6 กันยายน 2546 20:59 น.
hallelujah
นานมาแล้ว...
ผืนดินได้ให้กำเนิดดอกไม้ดอกเล็กๆขึ้นมาดอกหนึ่ง
ด้วยความรัก...ผืนดินจึงคอยเฝ้าประคบประหงมเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แก่เจ้าดอกไม้น้อย
ยามลมพายุโหมกระหน่ำ ผืนดินก็คอยเหนี่ยวรั้งดอกไม้ไว้ไม่ให้ถูกพัดกระเด็นไป
ดอกไม้จึงคงอยู่ และผลิช่อเผยดอกอันสวยงาม เป็นที่ชื่นชมของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
" ดูสิ! ดอกไม้นั่นสวยจังเลย "
นานวันเข้า...ดอกไม้ก็หลงเคลิ้มไปกับคำชื่นชม จนกลายเป็นดอกไม้ที่หลงตัวเอง และคิดว่าตนเองสำคัญเหนือใครๆ
" คงถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะออกท่องไปในโลกกว้าง อวดโฉมให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็น " ดอกไม้ฝันหวาน
" อย่าเลยลูก เจ้ายังเด็กเกินไป " ผืนดินท้วงอย่างอ่อนโยน
" หุบปากน่า ! ยายแก่ ! แกไม่มีสิทธิมาห้ามฉัน เพราะแกไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลย... มีแต่ฉันทำให้แก นี่เพราะมีฉันอยู่หรอกนะ พวกมนุษย์เค้าจึงยังพอเห็นคุณค่าของแกอยู่บ้าง " ดอกไม้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
" ยังไงฉันก็จะไป แกจะได้รู้สึกเสียทีว่า เมื่อฉันไม่อยู่แล้ว แกจะเป็นยังไง "
ว่าแล้ว...เจ้าดอกไม้น้อยก็ถอนตัวออกจากผืนดิน ก้าวเดินออกไป ทิ้งผืนดินไว้เบื้องหลังอย่างเดียวดาย
ดอกไม้ออกมาท่องโลกกว้างสมใจ ผ่านไปแห่งหนใดผู้คนก็ชื่นชมในความงาม
" ดอกไม้น้อย...เจ้าสวยจังเลย "
แต่นานเข้า...ไม่มีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้อย่างเคย หาอาหารเองก็ไม่ได้ ร่างกายจึงผอมแห้งเหี่ยวเฉาลง จากที่เคยถูกชื่นชม กลับกลายเป็นถูกหยามเหยียดแทน
" อี๋ !!! ไปไกลๆเลย แกมันดอกไม้ที่เหี่ยวช้ำ ทุเรศสิ้นดี "
เมื่อท้องหิว...ก็ไม่มีแรง ดอกไม้นั่งขดตัวพยายามข่มเสียงท้องร้องท่ามกลางสายฝนที่พรั่งพรูลงมา
" ฉันน่าจะเชื่อแม่ " ดอกไม้เริ่มรู้สึกผิด
วันหนึ่ง...ลมพายุโหมกระหน่ำ ดอกไม้ถูกพัดกระเด็นกระดอนเพราะไม่มีผืนดินคอยเหนี่ยวรั้งไว้เช่นแต่ก่อน ดอกไม้ถูกพัดไปชนกับโขดหินใหญ่จนสลบเหมือด...
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา...ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่หน้าโขดหินใหญ่
" เป็นไงมาไงล่ะ..เจ้าดอกไม้น้อย " โขดหินใหญ่ทักถามอย่างเป็นมิตร
ดอกไม้จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้โขดหินใหญ่ฟัง
โขดหินได้ฟังก็บอกให้เจ้าดอกไม้กลับไปหาแม่เสีย
" ถึงกลับไป แม่ก็คงไม่รักฉันเหมือนเดิมแล้ว " ดอกไม้กล่าวอย่างเศร้าใจ
" เจ้าเด็กโง่ ! ไม่มีบุพการีที่ไหนหรอกที่จะรังเกียจลูกตัวเองได้ลง เขามีแต่ความหวังดีและปรารถนารักอันบริสุทธิ์ กลับไปเถอะ...
เขาจะต้องดีใจแน่ที่เห็นเจ้ากลับไป " โขดหินใหญ่สอนสั่ง
ดอกไม้ได้ฟังก็ใจชื้น...กล่าวขอบคุณโขดหินใหญ่แล้วพยุงร่างอันบอบช้ำกลับไปหาอ้อมอกแม่
แต่เมื่อกลับมาถึง...
ดอกไม้กลับพบว่ามีถนนซีเมนต์ตัดผ่านปิดทับผืนดินผู้เป็นแม่ไว้
" นี่มันเกิดอะไรขึ้น ! ใครมาทำกับแม่ฉันอย่างนี้ " ดอกไม้ตกใจ
พุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆจึงชี้แจงให้ฟังว่า...
" นับแต่วันที่เจ้าจากไป... ผืนดินก็หม่นเศร้าหงอยเหงา ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร พวกมนุษย์พยายามสรรหาพันธุ์ไม้อื่นมาปลูกแทนที่เจ้า แต่ก็ปลูกไม่ขึ้น พวกเขาจึงสรุปกันว่า ผืนดินตายแล้ว เป็นผืนดินที่ไร้คุณภาพ จึงตัดสินใจทำถนนทับผืนดินเสีย... "
ดอกไม้ได้ฟังดังนั้นก็ทรุดกายร้องไห้โฮ
" แม่...... ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าทิ้งแม่ไปเลย ฉันขอโทษ.........แม่..............โฮโฮ !!! "
อ้อมอกอุ่นที่เคยได้รับจากผืนดินผู้เป็นแม่ จากนี้ไป...จะไม่มีอีกแล้ว
สิ่งที่เจ้าดอกไม้ได้รับแทนก็คือ ความเย็นกระด้างจากผืนซีเมนต์ที่แห้งแข็ง เย็นเฉียบ...เข้าไปถึงขั้วหัวใจ
6 กันยายน 2546 20:15 น.
hallelujah
มีคำกล่าวว่าไว้ว่า " มนุษย์เรามักใช้อำนาจในทางที่ผิด " และผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายท่านนึกไปถึงเรื่องการคอรัปชั่น การเมือง ต่างๆนานา คิดแล้วน่าปวดหัว...
ใช่! นั่นก็เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด
แต่ ณ ที่นี้ ไม่ต้องไปมองอะไรที่มันไกลตัว เอาใกล้ๆตัวนี่แหละ...มีให้เห็นถมไป
มีอยู่วันหนึ่ง...ผมนั่งรถเมล์ไปเรียน ตามปกติเมื่อลงจากรถเมล์แล้วผมก็จะเดินเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่คนส่วนมากมักเลือกใช้บริการของรถมอเตอร์ไซด์ เนื่องจากระยะทางจากป้ายรถเมล์ถึงมหาวิทยาลัยนั้นออกจะไกลโขอยู่
เส้นทางที่ผมใช้เดินนั้นเป็นทางเดินแคบๆ เลาะคลองส่งน้ำไป เบื้องซ้ายเป็นกำแพงของกรมทหารแห่งหนึ่ง เบื้องขวามีต้นไม้ปลูกไว้ มีดอกสีขาวเบ่งบานให้ความชุ่มชื่นให้กับทุกหัวใจที่เดินผ่านไปทางนั้น
วันนั้น...เมื่อผมลงจากรถเมล์แล้ว ก็ใช้เส้นทางนี้ตามปกติ
ดวงอาทิตย์เจิดจ้าส่งแสงร้อนแรง ผลักดันให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการจากรถมอเตอร์ไซด์ ทางเดินนี้จึงหงอยเหงา มีเพียงผมและผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินนำหน้าผมอยู่
ชุดนักศึกษาที่เธอใส่เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นปัญญาชนได้เป็นอย่างดี แต่การกระทำของเธอนั้นช่างขัดกับเปลือกที่เธอสวมใส่อยู่เหลือเกิน
ทำไมน่ะหรือครับ?
ก็เพราะเธอเดินเด็ดดอกไม้ไปตลอดทาง
เด็ดมาทำไมน่ะหรือครับ?
เด็ดมาบี้...แล้วก็ทิ้ง เด็ด! บี้! ทิ้ง! เด็ด! บี้! ทิ้ง! ตลอดทาง
ไม่ใช่แค่ดอกเดียว แต่หลายๆดอก
ซากดอกไม้เต็มทางเดิน...
สิ่งที่ได้เห็นมันทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวข้างต้นขึ้นมา
แทนที่เราจะใช้อำนาจที่เรามี ความแข็งแกร่งที่เรามีกับสิ่งที่ชั่วร้าย สิ่งที่เลวร้ายต่างๆ
เรากลับใช้อำนาจที่เรามีกับสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่ดีงาม
เรากำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดรึปล่าว?
ทุกวันนี้ เวลาที่ผมเดินผ่านทางนี้...
ไม่มีดอกไม้ให้เห็นอีกแล้ว
นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา จนหลายๆคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก แต่สิ่งเล็กๆนี้แหละ ที่จะเป็นพื้นฐานต่อการกระทำในอนาคตของเรา
ด้วยวัยเพียงเท่านี้...
กับสิ่งที่สวยงามเช่นนี้...ยังทำได้
แล้วเมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ...จะขนาดไหน
น่าคิดครับ...