23 พฤศจิกายน 2547 22:04 น.

กวีนิพนธ์ของคนบ้า

hallelujah





ดับดิ้นถวิลนิทรา
เดือนดาราพร่าประจักษ์
ช่างไกลลิบนัก
สิ พักเอนกายนอนผ่อนฤทัย

ดับดิ้นในวังวน
มิรู้แห่งหนไหน
แสงส่องสว่างกลางไพร
แค่ภาพหลอนใจน่ากลัวนัก

บ้าใบ้ในใจตน
มิหนประเสริฐทิพย์ตระหนัก
หนวกบอดเบิ่งตาช่างพร่านัก
ฤๅแสงคือการพักซึ่งวิญญาณ์

จารจดกวีบ้าเพ้อ
ล่องลอยละเมอคว้าทิพย์พร่า
ใจกายช่างอ่อนล้า
เดือนดาราช่างหลอกลวง

มิหวังสิ่งใดจริงแท้
แม้กาลเวลาเลยล่วง
มิหยิบดอกฟ้าลดาดวง
มิหมายดอกรวงทองผ่องอำไพ

บ้าใบ้อยู่ในวังวน
มิรู้ตน  มิรู้ไหน
มิรู้จิต  มิรู้ใจ
มิรู้ใคร  มิรู้รส

ความหลอนครอบงำ
มิพร่ำ  เห็นปรากฏ
ซึ่งดวงชีวีที่ระชด
ยืนหยัดอย่างกำสรดหลงมัวเมา

ขอความบ้าจงอยู่คู่ฟ้า
เดือนดาริกาอ่อนระทวยเศร้า
รู้สึกดีที่ตัวเรา
มิต้องรับสิ่งเร้าใดๆ

ขอเพ้อบ้าแต่ผู้เดียว
ดายเดียวระคนความหม่นไหม้
ของความเศร้าโดดเดี่ยวเหนือใคร
พอใจในความบ้าแห่งตน

..........

ระดะช่อพวงทองรมณีย์
อันราตรีประดับหน
แดนนี้ข้าฯครองตน
ประกาศก้องในวังวนแห่งชีวิต.				
21 พฤศจิกายน 2547 00:01 น.

มนุษย์เกิดมาเศร้า (ข้าพเจ้ายัง,หยุดเคลื่อนไหว)

hallelujah





ท่ามกลางความเปลี่ยวดาย
ที่กร่อนกัดทำลายวิญญาณข้าฯ
ณ ฟ้าพู้นปรากฏเดือนดาริกา
ส่องแสงกระพริบพร่าดั่งขาดใจ

ไม่มีเธอเคียงข้าง
ข้าฯอ้างว้างโดดเดี่ยวเหนือไหน
ฟังเพลงพลิ้วลมเลื่อนเฉือนใบไม้
อันเพลงนั้นก็กรีดใจข้าฯยิ่งนัก

ความมืดเป็นใหญ่
ครอบฟ้าสุลาลัยได้ประจักษ์
เหมือนข้าฯอยู่เดียวว่างอ้างว้างนัก
ท่ามหมู่ดาวกาลจักรอันมืดมน

..........

แสงกระพริบท่ามหมู่มืดอนธการ
ดังวิญญาณกระพริบพร่าช่างมัวหม่น
ลอยเลื่อนไปไร้จุดหมายปลายแห่งหน
ผ่านผู้คนที่ระรื่นชื่นสำราญ

ข้าพเจ้ายังเคลื่อนไหว
เคลื่อนไปในท้องฟ้าราตรีผ่าน
ยังเคลื่อนอยู่ในฟากฟ้าทิวากาล
ไร้จุดหมายแห่งดวงมานที่รู้รับ

ข้าพเจ้าออกค้นหา
สิ่งอันกู้วิญญาณ์ในคืนดับ
สิ่งอันช่วยยาใจในคืนลับ
ซึ่งไม่รู้ได้สดับ ณ แดนใด

แดนใดที่ใจข้าฯมุ่งหมาย
แดนฟ้าพรรณรายฤๅมิใช่
แดนถิ่นที่ยืนหยัดช่างเปล่าไร้
หรือแดนใจอันนิ่งงันฝันเลื่อนลอย

ข้าพเจ้ายังเคลื่อนไหว
พยายามเคลื่อนไกลจากความหงอย
อันเหงาเปลี่ยวดายเดียวที่เคลื่อนคล้อย
ตามติดทุกร่องรอยการย่ำเท้า

..........

ในการเดินทาง
ข้าฯผ่านความรกร้างอันหม่นเศร้า
ข้าฯผ่านความปรีดาอันรื่นเร้า
และพบความเปลี่ยวเหงาทุกที่ไป

แม้ขณะแห่งความรื่นรมย์
ยังมีความตรอมตรมที่หม่นไหม้
แทรกตัวอยู่ระหว่างในหัวใจ
ท่ามความรื่นฤทัยอันเบิกบาน

ข้าพเจ้าจึงได้รู้
ว่าในทุกอณูมหาศาล
ที่ประกอบเป็นความมีอนธการ
ล้วนจดจารด้วยความเหงาความเปลี่ยวดาย

..........

มนุษย์ล้วนโดดเดี่ยว
ดายเดียวอยู่ในใจอันหม่นสลาย
จึงต้องหาแสวงสุขจากรอบกาย
เพื่อเติมเต็มความหมายให้ชีวิต

มนุษย์เกิดมาเศร้า
ในทุกผู้ทั้งตัวเราอันนิ่งสนิท
มีความเศร้าคอยหล่อเลี้ยงดวงชีวิต
เป็นมิ่งมิตรที่แท้ในใจจินต์

..........

ข้าพเจ้าหยุดเคลื่อนไหว
รู้รับในดวงใจทุกสิ่งสิ้น
หยุดการเดินทาง  หยุดโบยบิน
ก้มมองผืนดินที่หยัดยืน

..........

แดนใดที่ข้าฯหมาย
หนีไม่พ้นความเปลี่ยวดายที่หม่นฝืน
ในเมื่อความโดดเดียวนั้นหยัดยืน
อยู่ในผืนใจข้าฯ  ในตัวตน

ข้าพเจ้าหันหลังกลับ
ขอลาลับการเดินทางผ่านแห่งหน
กลับสู่ถิ่นแห่งข้าฯ  แห่งตัวตน
สู่รากเหง้าบรรพชนแห่งชีวิต

..........

ข้าพเจ้านั่งนิ่งมองสายฝน
พลางคิดถึงตัวตนที่หมายลิขิต
ความเปลี่ยวเหงาคือเพื่อนแท้แห่งชีวิต
ยากจะปลิดให้ร่วงทิ้งไปไกล

ความหมายแห่งการดำรงอยู่
อาจฟังดูโก้หรูเหนือไหน
อาจต้องเดินทางแสวงหาไป
ณ แดนถิ่นดินใด  ไม่รู้พบ

เพราะทุกอย่างอยู่ในตัวเรา
ป่วยการเปล่าหาจากไหนให้บรรลุจบ
ป่วยการหาจากแดนใด  ไม่รู้พบ
นิ่งสงบในตนจึงแจ้งใจ

ข้าพเจ้าหยุดแล้วซึ่งทุกสิ่ง
ปล่อยทิ้งวางไว้มิรู้ไหน
ไม่สำคัญ ณ ขณะนี้  หรือต่อไป
ปล่อยเถิด  วางไว้ให้ไกลตัว

..........

ข้าพเจ้าปิดเปลือกตา
จมสู่นิทราอันมืดสลัว
อาจจะมืดจะว้าเหว่และน่ากลัว
แต่ก็เกิดจากใจตัวแห่งชีวิต

..........

ท่ามกลางความเปล่าดาย
จะเสกสรรค์ความหมายอันพิสิทธิ์
ประสานกายใจและความคิด
รังสรรค์กรรมนฤมิตจากตนตัว.				
12 พฤศจิกายน 2547 16:27 น.

ไม่มีอะไรในอากาศ

hallelujah



เธอเฝ้าฝันถึงความมีในอากาศ
เธอกรีดนิ้วสะบัดวาดเป็นลายศิลป์
พร้อมพูดพร่ำว่าในทุกอณูริน-
รวยนั้นสิ้นล้วนมีซึ่งความมี

เธอบอกว่าในอณูแห่งความว่าง
ย่อมเจือจางด้วยความมีอันซ่อนสี
รุ่มรวยด้วยลายศิลป์จินตกวี
เป็นความมีที่สัมผัสด้วยวิญญาณ

ในความว่างย่อมมีความมีอยู่
ประกอบสร้างจากอณูมหาศาล
จนเกิดเป็นความว่างอนธการ
มธุรทัศน์แห่งดวงมานจึ่งรู้รับ

ฉันเถียงเธอว่าความว่างคือความว่าง
ความอ้างว้างคืออ้างว้างที่สดับ
ความโดดเดี่ยวคือโดดเดี่ยวมิเลี้ยวลับ
และความมืดคือการดับแห่งวิญญาณ์

ไม่มีหรอกความมีในอากาศ
ที่กรีดนิ้วระบายวาดคือเพ้อบ้า
ทุกสิ่งล้วนแจ่มชัดจากแววตา
อันราคาของความว่างคือไม่มี

เธอเบิ่งตาจ้องค้างมาที่ฉัน
แววตานั้นสลดพลันน้ำตาปรี่
ความผิดหวังกลั่นตัวจากฤดี
เป็นหยาดน้ำแห่งสักขีความหม่นใจ

ฉันเห็นหยดน้ำตาทิ้งตัวลง
แหวกอากาศกระเพื่อมวงระริกไหว
เป็นอณูเคลื่อนคล้อยตามต่อไป
แล้วเม็ดน้ำใสก็ตกกระทบพื้น

ไม่มีอะไรในอากาศ?
เธอยังคงนั่งปาดน้ำตาสะอื้น
และแล้วความเคลื่อนไหวอันครั่นครื้น
ก็เคลื่อนคล้อยพลอยสะอื้นไปกับเธอ...				
11 พฤศจิกายน 2547 00:02 น.

อารยะแห่งชาติพันธุ์

hallelujah



เมื่ออาทิตย์สาดแสงสีแดงทอง
อันความมืดมัวหมองก็มลายสนิท
ประกาศแจ้งวันใหม่ของชีวิต
ที่เหลืออยู่น้อยนิดแห่งเวลา

ทบทวนคืนวันอันผันผ่าน
ทบทวนทิวากาลอันเจิดจ้า
ทบทวนราตรีกาลที่ผ่านฟ้า
เพื่อรับรู้ความเป็นมาของชีวิต

ทบทวนการกระทำอันผิดพลาด
ทบทวนความมุ่งมาดที่ใจลิขิต
ทบทวนความฝันที่นึกนิรมิต
เพื่อย้ำหนทางที่ชีวิตเลือกเดินไป

ทบทวนรอยเท้าแต่ละก้าว
ทบทวนเรื่องราวที่สดใส
ทบทวนเรื่องร้ายทำลายใจ
เพื่อเตือนตนให้เข้าใจในตัวตน

ทบทวนทางเดินที่ทอดไกล
ทบทวนหัวใจผ่านร้อนฝน
ทบทวนว่ารักยังคงทน
เพื่อก้าวด้นดั้นสู่ซึ่งแสงทอง

เพราะคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
หาใช่หยุดเมื่อล้มจนใจหมอง
หาใช่หยุดเมื่อสำเร็จจนลำพอง
และไม่ใช่หยุดเพื่อมองอดีตจม

เพราะคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
คือการก้าวไปไม่หยุดด้วยสุขสม
ไม่ใช่การถอยหลังสู่ปลักตม
และไม่ใช่การหยุดล้มจากอบาย

อารยะแห่งชาติพันธุ์
คือการสร้างการสรรค์จากใจหมาย
รังสรรค์สิ่งวิเศษจากแรงกาย
อีกทำลายความหยาบอันเสื่อมทราม

เรียนรู้ความผิดพลาดจากวันวาน
ฝนความผิดแห่งอดีตกาลเป็นดั่งหนาม
ไว้คอยทิ่มเตือนตนอย่าวู่วาม
ซ้ำรอยทรามย่อมไม่ใช่อารยะ

ย้ำเตือนตนให้มั่นในความหมาย
เสริมชีวิตและใจกายให้สวยสะ
สร้างตัวตนให้ปลอดพ้นซึ่งราคะ
แล้วสรรค์สร้างสิ่งอารยะให้ชีวิต

เมื่ออาทิตย์สาดแสงสีแดงทอง
ประกาศก้องการสร้างสรรค์อันวิจิตร
รังสรรค์ซึ่งความงามดั่งนฤมิต
เพื่อกู่ก้องความพิสิทธิ์แห่งชาติพันธุ์				
8 พฤศจิกายน 2547 13:59 น.

สวรรค์...

hallelujah



สวรรค์...
พิมานพรรณรายปลายสรวง
สถิตอยู่ ณ ปลายเมฆที่ฟ้าทรวง
บ่คิดร่วงลงมาสถิตใจ

สวรรค์อันสูงส่ง
สวรรค์คงสุดประเสริฐเลิศไท้
จะป่ายขึ้นไปเสพทิพย์ดาราลัย
คงยากเกินจะคว้าไขว่อัประมาณ์

ผู้คนบนดิน
ป่วยการถวิลเสพสุขฟ้า
อันไท้ทิพย์กระพริบเดือนดาริกา
แค่ภาพหวังขลังกล้าเกินกำลัง

ผู้คนจึ่งโศก
ไหววิโยคซกโซกสุดหลั่ง
มนุษย์ผู้ต่ำต้อยด้อยพลัง
ต้องจมทุกข์ทุกคราครั้งบนผืนดิน

เมื่อความสุขอยู่บนฟ้า
ไฉนเลยประชาบนพื้นถิ่น
จะได้เสพทิพยรสประเทือง ยิน-
ซึ่งเสียงพิณไหวสะท้อนชะอ้อนฟ้า



ข้าพเจ้ามองขึ้นไป
ไฉนสวรรค์จึงเจิดจ้า
ไร้แสงสีสรรพสัมผัสประหวัดฟ้า
ช่างว่างเปล่าเหลือคณาที่ข้าฯนับ

เขามองเห็นเหมือนข้าพเจ้าไหม?
หรือเขาได้เห็นทิพย์กระพริบ สดับ-
ซึ่งสังคีตดีดสีที่ระยับ
เสนาะรับแผ่นฟ้าสุลาลัย

...เขาคงไม่เห็น
ดั่งเช่นที่ข้าฯก็หาไม่
มิเห็นพิมานฟ้าดาราอะไร
สูงขึ้นไป  สูงขึ้นไป  ช่างเปล่าร้าง



สวรรค์มิได้อยู่บนฟ้า
อีกทั้งเดือนดาริกากระจ่าง
สดับจิตคิดพิเคราะห์ในความว่าง
แหวกหมอกพรางที่พร่างใจให้แจ้งชัด



สวรรค์อยู่บนดิน
อยู่บนถิ่นพื้นพิภพที่ยืนหยัด
อยู่ในกายมนุษย์  ในจิตทรรศน์
อยู่ในรักที่ร้อยรัดในอุรา

สวรรค์อยู่ในใจ
อยู่ในน้ำรักอันเจิดจ้า
อยู่ในน้ำคิดวิจิตรฟ้า
และอยู่ในน้ำตาแห่งอารมณ์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงhallelujah