12 พฤศจิกายน 2547 16:27 น.

ไม่มีอะไรในอากาศ

hallelujah



เธอเฝ้าฝันถึงความมีในอากาศ
เธอกรีดนิ้วสะบัดวาดเป็นลายศิลป์
พร้อมพูดพร่ำว่าในทุกอณูริน-
รวยนั้นสิ้นล้วนมีซึ่งความมี

เธอบอกว่าในอณูแห่งความว่าง
ย่อมเจือจางด้วยความมีอันซ่อนสี
รุ่มรวยด้วยลายศิลป์จินตกวี
เป็นความมีที่สัมผัสด้วยวิญญาณ

ในความว่างย่อมมีความมีอยู่
ประกอบสร้างจากอณูมหาศาล
จนเกิดเป็นความว่างอนธการ
มธุรทัศน์แห่งดวงมานจึ่งรู้รับ

ฉันเถียงเธอว่าความว่างคือความว่าง
ความอ้างว้างคืออ้างว้างที่สดับ
ความโดดเดี่ยวคือโดดเดี่ยวมิเลี้ยวลับ
และความมืดคือการดับแห่งวิญญาณ์

ไม่มีหรอกความมีในอากาศ
ที่กรีดนิ้วระบายวาดคือเพ้อบ้า
ทุกสิ่งล้วนแจ่มชัดจากแววตา
อันราคาของความว่างคือไม่มี

เธอเบิ่งตาจ้องค้างมาที่ฉัน
แววตานั้นสลดพลันน้ำตาปรี่
ความผิดหวังกลั่นตัวจากฤดี
เป็นหยาดน้ำแห่งสักขีความหม่นใจ

ฉันเห็นหยดน้ำตาทิ้งตัวลง
แหวกอากาศกระเพื่อมวงระริกไหว
เป็นอณูเคลื่อนคล้อยตามต่อไป
แล้วเม็ดน้ำใสก็ตกกระทบพื้น

ไม่มีอะไรในอากาศ?
เธอยังคงนั่งปาดน้ำตาสะอื้น
และแล้วความเคลื่อนไหวอันครั่นครื้น
ก็เคลื่อนคล้อยพลอยสะอื้นไปกับเธอ...				
11 พฤศจิกายน 2547 00:02 น.

อารยะแห่งชาติพันธุ์

hallelujah



เมื่ออาทิตย์สาดแสงสีแดงทอง
อันความมืดมัวหมองก็มลายสนิท
ประกาศแจ้งวันใหม่ของชีวิต
ที่เหลืออยู่น้อยนิดแห่งเวลา

ทบทวนคืนวันอันผันผ่าน
ทบทวนทิวากาลอันเจิดจ้า
ทบทวนราตรีกาลที่ผ่านฟ้า
เพื่อรับรู้ความเป็นมาของชีวิต

ทบทวนการกระทำอันผิดพลาด
ทบทวนความมุ่งมาดที่ใจลิขิต
ทบทวนความฝันที่นึกนิรมิต
เพื่อย้ำหนทางที่ชีวิตเลือกเดินไป

ทบทวนรอยเท้าแต่ละก้าว
ทบทวนเรื่องราวที่สดใส
ทบทวนเรื่องร้ายทำลายใจ
เพื่อเตือนตนให้เข้าใจในตัวตน

ทบทวนทางเดินที่ทอดไกล
ทบทวนหัวใจผ่านร้อนฝน
ทบทวนว่ารักยังคงทน
เพื่อก้าวด้นดั้นสู่ซึ่งแสงทอง

เพราะคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
หาใช่หยุดเมื่อล้มจนใจหมอง
หาใช่หยุดเมื่อสำเร็จจนลำพอง
และไม่ใช่หยุดเพื่อมองอดีตจม

เพราะคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
คือการก้าวไปไม่หยุดด้วยสุขสม
ไม่ใช่การถอยหลังสู่ปลักตม
และไม่ใช่การหยุดล้มจากอบาย

อารยะแห่งชาติพันธุ์
คือการสร้างการสรรค์จากใจหมาย
รังสรรค์สิ่งวิเศษจากแรงกาย
อีกทำลายความหยาบอันเสื่อมทราม

เรียนรู้ความผิดพลาดจากวันวาน
ฝนความผิดแห่งอดีตกาลเป็นดั่งหนาม
ไว้คอยทิ่มเตือนตนอย่าวู่วาม
ซ้ำรอยทรามย่อมไม่ใช่อารยะ

ย้ำเตือนตนให้มั่นในความหมาย
เสริมชีวิตและใจกายให้สวยสะ
สร้างตัวตนให้ปลอดพ้นซึ่งราคะ
แล้วสรรค์สร้างสิ่งอารยะให้ชีวิต

เมื่ออาทิตย์สาดแสงสีแดงทอง
ประกาศก้องการสร้างสรรค์อันวิจิตร
รังสรรค์ซึ่งความงามดั่งนฤมิต
เพื่อกู่ก้องความพิสิทธิ์แห่งชาติพันธุ์				
8 พฤศจิกายน 2547 13:59 น.

สวรรค์...

hallelujah



สวรรค์...
พิมานพรรณรายปลายสรวง
สถิตอยู่ ณ ปลายเมฆที่ฟ้าทรวง
บ่คิดร่วงลงมาสถิตใจ

สวรรค์อันสูงส่ง
สวรรค์คงสุดประเสริฐเลิศไท้
จะป่ายขึ้นไปเสพทิพย์ดาราลัย
คงยากเกินจะคว้าไขว่อัประมาณ์

ผู้คนบนดิน
ป่วยการถวิลเสพสุขฟ้า
อันไท้ทิพย์กระพริบเดือนดาริกา
แค่ภาพหวังขลังกล้าเกินกำลัง

ผู้คนจึ่งโศก
ไหววิโยคซกโซกสุดหลั่ง
มนุษย์ผู้ต่ำต้อยด้อยพลัง
ต้องจมทุกข์ทุกคราครั้งบนผืนดิน

เมื่อความสุขอยู่บนฟ้า
ไฉนเลยประชาบนพื้นถิ่น
จะได้เสพทิพยรสประเทือง ยิน-
ซึ่งเสียงพิณไหวสะท้อนชะอ้อนฟ้า



ข้าพเจ้ามองขึ้นไป
ไฉนสวรรค์จึงเจิดจ้า
ไร้แสงสีสรรพสัมผัสประหวัดฟ้า
ช่างว่างเปล่าเหลือคณาที่ข้าฯนับ

เขามองเห็นเหมือนข้าพเจ้าไหม?
หรือเขาได้เห็นทิพย์กระพริบ สดับ-
ซึ่งสังคีตดีดสีที่ระยับ
เสนาะรับแผ่นฟ้าสุลาลัย

...เขาคงไม่เห็น
ดั่งเช่นที่ข้าฯก็หาไม่
มิเห็นพิมานฟ้าดาราอะไร
สูงขึ้นไป  สูงขึ้นไป  ช่างเปล่าร้าง



สวรรค์มิได้อยู่บนฟ้า
อีกทั้งเดือนดาริกากระจ่าง
สดับจิตคิดพิเคราะห์ในความว่าง
แหวกหมอกพรางที่พร่างใจให้แจ้งชัด



สวรรค์อยู่บนดิน
อยู่บนถิ่นพื้นพิภพที่ยืนหยัด
อยู่ในกายมนุษย์  ในจิตทรรศน์
อยู่ในรักที่ร้อยรัดในอุรา

สวรรค์อยู่ในใจ
อยู่ในน้ำรักอันเจิดจ้า
อยู่ในน้ำคิดวิจิตรฟ้า
และอยู่ในน้ำตาแห่งอารมณ์				
31 ตุลาคม 2547 16:26 น.

