โจ๋ซ่ากับสี่ขาตัวป่วน(1)

ยักษ์ใหญ่ใจดี

"ไอป๊อก เมิงได้งานส่วนที่กูให้ไปหายังวะ"
         ผมเรียกป้อมด้วยชื่อนี้เพราะมันชอบเล่นไพ่ป๊อกเด้งเป็นชีวิตจิตใจ บวกกับความที่มันคออ่อน ชอบดื่มแต่หลับคาวงเหล้าก่อนใครเพื่อน 
"ไอห่า กูบอกกี่ทีละอย่าเรียกยังงี้ ไอปังคุง" 
"เวนกูชื่อปังปอนด์ดีๆ ตั้งแต่มีรายการขำกลิ้งลิงกับหมากกูกลายเป็นลิงเลยหรอวะ" 
"ก็ดีไม่ใช่หรอเมิง ได้ดังไง(ไม่ดีโว้ย) เออเดี๋ยวคืนนี้กูส่งงานทางเมล์ให้มึงละกัน เนี่ยเดี๋ยวเข้าห้องสมุดแล้ว"  
"ให้เสร็จนะโว้ย อย่าไปเด้งตามวงไพ่หรือป๊อกตามวงเหล้าอีกละ" ผมเตือนมันเพราะทำงานกลุ่มกะมันทีไรส่งงานคาบลูกคาบดอกทุกที
"เออ"
      มันตอบสั้นๆแกมรำคาญ ส่วนผมต้องเตรียมทำpower  pointใส่ข้อมูลที่ทุกคนเตรียมมาให้ บางครั้งก็ผมก็ลากคนในกลุ่มมาช่วยกันคิดว่าจะนำเสนอรายงานยังไงดี แต่คราวนี้ผมทำเอง ซึ่งก็ดีไปอีกอย่าง ไม่ต้องเถียงกับใคร  ใช้ความคิดตัวเองตามสะดวก เสียอย่างเดียวถ้าเกิดเจ๊งขึ้นมาก็โดนคนเดียว
"ปังคุง!!" เสียงอันทรงพลังที่ทำให้ทุกคนรอบๆหันมามองด้วยความตกใจ ก้อยน่ะเอง เธอมีดีกรีเป็นถึงดาวหาลัย ตอนมีงานอะไรเธอดูสง่างามมากๆจนผู้ชายทั้งมหาลัยหลงใหล แต่ช่วงเวลาปกติธรรมดาน่ะเหรอ เธอก็จะใส่แว่นตาหนาเตอะ ผูกผมเปียเป็นเด็กกะโปโลจนไม่มีใครจำเธอได้เท่านั้น
"ยัยก้อย ห้องสมุดนะเว้ย"  ผมกระซิบเบาๆ
"เออโทดทีๆ ว่าแต่ปัง หมู่นี้นายนี่ดูหล่อ ป๊อบปูล่าจริงนะเนี่ย"
"มีอะไรก็ว่ามา" ผมตอบห้วนๆ
"แหม พูดกับสาวน้อยน่ารักอย่างงี้ได้ยังไงเนี่ย"  พร้อมทำท่านางเอกร้องไห้
"ใครวะสาวน้อยน่ารัก"
"เพราะปากแกเป็นยังงี้น่ะซิถึงไม่มีใครมาจีบน่ะ" เธอพูดพร้อมบิดหูผม
"โอ๊ยๆ ก็แกเล่นพูดดีก่อนแล้วต้องมีไรให้ช่วยทุกทีนี่หว่า"
"เออ ใช่สิ แกช่วยเป็นพิธีกรงานกีฬามหาลัยปีนี้ให้หน่อยสิ"
"จะบ้าเรอะ เอาคนหน้าตางั้นๆอย่างกูไป งานล่มพอดี"
"ก็รุ่นพี่ที่เป็นพิธีกรคราวนี้ดันทำรถล้มอะดิ คนอื่นก็ไม่กล้าเป็นกัน"
"แล้วมาขอกูเนี่ยนะ กลัวคนเค้าจะหัวเราะขำกลิ้งกันน่ะสิ" ที่ผมพูดยังงี้ก็เพราะเวลาภาคบริหารหรือเอกไปเที่ยวนอกสถานที่ ผมต้องโดนลากไปพูดอะไรซักอย่างให้รุ่นพี่รุ่นน้อง อาจารย์ฟังทุกที แล้วไม่รู้เป็นยังไง ขำทุกรอบ
"เออนั่นแหละ คนดูจะได้สนใจไง ไม่แน่อาจดังก็ได้นะ"
"ไม่สน แค่นี้เค้าก็นึกว่าเป็นหลวงพี่เท่งคนใหม่แล้ว" ผมพูดพร้อมลุกหนี
"ทำไม ทำไมเธอไม่รับผิดชอบกันบ้างเลย" เธอพูดพร้อมดึงขาผม น้ำตาคลอเบ้า ตอนนี้ใครที่ไม่ได้ยินคำสนทนาที่ผ่านมาอาจมองผมเป็นผู้ชายที่ทำผู้หญิงท้องแล้วทิ้ง เธอพูดดังจนคนรอบข้างเริ่มซุบซิบสงสัยกัน
"เฮ้ย ยัยบ้า คนอื่นจะคิดว่ายังไงเนี่ย" ผมกระซิบ
"ถ้าแกไม่ยอมชั้นก็ไม่ปล่อย" เธอกระซิบตอบ พร้อมยิ้มชั่วร้าย
"ช่วยไม่ได้ " ผมถอนหายใจอย่างเศร้าๆ
"เย้" เธอกระโดดโลดเต้นดีใจ ผิดจากเมื่อกี้หน้ามือเป็นหลังเท้า
"ยัยสตอเอ๊ย" ผมพูดงุบงิบเบาๆ
ผัวะ!!! เสียงรองเท้าลอยมากระทบหัวผม ยัยก้อยจอมแก่นคงได้ยินที่ผมนินทาเมื่อกี้ จากนั้นหรอ ผมกับก้อยทะเลาะกันจนหมายังอาย แถมยังโดนบรรณารักษ์ไล่ออกจากห้องสมุดอีก
"ขอดีๆ ก็ไม่เป็นยังงี้หรอก" ผมพูดเซ็งๆ
 เธอหันขวับมา "แล้วขอดีๆ แกเคยยอมซะที่ไหนล่ะ"
ผมกับเธอส่งสายตาอำมหิตหลายวิ
"เอ่อ  รุ่นพี่ปังคุง ใช่มั้ยคะ"
"ใครวะ!! เรียกอยู่ได้ว่าปังคุง เดี๋ยวพ่อจับหมก........  "ผมโพล่งออกไปด้วยความโมโหพร้อมหันกลับไปมอง ตายละวา รุ่นน้องนี่นา สงสัยเมื่อกี้คงทำให้เธอกลัวแหงๆ
"เอ่อ โทดทีๆ พอดีทะเลาะกับยัยม้าดีดกะโหลกพร้อมชี้ไปยังก้อย(ผัวะ!!) ว่าแต่น้องรู้จักพี่ได้ไงหรอ
"พอดีพี่ป้อมเค้าให้มาหาพี่น่ะค่ะ พี่เค้าบอกว่าพี่ปังคุงช่วยได้  ว่าแล้ว นอกจากก้อยและป๊อกจะมีใครอีกที่เรียกผมแบบนี้
"ว่าแต่ มีอะไรหรอ" ผมถามด้วยความสงสัยว่าไอป๊อกมันหาเรื่องอะไรให้อีก
"งี้ดๆ" เสียงลูกหมาที่เธอถือมาอยู่ที่ถุงผ้าข้างหลัง
"อย่าบอกนะว่าให้พี่เลี้ยงน่ะ" ผมชักสังหรณ์ไม่ดี
"ค่ะ" เธอตอบซื่อๆ ตูว่าแล้ว ผมคิด
"คืองี้นะ"ผมถอนหายใจ ตอนนี้พี่พักอยู่ที่....อ๊อก"  "บ้านพี่ปังคุงเค้ากว้างจะตาย  ลูกหมาตัวเปี๊ยกแค่ตัวเดียวไม่เป็นไรหรอกจ้า" ยัยก้อยกระทุ้งสีข้างผมด้วยศอกกจนจุก
"คืองี้" ผมพูดพลางกุมสีข้างตัวเอง คือพี่เป็นโรคภูมิแพ้น่ะ สัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าใกล้พี่ไม่ได้เลย"
"งั้นหรือคะ" สาวน้อยพูดเศร้า "หนูเจอมันถูกทิ้งระหว่างทางมามหาลัย ที่บ้านหนูก็เลี้ยงไม่ได้ เพื่อนๆก็ไม่มีใครยอมรับเลี้ยง คงต้องปล่อยที่เดิม" ทันใดนั้นเจ้าลูกหมาตัวน้อยขนปุกปุย หูตั้ง (พันธ์ทางหรือไงหว่า)ก็วิ่งออกมาจากในถุง วิ่งคลอเคลียสาวน้อย ก้อย แล้วก็ผม ให้ตายสิ อย่าทำให้ใจอ่อนได้มั้ย ผมคิด
"ว้าย น่ารักจัง " ก้อยพูดอย่างตาเป็นประกาย
"งั้นแกก็เลี้ยงมั้ยล่ะ" ผมพูดพลางโล่งใจว่าจะได้ผลักภาระ
"บ้าเรอะ ที่บ้านชั้นมีแมวอยู่แล้ว ขืนเอาเจ้าเปี๊ยกไปเลี้ยงมีหวังโดนฟัดตายตั้งแต่วันแรกแล้ว" ก้อยพูดหน่ายๆ " มีแต่แกนั่นแหละที่พอจะเลี้ยงมันได้
"ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ" ผมชักเริ่มหมดความอดทน แต่ก่อนที่จะพล่ามอะไรต่อผมก็เจอสายตาเว้าวอนของสองสาวกับอีกหนึ่งตัว
."นะคะ พี่" สาวน้อยกุมมือผมไว้ ไม่อยากบอกเลยแต่ว่าน้องคนนี้ตรงสเปคทุกอย่าง สวยๆ ใสๆ อย่างงี้ถ้าได้เป็นแฟน ตำนานหนุ่มโสดตลอดยี่สิบปีของผมจบลงอย่างสวยงามแน่นอน
"ก็ช่วยไม่ได้นะ เอาเป็นว่าพี่จะรับเลี้ยงเจ้าเปี๊ยกนี่ละกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนพี่ขอ......"
ปี๊นๆ เสียงแตรรถเก๋งคันงามที่เพิ่งจอดข้าง " โทดทีน้องปูเป้ พี่มาสายไปนิดนึงน่ะน่ะจ้ะ" "แหมพี่พาน มาช้าจังเลย" น้องปูเป้ของพี่พานที่ว่าหันมาทางผม "ขอบคุณมากๆเลยค่ะ พี่ปังคุงใจดีจัง"
"อือ" ผมตอบอย่างผีตายซาก ฝันสลายน่ะสิ
"ไอปัง แกยังคบกับยัยก้อยเด็กกะโปโลอยู่อีกเรอะ" ที่พานพูดอย่างงี้ก็ไม่แปลก นอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครอีกที่มองเห็นทั้งสองด้านของก้อยเหมือนอย่างผม
"เรื่องของกู" ผมตอบแบบไปที ผมกับก้อยก็เหมือนเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยม ไม่ได้คิดอะไรกัน ไอพานมันเป็นเสือผู้หญิงด้วย เจอมันแต่ละทีควงสาวไม่ซ้ำหน้า
แถมยังตัดหน้าผมไปหลายรอบ เอาเหอะ ผู้หญิงที่หลงคารมอย่างมันก็นับว่าฉลาดน้อยเต็มทน
ผัวะ!!! เสียงรองเท้าของเด็กกะโปโลที่ว่าลอยมาโดนเต็มๆหน้าหล่อๆของพานจนเลือดกำเดาไหล
"ยัยเด็กบ้า!! อยากมีเรื่องใช่มั้ย!!"
"กะโปโลแล้วมันหนักส่วนหัวของพ่อเมิงรึไงฟะ  ไอแมงดา**word band by system** เอ๊ย" ก้อยพูดพร้อมง้างหมัดเข้าใส่
"เอาน่าๆ ไอพานมีเรื่องกับผู้หญิงไม่ดีนะเฟ้ย ก้อยแกก็เหมือนกัน หัดเป็นกุลสตรีหน่อย" ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันผมปล่อยไปแล้ว มันดี
"อย่าเ_อก!!" ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน ทีงี้สามัคคีกันเชียวไอพวกนี้ ผมคิด
"แก อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะไม่กล้านะเว้ย" พานเหวี่ยงหมัดเข้าใส่
"พล่อก" ไม่ใช่เสียงหมัดของพาน แต่เป็นของผมที่สวนมันจนล้มคลุกฝุ่น
"ไอปัง!! ทำไรของแกวะ!" พานมองตาขวาง
ผมลากคอมันขึ้นมา "เดี๋ยวนี้เมิงกล้าต่อยผู้หญิงหรือไงวะ แล้วจะให้กูอยู่เฉยรึไง"
 ไอพานไม่พูดอะไร เดินกลับไปที่รถ
"อย่าให้กูเจออีกรอบนะเว้ย เมิงโดนพวกกูยำเละแน่ !!รู้มั้ย กูลูกใคร!!.
"ไอห่านี่ พ่อตัวเองยังจำไม่ได้แล้วใครที่ไหนจะจำให้เมิง" ผมพูดติดตลก
"ไม่ตลกนะมึง" พานพูดทิ้งท้ายก่อนบึ่งรถออกไป
"ปัง..." ก้อยพูดเสียงเศร้าๆ
"ยัยบ้าเอ๊ย เป็นเรื่องแล้วมั้ยล่ะ ทีนี้ทั้งกูและมึงได้หนีหัวซุกหัวซุนแน่ๆ"  ผมพูดพลางเขกหัวก้อยเบาๆ
"ขอโทษจริงนะๆ" ก้อยกล่าวเสียงน้ำตาคลอ หลายครั้งที่ก้อยชอบก่อเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เริ่มรู้จักกันแล้ว แล้วผมก็ต้องช่วยแก้ทุกที
"ยัยบ้า" ผมดึงหัวก้อยมาซบไหล่ ทันใดนั้นเอง เจ้าลูกหมาที่วิ่งซนไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครมองวิ่งไปทางถนนใหญ่  เสียงแตรรถบีบไล่ แต่มันกลัวจนตัวสั่น ไม่ขยับไปไหน
"ทำไงดีละปัง" ก้อยกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
"ก็ต้องช่วยน่ะสิ จะยอมให้มันโดนรถทับเรอะ" ผมพูดพร้อมวิ่งไปที่ถนน
ไอเจ้าเปี๊ยกเอ๊ย ไม่ทันไรก่อเรื่องซะแล้ว โชคดีที่มันไม่ขยับไปไหน แต่ปัญหาก็คือรถที่พลุกพล่านอย่างนี้จะไปช่วยมันยังไง แต่ก็ต้องไปช่วย พูดไปแล้ว ผมขยับเข้าไปหาช้าๆพลางหลบรถที่ผ่านไปมา อีกนิดเดียว ใกล้ถึงแล้ว  แต่เจ้าหมาดันหนีผมเรียกมันก็ไม่มา เอาไงดีฟะ อยู่นานๆแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ทันใดนั้นผมตัดสินใจตะครุบตัวมันจนได้ แต่เมื่อหันกลับมาเมื่อนั้นเอง
โครม!!!! ร่างผมลอยละลิ่ว ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น พร้อมเสียงกรีดร้องของก้อย
"ปังงงงงง.....................!!!!!!!!!!!!"				
comments powered by Disqus
  • นาฬิกาตาย

    25 พฤษภาคม 2551 14:53 น. - comment id 100305

    แล้วไงต่อง่ะ
  • ยักษ์ใหญ่ใจดี

    25 พฤษภาคม 2551 15:03 น. - comment id 100306

    ใจเย็นๆคับ ตอนต่อไปมาแน่ๆ ยังไงก็ขอขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นนะคับ1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน