25 ธันวาคม 2547 20:52 น.
hallelujah
โศกนาฏกรรมแห่งเครื่องจักร
กิติคุณ คัมภิรานนท์
นี่เป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่ง...
....................
ท่ามกลางมวลอากาศที่รายล้อม เขายืนอยู่บนเทือกเขาสูง เบื้องบนเขาคือไม้ใหญ่ที่แผ่ กิ่งก้านกินอาณาบริเวณของอากาศเหนือศีรษะ เบื้องซ้ายและขวาคือแนวเทือกเขาที่ทอดตัวยาวไกลสู่เส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า ณ ที่นั้น เส้นที่แบ่งคั่นผืนดินและผืนฟ้าออกจากกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือเส้นที่รวมผืนดินและผืนฟ้าเข้าด้วยกัน กำลังรองรับการทิ้งตัวลงของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดภาระหน้าที่ให้พลังงานแก่สรรพชีวิตแห่งซีกโลกนี้ ก่อนจะเคลื่อนคล้อยไปให้พลังงานอันอบอุ่นแก่สรรพชีวิตในอีก ซีกโลกหนึ่งต่อไป
ดวงตาเขาปิดสนิท ในขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆทิ้งตัวจมลง จมลง ณ เส้นขอบฟ้า การเคลื่อนไหวลงสู่เบื้องล่างตามวิสัยแห่งสายตามนุษย์นั้นเป็นไปอย่างสุภาพและนุ่มนวล ขณะนี้ แสงสีแดงส้มได้อาบไล้ไปทั่วอาณาบริเวณ ห้วยน้ำกลางเทือกเขาอันสงบนิ่ง เปล่งผิวสะท้อนแสงแห่งอาทิตย์อัสดงเป็นประกายระยิบระยับไหว คล้ายเพชรรัตน์ยามต้องแสง ไม้ต้นที่ยืนรายล้อมหุบห้วยแห่งประกายเพชรรับแสงแห่งการสิ้นสุดของวัน ใบไม้ส่องประกายสะท้อนแสงสีแดงส้ม พร้อมๆกับไหวกายเอนอ่อนตามลมโชยที่พลิ้วมาทักทาย คล้ายเป็นการตอบรับปรารถนาแห่งความเอื้ออารีที่ สายลมนั้นมีให้ แล้วสายลมก็พลิ้วพัดต่อไป โปรยหว่านความปรารถนาดีและไมตรีอันเอื้ออารีแก่ สรรพชีวิตอื่นที่ยืนหยัดต่อไป
จิตรกรรมแห่งธรรมชาติไม่มีวันหยุดนิ่ง แม้ในความนิ่งงันก็ยังมีความเคลื่อนไหวซ่อนอยู่ เขารับรู้ถึงข้อนี้ดี ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าคือพลวัตแห่งความมีชีวิต แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับภาพจิตรกรรมที่ถูกสรรค์สร้างโดยปลายพู่กันอันถูกติดตรึงอยู่ในกรอบไม้ จิตรกรรมแห่งธรรมชาติไม่เพียงแต่มอบความสุนทรีรมณีย์แด่ชีวิตอันเปี่ยมอารยะ หากแต่ยังมอบพลังอันอารยะแด่ชีวิตอีกด้วย
สายลมพรมผ่านมา เขารู้สึกได้ยามที่สายลมลูบไล้เรียวหน้า สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยนและอบอุ่น เขารู้สึกได้
แต่กับภาพจิตรกรรมแห่งธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอยู่โดยรอบนั้น เขาไม่มีโอกาสที่จะมองเห็นแม้เพียงเส้นสีอันบางระยิบนั้นเลย
ไม่มีโอกาสเลยจริงๆ...
(นี่เป็นเรื่องของเครื่องจักรตัวหนึ่ง...
....................
ท่ามกลางมวลอากาศที่รายล้อม เขายืนอยู่ ณ ป้ายรถประจำทาง หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางใจเมือง เครื่องจักรมากมายทั้งเพศผู้-เพศเมียเดินผ่านไปผ่านมา ต่างวัย ต่างชื่อเรียก ต่างรายละเอียดในชีวิต แต่เหมือนกัน ตรงที่เขาและเครื่องจักรเหล่านี้ เกิดมาบนโลกใบเดียวกัน
รถประจำทางสายหนึ่งแล่นมาจอดเทียบป้ายฯ ยังไม่ทันที่เครื่องจักรบนรถฯจะทยอยลงมา เครื่องจักรที่หมายปองรถฯสายนี้ก็เข้ากลุ้มรุมล้อม จับจองบริเวณบันไดทางขึ้นไว้หมด ไม่มี ช่องทางพอสำหรับให้เครื่องจักรที่อยู่บนรถฯได้เดินลงมาอย่างสะดวก ต้องแทรกตัวเบียดกับเครื่องจักรที่อออยู่ตรงประตูลงมา เนิ่นนาน...กว่าที่เครื่องจักรบนรถฯจะลงมาได้หมด และคงจะเนิ่นนานกว่านี้ถ้าเครื่องจักรตัวที่ทำหน้าที่กระเป๋ารถฯไม่ส่งวาจาเชิงสั่งสอนลงมายังเครื่องจักรเบื้องล่าง ว่ากรุณาเปิดช่องทางให้เครื่องจักรที่อยู่บนรถฯได้ใช้เดินลงมาหน่อย เมื่อคิวขาลงจบ ก็ถึงคิวของขาขึ้น ...และนั่นก็เป็นเวลาอีกพักหนึ่ง กว่าที่รถฯจะแล่นออกไปจากป้ายฯ
เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย ด้วยสายตาที่ชาชิน และเบื่อหน่าย เขาเป็นเพียงเครื่องจักรทางสังคมตัวหนึ่งที่หมดหน้าที่ในหนึ่งวัน และกำลังจะกลับบ้าน เขาไม่มีเครื่องจักรทางกายภาพที่เครื่องจักรทางสังคมเรียกว่า รถยนต์ เป็นของตัวเอง ด้วยเงินตอบแทนค่าเหนื่อยอันเล็กน้อยที่เขาได้รับในแต่ละเดือนนั้น ไม่เพียงพอที่จะนำไปแปรรูปเป็นเครื่องจักรทางกายภาพที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้นได้ เขาจึงต้องใช้บริการจากเครื่องจักรทางกายภาพที่ทางรัฐบาลและเอกชนจัดขึ้นมาให้บริการเครื่องจักรทางสังคมเช่นเขาและเครื่องจักรตัวอื่นๆได้ใช้เดินทาง จากที่อยู่อาศัยไปที่ทำงาน และจากที่ทำงานไปที่อยู่อาศัย เท่านั้น! ใช่ เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องพักร้อน แค่การพักผ่อนในแต่ละวันก็มากเกินพอแล้ว ถึงทางภาครัฐจะยังไม่ได้ตราออกมาเป็นพระราชบัญญัติ แต่เครื่องจักรทุกตัวก็รู้ดีว่าการยื่นใบขอลาพักร้อนแก่ผู้บังคับบัญชานั้นเหมือนกับการยื่นเศษกระดาษลงถังขยะ ไม่ได้หมายความว่าผู้บังคับบัญชาเป็นถังขยะ แต่หมายความว่ากระดาษที่เครื่องจักรตัวนั้นคาดหวังอยากให้เป็นความจริงนั้น จะกลายเป็นเศษกระดาษในมือของผู้บังคับบัญชา และเป็นผู้บังคับบัญชาเอง ที่จะช่วยเป็น ตัวกลางให้เครื่องจักรตัวนั้นกับถังขยะ เป็นการช่วยผ่อนแรงให้เครื่องจักรตัวนั้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปทิ้งเศษกระดาษนั้นด้วยตัวเอง สู้เอาเวลาไปใช้แรงงานเสียดีกว่า ถือเป็นสวัสดิการที่เครื่องจักรทุกตัวได้รับนอกเหนือจากค่าเหนื่อยในแต่ละเดือน
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่เข่า ร่างกายที่กรำงานหนักมาตลอดเริ่มเรียกร้องถึงการพักผ่อน มันเริ่มปวดขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ทนยืน และมันจะปวดยิ่งขึ้น ถ้าเขายังดันทุรังที่จะยืนต่อไป กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขายืนรอรถฯคันที่จะผ่านบ้านเขา แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถฯคันที่ว่าจะมา เขาเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาที่นั่ง แน่นอน ภาครัฐคงไม่ใจดำถึงขนาดไม่เตรียมที่นั่งไว้ให้เครื่องจักรได้นั่งรอรถฯหรอก ที่นั่งนั้นมี แต่ไม่มีสำหรับเขา ที่นั่งทุกที่ถูกจับจองโดยเครื่องจักรตัวอื่นๆหมดแล้ว เขามาช้าเกินไป ที่จริง มันก็เต็มมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตั้งแต่ที่เขามาถึงนั่นแหละ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังเต็มอยู่เช่นเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะว่างให้เขาได้เดินเข้าไปทรุดกายลงนั่ง ทุกที่ล้วนมีเครื่องจักรตัวอื่นๆที่ไม่ได้นั่ง เล็งพร้อมที่จะเดินไปนั่งในทันทีที่เครื่องจักรตัวที่นั่งอยู่ลุกไป และไม่จำเป็นหรอกว่าเครื่องจักรตัวที่นั่งนั้นจะต้องเป็นเครื่องจักรเพศเมีย ไม่มีหรอก เพศผู้ทั้งนั้น ที่อาศัยความแข็งแรงเบียดเอาชนะความอ่อนแอได้ มันก็เหมือนกับสภาวการณ์บนรถประจำทางนั่นแหละ พวกที่นั่งเป็นเพศผู้ทั้งนั้น จะมีบ้างก็เป็นเพศเมียที่อาศัยขึ้นรถฯตั้งแต่ต้นๆสาย หรือไม่ก็จับจองพื้นที่ตรงที่ชิดกับที่นั่ง เพื่อที่ว่าถ้าเครื่องจักรตัวที่นั่งลุกไปเมื่อไร หล่อนก็จะได้นั่งต่อในทันที ไม่ทันให้ตัวอื่นได้แย่งทัน นั่นเป็นภาวะปกติบนรถประจำทาง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีวี่แววของที่นั่งอันว่าง เขาเบนหน้ากลับสู่ภาวะปกติ ชะเง้อมองรถฯที่แล่นเข้ามาใกล้ป้ายว่าใช่รถฯที่เขาหมายปองหรือไม่ นั่น! มาแล้ว ในที่สุด การรอคอยกว่าครึ่งชั่วโมงก็เป็นอันยุติ รถฯคันที่ว่าแล่นมา เขากระชับกระเป๋าเอกสารให้มั่น พร้อมที่จะแข่งขันกับเครื่องจักรตัวอื่นเพื่อแย่งชิงขึ้นรถฯ แข่งขัน... ใช่ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องแข่งขันกันทั้งนั้น มันเป็นยุคสมัยแห่งการธุรกิจ อะไรๆก็ต้องเป็นธุรกิจ ขนาดธรรมชาติก็ยังโดนแปรรูปให้กลายเป็นธุรกิจได้เลย เดี๋ยวนี้มันเป็นยุคสมัยที่ทุนนิยมครองโลก ตามที่ประเทศมหาอำนาจประเทศนั้นอยากให้เป็นเสียตัวสั่นระริก มันเผยแพร่ทุนนิยมเข้ามา เข้ามาเปลี่ยนวิถีอันดีงามให้กลายเป็นวิถีอันโหดร้าย วิถีที่ต้องแข่งขันกันทุกอย่าง มนุษย์ถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องจักร เพื่อเงินตรา เพื่อชื่อเสียง เพื่ออะไรก็ตามแต่ ที่จะสนองกระแสแห่งอัตตาให้ฟูเฟื่อง ยุคนี้คือยุคนี้ ยุคที่มนุษย์กลายเป็นเครื่องจักร
เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ!
เขาเคยอ่านนิตยสารสารคดีเกี่ยวกับการแพทย์ บนหน้ากระดาษ---ในห้องทดลอง พวกแพทย์ทำการผ่าศพเครื่องจักรตัวหนึ่งที่สิ้นใจลงเนื่องการทำงานอันหนักหน่วง พวกเขาสันนิษฐานว่าเครื่องจักรตัวนี้สิ้นใจเพราะหัวใจล้มเหลว จากภาพที่พวกแพทย์ทำการผ่าศพ เขาเห็นหัวใจของ เครื่องจักรตัวนั้น หัวใจอันบอบช้ำ เล็กลีบ ดำคล้ำ เห็นแล้วให้รู้สึกสะอิดสะเอียน หัวใจเขาจะเป็นอย่างนั้นไหมหนอ? เพราะดูแล้ว เขากับเครื่องจักรตัวนั้นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย ตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปรอรถฯ เดี๋ยวนี้ตีห้ารถฯก็แน่นไปหมดแล้ว เพราะจำนวนเครื่องจักรที่ล้นประเทศ การคุมกำเนิด บกพร่อง เดี๋ยวนี้เครื่องจักรอายุการใช้งานแค่สิบหกสิบเจ็ดปีก็มีเครื่องจักรน้อยกันแล้ว เครื่องจักรมากขึ้น แต่ประเทศเท่าเดิม เครื่องจักรเลยล้นประเทศ รอรถฯตั้งแต่ตีห้า กว่าจะถึงที่ทำงานก็เกือบแปดโมงเช้า แน่นอน เมื่อเครื่องจักรเพิ่มขึ้น รถยนต์ก็เพิ่มขึ้น เป็นอุปสงค์-อุปทาน และเมื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น ก็พานทำให้การจราจรติดขัดไปด้วยเป็นธรรมดา แปดโมง---ทำงาน ยันสี่โมงเย็น รวดเดียวไม่มีพักเที่ยง อย่างที่บอก เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องพักผ่อนมาก สี่โมงเย็น---กลับบ้าน เสียเวลาให้กับการคอยรถฯอีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงชั่วโมงต่อวัน เป็นปกติ ถ้าวันไหนรอน้อยกว่านี้สิ ผิดปกติ กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่มเกือบสามทุ่ม ทำงานที่หอบมาจากที่ทำงานต่อ---ถึงประมาณเที่ยงคืน แล้วแต่ บางวันอาจไม่ถึงเพราะทนความง่วงไม่ไหว หลับคาโต๊ะทำงานไปเสียก่อน ตีห้าก็ตื่นนอน แล้วก็ไปทำงาน ไม่มีโอกาสได้ไปพักผ่อน ไปเที่ยว พวกที่จะไปเที่ยวได้นั้นต้องเป็นพวกที่รวยจริงๆ พวกที่เป็นเจ้านายของเครื่องจักรตัวอื่นๆ พวกที่ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์ทางกายภาพอยู่บ้าง ในขณะที่ความเป็นมนุษย์ภายในนั้นไม่มีหรอก ศีลธรรม คุณความดีไม่มีอยู่ในจิตใจของพวกนี้ ศาสนาตายไปแล้ว ธรรมชาติเป็นแค่สิ่งดูเล่นยามเซ็งๆเท่านั้น นอกนั้นก็เพื่อกอบโกยใส่ตัวเอง พวกเครื่องจักร เบื้องล่างก็เหมือนกัน ถึงจะไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเหมือนพวกผู้บังคับบัญชา แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ก็หมดหายไปแล้วจากใจพวกนี้ ใช่ คุณค่าความเป็นมนุษย์มันหมดหายไปนานแล้วจากหัวใจ หัวใจของแต่ละตัวจึงลีบเล็ก แห้งเหี่ยว
เพราะเครื่องจักรไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ!
ถ้าว่ากันตามทฤษฎีวิวัฒนาการ อีกสักสิบยี่สิบปี เครื่องจักรทางกายภาพหรือที่เรียกว่ามนุษย์นั้นคงไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะที่ชื่อว่าหัวใจ เพราะตามทฤษฎี อวัยวะใดที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานๆ อวัยวะนั้นย่อมค่อยๆเล็กลง และหายไปในที่สุด ก่อเกิดอวัยวะใหม่ขึ้นมาแทนที่ เหมือนกับที่สัตว์โลกยุคก่อนที่ปรับสภาพร่างกายไปตามสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย เครื่องจักรทั้งหลายแหล่ก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนไปตามวิถีทางสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันตลอด อีกหน่อย เครื่องจักรทั้งหลายแหล่คงจะปรับสภาพ มีมือแค่สองมือคงไม่พอ ต้องมีสักสิบยี่สิบมือแบบทศกัณฐ์ จึงจะพอที่จะใช้โรมรันประหัตประหารกันได้ ใช่ ประหัตประหาร ประหัตประหารทางธุรกิจ ฆ่ากันท่ามกลางสายพิรุณแห่งเงินตราที่ไหลหลั่งลงมา ฆ่าเครื่องจักรที่ขวางทาง ฆ่าเครื่องจักรที่อ่อนแอ เครื่องจักรตัวไหนที่ไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกกำจัด ความอ่อนโยนไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความอ่อนแอ ความรักไม่ จำเป็นต้องมี เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความอ่อนโยน เขาเชื่อกันอย่างนั้น ทุกวันนี้สิ่งที่ต้องใช้และเครื่องจักรทุกตัวจำเป็นต้องมีคือความโหดเหี้ยม ความเย็นชา ที่พล่าความเห็นอกเห็นใจในตัวตนให้หายไป ที่เหยียบความสงสารให้จมดิน และกระทืบซ้ำความดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ให้แหลกสลายไป และเมื่อนั้น... ในร่างกายของเครื่องจักรแต่ละตัวก็จะไม่มีที่ว่างให้หัวใจได้อยู่อาศัยอีกต่อไป
รถฯแล่นเข้าเทียบป้ายฯ ฝูงเครื่องจักรต่างเร่งรุดเข้าไปหา คุมเชิงตรงบันไดทางขึ้นไว้หมด ต้องรอให้เครื่องจักรที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋ารถฯมาด่า ถึงจะยอมเบี่ยงทางให้เครื่องจักรบนรถฯได้แทรกตัวเดินลงมา เมื่อคิวขาลงหมด คิวขาขึ้นก็แห่กันขึ้นไป เครื่องจักรตัวที่ไวกว่า อายุน้อยกว่า สดกว่าต่างเร่งรุดขึ้นไปบนรถฯ จนกระทั่งจำนวนเครื่องจักรเต็มพื้นที่ว่างของรถฯ เกือบจะทะลักออกมาด้วยซ้ำ เครื่องจักรวัยดึกเช่นเขาจึงหมดโอกาสที่จะขึ้นไปได้ เพราะสู้เครื่องจักรอายุน้อยกว่าไม่ไหว รถฯเคลื่อนตัวออกไป เขารู้สึกเหนื่อย ความอ่อนล้าเข้าครอบงำสรรพางค์กาย ความระโหยล้าเข้าครอบงำความนึกคิด เข่าที่ปวดเริ่มปวดมากขึ้น เขาพยุงร่างที่ผิดหวังเดินไปหลังซุ้มรถฯ แต่ละก้าวช่างทรมาน ด้วยความเจ็บปวดที่พุ่งจากหัวเข่าขึ้นสู่ประสาทการรับรู้ เขามาอยู่ที่นี่ทำไม? อยู่ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน มันควรแล้วหรือ? ความสมเพชเวทนาในตัวเองค่อยๆกัดกินจิตสำนึกก่อนที่ซากแห่งจิตสำนึกนั้นจะค่อยๆกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำเอ่ออยู่ที่เบ้าตา
ตรงพื้นซีเมนต์หลังซุ้มรถฯ เขาทรุดตัวลงนั่ง แล้วร้องไห้ออกมา...
....................)
ดวงอาทิตย์ทิ้งตัวลงหลังเส้นขอบฟ้า อีกเพียงเสี้ยวบาง ก็จะหมดดวง บรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดลง แสงแห่งวันใกล้จะหมดลง พร้อมๆกับที่ความมืดแห่งคืนจะเริ่มต้น เหล่าจักจั่นเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งไพรพฤกษ์ต้อนรับการมาเยือนของราตรีกาล สายลมยังคงพัดโชยมา ไล้ใบหน้า และเรือนกาย หากแต่สายลมเริ่มไม่อบอุ่นเหมือนช่วงอาทิตย์อัสดงใหม่ๆ หากแต่เริ่มเย็นเยียบ คงจะเย็นเยียบเข้าไปกรีดหัวใจได้เลยกระมัง หากเขาจะยืนอยู่เช่นนี้ต่อไปจนคืนค่ำ เขากระชับเสื้อคลุม กอดอก เมื่อคิดถึงความเย็นเยียบที่จะมาถึงในอีกไม่นาน ที่มือขวา เขารู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ที่ชำแรกผ่านหน้าอกและเสื้อคลุมออกมากระทบกับมือขวาของเขา มันเต้นช้า แต่ยังคงหนักแน่น
เขารับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่ย่างเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง
หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามายืนข้างเขา แล้วพูด-
ดูพระอาทิตย์เป็นไงคะ?
ก็ดีจ้ะ
พูดยังกับว่าคุณมองเห็น
คุณก็ถามยังกับว่าผมมองเห็น
ฉันขอโทษ
ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธหรอก เขายิ้ม ก่อนจะพูดต่อ-
กับสิ่งที่ผ่านมา คงมากเกินพอแล้ว มันเลยไม่อยากจะมองเห็นหรือรับรู้อะไรอีก
เธอรู้สึกผิดที่ล้อเขาเล่น เธอจับมือเขามากุมไว้
ดวงอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดแห่งรัตติกาลค่อยๆผุดเผยกายออกมาครอบงำมวลอากาศโดยรอบ เหมือนทุกครั้งยามแสงแห่งทิวาปลดระวางตัวเองเมื่อครบรอบหนึ่งวัน สายลมพัดมา... จริงอย่างที่เขาคิด สายลมนั้นเริ่มหนาวเย็นขึ้นตามเวลาที่เลยล่วง เธอก็รู้สึกเช่นกัน สายลมอันหนาวเย็นที่จะเข้าครอบคลุมสรรพางค์กาย ความเย็นเยียบที่จะกรีดเข้าไปครอบงำหัวใจ
ดวงอาทิตย์จากไปแล้ว... เขาเอ่ยขึ้น
เธอตีสีหน้าประหลาดใจเล็กๆเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น
คุณมองเห็น... เธอเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ครบองค์ประโยค ด้วยไม่รู้จะสรรหาคำใดมาต่อท้ายวลีให้ชัดเจนสมบูรณ์
หัวใจผมสะท้อนแสงอาทิตย์นะ คุณไม่เห็นหรือ?
เธอยิ้ม ค่ะ... ฉันเห็นแล้ว ทิ้งช่วงอีกนิดหนึ่งก่อนกล่าวต่อ-
ความมืดกำลังใกล้เข้ามา
สายลมยามดึกพลิ้วม้วนตัวต้องก้านกิ่งไม้เหนือศีรษะคนทั้งสอง ก่อเกิดเสียงหยาบกระด้างระคายหู เขารู้สึกได้ว่าสายลมเริ่มหนาวเย็นและก้าวร้าวรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ใช่ ความมืดกำลังใกล้เข้ามา เขาเอ่ย แล้วหันไปยิ้มให้เธอ
พร้อมไหม?
เธอยิ้มตอบ พร้อมกุมมือเขาไว้แน่น...
สายลมยามคืนค่ำพัดมาอีกระลอก... ผมของเธอปลิวสยายไปตามแรงลม...
........................................
30 สิงหาคม 2547 21:32 น.
hallelujah
ความในใจ
แด่ มนุษย์ผู้ครอบครองหัวใจของข้าพเจ้า
หัวค่ำของวันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2547...
(1)
โลกของผมหดแคบไปอีกด้านหนึ่ง...
มนุษย์เราต่างมีโลกของตัวเอง โลกที่เป็นทรงกลม 360 องศาของการมีชีวิตและการใช้ชีวิต มีทั้งด้านที่เป็นสังคม และด้านที่เป็นส่วนตัว
ต่างคนก็ต่างโลก โลกของใคร ก็ของคนนั้น
ผมมีโลกของผม โลกที่เป็นชีวิตของผม โลกของผมมีทั้งด้านที่เป็นพ่อแม่ ด้านที่เป็นการเรียน ด้านที่เป็นส่วนตัว และเหนืออื่นใด คือด้านที่เป็นเพื่อน
ด้านที่เป็นเพื่อนก็สามารถแยกย่อยออกได้อีกหลายด้าน เพราะผมไม่ได้มีเพื่อนเพียงคนเดียว แต่ไม่จำเป็นว่าเพื่อนแต่ละคนจะแบ่งพื้นที่ในหัวใจผมได้เท่ากัน
(2)
หัวใจของผมพองโตขึ้น...
โลกคือการใช้ชีวิต แต่หัวใจคือความหมายของชีวิต
เพื่อนในโลกของผม คือคนที่เข้ามาในชีวิตของผม และทำให้โลกของผมสนุกสนาน และสดใสขึ้น
เพื่อนเข้ามาตามช่วงจังหวะของชีวิต มีมากมายที่เข้ามาในโลกของผม แล้วก็จากไป มีเพียงส่วนน้อยที่เข้ามา และชำแรกผ่านโลกของผม เข้าไปกินเนื้อที่ในหัวใจของผมได้
(3)
10 ปีที่แล้ว...
เพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาในโลกของผม และผมก็รับรู้ว่าเขาเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ต่างไปจากเพื่อนอีก 40 กว่าชีวิตที่เข้ามาในโลกของผม
3 ปีผ่านไป... เขาจากผมไปสู่โลกอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเขาเลือกเอง
โลกด้านที่เป็นเพื่อนคนนี้ของผมจึงค่อยๆหดแคบลง ตามระยะทางที่เขากับผมห่างกัน
ตามความเป็นจริง โลกด้านที่เป็นเพื่อนคนนี้ของผมน่าจะค่อยๆหดเล็กลงจนหายไปในที่สุด เพราะเขาก็ไปมีโลกอีกด้านของเขา และผมก็ยังคงมีโลกของผม
หากแต่ เขาไม่ยอมให้ด้านที่เป็นเขาในโลกของผมต้องหดหายไป เขายังคงติดต่อกับผมเป็นระยะๆ---
---แต่ตลอดมา
เขาใช้เวลา 7 ปีก่อร่างสร้างด้านของเขาในโลกของผมให้แน่นหนักขึ้น และเหนืออื่นใด เขาชำแรกตัวตนของเขาเข้าไปกินพื้นที่ในหัวใจของผมได้
7 ปี แห่งความสุขที่ผมมีเขาเป็นเพื่อน เขา ที่แบ่งพื้นที่ด้านเพื่อนในโลกของผมไปมากที่สุด มากกว่าเพื่อนคนไหนๆที่ผมเคยมี และเป็นเพื่อนที่กินพื้นที่หัวใจผมได้มากที่สุดอีกด้วย
แต่แล้ว ระยะเวลา 10 ปีของเขาในโลกของผมต้องพลันมาสิ้นสุดลง เมื่อสิ้นเสียงที่ดังลอดมาจากโทรศัพท์มือถือที่ผมแนบหูอยู่
หัวค่ำของวันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2547 เพื่อนคนหนึ่งของผมโทรมาบอกว่าเพื่อนคนนี้ของผมจากไปแล้ว
โลกของผมหดแคบไปอีกด้านหนึ่ง---
---ด้านใหญ่เสียด้วย
(4)
การเกิดคือการตาย การตายคือการเกิด...
ปรัชญาเต๋ากล่าวไว้เช่นนั้น
มนุษย์เราเกิดมาเพื่อจะตาย และเมื่อถึงวาระแห่งความตาย การเกิดก็จะกำเนิดขึ้น
การเกิดของอะไร?
การตายเป็นเพียงการแตกดับแห่งกายหยาบ หากแต่อณูแห่งชีวิตของคนผู้นั้นมิได้ดับสลายไปกับกายอันเปื่อยผุ อณูแห่งชีวิตเป็นสถานภาพอันบางละเอียดที่สุดแห่งกายมนุษย์ และจิตแห่งมนุษย์จะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
ยามเมื่อกายหยาบแตกดับลง อณูแห่งชีวิตก็จะล่องลอยไปบนฟ้ากว้าง ลอยไปกับสายลม พลิ้วไหวอยู่เหนือท้องทุ่งอันเขียวขจี เริงเล่นกับสายแดดที่ทอทอดลงมา หรืออาจสถิตอยู่ในน้ำตาแห่งความร่ำไห้
อณูแห่งชีวิตอาจหลอมรวมกับอณูแห่งพฤกษา ก่อกำเนิดเป็นดอกไม้อันงดงาม ...เหนือธาราอันเวิ้งว้าง
---คือการเกิดจากการตาย
ผมเชื่ออย่างนั้น...
ผมเชื่อว่าอณูแห่งเพื่อนของผมไม่ได้สลายไปกับกายอันเปื่อยผุ หากแต่เลื่อนไหลไปในกระแสเวลา ก่อกำเนิดซึ่งสรรพชีวิตอื่นๆอีกหมื่นแสน ...และเขาจะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
และเหนืออื่นใด... อณูชีวิตแห่งเขาจะสถิตอยู่ในหัวใจของผมและเพื่อนทุกคน
(5)
หัวใจคือความหมายของชีวิต...
ด้านของเขาในโลกของผมจบสิ้นลงแล้ว นับจากนี้จะไม่มีเขาในโลกของผมอีกต่อไป
แต่อณูชีวิตแห่งเขาได้เข้าไปครอบคลุมพื้นที่หัวใจของผมหมดแล้ว
หัวใจของผมจึงพองโตขึ้น
ผมแนบมือที่หัวใจ ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง และผมเชื่อว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาก็คงรู้สึกได้อย่างเดียวกัน
บนถนนแห่งชีวิตที่ทอดไกลออกไป... ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสุดทางของผม
แต่อย่างน้อย ผมก็อุ่นใจและอิ่มใจ ว่าจะมีเขาเดินไปพร้อมๆกับผม
เพราะเขาอยู่ในหัวใจของผม
ความเรียงนี้ขออุทิศแด่เพื่อนของผมคนนี้ เขา---ผู้ที่เข้ามาเติมเต็มความหมายให้แก่ชีวิตของผมและทำให้ผมได้รู้ถึงมิตรภาพอันแท้จริงของคำว่าเพื่อน
ผมรักเขา...
หวังว่าเราคงได้พบกันอีกเมื่อถึงเวลา...
(6)
แด่ บี ยงยุทธ์ ดิษฐ์สันเทียะ
เพื่อนผู้ทำให้ผมเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
กิติคุณ คัมภิรานนท์
__________________________________________
26 สิงหาคม 2547 22:35 น.
hallelujah
ทุกๆเช้า... ที่ผมออกจากบ้าน
(บ้านผมอยู่ชานเมือง)
ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม
เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ
---ที่ชีวิตอันเรียกว่ามนุษย์
เมื่อเกิด เติบโต จนยามถึงวัยดิ้นรน
ต่างคนต่างกระทำชีวิตแห่งตนไปในหนทางแห่งความแปลกแยกแห่งวิถีธรรมชาติ---
วิถี... ที่ตนถือกำเนิดมา
ผมจะหลับตา... พยายามหลอกตัวเองว่าที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่ความจริงที่ปรากฏ
ในตัวเมือง...
ผมมองเห็นความวุ่นวายสับสน
การแข่งขัน ยื้อแย่ง เอาเปรียบซึ่งกันและกัน
น้ำใจเจือจาง แต่น้ำเงินฟูเฟื่อง
ผมหลับตาอีกครั้ง... ที่ป้ายรถประจำทาง
สายแดดยามสายแผ่ลงมาต้องกายผม
ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนยกนู่นยกนี่ขึ้นบังแดด
แฟ้มเอกสารบ้าง ร่มบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง
เพื่อปกป้องเนื้อนวลแห่งตนจากธรรมชาติ...
แล้วผมเคยได้ยินมาจากไหนว่าธรรมชาติไม่ทำร้ายเราหรอก...
คราหนึ่ง...
ผมมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง...
สีขาวนวล บริสุทธิ์
น่าเสียดายที่ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ของผมนั้นน้อยนิด
น้อยเกินกว่าจะกล่าวบอกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ว่าดอกไม้นั้นเรียกว่าดอกอะไร
หากแต่ผมคงคิดผิด...
เพราะถึงผมจะรอบรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ถึงระดับกูรู หรือระดับแฟนพันธุ์แท้ ก็คงไม่มีประโยชน์
เพราะไม่มีใครสนใจเจ้าดอกไม้นั้นเลย
ผมเฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่เคลื่อนผ่านความนิ่งอันขาวนวล
ยลแลเนื้อขาวที่ค่อยเหี่ยวแห้งลงๆ เรื่อยๆ
ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า
แต่ผมรู้สึกว่าเจ้าดอกไม้นั้นกำลังทอดอาลัยให้แก่ความเปลี่ยวดาย
เจ้าอาจจะเหงา
เจ้าอาจจะว้าเหว่
ก็แน่ล่ะ... นี่มันสมัยไหนแล้ว
สมัยนี้เรียกว่าสมัยแห่งการลืมรากเหง้า
มนุษย์เดินดินเขาไม่รู้หรอกว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของเขานั้นมาจากไหน
หนำซ้ำเขายังทำลายรากเหง้าของตัวเองเพื่อประโยชน์แห่งตัวเองอีกด้วย
เพราะฉะนั้น พวกเขาจะไม่มีวันมาเสียเวลาพิศมองความไร้สาระอย่างเจ้าหรอก
จริงอยู่ที่เจ้างาม
แต่ความงามของเจ้าในนิยามของเขานั้นคือความงามที่ฉาบฉวย
ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
แล้วอะไรคือความงามที่จริงแท้?
นั่นอย่างไร...
เสื้อผ้า เครื่องประดับ แฟชั่น รถยนต์ รสนิยมอันโก้หรู และ ฯลฯ
และเหนืออื่นใด คือ สิ่งสมมุติที่เรียกว่า เงิน
นั่นแหละคือความงามที่จีรังยั่งยืน
ครานั้น...เจ้าดอกไม้
ได้ยินน้ำคำกล้ำทนฝืน
รันทดใจในตนที่หยัดยืน
จึงทอดกายลงสู่พื้น ...ระทมใจ
ครานั้น... ผมถูกดึงออกจากภวังค์แห่งการครุ่นคิดด้วยน้ำเสียงจากรถประจำทางที่เรียกร้องขอเข้าป้าย
ด้วยถูกกีดขวางจากรถตู้คันหนึ่งที่ยึดครองป้ายมาเนิ่นนาน
ตามบทบัญญัติแห่งรถตู้ ว่า...คนไม่เต็มกูไม่ไป
ผมละสายตาที่มองไปสู่การแก่งแย่งนั้น กลับมาสู่ดอกไม้ผู้หม่นหมอง
อนิจจา...
ณ ที่นั้นไม่มีดอกไม้อยู่อีก
สายลมพาพัดเจ้าไปแล้วหรือไร
หรือเจ้าถูกความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครเหลียวแล กดซ้ำทับเจ้าลงสู่ผืนดินแห่งโลก
หรือว่าผมคิดดังเกินไป จนเจ้าดอกไม้เห็นความจริง และไม่อาจระงับความเศร้าโศกได้
จึงตัดสินใจอัตวินิบากกรรมตัวเองจากโลกนี้ไปเสีย
หรืออย่างไร? ผมไม่รู้
ผมลุกขึ้น ก้าวเดินออกไป...
กลับบ้าน
การฆ่าตัวตายแห่งดอกไม้ยังคงตาตรึงอยู่ในห้วงความคิดของผม
บนรถประจำทาง...
ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม
เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ
พลางคิดว่า...
พรุ่งนี้ผมจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้อีกไหม?
21 กันยายน 2546 00:01 น.
hallelujah
ระอุแดดของยามบ่ายสาดส่องลงมาต้องพื้นถนนคอนกรีตของเขตเมือง รังสีความร้อนแผ่ขยายไปทุกอณูของป่าคอนกรีต ตึกสูงเสียดฟ้ายืนยงเคียงคู่กับระบอบทุนนิยม ที่นับวันจะยิ่งผันแปรความเป็นไปของโลกใบนี้เข้าไปทุกที โลกที่ความเจริญทางด้านวัตถุวิ่งสวนทางกับความเจริญทางด้านจิตใจ ผู้คนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด และเพื่อความเป็นหนึ่ง แข่งขันกันตลอด 365 วันใน 1 ปี แทบไม่มีวันว่างให้พอได้พักหายใจ แต่ถึงแม้จะได้พักก็คงพักอย่างไม่สบายใจนัก ด้วยกลัวว่าคู่แข่งจะก้าวแซงหน้าไป ทุกคนล้วนยึดคติ ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็ไม่มีความหมาย ตรงตัวและชัดเจน การได้ยืนอยู่บนหัวของผู้อื่นย่อมได้รับการค้ำประกันจากสังคมว่า อย่างน้อยคุณก็ยังมีความสำคัญอยู่บ้าง คนอื่นจะจดจำคุณได้ และกลับกัน ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็จะไม่มีใครจดจำคุณ แม้เพียงเหลียวมองก็ยากที่จะเห็น คุณจะเป็นเพียง ไอ้กระจอก ตัวหนึ่ง เท่านั้น
ผมยืนอยู่เบื้องหน้าตลาดใหญ่กลางใจเมืองตลาดที่ไม่มีวันหยุด คอยอ้าแขนเปิดรับผู้คนจากทั่วสารทิศ เพื่อสนองตอบตัณหา และกระแสบริโภคนิยมที่อุดมไปทั่วทั้งโลก
ถนนด้านหน้าจอแจไปด้วยรถยนต์ ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ ตุ๊กตุ๊ก ฯลฯ ยังผลให้ถนนขนาด 4 เลนแลดูคับแคบลงถนัดตา ถ้าไม่บอกก็คงไม่เชื่อว่านี่คือสภาพการจราจรในวันหยุด แต่เดี๋ยวก่อน ! ใครบัญญัติว่าวันหยุดแล้วถนนต้องโล่ง มันไม่มีอีกแล้ววันหยุดนี่แหละคือวันทองของการสร้างโอกาสและกอบโกยผลประโยชน์ของพวกที่ย่างตีนเข้าสู่วงการธุรกิจวงการที่คำว่าจรรยาบรรณและจริยธรรมไม่มีในพจนานุกรม สิ่งเดียวที่ผู้คนในวงการนี้ ( อนุญาตให้หมายรวมไปถึงพวกบริโภคนิยมที่เกลื่อนกลาดเต็มประเทศได้ด้วย ) ยึดมั่นและถือมั่นมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ตัวกูและของกู
ผู้คนยังคงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย บ้างลงจากรถประจำทาง บ้างตุ๊กตุ๊ก บ้างขับรถมาเอง หลากหลายที่มา แต่มีจุดหมายที่เดียวกัน คือตลาดแห่งนี้
ผมย่างเท้าเข้าไปผ่านซุ้มประตูเหล็กใหญ่โตโอ่อ่า ที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ให้ไฉไลสะดุดตากว่าเมื่อก่อน
ผมเคยมาที่นี่เมื่อเกือบสิบปีก่อนสมัยที่ซุ้มประตูยังเป็นไม้เก่าคร่ำคร่า ตัวอักษรบ่งบอกชื่อตลาดที่ติดทับอยู่นั้นเป็นเพียงแผ่นเหล็กที่สนิมจับ บางตัวหลุดร่วงลงมากองอยู่บนพื้น สมัยที่ตลาดแห่งนี้เป็นเพียงตลาดเล็กๆที่เปิดเพื่อสนองตอบความต้องการปัจจัยในการดำรงชีวิต ร้านรวง 30 กว่าร้านที่เปิดรับลูกค้าด้วยไมตรีจิต ไม่หวังกำรี่กำไรจนเกินงาม แม่ชอบพาผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ของไม่แพงและคนขายก็อัธยาศัยดี ความเหมือนของวันนี้กับวันวานเหลือเพียงของราคาถูก ( เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในย่านนี้ ) แต่ก็ยังต่างในรายละเอียดอยู่ดีถูกสมัยนี้คือโคตรแพงสมัยก่อน แต่ก็หาได้มีใครสนใจไม่ เพราะผู้คนในสมัยนี้ยึดถือปัจจุบัน และวาดหวังอนาคต มากกว่าที่จะเหลียวหลังมองอดีต
บรรยากาศภายในคึกคักจอแจจนน่ารำคาญ เจี๊ยวจ๊าวจนหงุดหงิด เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายเซ่งแซ่ พ่อค้าแม่ค้าชักจูงลูกค้า ลูกค้าต่อราคาพ่อค้าแม่ค้า ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเป็นภาษาอะไร คลื่นฝูงชนแออัดยัดเยียดเบียดเสียดจนใช้การเดินไม่ได้ ต้องปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสชน
ผมปล่อยตัวลื่นไหลไปตามกระแสชน กวาดสายตาเมียงมองหาของที่ถูกใจ หาใช่ถูกใจผม แต่ต้องถูกใจแม่
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของแม่ เป็นหน้าที่ๆลูกอย่างผมจำต้องหาของขวัญสักชิ้นไปสุขสันต์วันเกิดท่าน แม้ท่านจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่าไม่ต้องซื้อหาอะไรมาให้ท่าน ขอแค่ผมทำตัวเป็นเด็กดี แค่นั้นก็เป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุดแล้ว หลายๆปีที่ผ่านมาผมจึงได้แค่บอกคำว่า รักแม่ เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดให้ท่าน จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดท่าน ท่านจะเฝ้ารอคอยคำพูดนั้นจากปากของผม
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ตระหนักชัดเจน ตระหนักถึงอะไรน่ะหรือ ? คำพูดไงล่ะคำพูดมันลอยลมนะคุณ !จับต้องไม่ได้ ก็เดี๋ยวนี้มีใครเขาให้ความสำคัญกับคำพูดบ้างล่ะมันก็แค่ลมปาก ขอแค่ได้พูด แต่ไม่รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง มีให้เห็นทั่วไป และส่วนมากมักจะเป็นพวกที่มีการศึกษาสูงๆเสียด้วยสิ ผมกลัวว่าแม่จะตกยุค ที่คาดหวังและใส่ใจในคำพูด ผมเลยต้องวิ่งตามกระแสเสียบ้าง
แต่ก็ไม่ใช่วิ่งตามจนเกินงาม และก็ไม่ได้ปล่อยวางจนเกินพอดี ปล่อยวางแต่พองาม และวิ่งตามแต่พอดี ชีวิตนี้ก็เป็นสุขได้
เวลาไม่ถึง 10 นาทีร่างผมล่องตามกระแสชนมาไกลมองกลับไปที่ประตูทางเข้ากะได้ประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางกระแสชนที่เชี่ยวกราดเช่นนี้ เป็นการยากที่จะแทรกตัวหยุดดูของอย่างเป็นกิจลักษณะได้ ทุกคนที่มาล้วนมีเป้าหมาย เมื่อผ่านประตูทางเข้าเข้ามาก็จ้ำอ้าวมุ่งสู่ร้านประจำของตัวเอง ซื้อปลีกไปใช้เอง หรือซื้อส่งไปขายต่อ ก็แล้วแต่ภาระหน้าที่ของใครของมัน คนไร้จุดหมายอย่างผมจำต้องปล่อยตัวให้ไหลไปอย่างไร้จุดหมายจนกว่าจะสุดสายชน
นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่ากว่าที่กระแสชนจะเบาบางลง รู้สึกตัวอีกที่ผมก็ล่องทางมาเกือบร้อยเมตร ผมหยุดยืน และกวาดสายตาสำรวจบริเวณที่ผมยืนอยู่
บรรยากาศแถวนี้ผิดกับบริเวณทางเข้าอย่างมาก ร้านค้าแถวนี้เปิดกันอย่างเบาบาง 10ร้านจะเปิดสัก 3 ร้าน ที่เปิดก็เปิดอย่างไร้วิญญาณ ไม่มีการประดับตกแต่งร้าน ไม่มีแสงสี ไม่มีสีสัน เหมือนกับว่าเปิดไปอย่างนั้น ไม่คิดจะเชิญชวนลูกค้า ไม่คิดจะขายใคร และก็เป็นอย่างที่ว่าแถวนี้ผู้คนบางเบาถึงเบาบางมาก ใช่สิ ! ไม่อย่างนั้นผมจะหยุดยืนได้อย่างไร ความแตกต่างที่เหมือนสวรรค์กับนรกนี้ ทำให้ผมแปลกใจเหลือคณานับ หลายๆคนอาจจะมองสีสัน ความอึกทึก ว่าเป็นสวรรค์สำหรับพวกเขา แต่สำหรับผมแล้ว ด้านหน้านั้นดูเหมือนนรกมากกว่าจะเป็นสวรรค์ ผมเกลียดความวุ่นวาย เกลียดความสับสน ที่นี่เปรียบเหมือนสวรรค์สำหรับผม
ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแม้บรรยากาศจะน่ากลัว เพราะแผงกั้นที่หนาทึบเบื้องบนปิดกั้นแสงสว่างที่ควรจะส่องสว่างลงมายังเบื้องล่างไว้เสีย มืดและเปลี่ยวเหงา แต่ผมก็เลือกที่จะเดินเข้าไป หาของที่น่าจะถูกใจแม่
สองข้างทางหงอยเหงา ร้านที่เปิดบริการค่อยๆลดลงเรื่อยๆตามระยะทาง ความเย็นชื้นเริ่มปกคลุม
ทันใด ! ปลายตาของผมเหลือบไปเห็นร้านๆหนึ่งเยื้องซ้ายของผม หน้าร้านประดับประดาด้วยศิลปะจากงานไม้ ชักพาให้ผมย่างเท้าเข้าไปดู ด้วยเป็นเพียงร้านเดียวในบริเวณนี้ที่เปิดอยู่ ปกติผมไม่สนใจของพรรค์นี้หรอก แต่ผมไม่ได้ซื้อให้ตัวเองนี่ ผมซื้อให้แม่ แม่น่าจะชอบของเมด อินธรรมชาติแบบนี้
ทันใดที่ได้ไปยืนอยู่ด้านหน้าของร้าน ผมก็ต้องตกใจ เพราะภายในห้องเช่าขนาด 3 คูณ 5 เมตรนั้น เต็มไปด้วยงานศิลปะจากไม้ เรียงรายจนเกือบจะเต็มความจุของห้อง บ้างเรียงรายอยู่บนชั้นวางที่ยาวเหยียดจากหน้าห้องถึงหลังห้อง บ้างกองตัวอยู่บนพื้น มากมายจนแทบจะไม่มีทางเดิน
ความตกใจจางหายไปสายตาผมเริ่มกวาดหาชิ้นงานที่น่าสนใจ และน่าตกใจยิ่งกว่า ที่งานทุกชิ้น ( ที่ผมดู ) ล้วนมีความละเอียดในเนื้องาน ไม่พยายามละเว้นถ้าไม่จำเป็น เนื้องานเรียบเนียน ความมันวาวของแล็คเกอร์ช่วยขับความงามของชิ้นงานให้โดดเด่นโลดแล่นออกมา ความสมจริงในแบบเอ็กเพรสชั่นนิสต์ที่ขับดันให้ตัวงานเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นี่คือศิลปะชั้นสูง ! อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ผมสงสัยก็คือ งานศิลปะชั้นสูงอย่างนี้ ทำไม ? มาซ่อนตัวอยู่ในหลืบกาลของความเหงาเช่นนี้ ในขณะที่งานจับฉ่ายดาดๆทั่วไปกลับได้ไปนอนตากแอร์อยู่บนห้างชั้นนำทั้งหลายแหล่
ผมเริ่มพิจดูชิ้นงานอย่างสนอกสนใจมากขึ้น พยายามลงลึกถึงรายละเอียดให้มากที่สุด แล้วผมก็พบสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ความหม่นเศร้าที่ซ่อนตัวอยู่ในงานแทบทุกชิ้นที่ผมดู ไม่เว้นแม้แต่ งาน นกน้อยเหนือกิ่งไผ่ ที่เจ้านกน้อยยิ้มรับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงส่องลงมาเหนือต้นไผ่ สดใสและแช่มชื่น ก็ยังมองเห็นถึงความเปลี่ยวเหงาหม่นเศร้าที่สะท้อนออกมาจากชิ้นงาน หรือว่าผมจะคิดไปเอง ? ทิ้งความสงสัยไปเสีย ว่าแล้วผมก็เดินหาชิ้นงานที่ถูกใจต่อไป
ผมเดินเลือกไปเรื่อยๆจนมาจบที่งานแกะสลักรูปหัวใจสองดวงวางซ้อนกันเหนือแผ่นหัวใจที่รองรับไว้ หัวใจสองดวงที่อ้วนกลมน่ารัก เป็นงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ชิ้นเดียวที่ผมมองเห็นในร้านนี้ แม้จะแลดูเรียบง่ายแต่ก็สมบูรณ์ในตัวของมันเอง รังสีแห่งความรักที่แผ่ออกมาจากเนื้องาน ทำให้ผมตัดสินใจเลือก หัวใจไม้ ชิ้นนี้เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดสำหรับแม่
ผมหยิบงานชิ้นนี้ขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ พลางสายตาก็มองหาเจ้าของร้านเพื่อจะสอบถามถึงราคาของชิ้นงาน
แต่ไม่พบ ! หรือว่าเจ้าของร้านจะถูกงานไม้ทั้งหลายแหล่นี้ทับตายไปแล้ว ความคิดอกุศลผุดขึ้นมาในหัวผม แต่เมื่อครั้นไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้านจริงๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจตะโกนถามเรียกหาเจ้าของร้าน
ขอโทษครับ ทำไมต้องขอโทษวะ ? เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย สมองผมยังคงคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเคย
มีใครอยู่ไหมครับ ? ผมเอื้อนเอ่ยอีกครั้งเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้าน
มีอะไรไอ้หนุ่ม ? เสียงแหบแห้งดังลอดมาจากหลืบมุมห้อง งานไม้ที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นวางบดบังร่างต้นเสียงนั้นไว้ เพียงพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย
จะจะซื้อของหน่อยครับ ผมชี้แจง ในขณะที่สายตาก็พยายามจะมองลอดช่องระหว่างงานไม้เพื่อจะขอเห็นผู้เป็นเจ้าเสียงแหบแห้งนั้น
อยากได้อะไรล่ะ ? เสียงแหบแห้งดังลอดออกมาอีกครั้ง
หัวใจไม้อันนี้ครับ ผมกล่าวตอบพลางยกงานไม้รูปหัวใจสองดวงชูขึ้น หวังให้เจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นต้องเผยกายออกมาดูว่า งานชิ้นไหนวะ ?
แล้วเขาก็หลงกลผม ร่างเจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นเดินออกมาจากหลืบมืดมุมห้อง เชื่องช้าและกระง่อนกระแง่นเต็มทน
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือ ชายชราอายุราว 70 ปี ผมสีดอกเลาประปรายอยู่เหนือศรีษะ รอยหน้ายับย่น แก้มตอบเผยให้เห็นโหนกแก้มชัดเจน ขอบตาลึกลงไปจนเกือบจะถึงเบ้าตา บ่งบอกถึงชีวิตที่กรำงานมาอย่างหนักหน่วง มือซ้ายที่ผอมแห้งคีบมวนยาเส้นที่ส่งกลิ่นฉุนกึก เสื้อกล้ามสีขาวเก่าคร่ำคร่าที่เหมือนกับว่าไม่เคยต้องกับผงซักฟอกมานานนับปีเล็กเกินไปที่จะปกปิดรอยสักเสือเผ่นกลางหน้าอกที่ซีดจางได้หมด กางเกงชาวเลสีเทาหม่นแลดูเข้ากับใบหน้าที่หม่นเศร้าเป็นอย่างดี
อันนั้นเหรอ ? ชายชราทักถามพลางทิ้งก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้กลางร้าน สายตาจับจ้องมาที่ผม
เท่าไหร่ครับ ? ผมตอบคำถามด้วยคำถาม พลางหลบสายตาที่จ้องมาประจันกันพอดี
เอาไปทำอะไรล่ะ ? ชายชราตอบคำถามด้วยคำถามเช่นกันคล้ายกับว่าจะล้อเล่นกับผม พลางยกมวนยาเส้นที่คีบไว้ขึ้นดูด
จะเอาไปให้แม่ครับวันนี้วันเกิดแม่ ผมยุติการตอบคำถามด้วยคำถาม
งั้นรึท่าทางจะรักแม่สินะไอ้หนุ่ม พูดเสร็จ ชายชราก็ยกกระโถนที่วางอยู่ใต้เก้าอี้ขึ้นมาถ่มเสลดที่ฝืดคอทิ้งไป
ผมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นเสียก่อน
แม่ลุงตายตั้งแต่ลุงอายุได้ 3 ขวบ ชายชราแทนตัวเองว่าลุง
ลุงไม่เคยรู้จักพ่อและไม่เคยคิดอยากจะรู้จักด้วย เขาว่ากันว่ามันทิ้งแม่ไปตั้งแต่มันรู้ว่าแม่ท้องลุง ชายชราเริ่มรำลึกความหลัง
การที่คนแก่อายุรุ่นปู่รุ่นย่าเรา มาพูดถึงบุพการีของตัวเอง สำหรับผมออกจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่คำพูดของชายชราก็ทำให้ลำคอผมอึกอักคล้ายกับมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดไว้ หายใจไม่สะดวก ได้แต่กลืนน้ำลาย เตรียมใจเพราะลางสังหรณ์บอกผมว่าการสนทนาในครั้งนี้อาจจะยืดยาว
น่าดีใจนะไอ้หนุ่มที่เอ็งยังมีแม่ให้บอกรัก รักแม่ให้มากๆล่ะ ดวงหน้าที่ยับย่นนั้นหม่นเศร้า หงอยเหงา เหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ทำไม ? ชายชราคนนี้ถึงให้ความรู้สึกที่แสนเศร้าเช่นนี้ แกมีความโศกเศร้าในใจมากมายนักหรืออย่างไร ? อะไรที่ทำให้แกเป็นเช่นนี้ ? ดูจากดวงหน้าแล้วลุงแกไม่น่าจะเป็นคนเมืองหรือว่าจะมาจากบ้านนอก
ในขณะที่ห้วงความคิดของผมโลดแล่นไปไกล ริมฝีปากก็เผยอถามออกไปอย่างอัตโนมัติ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะถามอะไรด้วยซ้ำ
ลุงเป็นคนบ้านนอก เอ๊ย ! ชนบท เอ๊ย ! คนต่างจังหวัด เหรอครับ ?
กว่าจะเลือกใช้คำที่ดูไม่เป็นการเหยียดหยามลุงแกเกินไปนัก ผมก็ได้แสดงการเหยียดหยามแกไปเรียบร้อยแล้ว
ลุงมาจากอุดรฯ ชายชราตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีวี่แววของความขุ่นใจที่ถูกเหยียดหยามเอาเสียเลย
เมื่อก่อนลุงทำนาทำกับเมียสองคน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก็พออยู่ได้ไปวันๆ จน เสียงของชายชราหยุดลงกลางคัน ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมให้ทวีมากขึ้น
จนอะไรครับ ? ผมพลั้งปากถามออกไปตามสันดานสอดรู้สอดเห็น อยากรู้อยากฟังเรื่องของผู้อื่น
จนจนไม่มีนาให้ทำน่ะสิ ชายชราเสียงสั่นเครือเหมือนกับจะร้องไห้
ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมสามัญสำนึกความเป็นคนของผม รู้สึกผิดที่แส่สอดเรื่องของผู้อื่นที่สำคัญ ! มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียด้วย
ขะขอโทษครับลุง ความรู้สึกผิดทำให้ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าก้มต่ำลงด้วยเกรงสายตาของชายชราจะจ้องมาที่ผม แต่ก็มิวายที่ผมจะเหลือบตามอง สำรวจพฤติกรรมของชายชรา
ชายชราปิดเปลือกตาลงคล้ายกำลังต่อสู้กับอดีตที่แสนเลวร้ายของตัวเอง
ไม่เป็นไรไอ้หนุ่ม แต่ไหนๆก็เล่าไปแล้วลุงก็อยากจะเล่าให้จบ เอ็งช่วยฟังลุงหน่อยได้ไหม ? ถือว่าทำบุญทำทานละกัน
ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที
ขอบใจไอ้หนุ่มเอ๊ย ! ลุงไม่เคยเล่าเรื่องให้ใครฟังเลยขอให้ลุงได้ระบายหน่อยแล้วกัน ชายชราพูดพลางจ้องมาที่ตาของผม คล้ายกับว่าจะลำเลิกคำสัญญาเมื่อครู่
ทุกอย่างมันก็คงจะดำเนินไปเรื่อยๆตามทางของมัน พอกินพออยู่ไปวันๆ แม้ไม่มีมากมาย แต่ก็ไม่แร้นแค้นขาดแคลนขนาดไม่มีจะกิน แต่ ! เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฝนเจ้ากรรม ที่เคยตกต้องตามฤดูกาล จู่ๆ ! ก็ไม่ตกซะยังงั้น ลุงได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ ฝนถึงจะตก เดือนแล้วเดือนเล่าก็ยังไม่มีวี่แวว ฝนไม่ตกก็ทำนาไม่ได้ ทำนาไม่ได้ก็ไม่มีข้าว ไม่มีเงิน ไอ้พวกผักสวนครัวที่ปลูกไว้หวังจะใช้ประทังชีวิต มันก็เหี่ยวเฉา ตายไปเป็นแปลงๆ ไม่รู้จะหาอะไรมาประทังชีวิต สุดท้ายก็ต้องไปกู้เงินธนาคารเขา เอาที่นาไปจำนองไว้ เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็เอามาซื้อข้าวซื้อของประทังชีวิต อีกส่วนก็เอาไปซื้อพันธุ์ข้าวเตรียมไว้ ด้วยหวังว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง แต่รอแล้วรอเล่า ฝนก็ยังไม่ตก ข้าวของที่ซื้อมาก็ค่อยๆร่อยหล่อลงไปทุกๆที ข้าวที่เตรียมไว้จะปลูกเมื่อปล่อยไว้เนิ่นนานก็กลายเป็นข้าวลีบ ใช้ปลูกไม่ได้พอทีนี้แหละ ฝนกลับตก แถมตกอย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายกับว่าอดอยากมานาน ลุงไม่เคยช้ำใจขนาดนั้นมาก่อน ได้แต่นอนร้องไห้ ไม่ว่างานหนักหนาแค่ไหน ลุงก็ไม่เคยท้อ แต่ฟ้ามาแกล้งกันอย่างนี้ ต่อให้คนเข้มแข็งแค่ไหน ก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันตอนนั้นลุงเหมือนคนสิ้นไร้หนทาง เสียงสั่นเทาหยุดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตา ชายชรายกมือขึ้นบีบเค้นที่ดวงตาน้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกมาเป็นสายหล่นร่วงลงสู่พื้น เป็นน้ำตาของความผิดหวังที่ร้ายกาจ ที่ร่ำไห้กับโชคชะตาที่เล่นตลก
ผมพูดอะไรไม่ออกเขยิบทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อีกตัวตรงข้ามชายชรา
แต่ลุงยังโชคดีลุงได้เมียดี มันคอยปลอบลุง ให้กำลังใจลุงเสมอมา ชายชราเริ่มเล่าต่อ แม้น้ำใสจะยังคงไหลจากสองตาอยู่
หลังจากที่นาถูกธนาคารยึด ลุงกับเมียก็ปรึกษากันหาทางออก ลุงเห็นเพื่อนๆของลุง เขาพากันเข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง ลุงกับเมียเห็นดีด้วย จึงพากันมาเมืองกรุงมาแรกๆไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยวัดนอน ดีที่หลวงพ่อแกใจบุญ เอื้อเฟื้อลุงกับเมียเป็นอย่างดี แต่ก็อีกนั่นแหละ ! สมัยนี้คนใจบุญมีน้อยเหลือเกิน หลวงพ่อท่านออกบิณฑบาตแต่ละวัน ได้ข้าวมาแค่บาตรกว่าๆ ไหนต้องแบ่งเด็กวัดกับหมาอีก วันๆได้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะ ลุงเห็นว่าเรามาเบียดเบียนพระเบียดเบียนเจ้า ก็ละอายใจ จึงลาหลวงพ่อออกมาหางานทำก็ออกมาเป็นกรรมกรแบกหาม ทำงานก่อสร้างตามที่ต่างๆ ได้ค่าจ้างวันละ 50 บาทก็พออยู่ได้ ลุงเริ่มมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็มีข้าวให้กิน มีที่ให้ซุกหัวนอน แต่แล้ว ! โชคชะตาก็เล่นตลกกับลุงอีกไอ้ผู้รับเหมาฯชาติชั่วมันรับเงินเขาแล้วก็ชิ่งหนีไปทิ้งลุงกับคนงานอีก 60 กว่าชีวิตไว้เบื้องหลังนั่นเป็นอีกครั้งที่ลุงร้องไห้ทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดีแท้ๆ แต่ก็กลับมาพังทลายลงอีกน้ำใจคนเมืองมันแล้งยิ่งกว่าฝนบ้านนอกเสียอีก ลุงหมดหนทาง ไม่รู้จะไปทางไหน เรียนมาก็น้อย ไอ้งานดีๆก็คงไม่มีใครเขาจ้าง ไอ้ครั้นจะไปเป็นกรรมกรก่อสร้างที่อื่นมันก็เข็ดเสียแล้ว ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่ถูกโกงอีก จึงตกลงกับเมียคิดว่าจะกลับไปบ้านนอกถิ่นเกิดกลับไปทำอะไร ลุงก็ยังไม่รู้ไม่มีเป้าหมายในชีวิตรู้แต่ว่า ลุงอ่อนแอเกินกว่าจะอยู่ในเมืองที่สวยแต่เปลือก แต่เนื้อในมันเน่าเฟะเหลือร้ายเมียลุงมันเห็นว่าลุงเหนื่อยมามากแล้ว จึงเออออตามลุงกับเมียไปรอรถกลับอุดรฯที่หมอชิต ด้วยเงินเหลือติดตัวที่ เพียงพอแค่ค่ารถ แต่มันก็เพียงพอแล้วมากมายเกินกว่าที่จะทนอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ลากันที เมืองกรุงอันโหดร้ายลุงกับเมียนั่งรอรถอยู่ แต่แล้ว ! ก็เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกกับลุงอีกลุงได้เจอกับ ไอ้แสง เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของลุง ไอ้แสงเป็นคนหมู่บ้านลุงเพียงคนเดียวที่เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง แล้วได้ดิบได้ดีถึงขนาดได้เป็นเถ้าแก่ร้านแก๊สพูดคุยกัน ก็รู้ความว่าไอ้แสงมันมีหนทางใหม่ที่ดีกว่าเปิดร้านแก๊ส มันจะข้ามไปฝั่งลาวมันบอกว่าค้าขายที่นั่น กำไรกว่าทำร้านแก๊สเป็นไหนๆเมื่อมันรู้ว่าลุงต้องเจอกับอะไรมาบ้าง มันก็เห็นใจ เสนอร้านแก๊สของมันให้ลุงใช้เป็นที่ทำกินต่อตอนแรกลุงจะไม่เอา เพราะขยาดกับชีวิตเมือง แต่เมียลุงมันอยากให้สู้ต่อเพราะถึงกลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไรที่นาก็ไม่มีให้ทำแล้ว ลุงก็เห็นเป็นดีด้วยจึงตัดสินใจรับคำมัน ซึ่งก็คือร้านนี้นี่แหละ เสียงหม่นเศร้าหยุดลงพร้อมกับสายตาของชายชราที่กวาดมองรอบห้อง คล้ายกับว่าจะรำลึกถึงอดีตอันแสนบอบช้ำ
มวนยาเส้นอีกมวนถูกจุดขึ้นตรงหน้า พร้อมๆกับควันสีเทาที่ลอยล่องสู่เบื้องบน ควันสีเทาหม่นคล้ายกับชีวิตของชายชราที่หม่นเศร้า
เมื่อก่อนแถวนี้ยังไม่คึกคักแบบนี้ เป็นแค่ตลาดเล็กๆที่ขายของชำบ้าง ของเล็กๆน้อยๆบ้าง ตามแต่ความถนัดของเจ้าของ ทุกคนเป็นกันเอง เอื้อเฟื้อกันและกัน ชายชราหยุดเล่าเพื่ออัดยาเส้นเข้าปอด ก่อนจะปล่อยออกมาโขมงห้อง
ผมพอจะนึกภาพออกภาพอดีตที่พอจะจดจำได้ แม้จะเลือนลางไม่ชัดเจน แต่ก็พอจะเห็นภาพภาพตลาดแห่งนี้ครั้นอดีต ยามที่แม่ผมพาผมมาจ่ายตลาด
ตอนลุงมาถึงห้องนี้เป็นเพียงห้องว่าง เพราะไอ้แสงมันเซ้งกิจการแก๊สให้คนอื่นเขาไปแล้วมีแต่ไม้อะไรต่อมิอะไรไม่รู้ กองเป็นพะเนิน ไอ้แสงมันบอกก่อนแล้วว่า ไม้เป็นของเพื่อนมัน ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว จะเอาไปทิ้ง ไปทำอะไรก็ได้ มารู้ทีหลังว่ามันเป็นไม้เถื่อนที่ไอ้แสงกับเพื่อนมันเอามาเก็บไว้ แท้ที่จริงไอ้แสงมันทำธุรกิจค้าไม้เถื่อน แล้วเปิดร้านแก๊สบังหน้า ใช้ที่นี่เป็นที่เก็บสินค้าธุรกิจมันไปได้สวย แต่ช่วงหลังตำรวจมันเริ่มระแคะระคาย เพื่อนมันถูกซิวไปหลายคน มันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเผ่นหนี ไม้เม้ยทิ้งไว้ไม่สนใจ มวนยาเส้นลีบงอเพราะแรงดูดของชายชรา ที่ตอนนี้น้ำตายังคงคลออยู่ในเบ้า แม้จะไม่หลั่งรินเหมือนช่วงแรก แต่ก็พร้อมที่จะทะลักออกมาจากเบ้าตาได้ทุกเมื่อ
แล้วเฮียแสงล่ะครับ ? ผมซักอย่างใคร่รู้
มันไปไม่รอดมันถูกตำรวจดักจับที่พรมแดนลาว น่าเสียดายอีกนิดเดียวก็จะรอดแล้ว มันยิงสู้ เลยถูกจับตาย
แล้วไม้ในร้านนี้ ผมยังคงซักอย่างใคร่รู้ต่อไป
นี่อาจเป็นโชคดีอย่างเดียวของลุง นอกจากเมียลุงแล้ว ก็มีครั้งนี้นี่แหละที่ลุงรู้สึกว่าลุงโชคดี เพราะไอ้แสงมันตายเสียก่อน ตำรวจเลยสืบไม่ได้ว่าไม้เถื่อนของกลางไปอยู่ที่ไหนนี่ถ้ามันยอมให้จับ ลุงก็อาจจะต้องเข้าไปนอนเป็นเพื่อนมันในคุกก็เป็นได้ ชายชราพูดพลางหัวเราะในลำคอเป็นครั้งแรกนับแต่สนทนากันมา ที่ผมเห็นลุงหัวเราะ แต่คงไม่ใช่เพราะมีสุข แต่คงเพราะสมเพชกับตัวเองมากกว่า
ลุงเลยรื้อฟื้นวิชาแกะสลักที่เคยร่ำเรียนมาบ้าง สมัยหนุ่มๆ จัดการกับไม้พวกนั้นซะ เพราะจะเอาไปทิ้งก็เสียดาย จะเก็บไว้เฉยๆก็เดี๋ยวจะกลายเป็นบ้านให้ปลวกอีก อีกอย่างก็เพื่อรำลึกถึงไอ้แสงด้วย แรกๆที่ทำขายก็ไม่มีใครสนใจ แต่พอทำนานๆไป ฝีมือเริ่มมีขึ้นบ้าง ก็เริ่มมีคนมาสนใจ ส่วนมากก็เป็นพวกเศรษฐีนั่นแหละ ซื้อไปตกแต่งบ้าน แหวนงี้เต็มมือ แต่กดราคาฉิบหายงานบางชิ้นลุงทำเป็นเดือน แต่ขายทีได้ไม่ถึงร้อย แต่ถึงจะไม่พอใจแต่ลุงก็ไม่ได้บ่น เพราะหนักกว่านี้ลุงก็เจอมาแล้ว ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ควันยาเส้นชุดสุดท้ายถูกปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ
แล้วเมียลุงล่ะครับ ? ผมยังคงถามอย่างไม่ใส่ใจจิตใจของผู้ตอบ
มันตายตอนไปรับใบสั่งของจากลูกค้า เสียงของชายชราเริ่มสั่นเครือมากขึ้น แต่ก็ยังคงเล่าต่อไป
กำลังเดินข้ามถนนกลับมาที่ร้าน รถเก๋งมาจากไหนไม่รู้ ชนมันลอยกระเด็นไปหลายเมตร เสียงพูดปรับเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่แล้วหลั่งรินลงมาเป็นสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ ให้กับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเมียอันเป็นที่รักต้องมาจากไปแม้ชีวิตจะตกระกำลำบากแค่ไหน แม้จะเหนื่อยกายเมื่อยล้าขนาดไหน ก็ยังมีเมียอันเป็นที่รัก ที่คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจเสมอมา น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลหลั่งออกมาไม่ขาดสาย บ่งบอกถึงความรักของชายชราที่มีต่อเมียของแก
ผมได้แต่นิ่งงัน พูดอะไรไม่ออกชีวิตของผู้ชายคนนี้ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร เศร้าเกินกว่าที่คนที่เกิดมาเพรียบพร้อมอย่างผมจะเข้าใจถึงหัวใจที่แสนบอบช้ำนั้นได้ ชีวิตที่ตกระกำลำบากด้วยโชคชะตาที่เล่นตลก การที่ต้องสูญเสียเพื่อน สูญเสียเมียคู่ทุกข์คู่ยากไปตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ? งานไม้ทุกชิ้นที่นี่ถึงได้แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ความทุกข์โศกเช่นนี้ คล้ายกับว่าจะร่ำไห้ให้กับชีวิตของชายชราที่สุดแสนจะหดหู่
ความโศกเศร้าก่อเกิดจากความโศกเศร้า ยามที่เราทำอะไรสักอย่างด้วยความเศร้า ไอความเศร้าของเราก็จะแทรกซึมอยู่ในสิ่งที่เราทำนั้น และมันจะร่ำไห้อยู่เสมอจนกว่าความโศกเศร้าจะสูญสิ้น
นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่าที่ชายชราร้องไห้เหมือนเด็กๆ บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบ มีเพียงเสียงสะอื้นที่แหบเล็กของชายชราเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผมยังคงนั่งมองแกอยู่มองด้วยความรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ภาพเบื้องหน้าจะสะเทือนใจผมเหลือคณานับ จนผมเกือบจะร้องไห้ให้กับชีวิตที่โหดร้ายของชายชราไปด้วย ยังดีที่ผมยังเก็บอาการได้อยู่ แต่อย่างน้อยก็เป็น การดีที่แกได้ระบายมันออกมาบ้างความรู้สึกที่บีบคั้นจิตใจมาตลอด ที่ไม่รู้จะไประบายให้ใครฟัง ไม่เหลือเพื่อนไม่เหลือใครแล้วในชีวิตนี้ที่พอจะพูดคุยได้ ที่พอจะให้คำแนะนำ คำปรึกษาใดๆ ผมอ่อนโลกเกินกว่าที่จะให้คำแนะนำใดๆแกได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ช่วยให้คนๆหนึ่งได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
เนิ่นนานกว่าที่เสียงสะอื้นค่อยๆจางลง ลดลง ลดลงหยาดน้ำตาค่อยๆแห้งลง แห้งลง
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละโลกมันเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาสนใจของพวกนี้อีกแล้ว ชายชราพูดพลางกวาดสายตาที่แดงก่ำไปที่งานไม้มากมายที่รายล้อมรอบตัวอยู่
ถึงแม้จะพูดหยามเหยียด แต่ในใจของแกคงอาลัยรักงานเหล่านี้มาก มันเป็นตัวแทนของเพื่อนรักเป็นตัวแทนของร้านนี้ที่แกกับเมีย ร่วมกันสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของอดีตกาลของชายคนหนึ่งที่ต่อสู้กับโชคชะตาที่เล่นตลกมาอย่างหนักหน่วงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่บอบช้ำ ที่สิ้นหวัง ในการที่จะประคองชีวิตนี้ให้คงอยู่ต่อไป
ขอบใจนะไอ้หนุ่ม ที่ทนฟังเรื่องไร้สาระของลุงจนจบ หัวใจนั่นลุงยกให้อยากได้ก็เอาไปเถอะ ชายชราพูดพลางยกตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้
ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้อย่างน้อยก็คงต้องให้ลุงแกบ้าง ก็แกบอกเองว่า งานแต่ละชิ้นแกทำอย่างตั้งใจขนาดไหน แล้วจะให้ผมเอาไปฟรีๆได้อย่างไร ? ว่าแล้วผมก็ล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของชายชรา
หยุดอยู่แค่นั้นแหละไอ้หนุ่ม ลุงบอกว่าให้ก็ให้สิ ถึงแม้ลุงจะเป็นแค่ไอ้กระจอกในสายตาของผู้คนสมัยนี้ แต่อย่างน้อยลุงก็ให้ความสำคัญกับคำพูดแม้มันจะลอยลม จับต้องไม่ได้ แต่มันก็มาจากตัวเรา มาจากจิตของเราเพราะฉะนั้นถ้าพูดอะไรไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเห็นแก่ลุงเถอะ อย่าทำให้คุณค่าความเป็นคนของลุงลดน้อยไปกว่านี้เลยถือซะว่า นั่นเป็นค่าจ้างที่ทนฟังเรื่องของไอ้กระจอกคนหนึ่งละกัน
ผมไม่อาจจะต่อรองอะไรได้อีก ชักมือกลับมาประคองที่หัวใจไม้สองดวงนั้น นี่คือตัวแทนความรักของไอ้กระจอกคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงอันเป็นที่รัก ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ยังคงเห็นคุณค่าของคำพูด ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับโชคชะตาที่เล่นตลก
ชายชราก้าวเดินเข้าไปภายในส่วนลึกของห้องที่ดำมืดอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามั่นคง
ลุงครับลุงอาจจะเป็นไอ้กระจอกในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับผมลุงคือลูกผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของชายชาตรี ถึงแม้ตอนนี้จะอ่อนลงมากแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ลุงเท่ห์มากครับ ผมได้แต่คิดในใจแต่มิได้เอ่ยออกไป
ลุงครับแล้วลุงจะทำอะไรต่อไป ? คือคำพูดที่ผมเลือกจะเอ่ยกับชายชราก่อนที่ร่างนั้นจะหายเข้าไปในหลืบของความมืด
ร่างผอมเกร็งหยุดชะงัก ชายชราไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่พูดว่า
เมื่อเราไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้ก็คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเล่นตลกกับเราต่อไป ว่าแล้วชายชราก็เดินหายลับไปในความมืด
ผมได้แต่ส่งสายตาแทนคำอำลาที่ไม่มีโอกาสได้พูด เมื่อเห็นว่าสมควรกับเวลาแล้ว ผมจึงก้าวเดินออกมาจากตัวร้านอย่างเชื่องช้า ในมือยังถือหัวใจไม้สองดวงนั้นไว้อย่างทะนุถนอม
แม่จะรู้สึกไหมนะ ? ว่าของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ ไม่ใช่เพราะเป็นของขวัญที่ไม่ใช่คำพูดชิ้นแรกในรอบ 10 ปี หากแต่ของขวัญชิ้นนี้คือตัวแทนของคนๆหนึ่ง คนที่มีคุณค่าความเป็นคนอย่างเปี่ยมล้น ผมพึมพำของผมคนเดียวในขณะที่เดินจากร้านขายไม้นั้นมา
แกร็กกกกก.ตึง ! เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เพียงพอที่จะทำให้ผมกลับตัวหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
ร้านขายไม้ของชายชราปิดสนิทไม่มีวี่แววของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่ ประตูเหล็กยืดเก่าคร่ำคร่า ใยแมงมุมเกาะยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แม่กุญแจเก่าโทรมที่คล้องไว้กับสายยูประตูสนิมจับเกรอะกังคล้ายกับว่ามันปิดอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน
ลาก่อนครับลุง ผมกล่าวอำลาชายชราผู้กรำชีวิตมาอย่างแสนสาหัส
ผมหันหลังกลับ ก้าวเดินต่อไปออกไปออกไปออกสู่ความสับสนวุ่นวายของกระแสบริโภคนิยมที่เชี่ยวกราด
ลุงอ่อนแอเกินไปอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ได้ คำพูดของชายชรายังคงก้องอยู่ในหัวของผม
กระแสชนเริ่มหนาแน่นขึ้นตามระยะทางที่ก้าวเดิน แสงอาทิตย์สาดแสงส่องลงมายังพื้นคอนกรีต
ถ้าโชคชะตานึกสนุกเราคงได้พบกันใหม่
18 กันยายน 2546 00:14 น.
hallelujah
แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
ฟ้าวันนี้แลดูมืดมิด ไร้ซึ่งแสงดาวที่เคยพร่างพราวสว่างไสว ดาวเจ้าทิ้งฟ้าไป ปล่อยฟ้าไว้ให้มืดมนหม่นเศร้า
เธอก็เปรียบได้กับดาว สวยสดงดงาม ฉันก็เหมือนกับฟ้า ที่โอบกอดเธอไว้ด้วยอ้อมแขนแห่งความรัก เธอคอยกระพิบส่องสว่างอยู่กลางใจฉัน เพิ่มเติมแต่งสีสันและความสดใสให้กับฉันที่อ้างว้างไร้แก่นสาร
ยามที่ฉันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้ายามค่ำคืน ฉันจะเห็นมวลหมู่ดาวมากมายที่ส่งยิ้มให้ฉัน แต่ท่ามกลางหมู่ดาวร้อยพันนั้น จะมีดาวอยู่ดวงเดียวที่เปล่งประกายส่องสว่างโดดเด่นเหนือดาวใดๆ ดาวดวงเดียวที่ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยน ละมุนความอบอุ่น เพียงแค่ได้ยล ก็เป็นสุขเหนือสิ่งใดๆ เวลาที่มองดาวดวงนั้น มันทำให้ฉันคิดถึงเธอ
แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เธอแปรผันจากฉันไป ทิ้งฉันไว้ให้อยู่แต่ผู้เดียว ความฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้แตกสลายไปในชั่วพริบตา สำหรับฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนหยุดอยู่กับที่แล้วจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งความเศร้า
ค่ำคืนนั้น ฉันแหงนหน้าขั้นมองท้องฟ้า ด้วยหวังว่าเจ้าดาวดวงน้อยนั้นจะช่วยปลอบโยนฉัน จะช่วยเชื่อมรอยร้าวในใจฉันให้กลับมาชุ่มชื่นดังเดิม
แต่เจ้าไม่อยู่... เจ้าดาวดวงน้อยหายไปอยู่ไหน หรือมวลเมฆยามราตรีบดบังเจ้าไว้ หรืออย่างไร ? ฉันไม่อาจรู้เลย
ยามนี้ฉันต้องการเจ้ามาช่วยปลอบประโลมหัวใจที่แตกร้าว ยามนี้ฉันเหลือเพียงแต่เจ้าเท่านั้น ที่จะช่วยแต่งความฝันให้ฉันใหม่ แต่เจ้าก็ยังมาทิ้งฉันไปอีกคน
ฉันคิดถึงดาว แต่ก็ไม่เท่าที่ฉันคิดถึงเธอคนนั้น ดาวที่สวยงามของฉัน
แม้ทั้งคู่จะทิ้งฉันไป แต่ดาวเจ้าจากฟ้าไปไม่กี่วันก็กลับมากระพริบส่องสว่างดังเดิม แต่กับฉัน...คงไม่มีวัน
ที่เธอคนนั้นจะกลับมา เธอจากไป ไกลแสนไกลกว่า
ทิ้งฉันไว้ในความเปลี่ยวเหงา รับรู้รับทราบถึงความรู้สึกที่ต้องอยู่แต่เพียงผู้เดียว เปล่าเปลี่ยวหัวใจ ไร้ซึ่งเธอเคียงข้าง ความหนาวเหน็บเข้าเกาะยึดหัวใจ
ได้แต่เพียง นั่งมองฟ้ากว้างด้วยหัวใจที่อ้างว้าง...คนเดียว