นั่งมองแสงตกต้องกระทบหิน

hallelujah

นั่งมองแสงตกต้องกระทบหิน
ร่ำเพลงยินเม็ดน้ำค้างกระทบยอดหญ้า
เฝ้าดื่มน้ำตาจากฟากฟ้า
ลอยล่องในนาวาชื่นไหลเย็น

ทุกสิ่งล้วนเคลื่อนไหล
หมุนผ่านไปทั้งเห็น  และไม่เห็น
ในม่านอากาศยังมีสิ่งซ่อนเร้น
รู้รับสดับเย็นในธรรมวิธี

โลกนี้วงเป็นกลม
สรรพสิ่งอุดมในสัจธรรมวิถี
เกิด  ดับ  เกิด  ดับ  อยู่ทุกวินาที
ป่วยการหมายบารมีความยั่งยืน

ลองฟังเพลงลมไล้ผ่านกิ่งสน
พาตนก้าวออกจากความขมขื่น
กลับสู่รากเหง้าที่จากมาหลายวันคืน
แล้วเธอจะพบความสุขชื่น  แห่งชีวิต...				
25 สิงหาคม 2547 22:14 น.

กระจกบนแผ่นหิน

hallelujah

กระจกบนแผ่นหิน

ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างรอบกาย---

เม็ดฝนหล่นสาย...			
ดั่งคล้ายฟ้าไห้หดหู่
อนรรฆเม็ดใสถั่งพรู			
จากสูงลงสู่ต่ำดิน

คร่ำคร่ำ...  ครืนครืน...		
ฟ้าโศกสะอื้นไป่สิ้น
เกิดเป็นแอ่งน้ำบนแผ่นหิน		
สะท้อนภาพถิ่นฟ้าใส

...เนิ่นนาน  จึ่งซา			
จากน้ำเม็ดหนาห่าใหญ่
ปรับเปลี่ยนแปลงเป็นละอองใส		
นุ่มนวลวิไลสู่ดิน


กระนั้นเอง...
ข้าพเจ้าเพ่งกระจกบนแผ่นหิน
ได้เห็นฟ้าสวยใสไร้ราคิน
ประทับภาพอาบจินต์ให้สุขงาม


คันฉ่องส่องฟ้า			
ฤๅคือปุจฉาฟ้าถาม
เนิ่นนานหรือยังมนุษยทราม		
ที่หลงลืมความงามทิพยะ

เวียนว่ายอวิชชา			
มัวเมามายาสวยสะ
อิ่มเอมอัตตากามะ			
สนองราคะแห่งตน

ธรรมชาติ...			
ถูกเจ้าฟันฟาดมากล้น
เพื่อปรับแปรเป็นผลิตผล			
วัตถุ  ที่ชนบูชา

มนุษย์				
ต่างคนต่างงุดก้มหน้า
ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา			
มิแหงนมองฟ้าใสงาม


น้ำตาฟ้าหยุด...
กระเพื่อมจุดสุดท้ายแห่งคำถาม
เกิดบนผิวกระจกวะวับวาม
ฟ้าอร่ามในกระจกก็ติงไหว


กระจกบนแผ่นหิน			
น้ำตาฟ้ารินสร้างให้
หวังคนผู้งุดหน้าไซร้			
ได้เห็นทิพย์ไท้ที่แท้จริง


หวังมนุษยชาติ---
เลิกอุบาทว์ , หันเหลียวมองสรรพสิ่ง
ว่าอะไรคือความงามที่แท้จริง
ธรรมชาติ?  หรือสิ่งอันมายา?

กระจกบนแผ่นหิน			
น้ำตาหลั่งรินจากฟากฟ้า
ก็แค่น้ำเจิ่งบนแผ่นหินธรรมดา
คิดหรือว่าผู้คนจะเหลียวใย...


********************				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟhallelujah
Lovings  hallelujah เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงhallelujah