม่รู้ไม่มีเป้าหมายในชีวิตรู้แต่ว่า ลุงอ่อนแอเกินกว่าจะอยู่ในเมืองที่สวยแต่เปลือก แต่เนื้อในมันเน่าเฟะเหลือร้ายเมียลุงมันเห็นว่าลุงเหนื่อยมามากแล้ว จึงเออออตามลุงกับเมียไปรอรถกลับอุดรฯที่หมอชิต ด้วยเงินเหลือติดตัวที่ เพียงพอแค่ค่ารถ แต่มันก็เพียงพอแล้วมากมายเกินกว่าที่จะทนอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ลากันที เมืองกรุงอันโหดร้ายลุงกับเมียนั่งรอรถอยู่ แต่แล้ว ! ก็เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกกับลุงอีกลุงได้เจอกับ ไอ้แสง เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของลุง ไอ้แสงเป็นคนหมู่บ้านลุงเพียงคนเดียวที่เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง แล้วได้ดิบได้ดีถึงขนาดได้เป็นเถ้าแก่ร้านแก๊สพูดคุยกัน ก็รู้ความว่าไอ้แสงมันมีหนทางใหม่ที่ดีกว่าเปิดร้านแก๊ส มันจะข้ามไปฝั่งลาวมันบอกว่าค้าขายที่นั่น กำไรกว่าทำร้านแก๊สเป็นไหนๆเมื่อมันรู้ว่าลุงต้องเจอกับอะไรมาบ้าง มันก็เห็นใจ เสนอร้านแก๊สของมันให้ลุงใช้เป็นที่ทำกินต่อตอนแรกลุงจะไม่เอา เพราะขยาดกับชีวิตเมือง แต่เมียลุงมันอยากให้สู้ต่อเพราะถึงกลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไรที่นาก็ไม่มีให้ทำแล้ว ลุงก็เห็นเป็นดีด้วยจึงตัดสินใจรับคำมัน ซึ่งก็คือร้านนี้นี่แหละ เสียงหม่นเศร้าหยุดลงพร้อมกับสายตาของชายชราที่กวาดมองรอบห้อง คล้ายกับว่าจะรำลึกถึงอดีตอันแสนบอบช้ำ
มวนยาเส้นอีกมวนถูกจุดขึ้นตรงหน้า พร้อมๆกับควันสีเทาที่ลอยล่องสู่เบื้องบน ควันสีเทาหม่นคล้ายกับชีวิตของชายชราที่หม่นเศร้า
เมื่อก่อนแถวนี้ยังไม่คึกคักแบบนี้ เป็นแค่ตลาดเล็กๆที่ขายของชำบ้าง ของเล็กๆน้อยๆบ้าง ตามแต่ความถนัดของเจ้าของ ทุกคนเป็นกันเอง เอื้อเฟื้อกันและกัน ชายชราหยุดเล่าเพื่ออัดยาเส้นเข้าปอด ก่อนจะปล่อยออกมาโขมงห้อง
ผมพอจะนึกภาพออกภาพอดีตที่พอจะจดจำได้ แม้จะเลือนลางไม่ชัดเจน แต่ก็พอจะเห็นภาพภาพตลาดแห่งนี้ครั้นอดีต ยามที่แม่ผมพาผมมาจ่ายตลาด
ตอนลุงมาถึงห้องนี้เป็นเพียงห้องว่าง เพราะไอ้แสงมันเซ้งกิจการแก๊สให้คนอื่นเขาไปแล้วมีแต่ไม้อะไรต่อมิอะไรไม่รู้ กองเป็นพะเนิน ไอ้แสงมันบอกก่อนแล้วว่า ไม้เป็นของเพื่อนมัน ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว จะเอาไปทิ้ง ไปทำอะไรก็ได้ มารู้ทีหลังว่ามันเป็นไม้เถื่อนที่ไอ้แสงกับเพื่อนมันเอามาเก็บไว้ แท้ที่จริงไอ้แสงมันทำธุรกิจค้าไม้เถื่อน แล้วเปิดร้านแก๊สบังหน้า ใช้ที่นี่เป็นที่เก็บสินค้าธุรกิจมันไปได้สวย แต่ช่วงหลังตำรวจมันเริ่มระแคะระคาย เพื่อนมันถูกซิวไปหลายคน มันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเผ่นหนี ไม้เม้ยทิ้งไว้ไม่สนใจ มวนยาเส้นลีบงอเพราะแรงดูดของชายชรา ที่ตอนนี้น้ำตายังคงคลออยู่ในเบ้า แม้จะไม่หลั่งรินเหมือนช่วงแรก แต่ก็พร้อมที่จะทะลักออกมาจากเบ้าตาได้ทุกเมื่อ
แล้วเฮียแสงล่ะครับ ? ผมซักอย่างใคร่รู้
มันไปไม่รอดมันถูกตำรวจดักจับที่พรมแดนลาว น่าเสียดายอีกนิดเดียวก็จะรอดแล้ว มันยิงสู้ เลยถูกจับตาย
แล้วไม้ในร้านนี้ ผมยังคงซักอย่างใคร่รู้ต่อไป
นี่อาจเป็นโชคดีอย่างเดียวของลุง นอกจากเมียลุงแล้ว ก็มีครั้งนี้นี่แหละที่ลุงรู้สึกว่าลุงโชคดี เพราะไอ้แสงมันตายเสียก่อน ตำรวจเลยสืบไม่ได้ว่าไม้เถื่อนของกลางไปอยู่ที่ไหนนี่ถ้ามันยอมให้จับ ลุงก็อาจจะต้องเข้าไปนอนเป็นเพื่อนมันในคุกก็เป็นได้ ชายชราพูดพลางหัวเราะในลำคอเป็นครั้งแรกนับแต่สนทนากันมา ที่ผมเห็นลุงหัวเราะ แต่คงไม่ใช่เพราะมีสุข แต่คงเพราะสมเพชกับตัวเองมากกว่า
ลุงเลยรื้อฟื้นวิชาแกะสลักที่เคยร่ำเรียนมาบ้าง สมัยหนุ่มๆ จัดการกับไม้พวกนั้นซะ เพราะจะเอาไปทิ้งก็เสียดาย จะเก็บไว้เฉยๆก็เดี๋ยวจะกลายเป็นบ้านให้ปลวกอีก อีกอย่างก็เพื่อรำลึกถึงไอ้แสงด้วย แรกๆที่ทำขายก็ไม่มีใครสนใจ แต่พอทำนานๆไป ฝีมือเริ่มมีขึ้นบ้าง ก็เริ่มมีคนมาสนใจ ส่วนมากก็เป็นพวกเศรษฐีนั่นแหละ ซื้อไปตกแต่งบ้าน แหวนงี้เต็มมือ แต่กดราคาฉิบหายงานบางชิ้นลุงทำเป็นเดือน แต่ขายทีได้ไม่ถึงร้อย แต่ถึงจะไม่พอใจแต่ลุงก็ไม่ได้บ่น เพราะหนักกว่านี้ลุงก็เจอมาแล้ว ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ควันยาเส้นชุดสุดท้ายถูกปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ
แล้วเมียลุงล่ะครับ ? ผมยังคงถามอย่างไม่ใส่ใจจิตใจของผู้ตอบ
มันตายตอนไปรับใบสั่งของจากลูกค้า เสียงของชายชราเริ่มสั่นเครือมากขึ้น แต่ก็ยังคงเล่าต่อไป
กำลังเดินข้ามถนนกลับมาที่ร้าน รถเก๋งมาจากไหนไม่รู้ ชนมันลอยกระเด็นไปหลายเมตร เสียงพูดปรับเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่แล้วหลั่งรินลงมาเป็นสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ ให้กับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเมียอันเป็นที่รักต้องมาจากไปแม้ชีวิตจะตกระกำลำบากแค่ไหน แม้จะเหนื่อยกายเมื่อยล้าขนาดไหน ก็ยังมีเมียอันเป็นที่รัก ที่คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจเสมอมา น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลหลั่งออกมาไม่ขาดสาย บ่งบอกถึงความรักของชายชราที่มีต่อเมียของแก
ผมได้แต่นิ่งงัน พูดอะไรไม่ออกชีวิตของผู้ชายคนนี้ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร เศร้าเกินกว่าที่คนที่เกิดมาเพรียบพร้อมอย่างผมจะเข้าใจถึงหัวใจที่แสนบอบช้ำนั้นได้ ชีวิตที่ตกระกำลำบากด้วยโชคชะตาที่เล่นตลก การที่ต้องสูญเสียเพื่อน สูญเสียเมียคู่ทุกข์คู่ยากไปตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ? งานไม้ทุกชิ้นที่นี่ถึงได้แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ความทุกข์โศกเช่นนี้ คล้ายกับว่าจะร่ำไห้ให้กับชีวิตของชายชราที่สุดแสนจะหดหู่
ความโศกเศร้าก่อเกิดจากความโศกเศร้า ยามที่เราทำอะไรสักอย่างด้วยความเศร้า ไอความเศร้าของเราก็จะแทรกซึมอยู่ในสิ่งที่เราทำนั้น และมันจะร่ำไห้อยู่เสมอจนกว่าความโศกเศร้าจะสูญสิ้น
นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่าที่ชายชราร้องไห้เหมือนเด็กๆ บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบ มีเพียงเสียงสะอื้นที่แหบเล็กของชายชราเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผมยังคงนั่งมองแกอยู่มองด้วยความรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ภาพเบื้องหน้าจะสะเทือนใจผมเหลือคณานับ จนผมเกือบจะร้องไห้ให้กับชีวิตที่โหดร้ายของชายชราไปด้วย ยังดีที่ผมยังเก็บอาการได้อยู่ แต่อย่างน้อยก็เป็น การดีที่แกได้ระบายมันออกมาบ้างความรู้สึกที่บีบคั้นจิตใจมาตลอด ที่ไม่รู้จะไประบายให้ใครฟัง ไม่เหลือเพื่อนไม่เหลือใครแล้วในชีวิตนี้ที่พอจะพูดคุยได้ ที่พอจะให้คำแนะนำ คำปรึกษาใดๆ ผมอ่อนโลกเกินกว่าที่จะให้คำแนะนำใดๆแกได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ช่วยให้คนๆหนึ่งได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
เนิ่นนานกว่าที่เสียงสะอื้นค่อยๆจางลง ลดลง ลดลงหยาดน้ำตาค่อยๆแห้งลง แห้งลง
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละโลกมันเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาสนใจของพวกนี้อีกแล้ว ชายชราพูดพลางกวาดสายตาที่แดงก่ำไปที่งานไม้มากมายที่รายล้อมรอบตัวอยู่
ถึงแม้จะพูดหยามเหยียด แต่ในใจของแกคงอาลัยรักงานเหล่านี้มาก มันเป็นตัวแทนของเพื่อนรักเป็นตัวแทนของร้านนี้ที่แกกับเมีย ร่วมกันสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของอดีตกาลของชายคนหนึ่งที่ต่อสู้กับโชคชะตาที่เล่นตลกมาอย่างหนักหน่วงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่บอบช้ำ ที่สิ้นหวัง ในการที่จะประคองชีวิตนี้ให้คงอยู่ต่อไป
ขอบใจนะไอ้หนุ่ม ที่ทนฟังเรื่องไร้สาระของลุงจนจบ หัวใจนั่นลุงยกให้อยากได้ก็เอาไปเถอะ ชายชราพูดพลางยกตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้
ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้อย่างน้อยก็คงต้องให้ลุงแกบ้าง ก็แกบอกเองว่า งานแต่ละชิ้นแกทำอย่างตั้งใจขนาดไหน แล้วจะให้ผมเอาไปฟรีๆได้อย่างไร ? ว่าแล้วผมก็ล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของชายชรา
หยุดอยู่แค่นั้นแหละไอ้หนุ่ม ลุงบอกว่าให้ก็ให้สิ ถึงแม้ลุงจะเป็นแค่ไอ้กระจอกในสายตาของผู้คนสมัยนี้ แต่อย่างน้อยลุงก็ให้ความสำคัญกับคำพูดแม้มันจะลอยลม จับต้องไม่ได้ แต่มันก็มาจากตัวเรา มาจากจิตของเราเพราะฉะนั้นถ้าพูดอะไรไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเห็นแก่ลุงเถอะ อย่าทำให้คุณค่าความเป็นคนของลุงลดน้อยไปกว่านี้เลยถือซะว่า นั่นเป็นค่าจ้างที่ทนฟังเรื่องของไอ้กระจอกคนหนึ่งละกัน
ผมไม่อาจจะต่อรองอะไรได้อีก ชักมือกลับมาประคองที่หัวใจไม้สองดวงนั้น นี่คือตัวแทนความรักของไอ้กระจอกคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงอันเป็นที่รัก ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ยังคงเห็นคุณค่าของคำพูด ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับโชคชะตาที่เล่นตลก
ชายชราก้าวเดินเข้าไปภายในส่วนลึกของห้องที่ดำมืดอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามั่นคง
ลุงครับลุงอาจจะเป็นไอ้กระจอกในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับผมลุงคือลูกผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของชายชาตรี ถึงแม้ตอนนี้จะอ่อนลงมากแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ลุงเท่ห์มากครับ ผมได้แต่คิดในใจแต่มิได้เอ่ยออกไป
ลุงครับแล้วลุงจะทำอะไรต่อไป ? คือคำพูดที่ผมเลือกจะเอ่ยกับชายชราก่อนที่ร่างนั้นจะหายเข้าไปในหลืบของความมืด
ร่างผอมเกร็งหยุดชะงัก ชายชราไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่พูดว่า
เมื่อเราไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้ก็คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเล่นตลกกับเราต่อไป ว่าแล้วชายชราก็เดินหายลับไปในความมืด
ผมได้แต่ส่งสายตาแทนคำอำลาที่ไม่มีโอกาสได้พูด เมื่อเห็นว่าสมควรกับเวลาแล้ว ผมจึงก้าวเดินออกมาจากตัวร้านอย่างเชื่องช้า ในมือยังถือหัวใจไม้สองดวงนั้นไว้อย่างทะนุถนอม
แม่จะรู้สึกไหมนะ ? ว่าของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ ไม่ใช่เพราะเป็นของขวัญที่ไม่ใช่คำพูดชิ้นแรกในรอบ 10 ปี หากแต่ของขวัญชิ้นนี้คือตัวแทนของคนๆหนึ่ง คนที่มีคุณค่าความเป็นคนอย่างเปี่ยมล้น ผมพึมพำของผมคนเดียวในขณะที่เดินจากร้านขายไม้นั้นมา
แกร็กกกกก.ตึง ! เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เพียงพอที่จะทำให้ผมกลับตัวหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
ร้านขายไม้ของชายชราปิดสนิทไม่มีวี่แววของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่ ประตูเหล็กยืดเก่าคร่ำคร่า ใยแมงมุมเกาะยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แม่กุญแจเก่าโทรมที่คล้องไว้กับสายยูประตูสนิมจับเกรอะกังคล้ายกับว่ามันปิดอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน
ลาก่อนครับลุง ผมกล่าวอำลาชายชราผู้กรำชีวิตมาอย่างแสนสาหัส
ผมหันหลังกลับ ก้าวเดินต่อไปออกไปออกไปออกสู่ความสับสนวุ่นวายของกระแสบริโภคนิยมที่เชี่ยวกราด
ลุงอ่อนแอเกินไปอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ได้ คำพูดของชายชรายังคงก้องอยู่ในหัวของผม
กระแสชนเริ่มหนาแน่นขึ้นตามระยะทางที่ก้าวเดิน แสงอาทิตย์สาดแสงส่องลงมายังพื้นคอนกรีต
ถ้าโชคชะตานึกสนุกเราคงได้พบกันใหม่
18 กันยายน 2546 00:14 น.
hallelujah
แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
ฟ้าวันนี้แลดูมืดมิด ไร้ซึ่งแสงดาวที่เคยพร่างพราวสว่างไสว ดาวเจ้าทิ้งฟ้าไป ปล่อยฟ้าไว้ให้มืดมนหม่นเศร้า
เธอก็เปรียบได้กับดาว สวยสดงดงาม ฉันก็เหมือนกับฟ้า ที่โอบกอดเธอไว้ด้วยอ้อมแขนแห่งความรัก เธอคอยกระพิบส่องสว่างอยู่กลางใจฉัน เพิ่มเติมแต่งสีสันและความสดใสให้กับฉันที่อ้างว้างไร้แก่นสาร
ยามที่ฉันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้ายามค่ำคืน ฉันจะเห็นมวลหมู่ดาวมากมายที่ส่งยิ้มให้ฉัน แต่ท่ามกลางหมู่ดาวร้อยพันนั้น จะมีดาวอยู่ดวงเดียวที่เปล่งประกายส่องสว่างโดดเด่นเหนือดาวใดๆ ดาวดวงเดียวที่ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยน ละมุนความอบอุ่น เพียงแค่ได้ยล ก็เป็นสุขเหนือสิ่งใดๆ เวลาที่มองดาวดวงนั้น มันทำให้ฉันคิดถึงเธอ
แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เธอแปรผันจากฉันไป ทิ้งฉันไว้ให้อยู่แต่ผู้เดียว ความฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้แตกสลายไปในชั่วพริบตา สำหรับฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนหยุดอยู่กับที่แล้วจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งความเศร้า
ค่ำคืนนั้น ฉันแหงนหน้าขั้นมองท้องฟ้า ด้วยหวังว่าเจ้าดาวดวงน้อยนั้นจะช่วยปลอบโยนฉัน จะช่วยเชื่อมรอยร้าวในใจฉันให้กลับมาชุ่มชื่นดังเดิม
แต่เจ้าไม่อยู่... เจ้าดาวดวงน้อยหายไปอยู่ไหน หรือมวลเมฆยามราตรีบดบังเจ้าไว้ หรืออย่างไร ? ฉันไม่อาจรู้เลย
ยามนี้ฉันต้องการเจ้ามาช่วยปลอบประโลมหัวใจที่แตกร้าว ยามนี้ฉันเหลือเพียงแต่เจ้าเท่านั้น ที่จะช่วยแต่งความฝันให้ฉันใหม่ แต่เจ้าก็ยังมาทิ้งฉันไปอีกคน
ฉันคิดถึงดาว แต่ก็ไม่เท่าที่ฉันคิดถึงเธอคนนั้น ดาวที่สวยงามของฉัน
แม้ทั้งคู่จะทิ้งฉันไป แต่ดาวเจ้าจากฟ้าไปไม่กี่วันก็กลับมากระพริบส่องสว่างดังเดิม แต่กับฉัน...คงไม่มีวัน
ที่เธอคนนั้นจะกลับมา เธอจากไป ไกลแสนไกลกว่า
ทิ้งฉันไว้ในความเปลี่ยวเหงา รับรู้รับทราบถึงความรู้สึกที่ต้องอยู่แต่เพียงผู้เดียว เปล่าเปลี่ยวหัวใจ ไร้ซึ่งเธอเคียงข้าง ความหนาวเหน็บเข้าเกาะยึดหัวใจ
ได้แต่เพียง นั่งมองฟ้ากว้างด้วยหัวใจที่อ้างว้าง...คนเดียว
6 กันยายน 2546 20:59 น.
hallelujah
นานมาแล้ว...
ผืนดินได้ให้กำเนิดดอกไม้ดอกเล็กๆขึ้นมาดอกหนึ่ง
ด้วยความรัก...ผืนดินจึงคอยเฝ้าประคบประหงมเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แก่เจ้าดอกไม้น้อย
ยามลมพายุโหมกระหน่ำ ผืนดินก็คอยเหนี่ยวรั้งดอกไม้ไว้ไม่ให้ถูกพัดกระเด็นไป
ดอกไม้จึงคงอยู่ และผลิช่อเผยดอกอันสวยงาม เป็นที่ชื่นชมของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
" ดูสิ! ดอกไม้นั่นสวยจังเลย "
นานวันเข้า...ดอกไม้ก็หลงเคลิ้มไปกับคำชื่นชม จนกลายเป็นดอกไม้ที่หลงตัวเอง และคิดว่าตนเองสำคัญเหนือใครๆ
" คงถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะออกท่องไปในโลกกว้าง อวดโฉมให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็น " ดอกไม้ฝันหวาน
" อย่าเลยลูก เจ้ายังเด็กเกินไป " ผืนดินท้วงอย่างอ่อนโยน
" หุบปากน่า ! ยายแก่ ! แกไม่มีสิทธิมาห้ามฉัน เพราะแกไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลย... มีแต่ฉันทำให้แก นี่เพราะมีฉันอยู่หรอกนะ พวกมนุษย์เค้าจึงยังพอเห็นคุณค่าของแกอยู่บ้าง " ดอกไม้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
" ยังไงฉันก็จะไป แกจะได้รู้สึกเสียทีว่า เมื่อฉันไม่อยู่แล้ว แกจะเป็นยังไง "
ว่าแล้ว...เจ้าดอกไม้น้อยก็ถอนตัวออกจากผืนดิน ก้าวเดินออกไป ทิ้งผืนดินไว้เบื้องหลังอย่างเดียวดาย
ดอกไม้ออกมาท่องโลกกว้างสมใจ ผ่านไปแห่งหนใดผู้คนก็ชื่นชมในความงาม
" ดอกไม้น้อย...เจ้าสวยจังเลย "
แต่นานเข้า...ไม่มีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้อย่างเคย หาอาหารเองก็ไม่ได้ ร่างกายจึงผอมแห้งเหี่ยวเฉาลง จากที่เคยถูกชื่นชม กลับกลายเป็นถูกหยามเหยียดแทน
" อี๋ !!! ไปไกลๆเลย แกมันดอกไม้ที่เหี่ยวช้ำ ทุเรศสิ้นดี "
เมื่อท้องหิว...ก็ไม่มีแรง ดอกไม้นั่งขดตัวพยายามข่มเสียงท้องร้องท่ามกลางสายฝนที่พรั่งพรูลงมา
" ฉันน่าจะเชื่อแม่ " ดอกไม้เริ่มรู้สึกผิด
วันหนึ่ง...ลมพายุโหมกระหน่ำ ดอกไม้ถูกพัดกระเด็นกระดอนเพราะไม่มีผืนดินคอยเหนี่ยวรั้งไว้เช่นแต่ก่อน ดอกไม้ถูกพัดไปชนกับโขดหินใหญ่จนสลบเหมือด...
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา...ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่หน้าโขดหินใหญ่
" เป็นไงมาไงล่ะ..เจ้าดอกไม้น้อย " โขดหินใหญ่ทักถามอย่างเป็นมิตร
ดอกไม้จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้โขดหินใหญ่ฟัง
โขดหินได้ฟังก็บอกให้เจ้าดอกไม้กลับไปหาแม่เสีย
" ถึงกลับไป แม่ก็คงไม่รักฉันเหมือนเดิมแล้ว " ดอกไม้กล่าวอย่างเศร้าใจ
" เจ้าเด็กโง่ ! ไม่มีบุพการีที่ไหนหรอกที่จะรังเกียจลูกตัวเองได้ลง เขามีแต่ความหวังดีและปรารถนารักอันบริสุทธิ์ กลับไปเถอะ...
เขาจะต้องดีใจแน่ที่เห็นเจ้ากลับไป " โขดหินใหญ่สอนสั่ง
ดอกไม้ได้ฟังก็ใจชื้น...กล่าวขอบคุณโขดหินใหญ่แล้วพยุงร่างอันบอบช้ำกลับไปหาอ้อมอกแม่
แต่เมื่อกลับมาถึง...
ดอกไม้กลับพบว่ามีถนนซีเมนต์ตัดผ่านปิดทับผืนดินผู้เป็นแม่ไว้
" นี่มันเกิดอะไรขึ้น ! ใครมาทำกับแม่ฉันอย่างนี้ " ดอกไม้ตกใจ
พุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆจึงชี้แจงให้ฟังว่า...
" นับแต่วันที่เจ้าจากไป... ผืนดินก็หม่นเศร้าหงอยเหงา ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร พวกมนุษย์พยายามสรรหาพันธุ์ไม้อื่นมาปลูกแทนที่เจ้า แต่ก็ปลูกไม่ขึ้น พวกเขาจึงสรุปกันว่า ผืนดินตายแล้ว เป็นผืนดินที่ไร้คุณภาพ จึงตัดสินใจทำถนนทับผืนดินเสีย... "
ดอกไม้ได้ฟังดังนั้นก็ทรุดกายร้องไห้โฮ
" แม่...... ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าทิ้งแม่ไปเลย ฉันขอโทษ.........แม่..............โฮโฮ !!! "
อ้อมอกอุ่นที่เคยได้รับจากผืนดินผู้เป็นแม่ จากนี้ไป...จะไม่มีอีกแล้ว
สิ่งที่เจ้าดอกไม้ได้รับแทนก็คือ ความเย็นกระด้างจากผืนซีเมนต์ที่แห้งแข็ง เย็นเฉียบ...เข้าไปถึงขั้วหัวใจ
6 กันยายน 2546 20:15 น.
hallelujah
มีคำกล่าวว่าไว้ว่า " มนุษย์เรามักใช้อำนาจในทางที่ผิด " และผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายท่านนึกไปถึงเรื่องการคอรัปชั่น การเมือง ต่างๆนานา คิดแล้วน่าปวดหัว...
ใช่! นั่นก็เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด
แต่ ณ ที่นี้ ไม่ต้องไปมองอะไรที่มันไกลตัว เอาใกล้ๆตัวนี่แหละ...มีให้เห็นถมไป
มีอยู่วันหนึ่ง...ผมนั่งรถเมล์ไปเรียน ตามปกติเมื่อลงจากรถเมล์แล้วผมก็จะเดินเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่คนส่วนมากมักเลือกใช้บริการของรถมอเตอร์ไซด์ เนื่องจากระยะทางจากป้ายรถเมล์ถึงมหาวิทยาลัยนั้นออกจะไกลโขอยู่
เส้นทางที่ผมใช้เดินนั้นเป็นทางเดินแคบๆ เลาะคลองส่งน้ำไป เบื้องซ้ายเป็นกำแพงของกรมทหารแห่งหนึ่ง เบื้องขวามีต้นไม้ปลูกไว้ มีดอกสีขาวเบ่งบานให้ความชุ่มชื่นให้กับทุกหัวใจที่เดินผ่านไปทางนั้น
วันนั้น...เมื่อผมลงจากรถเมล์แล้ว ก็ใช้เส้นทางนี้ตามปกติ
ดวงอาทิตย์เจิดจ้าส่งแสงร้อนแรง ผลักดันให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการจากรถมอเตอร์ไซด์ ทางเดินนี้จึงหงอยเหงา มีเพียงผมและผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินนำหน้าผมอยู่
ชุดนักศึกษาที่เธอใส่เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นปัญญาชนได้เป็นอย่างดี แต่การกระทำของเธอนั้นช่างขัดกับเปลือกที่เธอสวมใส่อยู่เหลือเกิน
ทำไมน่ะหรือครับ?
ก็เพราะเธอเดินเด็ดดอกไม้ไปตลอดทาง
เด็ดมาทำไมน่ะหรือครับ?
เด็ดมาบี้...แล้วก็ทิ้ง เด็ด! บี้! ทิ้ง! เด็ด! บี้! ทิ้ง! ตลอดทาง
ไม่ใช่แค่ดอกเดียว แต่หลายๆดอก
ซากดอกไม้เต็มทางเดิน...
สิ่งที่ได้เห็นมันทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวข้างต้นขึ้นมา
แทนที่เราจะใช้อำนาจที่เรามี ความแข็งแกร่งที่เรามีกับสิ่งที่ชั่วร้าย สิ่งที่เลวร้ายต่างๆ
เรากลับใช้อำนาจที่เรามีกับสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่ดีงาม
เรากำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดรึปล่าว?
ทุกวันนี้ เวลาที่ผมเดินผ่านทางนี้...
ไม่มีดอกไม้ให้เห็นอีกแล้ว
นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา จนหลายๆคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก แต่สิ่งเล็กๆนี้แหละ ที่จะเป็นพื้นฐานต่อการกระทำในอนาคตของเรา
ด้วยวัยเพียงเท่านี้...
กับสิ่งที่สวยงามเช่นนี้...ยังทำได้
แล้วเมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ...จะขนาดไหน
น่าคิดครับ...