1960s
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมมองออกไปที่สระน้ำใหญ่ที่บนเทอเรสแห่งบ้านเดี่ยวขนาดยักษ์ตั้งอยู่ บรรยากาศบึงใหญ่ช่างเหมือนกับร้านอาหารริมน้ำเจ้าพระยาจริงๆขาดแต่เรือใหญ่ๆและคลื่นที่เกิดจากเรือใหญ่น้อยเท่านั้น ในท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้เมื่อก่อนก็จะต้องใช้มือถือแก้วเหล้าแล้วคนวนๆนัยว่าให้เหล้าน้ำแข็งและโซดาปะปนกลมกล่อม ก่อนที่จะกร๊วบเข้าคอด้วยความราบรื่น เสียงเพลงไทยสากลสมัย 1960 ดังและเข้ากับสายลมเย็นๆฉ่ำจนเคลิ้มคล้ายว่า ณ เทอเรสชานบ้านกลับกลายเป็นวิมานแดนดินไปซะแร้ว
บรรยากาศแบบนี้จะต้องเป็น บลู โกล กรีน แบล็ค หรือ เรด ดี ผมสะพั่ง หัวเราะให้กับตัวเองในการที่ดัดจริตให้สูงส่ง ในเวลานี้มันไม่ต้องโอ้อวดใครว่ามั่งมีซะจนเกินประดา แต่มันเป็นความจริงในบ้าน ที่ไม่ต้องเสแสร้ง และแล้วเขาก็หยิบบลูมากิน อ้อแน่นอนสะพั่งคิด ด้วยความงกของผม หากต้องเอาเหล้าไปให้ใครกิน แน่นอน ผมรักเพื่อนทุกคน แค่เรดเนี่ยก็สุดแสนจะรักมากอยู่แล้ว
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆ นึกชมความฉลาดของตนอยู่ในใจ
เมื่อภรรยาได้ยกกับแกล้มสุรามาให้ วันนี้เป็นอะไรนะ อ้อยำเนื้อย่าง ที่รสชาติสุดแสนจะเข้ากับรสชาติของสุราแม่โขงมากกว่าแต่ทว่าเมื่อบลูแล้วก็ต้องเป็นกับแกล้มอะไรที่มันพิสดารแบบคนไทยแต่ธรรมดาแบบไอ้หรั่ง แต่เอยังไงก็นึกไม่ออก
อ้อ นึกได้แล้วในตอนนั้นในตอนที่พาฝรั่งไปเทคแคร์ ได้พามันเข้าโรงเบียร์เยอรมัน รสชาติของเบียร์เยอรมันและบวกด้วยไส้กรอกเยอรมันที่สีมันเหมือนกับน้ำมันหมูใช้แล้ว มันช่างรสชาติมันอย่างบอกไม่ถูกอะไรเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อคิดตังค์ก็รู้สึกว่ามันโคตรแพงบัลลัย และเหมาะสมแล้วที่จะได้ลิ้มรสชาติสักครั้งเพียงแต่ว่าหากได้ลิ้มรสชาติแล้วโดยไม่ต้องจ่ายตังค์เลยเนี่ยน่าจะดีที่สุด
ไนท์คลับ เป็นที่ๆมีแสงจากลูกแก้วกลมหมุนวนจนเวียนหัวแต่เวียนน้อยกว่าสุราที่ได้เข้าไปดองในสายโลหิตทุกเส้นอย่างไม่มีช่องว่างแล้ว และเสียงเพลงที่กรอกรูหูก็ไม่ได้ทำให้แก้วหูรู้สึกเพราะมัวคลอเคลียกับผมพาร์ตเนอร์อยู่
คิดไปคิดมาคิดย้อนไปย้อนมาก็มีแต่เรื่องที่ในตอนนี้กลับรู้สึกทึ่งว่าแต่ละสิ่งที่ทำลงไปนั้นทำได้อย่างไร บางอย่างก็รู้สึกละอายใจและก็กลบมันไปด้วยความหน้าด้านไร้ยางอายของผมเอง
สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างที่เห็นก็คือ คนหนึ่งคนทำงานและตั้งมั่นที่จะทำงานโดยไม่ยอมไปทำตัวให้น่ารัก กับคนที่คอยแต่ทำตัวให้น่ารักไม่ว่านายเมียนายลูกนายหลานนายจะใช้ให้ไปทำอะไรก็จะไปทำ สิ่งที่ได้รับช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินทีเดียว ในโลกนี้เขามองคนเราด้วยยศฐาบันดาศักดิ์ และความหรูหราฟู่ฟ่าจากการแต่งตัวเครื่องประดับ เงินทอง รถราคาแพงๆ
ผมกรึ๊บสุราผสมโซดาอีกแก้วแล้วลิ้มรสความแพงและความหอมของบลูขวดนี้แล้วก็เคลิบเคลิ้มในความมีโชคของตน ที่คิดทำแบบนี้และมั่นใจว่าจะทำอย่างนี้ต่อไป
ผมไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ต่อหน้าผมก็เล่นละครหรือหนังเลยทีเดียวบทบาทการตีบทแตกกระจุยของผมเป็นแบบตัวละครที่ดูสง่างามมีเกียรติภูมิฐานและทรงคุณทั้งวัยวุฒิคุณวุฒิ และนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนที่ได้ยินจะต้องทึ่งในความเป็นเทพทีเดียว
ภรรยาก็ได้ไป ชุดเพชร ราคาร้อยล้าน รถสปอร์ตที่ต้องสั่งเข้าถึงจะมีขี่ เงินในธนาคารของลูก ของเมีย ของเมียน้อย ของลูกน้องคนสนิท และหากทำงานลับมาบ้างก็จะมีบัญชีธนาคารในชื่อปลอม ชาตินี้ให้ตรวจยังไงยังไงก็ไม่เจอ
ที่ทำงานก็จะมีสาวๆมาใหม่ๆ หากเขาให้ได้ทุกอย่างผมก็สามารถตอบแทนได้ทุกอย่าง ทีแรกนึกว่าพวกด๊อกเตอร์จะยากเย็นแต่กลายเป็นว่าพวกนี้มองการณ์ไกลและง่ายกว่าที่คิดซะอีก
ใครสามารถหาในสิ่งที่ผมต้องการได้ก็นับว่าเป็นลูกน้อง ส่วนไอ้ที่บ้าแต่ทำงานตามหน้าที่ เถรตรง ผมยุ่งทั้งวัน ไอ้พวกนี้มันบ้าทำงานมันก็เป็นได้แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
ใครมาด่าต่อว่าเด็กของตัวในการทำงาน ก็แสดงว่ามันไม่ดี ก็ย้ายมันไปซะ
ใครที่มาขวางการเล่นกอล์ฟของผม ไม่ยอมหลีกทางให้สะดวกหรือไปก่อน แค่นี้ก็ย้ายมันไปซะ
ใครก็ตามที่มาทำงานแล้วมีปัญหา ผู้รับเหมาให้ซองใต้โต๊ะทำเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม ไอ้พวกนี้ก็ต้องจับย้ายให้อยู่ด้วยไม่ได้เพราะมันจะทำให้ระบบที่ดีๆของผมเสียหาย รายได้หด
ในหน่วยงานจะมีอยู่สองพวก คือ เด็กผม กับ เด็กคนอื่นๆ หากเป็นเด็กผมก็ต้องเข้าใจว่าจะต้องมีสิทธิแปลกประหลาดกว่า เด็กคนอื่น และต้องอย่างเห็นเด่นชัด
ผมสะหลัดหัวแล้วเริ่มเติมเหล้าอีกแก้วหนึ่งแล้วหัวเราะเคี๊ยกๆ
ไอ้พวกบ้า มัวแต่ดูหนังที่พระเอกกล้าหาญ ซื่อสัตย์ ตงฉิน เสียสละ จนลืมตัวคิดว่ามันเป็นพระเอกไป แต่ทว่าผมสะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆๆ ผมไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้น การกระทำของผมได้ส่งผมให้เป็นถึง พณฯ ทีเดียว
ผมหัวเราะเยาะให้กับคนอื่นๆ ไม่มีหรอกไอ้พวก พณฯ ที่มีแต่คุณความดีแบบในหนังนิยายโคตรเน่าในนิยายหลอกเด็ก
มิน่ายังโง่อย่างนี้นิเล่าถึงต้องกล้ำกลืนฝืนโง่จนเจ็บจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ผมสะพั่งชูแก้วเหล้าแล้วยกชูเชียร์และตะโกนก้องว่า ขอให้กูจงเจริญโว้ย ไชโย ไชโย ไชโย