ณ สถานการณ์เช่นที่ว่านี้ ความแล้งร้อนของโลกว่าน่ากลัวแล้ว จิตใจที่ร้อนรุ่มกลับน่ากลัวกว่าเป็นเท่าทวี สิ่งที่เราเป็น ความจริง ทุกคนย่อมตระหนักรู้อยู่แก่ใจตัว ทั่วทุกคน วาทะกรรมต่างๆที่ทุกคนสร้างขึ้น บางวาทะก็เพียงอยากบอกว่าตัวเป็นคนเช่นไรเท่านั้น แหละบางวาทะก็ไม่ต่างกัน เพียงอยากใช้กล่าวถึงเพื่อปรามาสหรือชื่นชม ว่าใครเป็นคนเช่นแบบไหน จะเป็นข้าพเจ้า หรือว่าใครๆ เราต่างมีจริตและความเห็นที่ต่างเป็นไทในตัวเอง "อิสระ และ ชอบธรรม" การอันใดที่เราแสดงออก ต่างอาศัยเหตุปัจจัย2 สิ่ง นี้ทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ บางจริตที่เลือกจะแสดงออก จะชอบธรรมในบริบทของสังคมบางสังคมที่มีจริตที่แตกต่างกับเราหรือไม่ อย่างไร ก็เพียงนั้น อิสระ และ ความชอบธรรม จึงต้องเตรียมเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอที่จะตอบบางใครให้ได้เมื่อไปกระทบถึงความรู้สึกใครอันบริสุทธิใจที่ถามหาถึงความพอดี พองาม และพอควร อย่างน้อยตอบสามัญสำนึกแห่งความเป็นสัตว์สังคมผู้ควรมีหน้าที่ได้บ้าง แม้เพียงหนึ่งน้อยก็ยังดี แม้ในเวทีการต่อสู้ ผู้หมายมั่นเป็นนักรบ จะได้รับการปลุกใจจากแม่ทัพเสมอว่า "การใหญ่จะสำเร็จ อาจต้องขืน และต้องข่มความเจ็บปวดกับการสูญเสียบ้างก็ตาม" แต่นั่น ก็มิได้เป็นเหตุผลซึ่งใครจะยอมรับได้ทุกคน โดยเฉพาะฝั่งที่คิดเห็นเป็นประการที่แตกต่างออกไป การแสดงออกใดอันเป็นที่ประจักษ์ใจในขณะนี้ ไม่ว่าจากผู้เป็น ไท ฟากใด ล้วนมีข้อโต้แย้งและข้อกังขาให้แคลงใจเสมอ การเป็นแบบหนึ่งอาจเกิดจากกระบวนการคิดแบบหนึ่ง แหละการเป็นอีกสิ่งหนึ่งอาจเกิดจากอีกกระบวนการคิดที่ต่างออกไป ในโลกที่หลากสี สีขาวสำหรับบางคนอาจเป็นสีแห่งความศิวิไล แต่สำหรับบางใครสีดำเป็นสีอันน่าพิสมัยยิ่งกว่า ขณะที่มีไม่น้อย ที่จะไม่ยี่หระที่จะประกาศตัวบอกใครๆว่า ข้านี่แหละหลงใหลสีเทา ยิ่งกว่าสิ่งใด ขาว เทา หรือ ดำ เป็นความถูกต้องที่แท้ก็ต่อเมื่อเกิดการตกผลึกของสังคม ที่ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน และนำมาซึ่งการยอมรับร่วมกันแล้วเท่านั้น สหายทั้งหลาย เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า วันนี้ทำไมเรามิอาจหันหน้ามาปรองดองกันได้ แบบที่ควรจะทำและควรจะเป็น ปัญหาอยู่ที่เราเห็นแตกต่าง หรืออยู่ที่การ ไร้พื้นที่ สำหรับความแตกต่างที่มีหนอ โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าเชื่อในบริบทของกระบวนการคิดข้าพเจ้าว่า เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเมือง คนที่คิดเห็นในเรื่องนั้นๆเป็นกลางไม่เคยมี มีแต่เห็นด้วย เห็นต่าง หรือเห็นด้วยเห็นต่างอย่างมีข้อแม้หรือข้อจำกัดเท่านั้น คนที่บอกเห็นกลาง หากเป็นกลางที่ถูกต้อง ในความนึกคิดของข้าพเจ้า น่าจะเป็นคนที่เลือกยืนอยู่ตรงกลางซะมากกว่า (แต่ในจริตต้องคิดเห็นในสิ่งนั้นเป็นประการใดประการหนึ่งแน่แท้) ให้ทัศนะเชิงบวก อาจจะหมายถึง ไม่ปรารถนาให้เกิดความขัดแย้ง หรือปรารถนาจะบรรเทาความร้อนระอุ และคอยประสานความขัดแย้งหรือผู้ขัดแย้งในสังคม ให้ยังคงไม่หลงลืมไปว่าเราเป็นเนื้อไทยเดียวกันก็เป็นได้ คนกลาง จึงยังเกิดอยู่ และข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่ายังมีความหมายและจำเป็นในเวทีของประเทศที่ประชาธิปไตยยังไม่เติบโตมากนัก เช่นประเทศนี้ ประเทศที่ เป็นประชาธิปไตยที่มีกฎหมาย แต่การบังคับใช้อย่างอ่อนแอ ย้ำว่าอ่อนแอเหลือเกิน ดังนั้น คนเห็นด้วย คนยืนกลาง และคนเห็นแย้ง จึงยังเป็นความจำเป็นที่ยังขาดไม่ได้ ประเทศที่มีเสรี มีสิทธิ และหน้าที่ในกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องใช้สิ่งเหล่านั้น กลับไม่เคยปรากฏแยกได้ชัดในการบังคับใช้ เสรี สิทธิ และหน้าที่ จึงยังแสดงจุดยืนได้ทับซ้อนกันจนยากจะแยกแยะได้ว่า ใครควรเป็นและควรทำเช่นไหน อย่างไร และแค่ไหน "ตราบเท่าที่ การปฏิรูปกฎหมายและการบังคับใช้อย่างเข้มแข็งไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้" อย่าหวังเลย ว่าจะได้เห็น ตุลา พฤษภา หรือแม้แต่กันยา เป็นฉากเศร้าสุดท้ายของประชาธิปไตยที่โหยหา เมื่อผู้รักษากฎซึ่งเป็นด่านหน้าของการบังคับใช้ ยังต้องเลือกว่าจะให้ความเป็นธรรมในขั้นต้นกับผู้ใด ก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด เมื่อผู้รักษากฎสูงสุดคือนักการเมืองบางจำพวก ซึ่งมีอยู่เต็มค่อนสภาที่ได้รับการเลือกตั้งมาโดยไม่เคยยี่หระถึงความศักดิ์สิทธิของกฎหมายในประเทศนี้ ประกอบกับ ประชาชนจำนวนหนึ่งยอมขายสิทธิต่างๆที่ตนพึงมีเพียง 1 นาที ให้กับบางใครเพื่อเดินเข้าสภาไปย่ำยีประเทศชาติได้ตามสบายใจฉัน เมื่อพื้นฐานอันเป็นหัวใจในการใช้กฎหมาย ณ รากฐานของประชาธิปไตยล้มเหลว จะหวังให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไร "ระบบกฎหมายล้มเหลว" ประชาธิปไตยที่แท้จึงมิได้มาสวัสดีประชาชนสักที นักกินเมืองในระบบประชาธิปไตยจึงมีอยู่ค่อนสภา ประชาชน ทั้งผู้สำคัญผิดและผู้เต็มใจเมื่อได้ขายสิทธิอันสำคัญยิ่งให้บางใครไปแล้วซิโรราบแล้วต่อความเห็นแก่ได้เพียงชั่วแล่น จึงไม่แปลกที่ผู้ได้มาซึ่งการปกครองแบบตัวแทนในประเทศนี้จึงมิได้ยอมรับการเมืองภาคประชาชน เพราะบางใครคิดว่ากลุ่มอำนาจตนได้ซื้อสิทธินี้อย่างเด็ดขาดมาเสียแล้ว ประกอบกับบางคนก็คิดว่าสิทธิของตัวจะมีอีกครั้งเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า สหายท่านหนึ่งเคยบอก ทั้งหมดนี้มิใช่ปัญหานักการเมือง หรือ ประชาชน แต่เป็นปัญหาของการบังคับใช้กฎ กฎที่ว่าคือกฎหมาย ในประเทศที่ระบบกฎหมายเข้มแข็ง ประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง คนขายสิทธิอันพึงมีของตนไม่ปรากฏ คนได้อำนาจปวงชนโดยการซื้อหาก็อย่าได้คิดฝันหวานเข้าสภา คนอยู่ในสภาจึงเต็มไปด้วยผู้กระหายความชอบธรรม เคารพกฎหมายและรักประชาชน เมื่อมีข้อโต้แย้งใดๆเกิดขึ้นในสังคม ความเห็นต่างที่ไม่ถูกประณามก็เกิดขึ้นได้ ความเห็นแย้งที่ไม่ถูกด่าทอก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องหาคนมายืนอยู่ตรงกลางเพื่อลดการเผชิญหน้า เพราะคนกลางคือกฎหมายที่จะได้รับโดยการบังคับใช้โดยบุคคลซึ่งดำรงความยุติธรรม เพื่อให้สังคมเกิดความยุติ สหายทั้งหลาย ไทยทั้งนั้น ที่บีบขยี้หัวใจประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น เราทำลายระบบกฎอันศักดิ์สิทธิ แม้ถึงว่าวันนี้ เราต้องเจ็บปวด กับความขัดแย้งที่เห็นด้วย ยืนกลาง หรือเห็นต่าง ก็กลืนฝืนความเจ็บปวดไปก่อนเถิด เพราะหากเรายังอ่อนแอ เมินเฉย มิกล้าแสดงตัว พร้อมทั้งเหยียดหยามทุกความเห็นต่าง เราจะก้าวข้ามไปสู่แดนแห่งอุดมคติได้อย่างไรเล่า วันนี้สังคมยังต้องการคนยืนกลาง ก่อนที่เปิดโอกาสให้เขาแสดงตัวในวันพรุ่ง เมื่อประชาธิปไตยที่แท้ได้เบิกบาน แม้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายแตกต่างกันในจุดยืนเชิงทัศนะคติ แต่เข้าใจในเหตุผลของกันและกันบ้าง เราอาจได้สร้างสังคมอันงดงามเพื่อบางใครในวันหน้า ก่อนที่จะสายไป ตรองเถิดสหายทั้งหลาย เรากำลังต่อสู้กับสิ่งใด เผื่อว่าบางทีลูกหลานของเราในกาลหน้า อาจได้มีโอกาสแสดงจริตที่แตกต่างกันบนแดนประชาธิปไตยที่สวยงาม ภายใต้ใบหน้าที่เบิกบาน ข้าพเจ้าเชื่อมั่น และวาดหวังเช่นนั้น แทนคุณแทนไท / นนทบุรี
5 มิถุนายน 2551 14:39 น. - comment id 100377
สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงที่สุดคือ "อย่าอยู่กลางความขัดแย้ง หรือปัญหา" แต่เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ก็ หนีปัญหาไปซะเลย ประมาณนี้อ่ะค่ะ โคลอน ก็เลยเลือกอยู่ขอบๆ...เจ๊ย
5 มิถุนายน 2551 14:45 น. - comment id 100379
บางทีเราก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเราเป็นกลาง เพราะเราไม่เคยเป็นกลาง เห็นต่างอาจไม่ใช่ศัตรู และแม้เห็นด้วยก็อาจมิใช่มิตร ในโลกแห่งนี้ มีหลากสี สีขาว สีดำ และสีเทามิอาจบอกได้ว่าเป็นผู้รักประเทศชาติอย่างแท้จริงมากกว่าผู้ที่เลือกสีอื่น ๆ แต่บนเวทีอิสระทางความคิดแห่งนี้ ย่อมให้อิสระต่อมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หลายคนรักษาสิทธิ์ของตัวเองแต่ก้าวล่วงสิทธิ์ของผู้อื่น อย่างที่ได้เคยพบมา.. วันนี้เราพูดมากเกินไปหรือเปล่าหนอ
5 มิถุนายน 2551 14:49 น. - comment id 100380
คุณ โคลอน อย่าขอบจนเผลอตกขอบก็แล้วกันครับ แบบว่าไม่มีอะไรมากกว่า ผมเป็นห่วง
5 มิถุนายน 2551 14:50 น. - comment id 100381
คุณแม่มดใจร้าย... 59% น้ำซักแก้วไม๊ครับ เผื่อหายคอแห้ง ผมเขียนอะไรซะยืดยาวยังคอแห้งเลย
5 มิถุนายน 2551 14:53 น. - comment id 100382
ลืมกุญแจเข้าบ้านอ่ะ ทำงัยดี.. /
5 มิถุนายน 2551 14:58 น. - comment id 100384
เสือโห ปีนหน้าต่างซิครับ โหย เสียรมณ์หมด
5 มิถุนายน 2551 15:05 น. - comment id 100385
^ ^ แนะนำให้เข้าบ้านคนอื่นไปก่อน เสือโหย...อิอิ
5 มิถุนายน 2551 15:07 น. - comment id 100386
ไรหว่า 59% แบบว่าตกเลขอะ หิวน้ำ.. แต่ขอน้ำแดง หิวข้าว.. แต่ไม่เอาข้าวแกง
5 มิถุนายน 2551 15:18 น. - comment id 100388
เมื่อไหร่หนอ.. " ที่ลูกหลานของเราในกาลหน้า จะมีโอกาสได้แสดงจริตที่แตกต่างกัน บนแดนประชาธิปไตยที่สวยงาม ภายใต้ใบหน้าที่เบิกบาน" เมื่อไหร่หนอ.. " คนกล้าที่ดี และคนดีที่กล้า จะมาถึงยังสังคมที่เต็มไปไปด้วยความยากไร้นี้สักที.."
5 มิถุนายน 2551 15:26 น. - comment id 100389
คุณ โคลอน อย่าไปแนะนำแบบนั้นซิ อุตส่าเปิดหน้าต่างรอ เสียของหมด
5 มิถุนายน 2551 15:29 น. - comment id 100390
คุณแม่มดใจร้าย 59% อย่าไปสนใจเลยเป็นความผิดพลาดทางอาชีวะ พาณิชย์ (ขำป่าวหว่า) หิวน้ำขอน้ำแดงพอไหว แต่ไม่มีแอลกอฮอร์นะ แบบว่าเป็นห่วงสุขภาพคนข้างเคียง แต่หิวข้าว ไม่เอาข้าวแกง เอาข้าวแดงดีป่าวคุณ เดี๋ยวแถมโอเลี้ยงให้ถุงนึงคิด 5 บาทพอ
5 มิถุนายน 2551 15:31 น. - comment id 100392
เมื่อเห็นความอยุติธรรมอยู่ต่อหน้า ข้าพเจ้าไม่ลังเลที่จะเข้าปกป้องผู้เสียเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรม.โดยไม่ลังเล....นักเขียนด้อพัฒนาชาติไหนก็ไม่รู้เขาว่า.....ทำให้เลือดในกายแล่นพล่าน ขนลุกซู่ดีนะ
5 มิถุนายน 2551 15:32 น. - comment id 100393
คุณเสือโหย(อีกที) คนเดียวกับเสือหาทางเข้าบ้านไม่เจอเปล่า มาต่อล้อต่อคำแบบนี้ มามะ เร็วๆ ว่องๆ
5 มิถุนายน 2551 15:35 น. - comment id 100394
กุญแจอ่ะ กุญแจ... ต้องให้มาอีกกี่ทีเนี่ยฮึ..
5 มิถุนายน 2551 15:36 น. - comment id 100395
คนไร้นาม ใครที่ลุกขึ้นมาปกป้องผู้เสียเปรียบที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหาได้ยากแท้ ในสังคมที่แม้แต่สิทธิของตนเองยังเมินเฉย และจำนน นักเขียนแบบที่คุณว่าคงมีอยู่ แต่คนแบบที่นักเขียนว่า อาจจะมี แต่ข้าพเจ้าลังเลว่า สามัญชนเช่นนั้นจะหาพบในแผ่นดินสยามหรือไม่
5 มิถุนายน 2551 15:36 น. - comment id 100396
59% ยังพอขำ แต่ไอ้ข้าวแดงพร้อมโอเลี้ยงเนี่ยขำมะออกอะ
5 มิถุนายน 2551 15:38 น. - comment id 100397
เสือโหย เสือที่ไหนร้องยังกะแมว แถมยังร้องหากุญแจ ร้องหาเนื้อหวานๆซิพ่อคุณ
5 มิถุนายน 2551 15:40 น. - comment id 100398
คุณแม่มด ขำไม่ออกเพราะคิดผมตังใช่เปล่า หย่างว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะประท้วงนี่แหละ
5 มิถุนายน 2551 15:44 น. - comment id 100399
เปล่าขำไม่ออกตอนคิดตังค์ แต่ขำไม่ออกตอนให้กินข้าวแดงอะ มาป่วน ๆ บ้านนี้ดีกว่า
5 มิถุนายน 2551 15:46 น. - comment id 100400
เค้าว่า ข้าวแดง แถวบางขวางอร่อยนะ แม่มดฯ
5 มิถุนายน 2551 15:47 น. - comment id 100401
เนื้อหวาน ๆ น่ะ ลงไปอยู่ในท้องเสือหิวหมดแล้ว..ว ชั่ยมั้ยช่าย..ย.. โอเค.. ไม่ป่วนแระ..
5 มิถุนายน 2551 15:55 น. - comment id 100404
คุณโคลอน ไปกินด้วยกันมะละ คุณแทนไทเป็นเจ้ามือ
5 มิถุนายน 2551 15:56 น. - comment id 100405
" เศรษฐกิจไม่ดี เพราะประท้วง" รึคะ.. อันนี้ไม่เป็นกลาง..ง ไม่เป็นกลาง..ง.. (ไม่ได้ป่วน ขอบอก) :: โดนรุมเป็นชุด ตอบไม่ทันล่ะซี้..
5 มิถุนายน 2551 16:00 น. - comment id 100407
ขอเป็นคนเสริฟได้ป่าว...แม่มดฯ ถ้าไม่พอจัดห้าย ...อิอิ ไปก่อนน๊า....พอหอมปากหอมคอ ปล.อยู่ใกล้เสือโหย ระวังนี แม่มดฯ ยิ่งชอบเนื้อหวานๆอยู่ด้วย แว๊บบบบบบบบบ...ก่อนจะโดนเพ่นกบาล
5 มิถุนายน 2551 16:02 น. - comment id 100408
บางอย่างความแตกแยก ความแตกต่างมีนความเป็นกลางอยู่ต่างสถานะกันค่ะเหมือนกระต่ายลงไปท้องที่ที่พิจิตรที่ผ่านมามีนายทุนมากว้านซื้อที่หลายพันไร่ติดต่อกันถามว่าชาวบ้านหลายคนอยากขายมีบางคนไม่ยอมขายเพราะกลัวสูญเสียพื้นที่ให้ชาติอื่นจึงต้องพูดคุยและหาความเป็นกลางร่วมกันว่าอย่าเห็นกับเงินล้านเด๊ยวก็หมดแหมสูญเสียที่ต้องไปเละเช่าคนอื่นทำกินลูกหลานจะไม่มีแผ่นดินอยู่ผู้นำชุมชนอย่าเห็นกับเงินเล็กน้อยที่เค้าให้มาเป็เป็นเดือนห้าพันหรือเดือนละเป็นหมื่นแต่มากว้านซื้อที่คนไทยกันเองอีกหน่อยจะสูญเสียแผ่นดินและความเป็นไทยค่ะ
5 มิถุนายน 2551 16:06 น. - comment id 100409
คุณแม่มด ขำไม่ออกตอนกินข้าวแดง เพราะข้าวเต็มปากหละซิครับ ไม่ต้องรีบกินครับ ค่อยๆกิน เอาหละ น้ำจะคิดครึ่งราคา เอาไปกลั้วคอซะนะ
5 มิถุนายน 2551 16:09 น. - comment id 100410
คุณโคลอน งั้นก็ ไปกันดีดีนะครับคุณโคลอนคุณแม่มด ขาดเหลืออะไรก็บอกคุณเสือโหย อย่าบอกผม ผมไม่รู้เรื่อง
5 มิถุนายน 2551 16:12 น. - comment id 100412
คุณเสือโหย โอเค แปลว่าไม่ค้าง ตก ลง
5 มิถุนายน 2551 16:13 น. - comment id 100413
คุณแม่มด ตกลงตามนั้นครับ ผมเลี้ยงข้าว คุณสองคนหากับเอง ส่วนน้ำครึ่งราคาเหมือนเดิม ไม่พ้นคุ๊กๆ
5 มิถุนายน 2551 16:16 น. - comment id 100414
คุณเสือโหย เศรษกิจทรุดเพราะพวกประท้วง ผมจำขี้ปากเค้ามาอีกที ส่วนน้ำมันแพง ข้าวของแพง ไม่เกี่ยวกันเลย จริงๆนะ แค่ 3 รุม 1 เด็กๆครับ 10 รุม 1 เจอมาแล้ว แต่ผมอยู่ในพวกจำนวน10
5 มิถุนายน 2551 16:19 น. - comment id 100415
คุณกระต่าย ถ้าประชนอยู่ดีกินดี มีความสุข ใครก็ไปฉกฉวยประโยชน์จากความแร้นแค้นได้ยาก แต่กว่าจะเจอสังคมที่เท่าเทียม เราคงได้เป็นทาศเท่ากันทุกคนกระมัง
5 มิถุนายน 2551 17:00 น. - comment id 100416
ต่างความคิดเห็นกัน...มันไม่ดีตรงไหน...เหรอ :) เขาว่าในองค์กร ถ้าเห็นต่างกันจะช่วยให้เกิดการปรับปรุงซะอีกน่ะ... แต่ในทางการเมืองทำไมมันกลับตาลปัตรขนาดนี้เชียวหนอ...
5 มิถุนายน 2551 17:21 น. - comment id 100417
ขอเป็นทาสเท่าเทียมด้วยคน แบบไม่มีเวลาไปรักชาติ เพราะปากท้องยังต้องกิน อยู่อ่ะ...ว๊า..แย่จัง...
5 มิถุนายน 2551 17:23 น. - comment id 100418
คุณกุ้งหนามแดง ในองค์กรที่ทำงาน เห็นต่างจะเกิดการพัฒนาครับ เพราะคนที่เห็นต่างได้หันหน้ามาพูดคุยกัน และได้ถกเถียงหาทางออกและวิธีการที่ดีที่สุด ภายใต้กรอบและข้อบังคับอันทุกคนยอมรับว่าจะเป็นที่ยุติ อันเป็นข้อบังคับขององค์กร แต่ในทางการเมือง กฎมันอ่อนแอตั้งแต่ต้น ทุกกลุ่มฝ่ายจึงไม่เคยเชื่อมั่นกันและกัน ความเห็นต่างจึงไม่เคยได้หันหน้ามาหาทางออก เพราะอะไร เพราะเราไม่เชื่อมั่นและยอมรับ ยอมรับอะไร ยอมรับกฎของสังคม ทำไม เพราะกฎเราอ่อนแอใช่หรือไม่ ขอบคุณที่แวะมาครับ
5 มิถุนายน 2551 17:31 น. - comment id 100421
คุณยาแก้ปวด คุณได้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้ แต่คนที่ที่ปวดถ้าคุณต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ คงเป็นผม เหอะๆ สงสัยเป็นคนรวยเหลือกินเหลือใช้ทั้งนั้นที่พอจะขยับเขยื่อนทางการเมืองได้ ประชาชนตาดำๆก็ดำๆกันต่อไป จนกว่าจะร่ำรวย หรือบางที หลายคนอยากขยับเขยื่อนบ้าง ก็สุดกำลัง เพราะปากและท้อง ทั้งของตัวและของคนอื่นด้วยว่ามิอาจทิ้งหน้าที่หนึ่งไปทำสิ่งอื่นได้ อันนี้ก็มากอยู่ ขอบคุณที่แวะมาครับ มีแต่ความสุขนะครับคุณ
5 มิถุนายน 2551 19:13 น. - comment id 100422
6 มิถุนายน 2551 10:03 น. - comment id 100427
คนไทยแท้ เขาจะไม่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เขาจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์จริง ๆ ต่อแผ่นดิน เพื่อให้ลูกหลานมีพื้นแผ่นดินอยู่อย่างมีความสุขไม่ต้องระหก ระเหินหนีตายไปอยู่แผ่นดินอื่น เขาจะนึกถึงแต่อนาคตของลูกหลาน มิใช่ตัวเขาเอง เพราะไม่นานเขาจะต้องตายตามธรรมดาของโลก หาก คนไทยในแผ่นดินนี้ ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อบริวารพวกพ้องของตัวเอง เพื่ออำนาจของตัวเอง เพื่อความสะใจของตัวเอง แล้วละก็ เขามิใช่คนไทยแท้ ดอกสหายเอ๋ย... และหาก แผ่นดินนี้มีคนไทยแบบนี้มากเกินครึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ อนาคตของลูกหลานที่มิใช่เป็นลูกหลานของคนไทยเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร ตรึกตรองดูเอาเองเถิดสหาย....
6 มิถุนายน 2551 12:31 น. - comment id 100428
อานันท์ ปลุกสังคมไทยอย่าเป็นกลางด้วยการนิ่งเฉย ต้องเลือกยืนข้างความถูกต้อง ข้องใจเวลานี้เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศหรือไม่ ระบุผู้นำต้องกล้ารับผิด เตือนสังคมกำลังแตกแยก ความอยุติธรรมพุ่งถึงขีดสุด ยืนยันกติกาไม่ใช่การเลือกตั้งเท่านั้น ต้องสามารถโต้แย้งได้ นายอานันท์ ปัญยารชุน ประธานองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย กล่าวปาฐกถาก่อนการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ปฎิรูปสังคมและการเมือง ครั้งใหม่ เมื่อ วันที่ 30 สค. 2549 ว่า คงต้องยอมรับว่าสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว และน่าเป็นห่วงอย่างมาก ปัจจุบันเวทีแห่งการโต้แย้ง สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้กลายเป็นและถูกอ้างว่าเป็นการแบ่งฝ่ายทางการเมืองเสียหมด เป็นยุคที่พูดเรื่องการเมืองไม่ได้หากพูดจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทำให้คนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนฝูงต่างต้องระวังตัวไม่อยากจะขัดแย้งกันเองหรือขัดแย้งกับคนทั่วไป การเสวนาในวันนี้เป็นเรื่องของความเป็นกลางไม่ได้สนับสนุนฝ่ายใด แต่ผมประกาศเลยว่าผมไม่เป็นกลาง ในชีวิตผมไม่เคยเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความถูกกับความผิด ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความดีกับชั่ว ไม่เคยเป็นกลางระหว่างประชาธิปไตยกับความไม่เป็นประชาธิปไตย ระหว่างธรรมกับอธรรม ไม่เคยเป็นกลางระหว่างกติกาตามรัฐธรรมนูญกับกติกาจัดตั้งระหว่างอิสรภาพของสื่อกับการกีดกั้นอิสรภาพ ผมอยู่ฝ่ายหนึ่งเสมอไป และตลอดชีวิตของผมก็หวังว่าฝ่ายที่ผมอยู่จะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง สังคมไทยใช้คำว่าเป็นกลางพร่ำเพรื่อ จะต้องมีจุดยืน และจากข้อเท็จจริงเหตุผลจะต้องนำไปสู่จุดยืนที่เราแน่ใจว่าเป็นจุดยืนระหว่างฝ่ายไม่ใช่บุคคลและต้องเป็นจุดยืนที่ถูกต้องและเหมาะสม นายอานันท์กล่าว
6 มิถุนายน 2551 12:36 น. - comment id 100429
15... มากมายครับ มองออกไปทางหน้าต่างคงได้ยินได้เห็นไม่ไกลเลย....
7 มิถุนายน 2551 03:38 น. - comment id 100441
งั้นมีทางอื่นให้เลือกอีกมั้ย??? ไม่ชอบทั้งรัฐบาลและคนที่ประท้วงรัฐบาล ควรยืนอยู่จุดไหนดี อย่างนี้คงไม่เรียกว่าเป็นกลางแล้วสิ -- --
7 มิถุนายน 2551 12:18 น. - comment id 100443
40... หลับ..แต่สนิทหรือไม่ ไม่รู้ ไฟไหม้บ้านอย่างไรไม่รู้ น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว ไม่สน...ดีไหม
9 มิถุนายน 2551 17:26 น. - comment id 100463
ทั้งเสือโหย โตลอน และแทนคุณแทนไทพากันไปกินข้าวแดงกันหมดแล้วปล่อยให้คนกลางนั่งตากแดดทำตาปริบๆไปก่อน เห้นด้วยนะกฎหมายน่ะดีอยุ่หรอกแต่คนบังคับใช้เลือกใช้กับบางใครบ้างเท่านั้น
13 มิถุนายน 2551 14:49 น. - comment id 100499
กลาง นี่ เหมือนเดินสายกลางหรือเปล่าคะ บางคนชอบว่า พวกเดินสายกลางเป็นพวกหนีปัญหา (หรือคิดไปเองนะ) แต่บางครั้ง การเดินสายกลาง ทำให้เรามองเห็นสองข้างทางได้ชัดเจน แม้ในความรู้สึกเราจะย้งอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง แต่เพียงเราเปิดใจรับอีกฝั่ง ไม่แน่ ปัญหาที่ว่านั้น อาจจะมีคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้วก็ได้ ^_^
28 มิถุนายน 2554 20:23 น. - comment id 124668
วัคซีนมาร์ค ๑๐ ระบาดอีสาน !!! ปูแดงซ่อนพิษแม้วไม่ไหว ..หลังคนอุบล ยโส อำนาจ แห่ซูฮก นายกฯอภิสิทธิ์ ..ขอบคุณ เรียนฟรี ประกันรายได้..ชนิดกรี๊ดดสลบ..สนามแตก !!!.. Posted by vincentoldbook , ผู้อ่าน : 869 , 18:18:57 น. หมวด : การเมือง พิมพ์หน้านี้ โหวต 1 คน .. ขอบคุณภาพจาก ผู้จัดการ และ facebook .. .................................. วัคซีนมาร์ค ๑๐ ระบาดอีสาน !!! ปูแดงซ่อนพิษแม้วไม่ไหว ..หลังคนอุบล ยโส อำนาจ แห่ซูฮก นายกฯอภิสิทธิ์ ..ขอบคุณ เรียนฟรี ประกันรายได้..ชนิดกรี๊ดดสลบ..สนามแตก !!!.. กฎเหล็ก.. ในการทำศึกเลือกตั้งหนนี้.. ของทางพรรคเผาไทยเพื่อแม้ว.. มีอยู่สั้นๆง่ายๆว่า.. ต้องเอาของเก่าคืนมาจากเนวิน และ อย่าให้เนวินมากินของใหม่ไปอีก !!!.. หากพรรคซ่อนพิษทักษิณพรรคนี้ ไม่สามารถกระทำการหยุดยั้ง..เนวิน ชิดชอบ ได้.. ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ไม่ว่าจะเรื่องแย่งเก้าอี้เก่าคืนมา หรือ โดนเนวินมาแย่งเก้าอี้ใหม่ไปอีก ..รับประกันซ่อมฟรี ..งานนี้ยังไม่ต้องถึงมือ..วัคซีนมาร์ค เบอร์ ๑๐ .. พิษขี้กลาก ขี้เกลื่อน ของไอ้แม้ว เบอร์ ๑ ในอีสานก็มีโอกาสโดนถอนรากถอนโคน .. หายไปในชั่วพริบตาด้วย..ฤทธิ์ยา ซีม่าโลชั่น เบอร์ ๑๖ ของคนรู้ใจสหายเก่า..แน่ๆ !!!.. หากเรากลับไปดูบทวิเคราะห์เจาะลึกของ เดลินิวส์ -เนชั่น ที่บอกว่าพรรคเผาไทยจะรักษาเก้าอี้ที่นั่ง ส.ส.เขตในภาคอีสานไว้ได้เกินครึ่ง นั่นก็คือ ๖๘ - ๖๙ ที่นั่ง ตามลำดับ.. เราจะพบว่า ๒ สำนักข่าวดัง กับ ข้อมูลภาคสนามที่ออกมานั้น เป็นการวิเคราะห์ในลักษณะของการ ถือหางแชมป์เก่าพรรคเผาไทยอยู่มากในช่วงก่อนโค้งท้าย โดยในหลายพื้นที่ที่คะแนนของคู่แข่งยังคงสูสีกันกับฝ่ายพรรคเผาไทยเพื่อแม้ว สำนักข่าวเหล่านี้จะฟันธงถือหางแชมป์เก่าว่าจะมีปัญญาเอาตัวรอดได้ .. โดยเชื่อว่ากระแสเว่อร์ฟรีของแม่นางยามีละห์หน้าเหี่ยว ทรามวัยปูแดงนั้น จะสามารถตะแบงลีลาอ่านสคริปต์ ๑๐-๑๕ นาที ไปได้ตลอดรอดฝั่งพร้อมกับเอา..นิ้วชี้ฟ้า หลอกคนไปกาเบอร์ ๑ ได้มากมาย !!! หลอกให้คนไปไว้ใจ เบอร์ ๑ มหาภัยได้..ชนิดถล่มทลาย!!!.. ทว่า ตอนนี้ไม่รู้ว่าภาพที่เราเห็นคนอีสานโดยเฉพาะอีสานตอนล่างอย่าง อุบลราชธานี ยโสธร และ อำนาจเจริญ ที่แห่แหนกันมาฟังการปราศรัยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบสนามแตกในทุกๆเวทีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปปราศรัยนั้น ตอนนี้สำนักข่าวต่างๆจะคิดเหมือนเดิมหรือเปล่า ?? พรรคเผาไทยจะคุยโวได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ??.. ในวินาทีนี้พรรคเผาไทยเพื่อแม้ว พวกเขาจะยังเชื่อว่าฝ่ายตนนั้นจะชนะในภาคอีสานถล่มทลาย หรือ พวกเขานั้นเริ่มจะเห็นลางหายนะในอนาคตกลายๆแล้วว่า.. พรรคเผาบ้านเผาเมืองของพวกเขา ที่ซ่อนแอบพิษทักษิณไว้มากมายนั้น.. ดูท่าจะจมน้ำลายตาย..คาซากเน่าของแมงโม้..แน่ๆ ??!!.. ............................................ ปลอดประสพ .. ออกมาอำพรางความตื่นตระหนกของตน.. ด้วยการทำปากดีบอกว่ากระแสพรรคเผาไทยตอนนี้ดีกว่าเก่า..คาดว่าจะได้ ส.ส.ถล่มทลายถึง ๓๐๐ เก้าอี้ ด้วยซ้ำไป ..ฮา .. โถ มุกนี้..เอาไปหลอก..กระบือเถอะ..ปอดเอ๊ยยยย !!.. ในขณะเดียวกัน ..พายัพ น้องชายแม้ว แม่ทัพอีสานของทางพรรคเผาไทย ที่ดูท่าว่าจะพบกับความปราชัยอย่างย่อยยับแน่ๆรอบนี้ กลับยิ่งเตลิดเปิดเปิงในสติสตังค์เกินกู่กลับไปกันใหญ่ เพราะพายัพออกมาทำนายทายทักผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ..ชนิดที่เรียกเสียงฮา..ได้กระจายจริงๆ !!.. ฟันธงอะไรไม่ฟันธง ..ฟันธง..บอกว่าพรรคเผาไทยเพื่อแม้วตอนนี้มั่นใจว่าจะกวาดเก้าอี้ ส.ส. ในบุรีรัมย์หมดทุกเก้าอี้ จะไม่เหลือให้พรรคภูมิใจไทยซักเก้าอี้เดียว !!!...อ๊ะ ป๊าดดด !!!.. จะไม่เหลือให้พรรคภูมิใจไทยของเสี่ยเนวิน เจ้าของบุรีรัมย์เอฟซี และ บุรีรัมย์อคาเดมี่ ที่กำลังออกมากระตุ้นน้ำย่อยเรียกน้ำอยากของชาวบุรีรัมย์ด้วยการยกระดับฐานทีมฟุตบอลปราสาทสายฟ้าให้เป็นทีมชั้นนำของประเทศ พร้อมๆกับโครงการสานฝันเด็กไทยให้ก้าวไกลในอาชีพนักฟุตบอลด้วยการมีโอกาสไปค้าแข้งแดนยุโรปในอนาคตเนี่ยนะ..ช่างกล้าพูดซะจริงๆ !!!.. การตลาด..ฉบับ ปั่นเรตติ้งปูแดงเพื่อย้อมแมวขาย..ของพรรคเผาไทยเพื่อแม้ว..หรือ จะสู้การตลาด ฉบับ ปั่นเรตติ้ง ..ตรูเอง..เพื่อต้มไอ้แม้วกิน..ของเนวิน ชิดชอบ !!!.. ดังนั้น ..ที่โพลล์โม้ โพลล์ต้ม โพลล์ตุ๋น โพลล์แดงเถือกทั้งหลาย พยายามจะออกมาปั่นกระแสชี้นำสังคมว่าในภาคอีสานพรรคเผาไทยเพื่อแม้วจะโกยเก้าอี้ ส.ส. ๑๐๐ เก้าอี้ขึ้นไปนั้น มันเป็นเรื่องลวงโลกทั้งนั้น .. หากนับกันหมัดต่อหมัด เขตต่อเขต เก้าอี้ต่อเก้าอี้..ระหว่างพรรคใหญ่ พรรคกลาง พรรคเล็ก ในเขตพื้นที่อีสานตอนเหนือ และ อีสานตอนล่างแล้ว เราจะพบว่า..พรรคใหญ่เจ้าถิ่นเดิม (ซึ่งหากนับย้อนไปก่อน ปี ๒๕๔๔ ก็ไม่ใช่เจ้าถิ่นเดิมหรอก) อย่างพรรคเผาไทยเพื่อแม้วนั้น เอาเข้าจริงๆแล้ว..ก็ไม่ได้ได้เปรียบพรรคขนาดเล็กแต่อย่างใดเลย..ในการแข่งขันเลือกตั้งระบบเขตเล็ก !!!.. พรรคเผาไทยเพื่อแม้วนั้น พวกเขาเริ่มต้นวิธีการหาเสียงของพวกเขาด้วย วิธีการแบบเดิมๆที่ฝ่ายตรงข้ามที่เคยพ่ายแพ้ไปในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมานั้น ..เริ่มจับทางได้แล้ว !!!.. หนึ่ง ประโคมข่าวนโยบายทักษิณคิด เพื่อไทยทำ..เพื่อกลบกระแสนโยบายพรรคเล็ก สอง ชูภาพปูแดง นายกฯหญิ. โคลนนิ่งทักษิณ ..เพื่อปลุกกระแส..พาทักษิณกลับบ้าน.. สาม สร้างภาพปรองดองแหกตา ผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงที่เป็นบ่าวรับใช้และขี้ข้าในมือ เพื่อให้คนลืมภาพเผาบ้านเผาเมืองของพวกไพร่แดง เพื่อโยนบาป ๙๑ ศพให้กับ ทหาร และ รัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยมีวาทะกรรม ดีแต่พูด..เพื่อดิสเครดิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ !!.. ในขณะเดียวกันพรรคเผาไทยเพื่อแม้ว กับ บุคลากรที่อาสามาเป็นผู้สมัคร ส.ส. กับ พวกแกนนำไพร่แดงนอมินี่แม้ว ที่มาชูคอนั่งรอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนั้นกระทรวงนี้นั่นน่ะ ..มีแต่พวกที่ไร้ผลงาน และ พวกที่มีตราบาปติดตัวตลอดช่วงระยะเวลา ๔ ปี ที่ผ่านมานี้ทั้งนั้น .. ไม่มีใคร..ในระบบบัญชีรายชื่อของทางพรรคเพื่อไทย ที่ประชาชนคนไทยจะสามารถให้เครดิตความน่าเชื่อในฝีมือการทำงานได้เลย ..นี่ถือว่าเป็น ความตกต่ำอย่างหาที่สุดไม่ได้จริงๆของระบอบทักษิณ !!.. พวกเขาไปเลือกสรรเอาพวกนักเลือกตั้งอาชีพ พวกนักการตลาดบ้องตื้น พวกนักโต้วาที พวกลิง ค่าง บ่าง ชะนี ..ที่ยังเป็นพวกลูกผีลูกคนในกระแสนิยมของประชาชน โดยเชื่อว่าคนพวกนี้นี่แหละ ..คือ คนที่รักแท้ และ จริงใจต่อทักษิณที่สุดแล้วตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ทักษิณ ต้องระเห็จระเหเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีหนีคุกหนีตะรางไปอำพรางตนเองเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ผู้โดนปล้นเงินอยู่ต่างประเทศ .. โดยลิ่วล้อนอมินี่ขี้ข้าของระบอบทักษิณ ที่แอบตนอยู่ในแวดวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแวดวงสื่อมวลชน แวดวงนักวิชาการ หรือ แวดวงนักธุรกิจ ต่างพยายามช่วยกันซุกซ่อนภาพลักษณ์ความเป็นผีเปรตอสูรกายร้ายกระหายเลือดของทักษิณเอาไว้ ซ่อนแผลร้ายที่คนไทยต่างก็โดนพิษร้ายของทักษิณ กัดกร่อน กัดกิน ในฐานะของเหยื่อ มาเนิ่นนานนับสิบปี.. นี่คือ ..สูตรสำเร็จในยุทธวิธีหาเสียงของ ..พรรคการเมืองของทักษิณ ในเวลานี้ .. ที่ตอนนี้..มีแต่พวกอนุบาลทางการเมืองไพร่แดงรากเน่าเท่านั้นนั่นแหละ .. ที่ยังอ่านเกมไม่ออก ..มองทักษิณไม่ทะลุ !!!.. ............................................ ไพร่แดงรากเน่า.. ที่ยังเฝ้ารอความหวังลมๆแล้งๆกับทักษิณ.. ที่ยังหลงยึดติดกับภาพลักษณ์การตลาดเก่าๆของระบอบทักษิณ.. ที่ตอนนี้มาเออออห่อหมก กับ การปั่นกระแสลวงโลกเรื่อง ..หนึ่งนารีขี่ม้าขาว..ของน้องปูแดง ปองดอง (พูดไม่ชัด) ..ที่คุยโวว่าจะเข้ามาช่วย..ขี้คาย (พูดไม่ถูก) สถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติบ้านเมืองนั้น .. พวกเขาต่างก็รู้อยู่เต็มอกว่ายังไงๆซะ น้องปูแดงของพี่แม้วแดงนายเงินของพวกเขานั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาสร้างความปรองดอง (ที่ถูกต้อง) ใดๆให้กับคนในชาติได้ ไม่สามารถที่จะมาสร้างแนวทางที่ถูกต้องเพื่อคลี่คลาย ( ที่ถูกต้อง) สถานการณ์ความขัดแย้งอันรุนแรงของคนในชาติบ้านเมืองได้ .. พวกไพร่แดงจริงๆแล้ว..พวกเขาก็รู้ตัวดีว่า ..ทักษิณ ชินวัตร คือ ตัวปัญหา !!!.. หลายๆคนไม่อยากจะให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้โผล่หัวออกมาพูดด้วยซ้ำไป ..ทว่า ก็ไม่มีใครไปหยุดปากทักษิณได้ ..เหตุเพราะว่าทักษิณนั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่อง.. ปากพาตาย มานานแว้วว !!!.. ดังนั้น แม้นว่าพวกไพร่แดงรากเน่าเหล่านี้นั้นยังถวิลหาทักษิณอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ตอนนี้หากว่ากันจริงๆในแต่ละหมู่บ้านตามภาคอีสานนั้น มันก็เหลือน้อยเต็มทนแล้วสำหรับพวกที่หัวรุนแรงสุดๆ และ มีบารมีอำนาจ มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนแบบสุดๆ ตอนนี้กระแสไพร่แดงในพื้นที่ภาคอีสานมันก็ลดน้อยถอยลงไปเต็มทีแล้ว .. ส่วนใหญ่ที่เราเห็น ก็คือ พวกที่ยังคงมีสัญญาใจต่อกันและกันไว้ มีการไปรับปากรับคำกันเอาไว้ว่า ..ยังไงๆก็จะไม่ลืมทักษิณ..เลือกตั้งครั้งไหนๆ..ก็จะไปกาเลือก..ทักษิณ !!!.. ทว่า เราอย่าลืมว่า ..น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับหัวใจอ่อนๆของพวกไพร่แดง ที่ตะแคงฝันตะบันแถเรื่องทักษิณกลับบ้านมาหลายปีดีดักแล้วจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการรอคอย และ ปล่อยวางตัวเองลงเบาๆกับข้อเสนอของฝ่ายคิดเห็นต่างๆฝ่ายอื่นๆ ที่เขาเองก็มาหยิบยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าให้ไม่ขาด .. เราจะพบว่า..พรรคการเมืองขนาดกลาง และ พรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่สู้ศึกหาเสียงแข่งกับพรรคเผาไทยเพื่อแม้วในเขตภาคอีสานนั้น เขาก็มีดีมาอวดเหมือนกัน .. นักการเมืองของพรรคภูมิใจไทย คัดสรรแต่คนที่มีผลงานในพื้นที่ เป็นนักการเมืองในท้องถิ่น เป็นคนดังในท้องถิ่น เป็นคนที่มีผลงานในรอบ ๔ ปีที่ผ่านมา ..ที่คนในพื้นที่นั้นๆสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ !!!.. นักการเมืองของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และ พรรคชาติไทยพัฒนา ก็เน้นไปที่พวกอดีตนักการเมืองที่เคยมีผลงานในพื้นที่ และ มีฐานเสียงที่มั่นเดิมแน่นหนาพอสมควร ..เอามารบทัพจับศึก !!!.. เลือกตั้งเขตเล็ก..มันเลยทำให้พรรคขนาดกลาง และ ขนาดเล็ก..สู้กระแสพรรคใหญ่ได้ !!!.. มันเลยทำให้ ..กระแส..ไม่อาจจะเข้าไปทลาย..กระสุนได้.. ในหลายๆพื้นที่ !!!.. ........................................ พรรคประชาธิปัตย์ .. ตั้งเป้าหมายปลายทาง ส.ส.เขตในภาคอีสาน.. อยู่ที่ตัวเลขน้อยนิด ๒ หลัก คือ ราวๆ ๑๕ เก้าอี้ .. ๑๕ เก้าอี้นั้น มาจากเขตพื้นที่ที่พวกเขาสู้ได้ทั้งหมด.. ๑๐ เก้าอี้ อยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ในขณะที่อีก ๕ เก้าอี้นั้น กระจายอยู่ในพื้นที่ความหวังอื่นๆอีก อาทิเช่น อุดรธานี ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ และ สกลนคร .. ไม่นับรวมคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่พรรคประชาธิปัตย์ในรอบนี้ที่ภาคอีสานอย่างไรเสียพวกเขาก็จะได้มาอย่างเป็นกอบเป็นกำมากมายหลายเท่ากว่าการเลือกตั้งในครั้งก่อนๆมาก เนื่องเพราะว่านโยบายของพวกเขานั้น ทั้งในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพิ่มรายได้ในภาคเกษตรกรรม และ สร้างหลักประกันชีวิตที่ดีกว่าให้กับคนรากหญ้า ชาวไร่ชาวนานั้น .. ดีกว่า ถูกใจกว่า โดนใจชาวบ้าน และ มีความเป็นไปไม่ได้มากกว่า .. นโยบายลวงโลกแหกตา ..แต่อับพรางยาพิษของ..พรรคเพื่อไทย !!!.. ชาวบ้านทางภาคอีสานนั้นพวกเขารับรู้และรับทราบกันดีว่า นโยบายเรียนฟรีของทางพรรคประชาธิปัตย์นั้นดีมากๆช่วยเหลือและลดค่าใช้จ่ายให้พวกเขาได้มากๆ ชาวไร่ชาวนาทางภาคอีสานนิยมชมชอบในระบบประกันรายได้พี่น้องเกษตรกรมากกว่าระบบการรับจำนำ ที่พวกเขาโดนกดราคาจากพวกพ่อค้าคนกลางที่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนายทุนขี้ข้าระบอบทักษิณมาโดยตลอด.. นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน หรือการเพิ่มรายได้ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน และ เพิ่มรายได้ให้พี่น้องชาวไร่ชาวนาที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม .. ล้วนแล้วแต่ถูกคิดคำนวณขึ้นมาอย่างมีระบบ มีการเชื่อมโยงในงบประมาณก้อนนั้นก้อนนี้ที่จะนำมาทำนำมาสร้างเสริมเพื่อให้นโยบายต่างๆที่ว่ามานี้..เดินหน้าได้ทันที โดยไม่มีอะไรติดขัด .. พรรคประชาธิปัตย์มัดใจผู้คนด้วยระบบการแบ่งปันผลกำไรซึ่งกันและกัน ระหว่าง รัฐ กับ ประชาชน ในรูปแบบของ หุ้นส่วน ..มีการตั้งเป้าหมายในผลประโยชน์ตอบแทนระหว่าง นายจ้าง กับ ลูกจ้าง ในลักษณะที่ นายจ้างก็อยู่ได้ ลูกจ้างก็อยู่ได้ ..ไม่มีใครเจ๊ง ไม่มีใครตกงาน !!!.. ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรียนฟรี เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอีก ๒๕ % ภายใน ๒ ปี หรือ เพิ่มรายได้พี่น้องเกษตรกรจากหลักประกันรายได้ เบี้ยยังชีพ การให้ความสำคัญกับเหล่า อสม. หรือ แม้แต่โครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆที่มีมารองรับการเป็นประชาคมอาเซียนนั้น มันทำให้ประเทศชาติ คนยากคนจน คนมีรายได้น้อย แรงงาน พี่น้องเกษตรกร รวมถึงคนไทยทั้งชาติ..มองเห็นอนาคตทั้งนั้น !!!.. ต่างกันลิบลับกับ....นโยบายหลอกแหลกของทางพรรคเผาไทยเพื่อแม้ว !! .. ที่ตั้งต้นสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ..ที่หากใครไปถามความเป็นไปได้ของนโยบายนั้นๆ ถามskความเสี่ยงของนโยบายต่างๆจากปากของพวกลิ่วล้อแม้ว จากปากของพวกแกนนำไพร่แดงตะแบงแถทั้งหลายแล้ว ..จะไม่ได้รับคำตอบอะไร ?..ที่เป็นที่เข้าใจได้ ..เพราะคนพวกนี้มันไม่ได้คิดเอง มันไม่ได้ช่วยกันคิดขึ้นมา ..คนที่คิดขึ้นมา คือ พ่อแม้วของมันคนเดียว !!!.. แม้แต่น้องปูแดง ..หากใครสังเกตการปราศรัยบนเวทีของเธอให้ดี..เราจะพบว่าน้องปูแดงนั้น..เธอขังแต่ขี้หมูไว้ในหัวสมองจริงๆ..ไม่มีความจริงเกี่ยวกับนโยบายใดๆของพรรคเพื่อไทย..ที่หลุดออกมาเป็นคำพูดที่อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ..จากปากคำของเธอเลย..แม้แต่ครั้งเดียว !!!.. มีแต่ประโยคคำถามปิด..ชอบไหมค๊า ??? ดีไหมค๊า ??? ..อยากได้ไหมค๊า ???.. นี่มัน..ลีลาการตลาดของสาวพริตตี้ตามห้างสรรพสินค้าชัดเจน .. ไปหาดูได้..ถ้าคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เกินเลย !!!.. คุณคิดว่า..คนไทยส่วนใหญ่..จะโง่เลือกเอาสาวพริตตี้.. มาเป็นนายกฯหญิงจริงหรือ ??.. ................................. สุดท้ายนี้.. ก็อยากจะฝากความมั่นใจอะไรบางอย่าง ?.. เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยเกี่ยวกัยกระแสความแรงของวัคซีน มาร์ค เบอร์ ๑๐ .. การเดินสายของ..นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงโค้งท้ายที่ผ่านมา ตั้งแต่ปราศรัยใหญ่ที่ราชประสงค์ ไปเหนือตอนล่าง มาอีสานตรงพื้นที่ความหวัง อุบลราชธานี ยโสธร และ อำนาจเจริญ .. สิ่งที่เราจะพบเห็นได้อย่างชัดเจน ก็คือ ภาพความน่าแปลกประหลาดใจ ที่สะท้อนผ่านภาพตรงกันข้ามกับกระแสเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างของทางพรรคเพื่อไทย และ สื่อมวลชนบ้านเรา .. สื่อมวลชนกระแสหลักบ้านเราในขณะนี้ ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ % เอนเอียงไปช่วยเหลือ ไปเกื้อหนุน ไปหลับหูหลับตาประชาสัมพันธ์ เพื่อช่วยสร้างกระแสปูแดง..จนโอเว่อร์เกินเหตุ !!!.. สื่อมวลชนพวกนี้..พยายามหลับหูหลับตา ไม่มองภาพปูแดงเอา..นิ้วชี้ฟ้า ประกาศความอหังการ์ที่เชื่อว่า..ตระกูลของข้าแน่ ตระกูลของข้านี่แหละเจ๋ง ..ที่มีนัยยะความหมายทางการเมืองมากกว่าเรื่องของการ ..เอาชนะคะคานกันในสนามเลือกตั้ง !!!.. สื่อมวลชนแดงเถือกทั้งหลายเหล่านี้นั้น ..ล้วนแล้วต่างเป็นพวกสื่อมวลชนในอดีตที่กำลังจะถูกลืม พวกเขาคือพวกกลุ่มชนล้าหลัง ที่ไปขังสมองความคิดและความเชื่ออยู่กับเรื่องราวของคำกล่าวอ้างเก่าๆที่ว่า..ยิ่งโกหกคำโต คนยิ่งเชื่อ !!!.. ทั้งๆที่ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกวันนี้นั้น เขาเหม็นเบื่อกีฬ่าสีของพวกสีแดงเต็มเลือกข้างเต็มทนแล้ว เขาเหม็นเบื่อความกร่าง ความนักเลงอันธพาลของคนพวกนี้จนไม่รู้จะบ่นอย่างไรแล้ว หลายปีแล้วที่คนไทยตกอยู่ในการครอบงำของ ทักษิณ ชินวัตร .. นี่คือ ความเหมือนในความเบื่อหน่ายเดียวกันที่เราคนไทยนั้นสัมผัสกันได้ !!!.. วันนี้พรรคเพื่อไทยพยายามจะพาพวกเราย้อนกลับไปยัง จุดเริ่มต้นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ตอนปี ๒๕๔๔ ที่ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้วิธิเดียวกันกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่แหละ..ในการหาเสียงและกอบโกยคะแนนนิยมไปอย่างท่วมท้น .. ทว่า ๑๐ ปี จากปี ๒๕๔๔ มาถึง ปี ๒๕๕๔ นั้น ..สิ่งที่ฝ่ายทักษิณไม่มี ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่างนั้นมีกันอย่างมากล้นก็คือ ..การเติบโตปัญญาทางการเมืองของประชาชน !!!.. ๑๐ ปี ที่พรรคการเมืองของระบอบทักษิณ มีวิวัฒนาการทางด้านการเป็นสถาบันการเมืองที่ตกต่ำลง จากพรรคมหาชนนิยมของคนทั้งประเทศกลายเป็นพรรคภูมิภาคนิยม ที่ฝากความหวังลมๆแล้งๆไว้กับพวกไพร่แดงในเขตภาคอีสานว่าจะสามารถต้านทาน ..ปฏิบัติการถอนพิษทักษิณได้ !!!.. ๑๐ ปี ที่พรรคการเมืองตรงข้ามระบอบทักษิณอย่างพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะช่วง ๖ ปีให้หลังมานี้ภายใต้การขึ้นมากุมบังเหียนพรรคของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เราจะพบเห็นการเติบโตขึ้นของ อดีตพรรคภูมิภาคนิยม พรรคที่เป็นที่ชื่นชอบของคนใต้ เจริญเติบใหญ่กลายมาเป็น พรรคมหาชนนิยม เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่นิยมของคนไทยทั้งประเทศ !!!.. เวทีปราศรัยแต่ละเวที ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นปราศรัยกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนให้แห่แหนกันไปเต็มหน้าเวทีจนล้นหลามเป็นเรือนหมื่นเพื่อมารอฟัง .. ผู้นำหนุ่ม มาดมั่น อนาคตไกล ผู้มากความรู้ มากปัญญา และ มากพลังศรัทธา .. พูด..เกี่ยวกับอุดมการณ์ของเขา ..พูด..เกี่ยวกับทิศทางไปของประเทศชาติของเรา !!! .. ที่เราจะไปหาฟังจากหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆไม่ได้อีกแล้ว !!!.. นี่คือ..สิ่งที่แตกต่างที่ไม่ว่าฝ่ายทักษิณจะเอาภาพลวงตาใดๆมาขวางก็ปิดกั้นแสงสว่างแห่งความเป็นจริงไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถ และ มันไม่อาจจะต้านทานกระแสความต้องการวัคซีน เบอร์ ๑๐ ได้อีกต่อไปแล้ว..ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ???.. เวทีปราศรัยสุดท้าย ..ที่เป็นฉากปาหี่ครั้งใหญ่ของระบอบทักษิณ ที่คนในระบอบทักษิณจะต้องขนพวกไพร่แดงมาให้แดงเถือกเต็มสนามเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของรัฐไทยใหม่ เพื่อแสดงภาพความนิยมอันยิ่งใหญ่เพื่อสื่อผ่านไปหลอกสายตาชาวไทยและชาวโลกนั้น ไม่ว่าจะขนกันมามากมายแน่นขนัดล้นสนามขนาดไหนก็ไม่อาจชนะใจคนได้.. เพราะเวทีของพวกเขานั้น ไม่มีคน..ที่เป็นนักพูดความจริง.. อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยแม้แต่คนเดียว !!!.. เวทีหาเสียงของพรรคเพื่อไทย มีแต่พวกนักปราศรัยลิงหลอกเจ้า มีแต่พวกนักพูดหน้าไหว้หลังหลอก มีแต่พวกนักโต้วาทีสภาโจ๊ก มีแต่พวกตลกโป๊กฮา ..ที่หาราคาค่างวดในเนื้อหาสาระคำพูดไม่ได้ หนักไปทางพูดเชลียร์นาย ที่ผ่านมาคนเหล่านี้ล้วนต่างพูดให้นายใหญ่พบแต่ความหายนะทั้งนั้น !!! .. ต่างกันกับเวทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๑ ก.ค. ที่จะถึงนี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ที่เป็นจุดปราศรัยที่คนไทยผู้รักชาติราชบัลลังก์ต่างรู้จักมักคุ้นกันดี .. การต่อสู้ในเวทีสุดท้ายของการปราศรัยหาเสียงในครั้งนี้นั้น .. จะเป็นหลักประกันสำคัญว่า ..เราจะไม่พบกับความผิดหวัง.. ในการเลือกตั้งวันที่ ๓ ก.ค. ๒๕๕๔ นี้ ...อย่างแน่นอน !!!.. ผู้คนจากทั่วสารทิศจะแห่แหนกันเข้าไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้าตั้งแต่ก่อนเวทีจะมีการปราศรัยหลายชั่วโมงเพื่อจับจองมองหาที่นั่งเหมาะๆเพื่อเก็บภาพประทับใจในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของชาติไทยในครั้งนี้ เอาไว้เป็นภาพประวัติศาสตร์ทางการเมืองสำคัญ .. เอาไว้เล่าต่อไปให้ลูกให้หลานฟังว่า ..ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของชาตินี้เมืองนี้.. เคยมีการปราศรัยที่ดีที่สุดของทางการเมืองเกิดขึ้น เคยมีการปราศรัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักการเมืองไทยเกิดขึ้นมาจริงๆบนผืนแผ่นดินนี้ เป็นการปราศรับที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของความรักชาติราชบัลลังก์อย่างแท้จริง เป็นการปราศรัยเพื่อความอยู่ยั้งยืนยงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง ที่เราคนไทย..จะไปหาฟังที่ไหนไม่ได้แล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทย !!!.... มันจะเป็นการปราศรัยครั้งสำคัญที่สุด ที่จะสื่อผ่านจากใจของคนไทยผู้รักชาติส่งตรงไปหาคนไทยผู้รักชาติอยู่ทั่วทุกมุมของประเทศ เพื่อหลอมรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว .. ก่อนจะออกไปแสดงพลัง..หยุดเชื้อโรคร้ายของ ไวรัสทักษิณ.. ที่เกาะกินประเทศไทยมายาวนาน..เกินทนแล้ว !!!.. .................................. ปล. เวทีปราศรัย "อนาคตประเทศไทย ใต้ฟ้าเดียวกัน " มีเวทีหลัก ๑ เวที ที่ลานพระบรมรูปฯ จากนั้นก็จะมีเวทีเล็กอีก ๙ เวทีทั่วประเทศ .. โดยแยกเป็นภาคอีสาน ๒ เวที คืออุบลราชธานี และ อุดรธานี ภาคเหนือ ๒ เวที คือที่เชียงใหม่ และสุโขทัย ภาคใต้ ๓ เวที คือนครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี และ ที่ อ.สุไหงโก-ลก จังหวัด นราธิวาส ส่วนภาคกลางที่จังหวัดเพชรบุรี ภาคตะวันออก จ.ระยอง .. โดยทั้งหมดรวม ๙ เวทีคู่ขนานบวกหนึ่ง รวมเป็น ๑๐ เวที ..อย่าลืมอย่าพลาด.. ใกล้ที่ไหน..ไปที่นั่น ..ไปฟังกันให้เยอะๆ ไปรวมพลังกันให้เยอะๆ !!!.. งานนี้..รับประกัน..มันสสส์แน่ๆ !!!.. ...................................... วินเซนต์ ริมโขง บึงกาฬ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๔
16 สิงหาคม 2554 14:48 น. - comment id 125660
บทสัมภาษณ์ซูโม่ตู้ทอลค์โชว์ > > 1. เหตุผลของพี่ตู้ในการจัดทอล์คโชว์ครั้งนี้คืออย่างไรครับ ? > > เพราะพี่อิจฉารากหญ้าครับ > การที่อนุญาตให้คนที่ไม่เรียนมีสิทธิเท่าเทียมคนที่เรียน เป็นกติกาสากลสำหรับ > ประเทศที่ระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงถึงขั้นปลอดภัยแล้ว > การเลือกตั้งของเค้าจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานได้ > ซึ่งไม่ถูกต้องสำหรับประเทศที่การศึกษาเฉลี่ยต่ำครับ > เพราะจริงๆ แล้วสิทธิขั้นพื้นฐานเดิมนั้นกำหนดเฉพาะเรื่องพื้นฐาน เช่น > การนับถือศาสนา การสาธารณะสุข การแสดงความคิด การสมรส > สวัสดิภาพในการดำรงชีวิต ฯลฯ รวมไปถึง การศึกษา > แต่ไม่รวมการเลือกตั้งเข้าไปในสิทธิขั้นพื้นฐานครับ > อันตรายต่อความอยู่รอดของบางเผ่าพันธุ์ในทันที > แต่เผ่าพันธุ์นั้นๆ จะไม่ค่อยรู้ > เพราะดันไปสงสารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ควรกำจัดเพราะเป็นภาระ > เราไม่ได้เกรงใจภาระเพราะเราใจดีนะครับ > เราเกรงใจภาระเพราะเราขี้ขลาด เราเกรงกลัวพวกภาระครับ > ภาระจึงได้ใจ ครอบครองเมืองโดยไม่ยอมพัฒนาพวกตน > พี่อิจฉามันครับ > > เมื่อการศึกษาคือสิทธิขั้นพื้นฐาน > ใครไม่ยอมเรียนก็ต้องถือว่าผู้นั้นละเลยสิทธิขั้นพื้นฐาน > ก็แปลว่าบกพร่องในหน้าที่ซึ่งโยงกับบางสิทธิ > ผู้บกพร่องในหน้าที่ก็ควรถูกเพิกถอนบางสิทธิที่เกี่ยวข้อง เช่น > สิทธิในการตัดสินใจเรื่องอนาคตของประเทศชาติ > เพราะเราจำเป็นต้องกำหนดที่การศึกษาครับ > ไม่ใช่กำหนดที่อายุเหมือนประเทศพัฒนา ตายซิ่ > ระดับการศึกษาเฉลี่ยของเราต่ำกว่ามาตรฐานประเทศประชาธิปไตยในโลกครับ > ไม่ต้องอาย ต่ำกว่ามากเลยจริงๆ ต้องยอมรับ > ต้องแก้กติกาครับ ไม่งั้นตาย หลายศพแล้วด้วย > และจะมีอีกครับถ้าไม่รีบแก้กติกา อย่าอาย > เพื่อนร่วมชาติเราโง่ครับ ยอมรับซะจะได้แก้กติกากัน > > ทำไมเราจึงไม่ให้ลิงบาบูนอายุ 18 ขวบมีสิทธิ์เลือกตั้งล่ะครับ > เพราะบาบูนไม่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะบาบูนไม่ใช่คนนะครับ > บาบูนเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ บาบูนหากินเองได้ ไม่ต้องรอเอื้ออาทร > ไม่ต้องรอผ้าห่มทุกปี > ก็ถ้าบาบูนเรียนหนังสือสอบผ่าน ม.6 ก็แปลว่าพูดกับคนรู้เรื่อง > เราก็ควรให้สิทธิ์เลือกตั้งกับบาบูนครับ > แต่นี่มีโง่กว่าบาบูนอีกนะ พูดก็ไม่รู้เรื่อง สะกดประชาธิปไตยก็ไม่ถูก > ทำมาหากินก็ไม่ได้ ผ้าห่มก็หาเองไม่ได้ต้องแจกทุกปี > แต่ดันมีสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างงี้บาบูนค้อนครับ > > ถ้ากุลีมีสิทธิเท่าบัณฑิต บัณฑิตจะลงทุนเรียนกันไปทำไมไม่ทราบครับ > ประชาธิปไตยมันว่าด้วยเรื่องเสียงข้างมาก > ฉะนั้น ประเทศไหนที่เสียงข้างมากไม่มีการศึกษา ประเทศก็ล่ม > เพราะกุ๊ยซื้อกุ๊ยและกุ๊ยเลือกกุ๊ยแน่นอนครับ > พวกคอมมิวนิสนิยมก็สัพหยอกว่าพี่ตู้เป็น อำมาตยาธิปไตย > แต่พี่เต็มใจเป็น อำมาตยาธิปไตย มากกว่า กุ๊ยยาธิปไตย นะจะบอกให้ > แต่เดี๋ยวนะครับ อำมาตยาธิปไตยมันไม่ดีตรงไหนหรือครับ > เทียบกับรัฐบาลรากหญ้าธิปไตยทุกวันนี้ > > มีคนเข้าใจสิ่งที่เข้าใจยากแบบนี้อยู่หยิบมือนึงบนแผ่นดินนี้ > พี่ต้องทอล์คโชว์เพราะพี่ต้องการพูดคุยกับท่านเหล่านี้บ่อยๆ ครับ > อาจไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวันนี้ แต่พรุ่งนี้จะไม่มืดมน > เพราะคนเหล่านี้จะเห็นทางออกไงครับ ถ้าไม่อวดเก่งกันนะ > พรุ่งนี้หมายถึงวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่ปีรุ่งขึ้นนะ > เพราะทันทีที่รู้ทางออกก็บอกต่อกันแบบแอมเวย์ > แป๊บเดียวก็เข้าใจกันหมดแล้ว ซัก 2 วันมั้ง > เพราะคนที่ฟังรู้เรื่องมีไม่ถึง 1 % ของประเทศ > ที่เหลือไม่ใช่โง่ แต่ไม่ฟังครับ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าอวดดี เพียงแต่โง่ > > การเปลี่ยนแปลงแผ่นดินต้องทำให้เด็ดขาดครับ > ไม่ใช่ไล่ไปแล้วเลือกตั้งใหม่เพื่อให้พวกมันกลับมายิ่งใหญ่อีก > มันตลกและดูไม่เด็ดขาดไม่จริงใจนะครับ ซึ่งพี่ก็สรรเสริญ > ทุกการต่อสู้ของพันธมิตร เพราะชอบพอกันเป็นการส่วนตัวมาก > แต่พี่ไม่ไปวิ่งชนกระสุนเพื่อให้รากหญ้าเลือกพวกมันกลับมาอีก > คุณพ่อพี่สอนว่า อย่าให้คนไม่ดีมีโอกาสปกครองบ้านเมือง > เพราะฉะนั้น การขับไล่ ต้องตามด้วย การกำจัด > ซึ่งในอารยะประเทศเค้าใช้วิธีฆ่าทิ้งแบบเนียนๆ > แล้วแจงว่า ตายด้วยฝีมือคนวิกลจริต ซึ่งเรื่องก็เงียบ > แต่ในอนารยะประเทศซึ่งขี้ขลาด ก็ใช้วิธีนุ่มนวล > ซึ่งก็ตกเป็นเบี้ยล่างและสูญเสียเปล่า > เพราะกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างหลังทุกการต่อสู้ > พี่หงุดหงิดทุกครั้งเพราะวีรบุรุษของพี่เหนื่อยเปล่าทุกครั้ง > เพราะไม่แก้ที่ระบอบไงครับ > > การเป็นวีรชนด้วยอารมณ์มักไม่แก้ปัญหาครับ ต้องแก้ปัญหาด้วยเหตุผล > ซึ่งต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ การโกงกิน การแตกแยก และ สิทธิที่ไม่ควรเป็นขั้นพื้นฐาน > ซึ่งพี่จะได้กล่าวรวมไว้ในช่วงท้าย ขยักเอาไว้ก่อนให้หงุดหงิดเล่นซะงั้น > เป็นการคัดคนอ่านไงครับ > > ท่านใดที่อ่านถึงตรงนี้แล้วงง อย่าอ่านต่อนะครับเสียเวลาท่านเปล่าๆ ครับ > ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเลือกคนดีต่อไปนะ > > 2. ชื่อของทอล์คโชว์ 'กรุงไม่แตก ก็เลี้ยงไม่โต' ต้องการจะบอกอะไรครับ > เหมือน'ไม่เจ็บ ก็ไม่โต' อย่างนั้นหรือเปล่าครับ ? > > จะแปลอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่วลีที่ว่า ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต หมายถึง พิการ นะครับ > สังคมไทยพิการเพราะเราคิดว่าเราทำได้อย่างซีกโลกหนาวครับ > ลอกทุกอย่างของเค้ามา รวมทั้งระบอบการปกครอง > โดยลืมคิดไปว่าไม่มีนวัตกรรมของเราที่เค้าซื้อไปใช้เลย > มีแต่นวัตกรรมของเค้าที่เราซื้อมาใช้ > เพราะเราไม่มีนวัตกรรมไงครับ > สิ่งของเครื่องใช้ในการอำนวยความสะดวกของชีวิตประจำวันประดิษฐ์คิดค้นโดย > คนซีกโลกหนาวแทบทั้งหมด > เพราะเราไม่กล้าคิด เรากลัวคนที่คิดไม่ออกจะทักท้วงเรา > เพราะคนที่คิดไม่ออกรู้ดีว่าถ้าทักท้วงแล้วจะดูเหมือนชนะในสายตาคนรอบๆ > ซึ่งก็คิดตื้นแบบเดียวกัน > จึงไม่มีกระบวนการคิดเกิดขึ้นในแถบซีกโลกร้อนที่ช่างทักท้วงครับ > > > มหาบุรุษอย่าง เจ้าชายสิทธัตถะ และ มหาตมะคานธี เท่านั้นครับ > ที่ฝ่าวงล้อมของนักทักท้วงได้สำเร็จ ด้วยจิตที่มั่นคง > การทักท้วงโดยที่คิดเองก็ไม่ออกเป็นวัฒนธรรมซีกโลกร้อนทีอยู่ในสันดาน > แก้ไม่ได้ครับ ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างซีกโลกหนาวไม่ได้สักประเทศเดียว > แต่ก็อยากจะเป็นประชาธิปไตยเพราะหลงตนกันครับ > เหมือนการย้อมสีผมแล้วเป็นฝรั่ง > > สังคมที่พิการเกิดจาก การแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ ไม่นิยมเหตุผล > แต่พี่เห็นพันธมิตรใช้เหตุผลแล้วก็ไม่ได้ผลนะครับ > เพราะต่อให้ใช้เหตุผลรัฐบาลหน้าด้านก็ไม่ลาออกครับ > เพราะรากหญ้าเลือกเค้ามาด้วยเสียงที่มากกว่าบัณฑิต > ซึ่งเราก็เถียงระบอบไม่ได้ เพราะบัณฑิต 14 ตุลาเอาอำนาจ > การตัดสินใจในเรื่องบ้านเมืองไปยัดให้รากหญ้า > ซึงพวกเค้าไม่อยากได้ และ เล่นไม่ถนัด > > แต่พี่ว่าพวกเค้าเล่นถูกแล้วนะ > เพราะเค้าเลือกคนที่ให้เงินเค้า เพื่อตอบแทนบุญคุณ > ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกต้องในสายตาพวกเค้าเอง คือ การมีกตเวทิตาครับ > รากหญ้าหัวเราะเยาะพวกเราที่แห่กันไปเลือกพรรคนั้นพรรคนี้โดย > ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย พวกเราก็ดูโง่ในสายตาพวกเค้านะครับ > > การโกงกินไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตารากหญ้าครับ > เพราะรอบหมู่บ้านเค้ามีแต่การโกงกินโดยผู้มีอำนาจมีฐานะ > และมีคนยกย่องด้วยเพราะรวยนี่ เป็นที่พึ่งของทั้งหมู่บ้าน กลายเป็นเทพไปเลย > แม้จะโกงมาก็ไม่ว่าเพราะทุกคนที่นั่นโกงแล้วได้ดีทั้งนั้น > ทุกห้องแถวทั้งในกรุงและบ้านนอกก็ทำอาชีพซื้อถูกมาขายแพงโดยไม่เสียภาษีทั้งสิ้น > ก็คือการโกงดีๆ นี่เอง ไม่เห็นตำรวจจับนี่ > เราเรียกร้องให้อุดหนุนร้านโชห่วยที่ไม่เสียภาษี > และขับไล่ แมคโคร โลตัส คาฟู ที่เสียภาษี > ทั้งๆ ที่ร้านโชห่วยก็เป็นของคนต่างด้าวเหมือนกัน บางร้านไม่พูดไทยด้วยซ้ำ > เราเห็นว่าผิดแต่รากหญ้าเห็นว่าไม่ผิด > เพราะเราดันยอมให้พวกที่คิดไม่เหมือนพวกเรามีสิทธิเลือกคนมาปกครองเราไงครับ > เราต่างหากครับที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดมาตลอด > เรื่องอย่างนี้คนที่คิดได้เท่านั้นที่จะรู้ > บางคนคิดไม่ได้ครับ คิดแล้วปวดหัวสลบเหมือดคาหลังควาย > > ความไม่กล้าคิดทำให้ทุกสังคมพิการครับ > สังคมที่พิการจะล่มแล้วล่มอีก ลุกกลับขึ้นมาได้ก็ป้อแป้ เดี๋ยวก็ล่มอีก > โยนกก็ล่ม เชียงแสนก็ล่ม ล้านนาก็ล่ม ทวาราวดีก็ล่ม ศรีวิชัยก็ล่ม หริภุญชัยก็ล่ม > สุโขทัยก็ล่ม อยุธยาก็ล่ม ธนบุรีก็ล่ม > นี่ยังไม่รวม อ้ายลาว น่านจ้าว นะครับ > เพราะนักวิชาการหลัง 14 ตุลาบอกว่า ไทยไม่ได้มาจาก อ้ายลาว น่านจ้าว > เนื่องจากไม่ต้องการให้คนไทยคิดว่าเราโดนจีนรุกราน > เพราะพวกเค้ากำลังจะเอาลูกจีนเข้าสภาปกครองคนไทย > เราจึงเคยมีประธานสภาที่พูดไทยไม่ชัดมากันแล้ว > หัวหน้าพรรคก็มาจากแซ่แทบทั้งนั้น > พวกเขามาจากไหน ใยจึงมาปรารถนาดีต่อแผ่นดินที่ไม่ใช่ของบรรพบุรุษตน > ช่างประหลาดเหลือล้ำ แวะมาปรารถนาดีต่อแผ่นดิน 4 ปีก็ดันมีคนลงคะแนนให้ > เรียกว่า พิการหมู่ ครับ > > ถึงเวลาต้องคิดระบอบใหม่กันแล้วครับ > ถ้าไม่อยากให้อาณาจักรรัตนโกสินทร์ล่มอีก > ถ้าคิดไม่ออกจงรู้จักฟังนะครับ ฟังแล้วก็ไม่ต้องคิดด้วยครับ > เพราะเค้าคิดมาแล้วจะมาคิดทับอีกทำไม > ช่วยกันคิดของใหม่ซิ่ครับ มาคิดทับกันอยู่นั่น > คนไทยถนัดนักเรื่องคิดทับคนอื่น > ฝรั่งเรียก ขโมยซีน ไทยเรียกว่า ไทยมุง หรือ รุมสกรัม > หรือ หมาหมู่ นั่นเองครับ > > > > > 3. พี่ตู้คาดการณ์ว่า บ้านเมืองของเราจะก้าวไปถึงจุดที่เรียกว่า 'กรุงแตก' หรือเปล่า เพราะอะไร > ครับ ? > > เราแตกโดยพฤตินัยแล้วครับ > ถ้ารอต่อไปโดยไม่ทำระบอบใหม่ เราจะแตกโดยนิตินัยครับ > ก็จะเหมือน เขมรสามฝ่าย ลาวห้าฝาย เวียตนามเหนือใต้ เกาหลีเหนือใต้ > ซึ่งตอนนี้เราก็มีไทยเหนือใต้แล้วนี่ใช่มั้ย > > วันนี้ไทยแตกเป็นจีนสองฝ่ายตีกันบนแผ่นดินไทย > ลูกจีนทั้งนั้นครับที่แสดงออกกัน > ตั้งแต่ 14 ตุลาแล้วครับที่มีคำว่ากุมารจีน > กุมารไทยนอนครับ เพราะรับราชการกลัวอำนาจรัฐ > ลับหลังก็นินทาคนโกงแต่ต่อหน้าก็เดินตามตูด > คนไทยแท้ตอแหลครับ > สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไว้ว่า > พวกเจ้าคนไทยเปรียบเหมือนหญ้าที่ต้องคอยตัดเล็ม > เมื่อปล่อยให้โตโดยอิสระจะหาระเบียบใดมิได้ > เราจะเอาทองคำโปรยบนทางเดิน > ผู้ใดจ้องมองด้วยดวงตากิเลส เราจะให้ทหารเอาธนูยิงลูกนัยน์ตา > > อยุธยาช่วงนั้น สงบสุข น่าอยู่ > เพราะไม่ทรงอนุญาตให้ไพร่ที่ต่ำช้าแสดงออกครับ > มาวันนี้ที่ประชาธิปไตยเบ่งบานทะโล่ จัณฑาลก็บังอาจแสดงออกได้ > และ ซื้ออำนาจเข้ามาปกครองบัณฑิต ซึ่งไร้น้ำยาเพราะพวกน้อยกว่า > ประเทศที่คนมีการศึกษามีจำนวนน้อยกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา > จะยังเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ครับ > เพราะเสียงส่วนใหญ่จะโง่ จะวุ่นวายไม่จบสิ้น > จะตะโกนแต่คำขวัญของกรรมกรคอมมิวนิส ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน > แล้วก็ตีกันด้วยอารมณ์ จบไม่ลงก็เดือดร้อนพ่อหลวงต้องมาระงับศึกทุกครั้งไป > แต่ประชาชนก็ยังอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ของพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่รู้จักเจียมตัว > ดูแลแผ่นดินกันให้เรียบร้อยยังไม่ได้ แต่อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน > เป็นคอมมิวนิสที่แอบอ้างประชาธิปไตยมาต่อเนื่องครับ > เพราะยังเชื่อกันว่า ถ้ากรรมกรเป็นใหญ่ฟ้าจะสีทองผ่องอำไพครับ > ตัวอย่างมีให้เห็นในแผ่นดินคอมมิวนิสอื่นเยอะแยะ ยังจะดักดานกันอยู่อีก > ก็วันนี้กุลีก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยแล้วนี่ครับ ฟ้าก็ยังสีแดง > ทุกอย่างจะเรียบร้อยต่อเมื่อฟ้าสีน้ำเงินเท่านั้นครับ > จงรับรู้ไว้ซะ > > ถ้าสิ้นพระบารมีเมื่อใด เราก็จะเหมือนอดีตของเพื่อนบ้านเราแน่นอนครับ > คนที่ต้องการล้มสถาบัน เพื่อให้พวกตนคนต่างด้าวเป็นใหญ่ > จึงต้องการเร่งให้สิ้นพระบารมีทุกวิธีโดยเร็วไงครับ > > ซึ่งการสิ้นพระบารมีมิได้หมายถึงต้องสิ้นพระอายุขัยแต่อย่างใด > การที่ทรงทำอะไรไม่ได้ต่อสถานการณ์บ้านเมือง > ก็ถือเป็นการสิ้นพระบารมีในสายตาคนพวกนี้ ที่รอให้สถาบันเสื่อม > เพื่อสร้างเงื่อนไขในการตั้งราชวงศ์ใหม่ ที่มาจากแซ่ครับ > > วันเสียงปืนแตกของคอมมิวนิสต์ใกล้แล้วนะครับ > แตกในกรุงนี่แหละ ..แตกกันเอง > > 4. ถ้ากรุงมันจะแตกหรือไม่แตก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ 'วิชาประวัติศาสตร์' ล่ะครับ ? > > ประวัติศาสตร์สอนให้คนในชาติบังเกิด 3 สิ่ง > สำนึก กตเวทิตา และ อุทาหรณ์ > ปราศจาก 3 สิ่งนี้เราเป็นชาติไม่ได้ครับ > > อ้ายลาว น่านจ้าว โยนก เชียงแสน ล้านนา ทวาราวดี ศรีวิชัย หริภุญชัย > สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี แตกหมดแล้ว > เพราะไม่มีวิชาประวัติศาสตร์เรียนครับ > อาณาจักรเหล่านี้เอาคนเชื้อสายต่างด้าวเข้ามาปกครอง > เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา และลบประวัติศาสตร์ทิ้ง > ให้หันมาเลื่อมใสเชื้อสายต่างด้าวที่รวยเอารวยเอาไม่เลิก > เพื่อให้เลิกนับถือพ่อและหันมานับถือเตี่ยใหม่แทนพ่อ > > > > ไม่มีทางครับ > คนไทยเติบโตมากับการปกครองแบบพ่อกับลูก > เปลี่ยนไม่ได้ครับ ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ > แต่ปรับได้ ขอให้รอฟังในช่วงต่อไปด้วยความอึดอัดและหงุดหงิดนะครับ > เพราะของดีต้องมาตอนจบ > เหมือนทุกวิกฤติของบ้านเมืองที่ผ่านมา และ คราวนี้ก็ด้วย > พ่อจ๋า หนูกราบขอบพระคุณ และ คิดถึงพ่อมาก พะย่ะค่ะ > ทอล์คโชว์ครั้งนี้จัดเพื่อสนองกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ > เรื่องวิชาประวัติศาสตร์ที่หายไปครับ > > > > > 5. ถามตรงๆ ทอล์คโชว์คราวนี้มีประเด็นหลักๆ เป็นเรื่องการเมืองใช่หรือเปล่าครับ เพราะอะไร ? > > การเมืองอย่างเดียวเลยครับ > การเมืองตั้งแต่สมัยโยนกมาจนถึงสมัยราชวงศ์แซ่เบ๊อีก 50 ปีข้างหน้าครับ > เราไม่รอดหรอกครับ เพราะเราแหย > คนไม่แหยมีอยู่หยิบมือเดียว ที่กล้าฟังเรื่องพวกนี้ > ที่เหลือนอนรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล > ซึ่งบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทรงพระเบื่อเป็นนะครับ > เพราะประชาชนอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่แก้ปัญหาในแผ่นดินกันไม่ได้ > > แผ่นดินเกษตรกรรมแหงนรอฝนฟ้าบันดาลมาเกือบพันปี > แก้กำพืดนี้ไม่ได้ จะให้แก้ปัญหากันเอง ไม่มีวันครับ > > ในทอล์คโชว์วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมนี้ > ท่านผู้ชมที่มีกตเวทิตาและกล้าหาญสามารถสมัครคาราวาน กรุงเทพ อยุธยา > เดินทางวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน > เพื่อเยี่ยมคำนับแผ่นดินประวัติศา?ตร์ที่ลูกหลานลืมหมดแล้วว่า > บรรพบุรุษไทยก็ไม่ใช่ขี้ขี้ > เพียงเพราะวันนี้ไม่มีวิชาบรรพบุรุษศาสตร์ให้ผองเราเฝ้าศึกษา > ก็หาใช่ว่าวีรกรรมของผองท่านจะหาเคยปรากฏไม่ > ใช้ภาษาวรรณกรรมแล้วซับซ้อนดี > เหมือนที่ให้รากหญ้าอ่านรัฐธรรมนูญแล้วไม่รู้เรื่อง > ก็ถามว่ากินได้มั้ย > ทำให้ เรารู้ว่าค่อนประเทศคิดแค่เรื่องกิน คนที่พวกนี้เลือกมาจึงกินจุ > > ไม่รู้จักคำว่าพอเพียงของในหลวง > ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ > เช่นเดียวกับการเข้าคูหาไปกาเลือกสามัญชนมาใช้ พระราชอำนาจของพระองค์ ก็มิผิดเพี้ยน > ผลกรรมจึงตามมาลงโทษทัณฑ์ให้เราต้องอยู่อย่างไร้ความสงบสุขฉะนี้เอง > แต่แผ่นดินย่อมดูแลผู้ที่กาโนโหวตให้มีชีวิตที่สุขสบายไร้กังวล > สามารถมานั่งให้สัมภาษณ์ได้อย่างสบายใจเฉิบๆอยู่ ณ ขณะนี้นั่นเองครับ > > > > > 6. พี่ตู้มองความแตกต่างระหว่างเพลงเก่ากับนักการเมืองเก่ายังไงครับ ? > เช่น เพลงยิ่งเก่ายิ่งอมตะ แต่นักการเมืองยิ่งเก่า ก็ยิ่งเก๋าและโกงเก่งอะไรอย่างงี้เป็นต้น > > > น้องนิยามได้คมคายมากครับ พี่ชอบ เมื่อพี่ชอบพี่ก็ชมต่อหน้า > คนไทยต้องแก้นิสัยไม่กล้าแสดงออกนะครับ ไม่ชม ไม่ด่า > แล้วมันจะรู้มั้ยว่าเราเกลียดมัน > พี่จึงยกย่องวีรกรรมของแกนนำพันธมิตรและผู้ร่วมชุมนุม > และพี่จึงด่าคนที่พี่เกลียด เช่น รากหญ้า > เพราะมันคือต้นตอแห่งปัญหาทั้งปวง > คนที่มันเลือกมาสร้างปัญหาให้บัณฑิตเมืองหลวง > ที่เสียภาษีไปเลี้ยงพวกมันที่โง่และขี้เกียจ > > พูดออกสื่อไม่ได้เพราะสื่อขี้ขลาดครับ จึงต้องมาทำทอล์คโชว์ > เพื่อให้พูดได้โดยไม่ต้องเกรงใจสื่อที่ปอดแหก > แต่ต้องพูดกับเฉพาะคนดูที่กล้าเท่านั้นนะครับ > คนดูที่ขี้ขลาดอย่าซื้อบัตรทอล์คโชว์พี่นะ เดี๋ยวเยี่ยวแตกในโรงครับ > > สังคมที่ไม่กล้าแสดงออกไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยได้ครับ > คนที่ไม่กล้าแสดงออกก็เกิดมาหายใจเสียเปล่าไปชาตินึง เรียกว่า ดีแต่เกิด > ซึ่งเป็นชื่อหนังสือเล่มแรกของพี่ ที่ผู้คนบอกว่าควรอธิบายชื่อหนังสือ > พี่ก็บอกว่าถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ควรอ่าน > พี่ไม่เอาใจใครเลยครับ > ไม่ใช่เพราะเป็นลูกทหารยศพลอากาศเอก > ไม่ใช่เพราะไปโตเมืองนอกตอนคุณพ่อเป็นทูตลอนดอน > ไม่ใช่เพราะเป็นนิสิตดีเด่นเพชรชมพูของจุฬา > แต่เพราะพี่เหนื่อยกับการอธิบายคนที่ฟังไม่เป็นครับ > ต่อให้พี่อธิบายจนมันเข้าใจแล้วมันก็ไปนอน แล้วมันจะสงสัยไปทำไม > ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย > ไม่ได้เป็นแม้แต่ทรัพยากรที่มีคุณค่าอะไรต่อแผ่นดินเลย > แต่ขี้สงสัย ถามจังเลย > แผ่นดินสยามไม่ต้องมีมันก็ได้ครับ เปลืองออกซิเจนสยาม > > > พี่เลือกพูดกับเฉพาะคนที่มีไอคิว ฟังเป็น เข้าใจเป็น คิดต่อเป็น > คนเหล่านี้มีประโยชน์ต่อส่วนรวม พี่ต้องพูดกับเค้าครับ > > แต่ไอ้ประเภทฟังแล้วขี้ขโมย เช่น พี่ตู้คิดเหมือนผมเลย > พวกนี้พี่ถีบเบาๆแล้วสอนครับ > ท่านคิดสิ่งดีๆ แล้วไม่พูดออกมา เมิงจะคิดไปทำไม > พลังเงียบไม่มีพลังนะครับไอ้โง่ !! > > ได้ผลหลายรายแล้วครับ > จริงๆ คือ มันฟังเสร็จแล้วเห็นด้วย แต่วางฟอร์ม ก็พูดว่าคิดเหมือนกัน > ไม่ใช่มันคิดเหมือนพี่นะ มันบอกว่าพี่คิดเหมือนมัน แปลว่ามันคิดก่อน > บัณฑิตที่เรียนถึงปริญญาเอกยังเป็นเลยครับสันดานนี้ คือ คอรัปชั่นดีๆ นี่เอง > มาจากการตักกับข้าวจากกลางโต๊ะมาใส่จานตัวเอง คือ > เอาของส่วนรวมมาเป็นของตน > ซึ่งเราสอนเด็กให้โกงตั้งแต่เล็กๆ มาโดยไม่รู้ตัวกันครับ > ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในซีกโลกหนาว เวลากินข้าวต้องจานใครจานมัน > ไม่มีการตักจากกลางโต๊ะทีละคำ มันตักทีเดียวราดเสร็จไปเลย > เป็นการวางแผนระยะยาว > > ไทยเราคิดทีละคำ แล้วตะกละด้วยนะ กับข้าวหลายอย่างมาก > เมืองหนาวมันกินมื้อละอย่าง เพราะยังมีมื้อหน้าค่อยกินอย่างอื่น > มื้อนั้นไม่ใช่มื้อสุดท้ายของชีวิต มันคิดกันได้ไงครับ > ถ้าเราสอนเด็กกินข้าวราดแกงตั้งแต่เล็ก เด็กจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ตะกละ > ไม่ขโมยของส่วนกลาง รู้จักวางแผน > และ คิดเป็นว่าทุกมื้อไม่ใช่ THE LAST SUPPER > > เพราะคิดกันไกลอย่างเมืองหนาวไม่ได้ > เนื่องจากอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการอดอยากหน้าหนาวอย่างพวกนั้น > ก็ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า > ทำให้นักการเมืองก็ไม่คิดไกล โกงง่ายๆ > เพราะประชาชนเองก็ไม่คิดไกลเหมือนกัน > เลือกพรรคนี้คนนี้เพราะเบื่อพรรคโน้นคนโน้น > ถ้าคิดไกลจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สามัญชนจะแวะมาหวังดีกับประเทศ 4 ปี > โดยที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยทำอะไรให้ประเทศมาก่อนเลย
17 สิงหาคม 2554 15:18 น. - comment id 125719
...ขอกราบอภัย ที่กระผมเคยเขียนล่วงเกินท่าน พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร... . มาถึงวินาทีนี้ กระผมได้รู้แจ้งแล้วว่า ท่าน พ.ต.ท. ด.ร.ทักษิน ชินวัตร คือบุคคลที่สมควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และได้รับการยกย่องเชิดชู มากกว่าการเขียนกล่าวร้ายป้ายสีท่าน ในทางเสียๆหายๆ เหมือนที่บรรดาบล๊อกเกอร์ทั้งหลาย ในที่นี้ กำลังเขียนพาดพิงถึง! . . กระผมไม่รู้ว่าอะไรคือความชอบธรรม สิ่งเดียวที่กระผมรู้ตอนนี้ก็คือ...ความถูกต้อง ความถูกต้องที่น้องสาว และบรรดาลิ่วล้อของท่าน กำลังหยิบยื่นให้ บนความถูกใจ . . กระผมรู้ว่าอีกไม่นาน ท่านคงได้กลับประเทศ ประเทศที่ท่านเคยกล่าวหาว่า ไม่มีความยุติธรรม! กลับมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ กลับมาโดยไม่มีคดีความหรือมลทินอันใดติดตัว นั่นเป็นเพราะว่า "ท่านเป็นคนดี" . . "คนดี เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน" ซึ่งกระผมรู้สึกศรัทธาต่อประโยคดังกล่าวนี้ ตลอดมา เพียงแต่...มันอาจจะไม่ได้ใช้สำหรับคนดีเพียงอย่างเดียว เพราะคนเลวๆที่หน้าด้านบางคน ก็มักจะชอบพูดประโยคนี้เหมือนกัน . และกระผมยังมีความเชื่อมั่นอีกว่า ญาติพี่น้องของผู้ที่เคยถูกท่านสั่ง "ฆ่าตัดตอน" ในคดีค้ายาเสพติด และญาติของผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ด้วยการสั่งฆ่าแบบไร้มนุษย์ธรรม พวกเขาเหล่านั้น คงจะนับวันรอการกลับมาของท่าน อย่างปิติยินดี! . . วันนี้ ผมมองเห็นรอยยิ้มของผู้ชนะ รอยยิ้มของประชาชนส่วนใหญ่ที่จงรักภักดีในตัวของท่าน แต่อีกมุมหนึ่งที่กลับกัน ผมแอบเหลือบเห็นความล้มเหลวของระบบนิติรัฐ ความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตย และสิ่งที่กระผมไม่อยากเห็นมันเลย นั่นก็คือ... ความวิบัติของชาติบ้านเมืองที่จะตามมา . . แต่ก็เอาเถอะ! ในเมื่อท่านเอง มีความมุ่งมาดปราถนาที่จะกลับมาทวงคืน สิ่งที่ไม่เคยเป็นของท่าน และวงศ์ตระกูล คงไม่มีใครหน้าไหนแล้ว ที่มีอำนาจมาเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้ . . ดังนั้น! กระผมในนามของบล๊อกเกอร์ คนริมคลอง ใคร่ขอกราบท่านงามๆ ด้วยสิบนิ้วสั้นๆ สักครั้งหนึ่งเถิด เพราะกระผมรู้แจ้งแล้วว่า ท่านเองก็คงไม่ชอบให้ใครมาใช้มือกับท่านสักเท่าใดนัก เหมือนกับคนเสื้อแดงพวกนั้น ที่ชอบชูเท้าขึ้นเหนือศรีษะ และใช้มันปรบแทนมือให้เกิดเสียง ยามที่ตะโกนเรียกชื่อ ทักษิน ทักษิน ทักษิน พร้อมๆกับเท้าพลาสติกสีแดงหลายพันหลายหมื่นคู่ โบกสบัดไปทั่วแผ่นดิน... . . ขอบคุณภาพทุกภาพจากสื่ออินเทอร์เน็ต ขอบคุณทุกๆท่าน ที่บังเอิญหลงเข้ามาอ่าน ไดอารี่หน้านี้...