30 สิงหาคม 2547 21:32 น.

ความในใจ แด่มนุษย์ผู้ครอบครองหัวใจของข้าพเจ้า

hallelujah

ความในใจ
แด่  มนุษย์ผู้ครอบครองหัวใจของข้าพเจ้า

หัวค่ำของวันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2547...

(1)
โลกของผมหดแคบไปอีกด้านหนึ่ง...
                    มนุษย์เราต่างมีโลกของตัวเอง  โลกที่เป็นทรงกลม  360 องศาของการมีชีวิตและการใช้ชีวิต  มีทั้งด้านที่เป็นสังคม  และด้านที่เป็นส่วนตัว  
                     ต่างคนก็ต่างโลก  โลกของใคร  ก็ของคนนั้น
                     ผมมีโลกของผม  โลกที่เป็นชีวิตของผม  โลกของผมมีทั้งด้านที่เป็นพ่อแม่  ด้านที่เป็นการเรียน  ด้านที่เป็นส่วนตัว  และเหนืออื่นใด  คือด้านที่เป็นเพื่อน
                     ด้านที่เป็นเพื่อนก็สามารถแยกย่อยออกได้อีกหลายด้าน  เพราะผมไม่ได้มีเพื่อนเพียงคนเดียว  แต่ไม่จำเป็นว่าเพื่อนแต่ละคนจะแบ่งพื้นที่ในหัวใจผมได้เท่ากัน

(2)
หัวใจของผมพองโตขึ้น...
                    โลกคือการใช้ชีวิต  แต่หัวใจคือความหมายของชีวิต
                    เพื่อนในโลกของผม  คือคนที่เข้ามาในชีวิตของผม  และทำให้โลกของผมสนุกสนาน  และสดใสขึ้น  
                    เพื่อนเข้ามาตามช่วงจังหวะของชีวิต  มีมากมายที่เข้ามาในโลกของผม  แล้วก็จากไป  มีเพียงส่วนน้อยที่เข้ามา  และชำแรกผ่านโลกของผม  เข้าไปกินเนื้อที่ในหัวใจของผมได้

(3)
10 ปีที่แล้ว...
                   เพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาในโลกของผม  และผมก็รับรู้ว่าเขาเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง  ไม่ต่างไปจากเพื่อนอีก 40 กว่าชีวิตที่เข้ามาในโลกของผม
                   3 ปีผ่านไป...  เขาจากผมไปสู่โลกอีกด้านหนึ่ง  ซึ่งเขาเลือกเอง
                   โลกด้านที่เป็นเพื่อนคนนี้ของผมจึงค่อยๆหดแคบลง  ตามระยะทางที่เขากับผมห่างกัน
                   ตามความเป็นจริง  โลกด้านที่เป็นเพื่อนคนนี้ของผมน่าจะค่อยๆหดเล็กลงจนหายไปในที่สุด  เพราะเขาก็ไปมีโลกอีกด้านของเขา  และผมก็ยังคงมีโลกของผม
                    หากแต่  เขาไม่ยอมให้ด้านที่เป็นเขาในโลกของผมต้องหดหายไป  เขายังคงติดต่อกับผมเป็นระยะๆ---  
                    ---แต่ตลอดมา
                    เขาใช้เวลา 7 ปีก่อร่างสร้างด้านของเขาในโลกของผมให้แน่นหนักขึ้น  และเหนืออื่นใด  เขาชำแรกตัวตนของเขาเข้าไปกินพื้นที่ในหัวใจของผมได้
                    7 ปี  แห่งความสุขที่ผมมีเขาเป็นเพื่อน  เขา  ที่แบ่งพื้นที่ด้านเพื่อนในโลกของผมไปมากที่สุด  มากกว่าเพื่อนคนไหนๆที่ผมเคยมี  และเป็นเพื่อนที่กินพื้นที่หัวใจผมได้มากที่สุดอีกด้วย
                    แต่แล้ว  ระยะเวลา 10 ปีของเขาในโลกของผมต้องพลันมาสิ้นสุดลง  เมื่อสิ้นเสียงที่ดังลอดมาจากโทรศัพท์มือถือที่ผมแนบหูอยู่
                    หัวค่ำของวันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2547  เพื่อนคนหนึ่งของผมโทรมาบอกว่าเพื่อนคนนี้ของผมจากไปแล้ว
                    โลกของผมหดแคบไปอีกด้านหนึ่ง---
                   ---ด้านใหญ่เสียด้วย

(4)
การเกิดคือการตาย  การตายคือการเกิด...
                   ปรัชญาเต๋ากล่าวไว้เช่นนั้น
                   มนุษย์เราเกิดมาเพื่อจะตาย  และเมื่อถึงวาระแห่งความตาย  การเกิดก็จะกำเนิดขึ้น
                   การเกิดของอะไร?
                   การตายเป็นเพียงการแตกดับแห่งกายหยาบ  หากแต่อณูแห่งชีวิตของคนผู้นั้นมิได้ดับสลายไปกับกายอันเปื่อยผุ  อณูแห่งชีวิตเป็นสถานภาพอันบางละเอียดที่สุดแห่งกายมนุษย์  และจิตแห่งมนุษย์จะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
                   ยามเมื่อกายหยาบแตกดับลง  อณูแห่งชีวิตก็จะล่องลอยไปบนฟ้ากว้าง  ลอยไปกับสายลม  พลิ้วไหวอยู่เหนือท้องทุ่งอันเขียวขจี  เริงเล่นกับสายแดดที่ทอทอดลงมา  หรืออาจสถิตอยู่ในน้ำตาแห่งความร่ำไห้
                    อณูแห่งชีวิตอาจหลอมรวมกับอณูแห่งพฤกษา  ก่อกำเนิดเป็นดอกไม้อันงดงาม  ...เหนือธาราอันเวิ้งว้าง  
                    ---คือการเกิดจากการตาย
                    ผมเชื่ออย่างนั้น...
                    ผมเชื่อว่าอณูแห่งเพื่อนของผมไม่ได้สลายไปกับกายอันเปื่อยผุ  หากแต่เลื่อนไหลไปในกระแสเวลา  ก่อกำเนิดซึ่งสรรพชีวิตอื่นๆอีกหมื่นแสน  ...และเขาจะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
                   และเหนืออื่นใด...  อณูชีวิตแห่งเขาจะสถิตอยู่ในหัวใจของผมและเพื่อนทุกคน  

(5)
หัวใจคือความหมายของชีวิต...
                   ด้านของเขาในโลกของผมจบสิ้นลงแล้ว  นับจากนี้จะไม่มีเขาในโลกของผมอีกต่อไป
                   แต่อณูชีวิตแห่งเขาได้เข้าไปครอบคลุมพื้นที่หัวใจของผมหมดแล้ว
                   หัวใจของผมจึงพองโตขึ้น  
                    ผมแนบมือที่หัวใจ  ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง และผมเชื่อว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาก็คงรู้สึกได้อย่างเดียวกัน  

                   บนถนนแห่งชีวิตที่ทอดไกลออกไป...  ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสุดทางของผม  
                    แต่อย่างน้อย  ผมก็อุ่นใจและอิ่มใจ  ว่าจะมีเขาเดินไปพร้อมๆกับผม  
                    เพราะเขาอยู่ในหัวใจของผม

                    ความเรียงนี้ขออุทิศแด่เพื่อนของผมคนนี้  เขา---ผู้ที่เข้ามาเติมเต็มความหมายให้แก่ชีวิตของผมและทำให้ผมได้รู้ถึงมิตรภาพอันแท้จริงของคำว่าเพื่อน
                    ผมรักเขา...
                    หวังว่าเราคงได้พบกันอีกเมื่อถึงเวลา...

(6)
แด่ บี  ยงยุทธ์  ดิษฐ์สันเทียะ
เพื่อนผู้ทำให้ผมเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์

กิติคุณ  คัมภิรานนท์
__________________________________________				
26 สิงหาคม 2547 22:35 น.

การฆ่าตัวตายของดอกไม้

hallelujah

ทุกๆเช้า...  ที่ผมออกจากบ้าน
(บ้านผมอยู่ชานเมือง)
ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม
เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ
---ที่ชีวิตอันเรียกว่ามนุษย์
เมื่อเกิด  เติบโต  จนยามถึงวัยดิ้นรน
ต่างคนต่างกระทำชีวิตแห่งตนไปในหนทางแห่งความแปลกแยกแห่งวิถีธรรมชาติ---
วิถี...  ที่ตนถือกำเนิดมา

ผมจะหลับตา...  พยายามหลอกตัวเองว่าที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่ความจริงที่ปรากฏ

ในตัวเมือง...
ผมมองเห็นความวุ่นวายสับสน
การแข่งขัน  ยื้อแย่ง  เอาเปรียบซึ่งกันและกัน  
น้ำใจเจือจาง  แต่น้ำเงินฟูเฟื่อง

ผมหลับตาอีกครั้ง...  ที่ป้ายรถประจำทาง

สายแดดยามสายแผ่ลงมาต้องกายผม
ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนยกนู่นยกนี่ขึ้นบังแดด
แฟ้มเอกสารบ้าง  ร่มบ้าง  อะไรต่ออะไรบ้าง
เพื่อปกป้องเนื้อนวลแห่งตนจากธรรมชาติ...

แล้วผมเคยได้ยินมาจากไหนว่าธรรมชาติไม่ทำร้ายเราหรอก...


คราหนึ่ง...
ผมมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง...
สีขาวนวล  บริสุทธิ์
น่าเสียดายที่ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ของผมนั้นน้อยนิด  
น้อยเกินกว่าจะกล่าวบอกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ว่าดอกไม้นั้นเรียกว่าดอกอะไร

หากแต่ผมคงคิดผิด...

เพราะถึงผมจะรอบรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ถึงระดับกูรู  หรือระดับแฟนพันธุ์แท้  ก็คงไม่มีประโยชน์

เพราะไม่มีใครสนใจเจ้าดอกไม้นั้นเลย

ผมเฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่เคลื่อนผ่านความนิ่งอันขาวนวล
ยลแลเนื้อขาวที่ค่อยเหี่ยวแห้งลงๆ  เรื่อยๆ

ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า

แต่ผมรู้สึกว่าเจ้าดอกไม้นั้นกำลังทอดอาลัยให้แก่ความเปลี่ยวดาย
เจ้าอาจจะเหงา
เจ้าอาจจะว้าเหว่

ก็แน่ล่ะ...  นี่มันสมัยไหนแล้ว
สมัยนี้เรียกว่าสมัยแห่งการลืมรากเหง้า
มนุษย์เดินดินเขาไม่รู้หรอกว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของเขานั้นมาจากไหน
หนำซ้ำเขายังทำลายรากเหง้าของตัวเองเพื่อประโยชน์แห่งตัวเองอีกด้วย

เพราะฉะนั้น  พวกเขาจะไม่มีวันมาเสียเวลาพิศมองความไร้สาระอย่างเจ้าหรอก

จริงอยู่ที่เจ้างาม
แต่ความงามของเจ้าในนิยามของเขานั้นคือความงามที่ฉาบฉวย
ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้

แล้วอะไรคือความงามที่จริงแท้?

นั่นอย่างไร...
เสื้อผ้า  เครื่องประดับ  แฟชั่น  รถยนต์  รสนิยมอันโก้หรู  และ ฯลฯ

และเหนืออื่นใด  คือ  สิ่งสมมุติที่เรียกว่า  เงิน

นั่นแหละคือความงามที่จีรังยั่งยืน

ครานั้น...เจ้าดอกไม้
ได้ยินน้ำคำกล้ำทนฝืน
รันทดใจในตนที่หยัดยืน
จึงทอดกายลงสู่พื้น  ...ระทมใจ

ครานั้น...  ผมถูกดึงออกจากภวังค์แห่งการครุ่นคิดด้วยน้ำเสียงจากรถประจำทางที่เรียกร้องขอเข้าป้าย
ด้วยถูกกีดขวางจากรถตู้คันหนึ่งที่ยึดครองป้ายมาเนิ่นนาน
ตามบทบัญญัติแห่งรถตู้  ว่า...คนไม่เต็มกูไม่ไป

ผมละสายตาที่มองไปสู่การแก่งแย่งนั้น  กลับมาสู่ดอกไม้ผู้หม่นหมอง

อนิจจา...  
ณ ที่นั้นไม่มีดอกไม้อยู่อีก

สายลมพาพัดเจ้าไปแล้วหรือไร
หรือเจ้าถูกความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครเหลียวแล  กดซ้ำทับเจ้าลงสู่ผืนดินแห่งโลก
หรือว่าผมคิดดังเกินไป  จนเจ้าดอกไม้เห็นความจริง  และไม่อาจระงับความเศร้าโศกได้
จึงตัดสินใจอัตวินิบากกรรมตัวเองจากโลกนี้ไปเสีย

หรืออย่างไร?  ผมไม่รู้

ผมลุกขึ้น  ก้าวเดินออกไป...
กลับบ้าน

การฆ่าตัวตายแห่งดอกไม้ยังคงตาตรึงอยู่ในห้วงความคิดของผม

บนรถประจำทาง...
ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม
เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ

พลางคิดว่า...

พรุ่งนี้ผมจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้อีกไหม?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงhallelujah