23 มกราคม 2549 15:12 น.
grofai-penguin
ฉันเป็นคนที่ชอบส่งข้อความหาเพื่อนๆคะโดยเฉพาะเพื่อนสนิ๊ท สนิทและช่วงนี้จะส่งหาเพื่อนคนหนึ่งบ่อยมากคะ ล่าสุดเขาให้ดูยอดที่ได้รับข้อความจากฉันด้วยเกือบร้อยแล้วคะเราเป็นคนส่งเราจึงไม่รู้ว่ามันเยอะเท่าไหร่แล้ว เห็นแล้วก็ตกใจคะ เพื่อนบอกว่าขยันส่งจริงนะไอ้เราก็คิดว่ามันเบื่อที่จะอ่านแล้ว ที่ไหนได้มันบอกว่าพอได้อ่านก็นึกขำดี ก่อนที่ฉันจะส่งข้อความไปหามัน ฉันต้องออกตัวก่อนว่าฉันเป็นคนชอบส่งข้อความ ฉะนั้นถ้าได้รับข้อความจากฉันก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่ต้องออกตัวเพราะว่าฉันส่งให้เพื่อนผู้ชายคะ แรกๆส่งไปเมื่อมันได้รับปุ๊บก็จะรีบโชว์เบอร์มาเป็นการบอกว่าได้รับแล้วนะ แต่หลังๆมันต้องทำงานเลยโชว์เบอร์มาน้อยลง ทั้งๆที่เราก็รู้นะแต่ก็แอบรอทุกครั้ง ครบอาทิตย์เมื่อไหร่เป็นต้องรอโทรศัพท์จากมัน ใครไม่โทรหากัน ก็ต่างคนต่างโทรหา แต่ส่วนใหญ่ฉันจะคิดถึงมันเร็วกว่ามันคิดถึงฉัน พอโทรไปทีไร มันมักบอกว่ากะว่าจะโทรหาฉันวันนี้ตอนดึกๆ แต่ฉันโทรไปซะก่อน โอ๊ย แก้ตัวรึเปล่าเนี่ย ฉันรู้ว่าเราเป็นเพื่อนต่างเพศเลยทำให้การแสดงออกบางอย่างมันต้องจำกัดไม่งั้นจะดูน่าเกลียด แต่ถ้ามันเป็นผู้หญิงเราก็อาจไม่สนิทกันอย่างนี้ก็ได้ เพราะที่เราสนิทกัน ทำให้เราอยากพูดคุยกันก็เพราะเราต่างเพศกันนี่แหล่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็อยากรู้ความรู้สึกของเพื่อนต่างเพศว่าคิดเห็นเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร ฉันก็ไม่รู้ว่าการแสดงออกบางอย่างของมัน กับสิ่งที่มันคิดจะเป็นในแง่ไหน เพราะมันไม่ค่อยเจอเพื่อนอย่างฉัน มีอะไรหลายๆอย่างที่เราปฏิบัติต่อกันแล้วทำให้คนใกล้ตัวพวกเราคิดว่าเราชอบกัน แต่ฉันว่าฉันรักมัน รักแบบที่เพื่อนคนนึงรักเพื่อน ไม่ใช่รักแบบคู่รักใครคิดยังไงเราไม่แคร์เพราะมันบังคับความคิดกันไม่ได้ แต่แค่เราสองคนเข้าใจกันก็พอ แต่หลายครั้งที่ฉันทำเป็นไม่เข้าใจเธอขอโทษด้วยนะ ฉันต้องเชื่อใจเธอ และเข้าใจเธอต่างหาก แต่เธอก็เข้าใจฉันเสมอ รักเพื่อนอย่างเธอเสมอเลยแหล่ะ
23 มกราคม 2549 15:07 น.
grofai-penguin
ตั้งแต่ฉันจำความได้ก็เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิตของฉัน ซึ่งมีทั้งเรื่องราวดีๆ และไม่ดีเกิดขึ้น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ฉันว่ามันเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ฉันได้ประสบมา นั่งทบทวนกี่ครั้งกี่คราก็คงลืมไม่ลง ฉันถือว่าเป็นแบบทดสอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง แรกเริ่มของความทรงจำแรกที่จำความได้ ในตอนนั้นฉันเป็นเด็กที่ชอบกินยามาก ไม่ใช่ยาพาราธรรมดานะคะ ยาทุกชนิดคะ หยิบกินเอง ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเห็นว่าเป็นยาก็กินหมดคะ แม้กระทั่งยาคุมกำเนิดของแม่ ยาจุดกันยุง ผลลัพธ์คือฉันเกิดชักขึ้นมา พูดไม่ได้ พ่อกับแม่เลยให้ตารักษาแบบวิถีชาวบ้านคะเลยหายเป็นปรกติ หายซ่า หยุดพูดไปสองสามวัน และตั้งแต่นั้นมาฉันก็ทานยากับน้ำเปล่าไม่ได้อีกเลยคะ รู้สึกมันขมมาก กลายเป็นคนกินยายากไปเลย จากนั้นเมื่อฉันเข้าป.1 ฉันเกิดอุบัติเหตุด้วยรถจักยาน จนคางแตกเย็บไป 18 เข็มคะ ยังเหลือร่องรอยการเย็บจนถึงปัจจุบันคะคือหนีแม่เที่ยวจนเป็นแบบนี้ ซึ่งตอนล้มเลือดออกเต็มเสื้อเลยคะแดงไปหมด ด้วยความกลัวว่าแม่จะตีที่หนีเที่ยวจึงไม่ให้พี่สาวไปตามแม่ เพราะตอนนั้นแม่อยู่บ้านเพื่อน คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก ความคิดเด็กๆคะคางที่แตกฉันก็เอาพลาสเตอร์ติดเท่านั้น พอแม่มาถึงบ้านเท่านั้นคะรีบพาฉันส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าแผลเห็นกระดูกเลย ซนมากเลยตอนนั้นอยากบอกแม่ว่าขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง และฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครั้งหนึ่งฉันต้องย้ายโรงเรียนประถมในกลางเทอม ซึ่งแน่นอนคะกลัวมากกับการต้องเจออะไรใหม่ๆโดยเฉพาะเพื่อนใหม่ ซึ่งเมื่อไปถึงโรงเรียนใหม่เพื่อนใหม่ก็เป็นไปตามอย่างที่คิดคะ ยังกับในละคร เพื่อนใหม่ชอบแกล้งเด็กใหม่คะ ชีวิตการเรียนเป็นที่น่าพอใจคะ ป.4 สอบได้ที่ 2 ป.5 สอบได้ที่ 1 ส่วนป.6 ได้เลื่อนไปเรียนห้องคิง เลยสอบได้ที่ 27 คะ ส่วนชีวิตมัธยม แอบปิ๊งหนุ่มคะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนได้แค่ปิ๊งข้างเดียวคะ แต่เราก็ได้รู้จักกันนะคะ และอีกเรื่องของชีวิตนักเรียนก็คือการสอบ Ent ที่ทุกคนอาจมองว่าคือจุดสูงสุดของชีวิต ฉันเป็นหนึ่งคนที่สอบไม่ผ่านคะ สอบใหม่ก็ยังไม่ผ่านคะ ตัวเองไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่ แต่กลัวพ่อแม่เสียใจมากกว่าคะ แต่ฉันก็ตัดสินใจมาเรียนรามคะ ได้เรียนคณะที่ชอบ การเรียนก็น่าพอใจคะ สนุก ขนาดเครียดก็ยังยิ้มได้คะ ส่วนเรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องเพื่อนคะ เพื่อนคนนี้เมื่อระลึกถึงเขา เขาจะยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่มีพิษมีภัยกับใคร น่ารัก ตัวเล็กๆ ครั้งล่าสุดที่เราเจอกันคือเขามารับพระราชทานเกียรติบัตร ที่สวนอัมพรเพื่อนคนนี้เรียนพยาบาล 2 ปีคะ เขาทำงานที่บ้าน แล้ววันหนึ่งฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนถึง 4 คนในเวลาไล่เลี่ยกันคำพูดที่ได้ฟังจากเพื่อนบอกว่า วิเสียแล้วนะ ถูกรถชน ความรู้สึกตอนนั้นตัวชาไปหมดถามซ้ำๆจากเพื่อนว่าจริงเหรอ ไม่ใช่หรอก เป็นไปไม่ได้ น้ำตาไหลแบบไม่ได้สั่ง พรั่งพรูออกมาดั่งสายฝน ฉันไม่เคยสูญเสียจนต้องร้องไห้อย่างนี้เลย และอีกหลายเรื่องราวมากมายที่ชาตินี้คงไม่มีวันลืมแต่ทุกเรื่องราวนั้นก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตในแต่ละช่วงวัยที่ทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ มีรสชาติ แม้เจอะเจออุปสรรค เราก็เตรียมพร้อมรับมันอย่างเต็มใจ ถือว่าเป็นแบบทดสอบอีกชุดที่เบื้องบนส่งมาให้เรา มันท้าทายดีนะคะ ทุกปัญหาไม่ว่าหนักหรือเบาลองเปลี่ยนมุมมองดูนะคะ เพราะมันอยู่ที่ว่าเราจะคิด จะมองอย่างไรเท่านั้นเอง ไม่ต้องแก้ไขให้ยุ่งยากซับซ้อน ข้อสำคัญอย่าใจร้อนนะคะเป็นกำลังใจให้ตัวเอง และฉันขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้กับแบบทดสอบชีวิตทุกชุดนะคะ
22 มกราคม 2549 17:12 น.
grofai-penguin
หลายครั้งหลายคราที่ฉันได้พบปะคนมากมาย และก็มีหนึ่งในนั้นที่ฉันประทับใจมากเป็นพิเศษจนเราได้รู้จัก และสนิทกัน แต่แล้วความรู้สึกที่เคยมีต่อเขาคนนี้กลับเป็นความรู้สึกที่นิ่งเฉย ไม่สนใจ ไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขา ถามว่าเขาทำอะไรให้เราโกรธรึเปล่า ลองทบทวนอย่างดี ก็ไม่พบว่าเขาจะทำอะไรให้เราโกรธได้เลย เพราะความโกรธมันมาจากการที่ฉันแคร์เขา แต่นี่เมื่อเราพบกัน ความรู้สึกแค่ว่า ไม่อยากเจอ ไม่อยากพูดคุย จากที่ผ่านมาเราก็มีเรื่องคุยกันต่างๆนานา ตอนนี้ต้องให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มการพูดคุยก่อน เริ่มถามก่อน ส่วนฉันนั้นตอบอย่างเดียว ฉันไม่ชวนเขาคุย เพราะตัวเองไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลย จนฉันเริ่มรู้สึกว่าทำไมเราถึงมีความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างนี้ ถ้าฉันโกรธเขา ฉันยังพอบอกให้เขารับรู้ได้ว่าเพราะอะไรฉันถึงไม่อยากคุยกับเขา ฉันรู้แล้วคะว่าเพราะอะไร แต่ฉันคงบอกเขาไม่ได้ว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะฉันเบื่อเขาคะ เบื่อที่จะพูดคุย และสาเหตุก็คือ เขาไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ฉันเตือนเขาเลย ฉันไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องชีวิตส่วนตัวอะไรเลย ฉันหวังดีกับเขาด้วยซ้ำ เราเรียนปีเดียวกัน ฉะนั้นฉันจึงอยากให้เขาลงเรียนวิชาเดียวกับเพื่อนๆเพราะถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ก็จะได้ถามกันได้ แต่เขาบอกว่าเอาไว้ก่อน จนกระทั่งหลายต่อหลายครั้งเขามาถามในสิ่งที่เราเรียนเลยไปแล้วเพื่อให้เราติวให้ แต่พอติวให้เขากลับไม่สนใจที่จะติว ซึ่งก็ทำให้เพื่อนพลอยเสียเวลาไปด้วยที่จะต้องมาอ่านทบทวนเล่มเก่าเพื่อที่จะติวให้เพื่อน ทั้งๆที่เพื่อนก็ต้องอ่านเล่มต่อไปด้วย เพื่อนในกลาไม่มีใครหวงวิชาคะ พร้อมที่จะพาเพื่อนไปพร้อมๆกัน แต่เขากลับไม่เห็นค่าอันนั้น เพื่อนก็ไม่อยากทิ้งเพื่อนหรอกคะ แต่ควรจะดิ้นรนเอาเองบ้าง ไม่ใช่คิดจะพึ่งเพื่อนอย่างเดียว มันทำให้เพื่อนรู้สึกเบื่อได้คะ คนอื่นอาจตัดสินว่าฉันเห็นแก่ตัว ฉันยอมรับคะแต่เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างรับผิดชอบคะในกรณีนี้ ถ้าหากพวกเราเตรียมตัวสอบทุกคนก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบวิชาเรียนของตัวเอง ซึ่งฉันสอบไม่ตรงกับวิชาเรียนของเขาเพราะวิชาของเขาฉันได้สอบผ่านแล้ว และเขาต้องการให้ฉันติวให้ ซึ่งถ้าฉันติวให้เขาฉันต้องเสียเวลามากเพราะต้องอ่านเพิ่มจากวิชาของตัวเองอีกเท่าตัว แต่ถ้าเราเรียนวิชาเดียวกัน คือถ้าติวให้จะเป็นการทบทวนไปในตัวคะ การหวังดีกับเพื่อนเราต้องดูความสามารถของตัวเองด้วย ดูกำลังของเราซึ่งถ้าเขาจะเคืองเราเพราะเรื่องที่เราไม่ติวให้เขาฉันก็ไม่แคร์คะ เพราะการสอบได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเองคะ ไม่ใช่เพื่อน ต่อให้เพื่อนติวดีแค่ไหน แต่เราไม่ทบทวน ไม่จำ โทษคนติวไม่ได้หรอกคะ เพื่อนไม่ได้มานั่งทำข้อสอบให้เราคะ ตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนทำ เป็นคนคิด แปลกนะคะพอตัวเองสอบตกขึ้นมา คนเรามักโยนความผิดไปให้ติวเตอร์บ้างล่ะ อาจารย์ผู้ออกข้อสอบบ้างล่ะแต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย ที่เตรียมตัวไม่ดี ลองคิดกันสักนิดนะคะว่าตัวเองกำลังทำให้เพื่อนเบื่อรึเปล่า หรือกำลังเบื่อใครอยู่รึเปล่า แต่ฉันคะ ฉันกำลังเบื่อเพื่อนคนนี้อยู่คะ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปฉันคงต้องบอกเขาสักที ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้าง แต่ความรู้สึกนี้มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงคะที่รู้สึกต่อเขาคนนี้
20 มกราคม 2549 15:47 น.
grofai-penguin
ฉันมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งอยากให้ทุกคนได้อ่าน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉันสักช่วงเมื่อฉันอยู่ม.5 ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยเขียน ชื่อ ที่อยู่ ของตัวเองเพื่อประกาศหาเพื่อนคุยในหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่ง ซึ่งก็มีเพื่อนหลากหลายจังหวัดเขียนมาคุยกับฉัน ตอนนั้นดูเหมือนตัวเองเป็นดารายังไงยั้งงั้น ตอบจดหมายไม่หวาดไม่ไหว และก็มีสองสามฉบับที่เราติดต่อกันอยู่พักหนึ่ง จนเหลืออยู่คนนึง และแล้ว เราสองคนก็แลกรูปกันดู เพราะอยากเห็นหน้าเหลือเกินจากการคุยกันทางจดหมายได้หลายฉบับแล้ว จากนั้นฉันก็ให้เบอร์โทรกับเขาไป เขาเป็นผู้ชาย ชื่อรัตน์ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากเขียนชื่อเขาลงไปเลย แต่เผื่อวันใดวันหนึ่งเขาได้แวะเข้ามาอ่าน เขาก็จะได้รู้ว่าที่จริงแล้วฉันรู้สึกอย่างไร เขาโทรมาหาฉันบ่อยๆ เพราะเขาไม่เคยให้เบอร์โทรฉัน ฉันเลยโทรหาเขาไม่ได้ ระหว่างเราสองคนฉันไม่รู้ว่าการคุยกันทางจดหมาย และการคุยกันทางโทรศัพท์เขาจะคิดยังไงกับฉัน แต่ฉันคิดแค่ว่าเราเป็นเพื่อนกันทางจดหมายก็เท่านั้น แต่มาวันหนึ่งเขาบอกว่าเขามีโทรศัพท์มือถือแล้ว และเขาก็ใช้เบอร์นั้นโทรมา แต่ฉันก็ไม่ได้โทรไปหาเขาหรอก และหลังจากนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งโทรมาที่บ้านบอกว่าในมือถือของเขามีเบอร์โทรของฉันอยู่ เขาอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร แต่ฉันเชื่อแน่ว่าฉันไม่รู้จักเขาอย่างแน่นอน ถามไปถามมาเขาอยู่จังหวัดเดียวกับพี่รัตน์ ฉันเลยถามไปว่ารู้จักพี่รัตน์รึเปล่า คำตอบที่ฉันได้คือ ผู้ชายคนนั้นบอกว่า สงสัยไอ้รัตน์มันเอามือถือของเขาไปใช้จีบสาวอีกแล้ว คืองงคะ ไหนพี่รัตน์บอกว่ามือถือของพี่ ฉันก็ไม่รู้ว่าใครพูดจริง พูดเท็จ แต่ฉันคิดว่าพี่รัตน์คงพูดโกหกมากกว่า และอีกวันต่อมาพี่รัตน์โทรมาหาอีก ฉันจึงบอกเขาว่าต่อไปไม่ต้องโทรมาหาแล้วนะคะ เป็นคำบอกกล่าวที่สั้นๆ และเมื่อเขาถามอะไรฉัน ฉันก็ได้แต่ เอ่อ...คือ แล้วก็วางสายไป เชื่อไหมคะจากนั้นอีกประมาณ สามสี่วัน ฉันได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาพร้อมจดหมายทุกฉบับของฉันที่ฉันเขียนไปคืนมาทั้งหมด ซึ่งเป็นคำตอบกลับของเขาอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้ว่านี่คงจบสิ้นแล้วระหว่างความเป็นเพื่อนของเรา ฉันไม่รู้สึกเสียดาย หรือเสียใจ เพราะใจจริงของฉันแล้วเราอยากแค่คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์แลกเปลี่ยนความคิดกันมากกว่า แต่การพูดจาของเขามันมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ฉันคิดว่า เขาหลอกลวงฉัน ฉันรู้ว่าฉันอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคบกันต่อ ดีกว่าจะมานั่งกลุ้มใจทีหลังว่าจะทำยังไงดี เพราะหากวันข้างหน้าฉันอาจไม่อยากคุยไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาอีกแล้วก็ได้ หากเราเสียความรู้สึกไปแล้ว มันเรียกกลับมาได้ยากจริงๆ ฉันยอมรับว่าฉันไม่เชื่อใจเขา ฉันรู้ว่าการคบใครสักคนต้องเชื่อใจเขาด้วย แต่เราเองรู้อยู่แก่ใจคะ ว่าเราควรจะเชื่อใจเขารึเปล่า มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความระแวงเลย เคยจับคนโกหกได้ไหมคะ คนโกหกมักจะไม่จำในสิ่งที่ตัวเองโกหกเท่าไหร่ แล้ววันหนึ่งเขาก็หลุดมาจนได้ ฉันอยากบอกพี่รัตน์ว่า หากฉันเข้าใจในตัวพี่รัตน์ผิด ก็ขอโทษด้วยนะคะ เพราะถ้าฉันเข้าใจพี่ผิดจริงๆฉันก็ไม่สมควรเป็นเพื่อนกับพี่หรอกคะ แต่ถึงฉันจะเข้าใจพี่ถูกจริงๆ ฉันก็ไม่เคยโกรธพี่จริงๆคะ แต่ที่ทำลงไป เพราะฉันไม่อยากเกลียดพี่คะเมื่อจับได้ว่าพี่โกหกฉัน เดี๋ยวนี้เพื่อนทางจดหมายเริ่มมีน้อยลง ตั้งแต่มีการ แชทกันทาง Internet อยากให้ทุกคนระวังตัวให้มากนะคะ มีบางคนแชทได้เพื่อนที่ดี ก็สานความสัมพันธ์ต่อ ได้เพื่อนไม่ดีก็อาจถูกล่อลวงได้ การเชื่อใจคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีคะ แต่อย่าลืมนะคะเราเลือกที่จะเชื่อใจ เลือกที่จะไว้ใจได้ ในบางเรื่อง เพราะขนาดคนใกล้ชิดเราเรายังไว้ใจเขาได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แล้วคนที่คุณแชทด้วยคุณก็ยังรู้จักเขาได้ไม่ดีพอเลย การได้คุยกันบ่อยๆก็ใช่ว่าจะได้รู้จักตัวตนของเขา ไตร่ตรองสักนิดนะคะ หากคบกันแบบเพื่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆระหว่างกันก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ จะได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย ......................กรอฝ้าน...เพนกวิน
18 มกราคม 2549 13:56 น.
grofai-penguin
วันนี้ฉันอยากจะขอโทษใครสักคน แต่แล้วฉันก็ไม่ได้ขอโทษ เพราะยังสับสนกับคำพูดของเธอ ฉันไม่รู้ว่าเธอแก้ตัว หรืออยากอำอย่างที่เธอบอก เพราะเธอทำให้ฉันเข้าใจเธอผิด โกรธเธอมาเป็นอาทิตย์เต็ม อาทิตย์ที่แล้วฉันนัดเธอให้มาเจอกันหน่อย เพราะเราไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว จนวันนึงที่ฉันเร่งเธอให้ทำอะไรให้อย่างหนึ่ง แต่เธอบอกว่ายังไม่ว่างทำให้ กำลังติดธุระอยู่ และขอวางสายก่อน เธอทำให้ฉันโกรธ และเสียความรู้สึกกับการที่วางสายฉันก่อนที่ฉันยังพูดไม่จบบ่อยๆ เพราะอ้างว่าติดธุระเสมอ เพราะวันที่ 5 เธอบอกว่าไม่ต้องไปทำงานแล้ว เพราะลาออกแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะเอาข้ออ้างติดธุระอะไรอีก เพราะฉันโทรหาเธอวันที่ 10 และวันนี้เองที่ครบ 7 วันที่เรานัดกัน ฉันคิดว่าเธอจะลืมแล้วด้วยซ้ำ คิดว่าเธอคงไม่มาแล้ว และเธอก็บอกว่า 7 วันพอดีและวันนี้ก็ว่างด้วย เธอบอกว่าเธอทำงานที่ใหม่มาได้อาทิตย์พอดี วันนี้เขาให้หยุดจึงมาหาฉันได้ งานนี้ก็โอเคเพราะงานเก่าเป็นงานที่ผับฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ฉันถามว่าแล้วทำไม่วันนั้นไม่บอกว่ากำลังทำงานอยู่ บอกว่าติดธุระทำไม เธอก็บอกฉันว่า อยากมาเล่าให้ฟังทีเดียวขอกั๊กไว้ก่อน ได้ยินอย่างนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ที่เขาไม่ได้ลืมเรา แต่ก็รู้สึกผิดนิดๆที่ชอบคิดมากไปเอง ปากบอกว่าเธอไม่เข้าใจฉันเลย แต่ฉันกลับไม่เข้าใจเธอเลย ฉันรู้ว่าเธอก็อยากหางานทำบ้าง ขอโทษนะเพื่อน ที่เพื่อนคนนี้ไม่เข้าใจเธอเลย แต่เธอก็เก่งนะทำงานได้โดยไม่คิดว่ามันหนักหนาอะไร ตั้งใจทำงานด้วยซ้ำ เธอมักจะพูดเสมอว่า เห็นไหม โตแล้วนะ มันก็พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าเธอโตแล้วรับผิดชอบได้บ้าง แต่เรื่องเรียน เรื่องเพื่อนก็อย่าให้เสียนะ ในที่สุดแล้วฉันก็เอาความคิดมากของฉันมาทำลายความเชื่อใจ เข้าใจระหว่างเราจนได้ ขอโทษที่ดูถูกความคิด คำพูดและการตัดสินใจของเธอ เธอเองยังกลัวว่าฉันจะคิดมากเลยเล่าให้ฟังทุกอย่างภายในวันเดียว ฉันไม่รู้ว่าจะสัญญากับเธอได้รึเปล่าว่าต่อไปจะไม่ด่วนสรุป คิดมากอีก ไม่อยากใช้คำว่าพยายามเลย เพราะเธอยังเคยบอกฉันว่า จะเข้าใจฉัน โดยไม่ต้องใช้คำว่า พยายามเข้าใจ หากฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ ฉันจะถามเธอล่ะกันนะ ฉันจะไม่คิดมากจนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเราอีกแล้ว ขอโทษนะที่ต้องทำให้เธอเหนื่อยใจอยู่เรื่อยๆ การคิดมาก คิดเองเออเอง ระแวงไปหมด มันเป็นทุกข์จริงๆนะคะ อาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่รักกัน เป็นเพื่อนกัน ได้อย่างง่ายดาย คิดให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป ก่อนที่มันจะสายเกินไปนะคะ ขอโทษอีกครั้งสำหรับเพื่อนที่เข้าใจฉันอย่างเธอ................กรอฝ้าย...เพนกวิน