Assasin วีรบุรุษแห่งเลือดบทที่ 1
LoveNeverJang
บทที่ 1 นครแห่งความอาดูร
"อ๊าก..." เสียงโหยหวนดังมาจากซากเมืองโบราณ กลาสแฮม ตามมาด้วยเสียงดาบกระทบและของแข็งดังไปทั่วตัวเมือง
"ระวังลูกธนู" นายทหารไนท์ (Knight) คนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ตะโกนขึ้น บรรดาทหารที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่ต่างยกโล่ขึ้นสูงเหนือหัวตนเองและคนที่อยู่ใกล้เคียง ทันใดนั้นก็มีลูกธนูตกลงมาราวกับห่าฝน ตกใส่ผู้ใดก็ทิ่มแทงทะลุเกราะด้วยแรงยิงมหาศาลแต่มิอาจทะลุโล่ที่ทำจากแร่เหล็กชั้นดีและออกแบบมาเพื่อรับการโจมตีอันรุนแรงได้
"เอ้าเลยทุกคน ทะลวงออกไป กำลังของเรามากกว่า เราชนะอยู่แล้ว" ทหารที่แต่งตัวเด่นกว่าคนอื่นสั่ง เขาคือนายกองเอเฟรด ที่ดวงตาของนายกองมีบาดแผลเป็นกากบาทน่ากลัว เมื่อนายกองตะโกนสั่งทหารก็ส่งเสียงพร้อมกับช่วยกันถาโถมเข้าไป ปิศาจที่ขวางทางอยู่มีทั้งเรดิก (Raydric) ปิศาจชุดเกราะไร้กาย อินจัสติส (Injustice) ปิศาจที่ถูกทรมานจนตายที่ข้อต่อมีของแหลมฝังอยู่ ซอมบี้ (Zombie) ซากศพเดินได้ ทหารคนใดเข้าใกล้ก็ถูกเหล่าปิศาจที่บางกัดบางแทงบาดเจ็บล้มตาย ฝ่ายมนุษย์ก็ไม่น้อยหน้า ปิศาจตัวไหนที่อยู่ในระยะแนวรบก็ช่วยกันรุมฟันจนร่างแหลละเอียด จุดเด่นของปิศาจคือความแข็งแกร่งทนทาน ส่วนมนุษย์ที่มีสมองย่อมคิดออกว่าจำนวนคือข้อได้เปรียบหากพละกำลังเป็นรอง
"ฮึ...โง่เง่าสิ้นดี" ด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยการสู้รบกลับมีชายคนหนึ่งที่ยืนดูการต่อสู้เหล่านั้นอยู่บนเสาหักๆที่อยู่สูงขึ้นไปผ้าคลุมสีดำปลิวไสว ผมสีขาวยาวลงมาปรกตาไว้ข้างหนึ่ง หน้าที่ซีดราวกับคนตาย ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเสาต้นถัดไป
"ถ้ามันน่ารำคาญขนาดนั้นก็ทำให้มันจบซะทีสิ" เด็กหญิงผมแดงบอก คำพูดนี้ทำเอาชายผมขาวหัวเราะเบาๆ
"งั้นก็อย่าเสียเวลาเลยนะ" ชายคนนั้นบอกพร้อมกับกระโดนขึ้นไปยืนบนกำแพงเหนือหัวมนุษย์ เมื่อทหารมองเห็นพากันเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจกับการปรากฏตัวของชายลึกลับ "เจ้าพวกมนุษย์ที่อ่อนแอทั้งหลาย จงจำไว้ผู้ใดที่บังอาจเป็นศัตรูกับเหล่าปิศาจมันผู้นั้นจะต้องพบกับวาระสุดท้าย ด้วยความตาย...อันน่าสยดสยอง" เมื่อพูดจบคัมภีร์ปกดำก็ถูกกางออกทันใดนั้นผู้คนก็พากันอุดหู พลางร้องอยากทรมาน นายกองหน้าบากที่ผ่านศึกมามากมาย ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับบรรดาหนังสือปกดำนั้นมีมาก รวมทั้งรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้ จึงทำให้เขาไวพอที่จะเอาที่อุดหูที่เตรียมมาใส่ไว้ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงบทเพลงแห่งความตาย!! นายกองพุ่งสุดตัวผ่านทหารที่นอนดิ้นไปมา วิชาหอกระยะไกลถูกใช้ออก
"สเปียบูมเมอร์แรง (Spear Boomerang)" หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น ด้วยทักษะหอกแหวกลม หอกพุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น หวังบั่นทอนสมาธิ เป้าหมายคือใบหน้า ทันใดนั้นขณะที่หอกน่าจะอยู่ห่างจากชายคนนั้นเพียงคืบเดียว ก็เสียบเข้ากับเกราะเวทมนต์ ชายคนนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
"ในที่สุดชะตาก็ทำให้เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะพี่ชาย!!" ชายผมขาวบอกและสลายเวทมนต์ออกทำให้หอกที่ปักค้างอยู่ลอยกลับไปหานายกอง เขาตั้งท่าเตรียมจู่โจมซ้ำ แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของนายกองพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมแดง นายกองสติดีพอที่จะไม่ตกใจแต่ก็ช้าไปสำหรับการจู่โจมตอบโต้ เด็กสาวใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวจิ้มตามจุดต่างๆบนร่างกายของนายกองทำให้เขาไม่สามารถขยับได้
"เบิกตาดูไว้เถิดพี่ชาย วาระสุดท้ายของมนุษย์ที่เป็นปรปักษ์กับปิศาจ" คัมภีร์ปกดำถูกกางออกอีกครั้ง เกิดอาณาเขตวงเวทย์ขึ้นล้อมทหารที่กำลังนอนดิ้นไปมาบางส่วนไว้ นายกองเบิกตาโพลง นี่คือวงเวทย์ที่เขาเคยเห็นมาก่อน นี่คือวงเวทย์ที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมือง นี่คือวงเวทย์ที่...ทำให้เมืองนี้ล้างและเต็มไปด้วยปิศาจ
"เดธแลนด์ คิลเลอร์ (Deadland Killer)" เกิดเสียงระเบิดขึ้นบริเวณภายในวงเวทย์ทำให้ทหารที่อยู่ในวงเวทย์หายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยปิศาจร่างยักษ์สองตน หนึ่งคือผู้ช่วยเพรชฆาตในกลาสแฮม เรบิโอ (Rybio) ในมือมีมีดอาบเลือดสองเล่ม อีกหนึ่งคือเพรชฆาตแห่งกลาสแฮม นามเฟรนดาร์ก (Fhendark) ที่ใช้อาวุธเป็นที่ช็อตไฟฟ้า
"ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้คนของเราก็ดูเหมือนจะเท่ากันแล้วนะท่านพี่" มันระเบิดเสียงหัวเราะชวนขนลุกแล้วก็หายตัวไปทิ้งไว้เด็กสาวผมสีแดงที่ยืนมองหน้านายกองหน้าบากก่อนจะคลายจุดที่สกัดไว้และหายตัวตามไป พอผู้ที่ใช้เวทย์ย้ายที่ไปที่อื่นระยะห่างของเวทย์มนต์ย่อมเสื่อมลงทำให้ทหารกลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่สองผู้มาใหม่พอมาถึงก็ทุบโน่นแทงนี่เป็นพัลวันผู้ใดต้องคมมีดหรือที่ช็อตไฟฟ้าก็สิ้นใจตายทันที ฝ่ายนายกองหน้าบากพอหลุดจากพันธนาการก็พุ่งเข้าไปหวังว่าจะช่วยทหารของตนแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงร่ายเวทย์สองเสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
"ธรรมชาติก่อเกิดพลัง พลังก่อเกิดความกล้า ความหนาวเหน็บของธรรมชาติจักก่อเกิดพลังแก่ข้า ก่อให้เกิดความกล้าแก่ข้า เวทย์วายุหโลม สตอมกัส (Strom Gust)" เกิดพายุหิมะขึ้นสองวง หนึ่งที่เฟนดาร์กและอีกหนึ่งที่เรบิโอที่ยืนอยู่แช่แข็งมันทั้งคู่ด้วยความหนาวเหน็บของหิมะเวทย์มนต์ที่ไม่ส่งผลต่อมนุษย์และบริเวณของวงเวทย์ยังกว้างพอที่จะกำจัดปิศาจอื่นๆจนหมดด้วย
"เอาเลยมาคัส" เสียงหนึ่งในนั้นตะโกนบอก มีอีกเสียงดังขึ้นมาอีก
"ในนามเทพธอร์บิดาแห่งสายฟ้า พลังแสงสว่างที่ใช้ขับไล่ความมืดจักก่อเกิดพลัง สายฟ้าพิโรธ จูปิเทลธันเดอร์ (Jupitel Tunder) " บอลสายฟ้าพุ่งตรงไปยังร่างของเฟนดาร์กที่ถูกแช่แข็งอยู่ระเบิดจนมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วก็หันมาใช้ท่าเดียวกันกับเรบิโอ ทหารที่เหลือรอดเมื่อเห็นศัตรูตัวฉกาจถูกทำลายลงต่างก็ส่งเสียงเฮดังลั่นไปทั้งบริเวณ เมื่อหน้าที่จบลงเอเฟรดก็เดินไปพบกับสองฉกรรจ์หนึ่งเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้ สองในสามเป็นเป็นจอมเวทย์ไฮด์ วิซาร์ท (High Wizard) อีกหนึ่งเป็นนักเวทย์วิซาร์ท (Wizard) สองฉกรรจ์เป็นสองในสิบคนที่ถูกเรียกว่าจอมเวทย์แห่งสายธาตุของเมืองเกฟเฟ่น (Geffen)
"ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ" เอเฟรดเปิดบทสนาทันทีที่มาถึง
"เราสองคนคือจอมเวทย์แห่งสายธาตุจากนครมนตรา เรานามว่าวินด์ สหายเรามาคัส ส่วนนั่นคือศิษย์เอกของเราลูท เราไม่ทราบเลยว่ามีการเดินทัพผ่านเกฟเฟ่น แต่มีผู้แจ้งว่าได้ยินเสียงดาบมาจากที่นี่ เราจึงมาเพื่อให้เห็นกับตา เหตุใดกองทัพของศาสนจักรถึงมาอยู่ที่นี่ได้" หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกพร้อมกับถามในประโยคเดียวกัน
"เรามีนามว่าเอเฟรด คิลลัว เป็นผู้คุมกองทหารราบที่ 9 เนื่องจากทางกองทัพศาสนจักรได้รับแจ้งว่าได้มีพลังงานลึกลับออกมาจากเมืองกลาสแฮมจึงได้ส่งกองทหารมาสำรวจ แต่ระหว่างทางเราถูกปิศาจดักซุ่มโจมตี การเดินทางมิได้ผ่านเมืองเกฟเฟ่นแต่เลยขึ้นไปทางเหนือ อาจจะเป็นเหตุให้เจ้านครเกฟเฟ่นไม่ทราบก็ได้ ทางกองศาสนจักรต้องกราบขอประทานอภัยไปยังเจ้านคร
เกฟเฟ่นด้วย" เอเฟรดกล่าวจบก็โค้งให้อย่างสวยงามหนึ่งครา
"ทางเมืองเกฟเฟ่นมิได้คิดเอาเรื่องแต่อย่างใด เนื่องจากนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วเสียงดาบยังดังไม่หยุด จึงส่งเราสามคนมาเพื่อตามพวกท่านให้กลับไปพักผ่อนที่นครเสียก่อน วันรุ่งขึ้นเมื่อรวมกำลังพลแล้วจึงค่อยมาที่นี่ใหม่" ชายฉกรรจ์แจ้งวัตถุประสงค์ก่อนจะมอบหมายให้ศิษย์เอกเป็นผู้นำทางกลับไปยังนคร ทางด้านนายกองเอเฟรดเปาปากหนึ่งครา ก็มีอัศวินขี่วิหกลมกรด เปโก้เปโก้ (Pecopeco) เข้ามาหา
"แจ้งไปยังนครพรอนเทร่า (Prontera) ว่าให้องค์ราชาทราบว่า กองทหารราบถูกซุ่มโจมตี สูญเสียกำลังทหารฝีมือดีไปเป็นจำนวนมาก จึงได้ถอยไปยังนครเกฟเฟ่นก่อน ในวันพรุ่งนี้จึงจะเดินทัพบุกเข้าไปอีกครั้ง" พอรับคำสั่งเสร็จอัศวินม้าเร็วที่ทำหน้าที่ส่งสารก็ควบวิหคตรงไปยังทิศที่ตั้งของนครพรอนเทร่าทันที
ก่อนตะวันตกดินในวันนั้นกองทหารราบที่ 9 ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่กำแพงนครเกฟเฟ่น แต่ทว่าเมืองมีนี้ไม่มีขนาดใหญ่มากนักสิ่งก่อสร้างภายในส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านเรือนหรือพวกบาร์เหล้ามากกว่า ทำให้ทหารต้องออกมาตั้งแคมป์ด้านนอกเมือง เมื่อทั้งหมดแบ่งที่สำหรับกางเต็นเสร็จแล้ว ก็มีจอมเวทย์คนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่าทหารทั้งหลายต่างมองอย่างสงสัย
"ผู้นำแห่งเกฟเฟ่นต้องการพบเอเฟรด คิลลัวไม่ทราบว่าคือผู้ใด" เมื่อพูดจบ เหล่าทหารต่างสงเสียงซุบซิบกันดังไปทั่วแต่จอมเวทย์คนนั้นหาแยแสสนใจไม่ จนกระทั่ง...
"ทุกคนเงียบ" เกิดเสียงตะคอกดังขึ้นจากเต็นตรงกลางพร้อมกับการปรากฏกายของทหารในเครื่องแบบชั้นสูง ลอร์ดไนท์ (Lord Knight) เขาคือนายกองกอลดัลที่เดินออกมาพร้อมกับผู้นำแห่งกองทัพศาสนจักร อัศวินศักสิทธิ์พาราดิน (Paladin) "ขออภัยสำหรับเหล่าทหารที่ไร้ระเบียบพวกนี้ ข้าเองที่ท่านตามหา โปรดนำทาง" กอลดัลบอก จอมเวทย์คนนั้นเดินเข้าสู่ตัวเมือง กอลดัลเดินตามไปช้าๆ ส่วนอัศวินศักสิทธิ์เดินแยกตรงไปยังพาหนะซึ่งก็คือวิหคลมกรดคล้ายกับที่อัศวินใช้แต่มีขนาดและสีสันแตกต่างกัน ขนาดที่ใหญ่และหางที่สีสันสวยงามกว่า มันถูกเรียกว่าแกรนเปโก้เปโก้ (Grand Pecopeco) เขากระโดดขึ้นขี่แล้วควบหายไป
ณ ยอดสูงสุดของเกฟเฟ่น ทาวเวอร์ (Geffen tower) ที่โต๊ะประชุมนายกองกอลดัลนั่งอยู่ด้านซ้ายเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามาสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้นำชั้นสูงอนุญาติจึงจะเข้ามาได้แต่ก็เฉพาะนักเวทย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่โต๊ะประชุมแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทย์ระดับแนวหน้าที่แต่ละคนดูหน้าตาดูขึงขังไม่พอใจที่เห็นอัศวินที่ไม่ใช่คนสำคัญเข้ามาที่ห้องประชุมซึ่งถือว่าเป็นความลับ ยกเว้นแต่จอมเวทย์สองคนที่ไปช่วยเขา ทั้งคู่นั่งประกบเขาพลางยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นนายกองทำท่าอึดอัด
"ท่านว่าพรอนเทร่ารู้ถึงพลังงานลึกลับจากนครกลาสแฮมงั้นหรือ" ผู้นำจอมเวทย์ชราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนจะมีอำนาจมากที่สุดในห้องประชุมแห่งนี้เปิดหัวข้อสนทนา
"ทางพรอนเทร่าได้รับแจ้งมาจากสาธาณรัฐจูโน่ (Yuno) ว่ามีพลังงานความมืดมหาศาลแผ่ออกมา องค์ราชาจึงได้มีพระบัญชาให้นำกองทหารส่วนหนึ่งมาตรวจดู" กอลดัลตอบด้วยท่าทีสุภาพ
"ฮึ... พรอนเทร่าไม่เห็นหัวเกฟเฟ่นแล้วรึยังไง ถึงได้ปิดข่าวเกฟเฟ่นแล้วแอบทำอะไรโดยพลการ" จอมเวทย์ที่นั่งตรงข้ามกับเขาพูดขึ้นอย่างฉุนเชียว
"ใจเย็นก่อน สไตเนอร์ เจ้าลองฟังคนอื่นก่อนจะไม่ได้เลยรึไง เอ้า...ว่าต่อไปอัศวิน" จอมเวทย์คนหนึ่งปรามก่อนจะให้เขาพูดต่อ
"โปรดเข้าใจก่อน กองทัพตามที่กำหนดไว้จะต้องมาถึงเกฟเฟ่นเช้าของวันนี้แต่ระหว่างทางได้ถูกลอบโจมตีโดยปิศาจทำให้แผนการเปลี่ยนไปเราไล่ต้อนปิศาจเหล่านั้นจนมันถอยกลับเข้าไปในนครร้างเกฟเฟ่น ขณะที่เรากำลังถอนทัพออกจากนครนั้นก็ถูกปิดล้อมด้วยปิศาจจำนวนมาก พวกเราพยายามตีฝ่าออกไปแต่ดาร์กพรีสก็ปรากฏตัวขึ้น..."
"ว่าไงนะ... ดาร์กพรีส บรรพชิตมารน่ะรึปรากฏตัวขึ้น" เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วโต๊ะประชุม "เงียบๆ" จอมเวทย์ชราตะโกนสั่งก่อนจะผายมือให้กอลดัลอธิบายต่อ
"ใช่ ดาร์กพรีสปรากฏตัวขึ้นและก็ทำพิธีเรียกสองจอมปิศาจออกมา พวกเราที่เสียกำลังไปเป็นจำนวนมากพยายามต่อสู้จนกระทั่งสองท่านนี้ไปช่วยเราไว้" เขาบอกแล้วชี้ไปยังสองจอมเวทย์ที่นั่งประกบเขา ทั้งคู่ยิ้มแต่ไม่กล่าวว่าอะไร
"แต่มีผู้บอกว่าดาร์กพรีสถูกกำจัดไปเมื่อนานมาแล้ว" จอมเวทย์ที่ใส่แว่นเลนส์เดียวถาม
"เอ่อ..." นายกองอ่ำอึ่งไม่รู้จะอธิบายว่าอะไรดี
"มีจริงๆ ไวด์ข้าเห็นมากับตา แต่ก่อนที่ข้าจะทำอะไร ดาร์กพรีสก็หายตัวหนีไป" วินด์บอก
"งั้นเราก็คงต้องเตรียมตัวพร้อมพบกับตำนานที่ชั่วร้ายอีกครั้ง รึว่า ท่านเห็นเป็นอย่างไร สไตเนอร์" จอมเวทย์หญิงที่ใส่หมวกเป็นรูปเด็กผู้หญิงนอนอยู่บนหัวถามสไตเนอร์
"ฮึ... นักบวชหรือจะสู้นักเวทย์ได้ หมดยุคของดาร์กพรีสไปนานแล้ว" สไตเนอร์บอกอย่างมั่นใจ
"ท่านก็มั่นใจอย่างนี้เสมอแหละ ประมาทนักแล้วจะเสียใจภายหลัง" นักเวทย์ตาบอดพูดขึ้น
"ไม่อยากเชื่อเลยว่าอัจฉริยะแห่งการสาปอย่างท่านจะกลัวบรรพชิตเพียงคนเดียว" สไตเนอร์เหน็บแต่จอมเวทย์ตาบอดมิได้ใส่ใจ
"งั้นพรุ่งนี้ทางเกฟเฟ่นจะให้ยืมทหารบางส่วน หากท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงหมายกำหนดการ แต่ถ้าหากท่านถอนกำลังกลับนครหลวง ทางเกฟเฟ่นจะรับหน้าที่เฝ้าคอยสังเกตุการณ์ให้" จอมเวทย์ชรากล่าว
"ราชโอการคือคำสั่งสูงสุดสำหรับเหล่าอัศวินแม้ตัวตายเกียรติยังคงดำรงอยู่ พรุ่งนี้กองทหารราบที่เหลือจะเคลื่อนทัพเข้าสู่นครร้างเพื่อสืบที่มาของพลังงานลึกลับ " นายกองกอลดัลกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
"งั้นเป็นอันตกลง เห็นแก่ความเด็ดเดี่ยวของท่านและเกียรติของเหล่าอัศวิน พรุ่งนี้จอมเวทย์ฝีมือดีบางส่วนของนครเกฟเฟ่นจะเข้าร่วมกองทัพกับท่านด้วย" จอมเวทย์ชรากล่าวและปิดการประชุมอนุญาติให้แยกย้ายไปพักผ่อน
อาทิตย์เลื่อนลับสุดขอบฟ้า ทุกชีวาต่างกลับเข้าสู่ที่
มิอาจรู้ได้ว่าในพรุ่งนี้ ทุกชีวีจะอยู่รอดเป็นอย่างไร
จบบทที่ 1 นครแห่งความอาดูร