3:58 น. ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลพิปูน ร่างของสุภาพบุรุษชรานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ความเผือดของสีผิวแทบจะกลืนเป็นสีเดียวกับผ้าปูที่นอน ขัดกับสีหน้าและแววตาที่มองสบพวกเรา...ดูเหมือนท่านกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิตก็ว่าได้... ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงพัดลมเก่า ๆ ที่ผ่านการใช้งานมาหลายสมัย และยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปเรื่อย ๆ เอ่อ...คนไข้ไม่ไหวแล้วนะครับ หมอใหญ่เข้ามากระซิบข้างหูพ่อ แต่...เสียงกระซิบท่ามกลางความเงียบสงัด มันดังพอที่จะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละคนที่ยืนรายล้อมเตียงสีขาวได้อย่างชัดเจน อาต้อยเป็นคนแรกที่หลุดเสียงสะอื้นปริ่มว่าใจจะขาดออกมา อาแอ๊ด อาติ๋ว อาเจนและแม่หันมากอดกัน น้ำตาไหลอาบแก้มลูกทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่เข้มแข็งที่สุดอย่างพ่อกับอายุทธ ทำไมต้องหลั่งน้ำตา เพียงเพราะว่าพ่อจะพ้นทุกข์ด้วยล่ะลูกเอ้ย... น้ำเสียงเย็น ๆ ที่พวกเราได้ฟังจนชินหู เจนใจมาตลอดชีวิตดังขึ้นเบา ๆ พ่อรีบเข้าไปยืนข้างเตียง อาต้อยจับมือปู่ไว้แน่น ลูบแขนเหี่ยวย่นเบามือ พ่อครับ...พวกผมอยู่ตรงนี้ ลูก ๆ หลาน ๆ ก็อยู่กันตรงนี้แล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พวกเราจะดูแลแม่ จะดูแลกันและกันให้ดีที่สุด... พ่อสูดหายใจลึก พยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นสุดความสามารถ พ่อทราบว่าน้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคนต้องการหลักยึดเหนี่ยว และถ้าเวลานี้ พ่อล้มลงไปอีกคน ทุกคนก็คงจะเสียกำลังใจกันไปหมด 03:59 น. ได้เกิดมาเจอเธอ...ก็ดีมากแค่ไหน...กับคนที่ใคร ๆ ว่าเลื่อนลอย...เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น ก่อนที่มันจะดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันรีบกดรับสาย ยกมือป้องปากเดินออกไปด้านนอกตรงสวนหย่อมของโรงพยาบาล พูดตอบปลายสายเบา ๆ เมื่อหน้าจอดิจิตอล ปรากฏเป็นชื่อกั๊ก ฮัลโหล...ถึงไหนกันแล้ว...เออ...ไม่ต้องรีบหรอก ขับรถดี ๆ ล่ะกัน ปู่ไม่เป็นไร... เฮ่อ...ค่อยโล่งอกหน่อย นี่ก็รีบจะแย่อยู่แล้ว ไปแวะรับพี่กั้งกับพี่นกที่แปดริ้ว แล้วก็เหยียบมาเต็ม ๆ เลย เจ๊ไม่ต้องห่วงนะ แล้วซันกับเดียวล่ะ ซนมากหรือเปล่า ฝากเจ๊ดูให้ด้วยล่ะ ผมจะรีบไป ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นี้นะ ขับรถดี ๆ อย่าหลับในระหว่างทางล่ะ บอกกั้งด้วยอย่าดื่มให้มากนักจะได้นั่งมาเป็นเพื่อนกัน... ฉันทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนข้างสวนหย่อม ลมโชยกลิ่นมะลิซ้อนหอมเย็นมาจากสวนเล็ก ๆ ที่จัดได้อย่างน่าดูชม ดอกไม้ทุกดอกเบ่งบานรับน้ำฝนที่ตกพรำไม่ยอมหยุด แมลงปีกแข็งหลายตัว พากันมาเล่นไฟอย่างมีความสุข ท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว ความมืดที่เป็นอมตะ มันเป็นสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด สำหรับฉัน ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทุกข์ทรมานไปกว่าการที่ต้องรับรู้ว่าอีกไม่กี่นาที ฉันจะไม่เหลือปู่ไว้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอีกแล้ว สู้ให้รู้ทีหลังซะยังจะดีกว่ามานั่งมองวาระสุดท้ายของท่านแบบนี้... ที่บ้านของเราเคยจัดงานมาสารพัด ไม่ว่าจะงานแต่ง งานบวช งานทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่ โกนผมไฟ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีงานศพ แล้วทำไม...ทำไม...ถึงหลีกเลี่ยงงานนี้ไม่ได้นะ... ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา นั่งนิ่งมองสรรพสิ่งรอบตัว ก่อนจะตัดสินใจลุกเดินเข้าไป...ไปเพื่อบอกลาปู่สุดที่รักของฉันเป็นครั้งสุดท้าย... 04:00 น. น้องถึงไหนแล้วลูก กุ้งลองโทรเช็คลุงชัยกับอาเล็กสิว่าถึงไหนกันแล้ว ถ้าใกล้ถึงแล้วก็ให้ตามมาที่นี่เลย จะได้ทันปู่... อาแอ๊ดที่ยืนใกล้ฉันที่สุดเอ่ยถามออกมาเบา ๆ พวกเราส่วนใหญ่อยู่ที่นี่กันแล้ว เหลือกั้ง กับก้อง แล้วก็ครอบครัวของลุงชัย กะอาเล็กเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง ญาติพี่น้องมากมาย ที่หลั่งไหลกันมาเยี่ยม จนแน่นขนัด พยาบาลพยายามกันไม่ให้เข้าไปรบกวนคนไข้แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เณรสิทธิ์...เณรยุทธ...แอ๊ด...ต้อย...ติ๋ว เข้ามาใกล้ ๆ พ่อนี่ลูก เณรชัย กับเณรเล็กยังไม่มาใช่ไหม... เสียงแหบเครือของปู่ร้องเรียกให้ลูกทุกคนเข้าไปหา ฉันเห็นพ่อและอา ๆ น้ำตากลบตา ไม่ต่างอะไรกับหลาน ๆ ทุกคนที่ยืนรายล้อม ทุกคนรู้ดีว่าเวลาของปู่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งของปู่ จิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้ให้ของปู่ยังคงอยู่เต็มเปี่ยม ไม่เคยมีสักวันที่ปู่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ใกล้ถึงเวลาของพ่อเต็มทีแล้วลูกเอ๋ย...สิ่งสุดท้ายที่พ่ออยากจะขอจากลูก...อย่างเดียว...ขอให้...ช่วยกัน...สร้าง สวนมนุษย์ ต่อจากพ่อที สวนมนุษย์??!!! เสียงทวนคำด้วยความสงสัยของใครบางคน จุดประกายรอยยิ้มบนใบหน้าซีดเผือดของปู่อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเลือนหายไป แทนที่ด้วยคำอธิบายสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า... ที่ผ่านมา...ไม่ว่าใครจะคิดสร้างสวนยาง สร้างสวนผลไม้ ซื้อไร่ ซื้อนา สร้างโรงสี หรือเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเยอะแยะมากมายขนาดไหน แต่สิ่งเดียวที่พ่อสร้างและได้สร้างมาตลอดก็คือ สร้างสวนมนุษย์ พ่ออดทนส่งพวกเจ้าทั้งเจ็ดคน...ให้ได้เรียนจนจบ...จบปริญญาตรีห้าคน...ปริญญาโทคนหนึ่ง...อีกคนก็กำลังเรียนต่อปริญญาโท...พวกเจ้าได้รับราชการเป็นข้ารับใช้แผ่นดินถึงหกคน แม้อีกคนแยกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่เงินภาษีที่ติ๋วจ่ายให้ประเทศชาติปีหนึ่งก็ไม่น้อย...และที่สำคัญลูกทุกคนเป็นคนดี...นี่คือสวนมนุษย์รุ่นแรกที่พ่อภาคภูมิใจที่สุด... ปู่หยุดพักเหนื่อย หลังจากที่พยายามพูดประโยคยาว ๆ ที่ทุกคนไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้ว ย่านั่งน้ำตาซึมไม่ยอมห่างเตียงปู่ มือผอมบางของย่าวางอยู่ข้างไหล่ปู่เสมอ เป็นภาพที่พวกเราเห็นบ่อยตั้งแต่ปู่ไม่สบายมาจนถึงวันนี้...นาทีนี้... น้องต้น เรียนจบปริญญาตรี แต่งงานมีหลักมีฐาน ไอ้กุ้งได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นสามปี กลับมามีงานมีการเงินเดือนดี เจ้ากั้งจบปริญญาตรี มอ.ปัตตานี เจ้ากั๊กจบก่อสร้างมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ ยังเหลือ ไอ้กิ๊ฟ ไอ้ก็อบ ไอ้เทียนหยด เจ้ากาย เจ้ากร ในรุ่นหลาน กับน้องเดียว น้องซัน น้องเนย น้องแยม ในรุ่นเหลนที่ต้องฝากให้ทุกคนสร้างกันต่อไป... 04:01 น. ความเงียบปกคลุมทุกพื้นที่ของห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ อีกครั้ง ฉันมองผ่านม่านน้ำตาออกไปนอกประตู ลุงชัย ป้าต้อย พี่ต้น พี่เจี๊ยบ อาเล็ก และอาสำเริง กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา... คราบน้ำตาที่ค้างคาบนใบหน้าของลุงชัย ลูกชายคนโตของปู่ น้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่เคยมีใครได้เห็น แต่...มันกำลังหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย... ทุกคนเข้ามากราบเท้าปู่ อาเล็กจับมือปู่ขึ้นไปวางไว้เหนือหัว ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกมายืนข้างอายุทธ นี่ถ้าพ่อไม่ใกล้ตาย ก็คงไม่ได้เห็นลูกหลานเหลน มาหาพร้อมหน้ากันอย่างนี้ใช่ไหมเนี่ย... น้ำเสียงปราณีติดตลก เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนถอยออกไปยืนรายล้อมรอบเตียงแล้ว สวนมนุษย์รุ่นต่อไปกำลังรอสองมือของลูกทุกคนโอบอุ้ม ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะเหนือกว่าความดี และความรู้ที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต สวนมนุษย์ที่พ่อได้ปลูก ได้สั่งสอน ได้สร้างขึ้นมาด้วยสองมือของพ่อและแม่นั้น ลูกทั้งเจ็ดคน จงรับเอาไปสานต่อ ขยายสวนของเราให้กว้างใหญ่ไพศาล ทรัพย์สมบัติที่พ่อมีให้ลูกคือความรู้และหน้าที่การงานเท่านั้น จงสร้าง และสะสมความดีไว้กับตัวนะลูกนะ เหมือนสายฝนเย็นฉ่ำที่ราดรดลงกลางใจของพวกเราแต่ละคน ช่วยชะล้างความเหนื่อยล้าออกจากหัวใจ ชีพจรปู่เต้นแผ่วเบาลงทุกที แต่สีหน้ามีความสุข และกำลังใจจากลูกหลาน ช่วยให้ปู่ยังสามารถพูดคุยกับพวกเราได้เป็นปกติ เทียนหยด น้องกิ๊ฟ น้องก๊อบ ยืนกอดกันร้องไห้เงียบ ๆ ตรงปลายเตียงปู่ ฉันกอดน้องเดียวกับน้องซันไว้คนละด้าน พูดปลอบลูกกับหลานเบา ๆ ไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนคุณทวด ทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ทั้งที่เป็นเด็กช่างซัก แต่วันนี้ สองมือน้อย ๆ ของลูกชายที่เอื้อมมาป้ายเช็ดน้ำตาจากแก้มฉัน เป็นภาพที่สะกดทุกสายตาของบรรดาญาติ ๆ ก่อนที่เสียงสะอื้นจะดังระงมขึ้นอีกรอบเพราะถ้อยคำไร้เดียงสาของลูกชายสุดที่รักของฉัน... แม่กุ้งร้องไห้ทำไม โอ๋ๆๆ นิ่งนะ คุณทวดไม่เป็นอะไรสักหน่อย คุณทวดยังสอนพวกเราได้เลย...เดี๋ยวคุณทวดก็กลับบ้านได้แล้ว เราจะได้ไปเล่นสงกรานต์กันไง...แม่กุ้งอย่าร้องนะ 04:02 น. ...ได้เกิดมาเจอเธอ...ก็ดีมากแค่ไหน...กับคนที่ใคร ๆ ว่าเลื่อนลอย...เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ฉันกดรับและพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับน้ำเสียงให้ฟังดูสดใสสุดชีวิต ฮัลโหล...ถึงแล้วเหรอ...อือ...เดี๋ยวเจ๊ออกไปรับ เจ๊มีร่มหรือเปล่า ข้างนอกฝนตกหนักเหลือเกิน พวกผมไม่ได้เอาร่มติดมา จ๊ะ รอเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวเจ๊เอาร่มไปรับนะ ฉันกดปิดสัญญาณการติดต่อ ลุกไปบอกพ่อว่ากั้งกับกั๊กมาถึงแล้ว พ่อพยักหน้าบอกให้ฉันรีบออกไปรับน้อง ๆ แม่เข้ามากอดน้องซันกับน้องเดียว ขณะที่ฉันคว้าร่มสามคัน สาวเท้ายาว ๆ เดินลงบันไดเตี้ย ๆ ไปที่ลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล น้ำฝนที่ตกลงมาช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยของหยาดน้ำตาบนใบหน้าฉันได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ฟ้องชัดเจนจนน้องชายสองคนสงสัยก็คงเป็นเพราะ ดวงตาอันแดงช้ำของฉันนั่นเอง เจ๊แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร ปู่ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย แค่ไม่สบายธรรมดาใช่ไหม เจ้ากั๊กที่ความรู้สึกไวเป็นพิเศษเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ทุกคนลงรถ รับร่มและเดินกลับมาทางเก่าที่ฉันเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ เปล่าซะหน่อย รีบเดินเหอะ ปู่รอพวกนายอยู่แน่ะ น้องชายสองคนทำหน้าสงสัย...เมื่อมาถึงหน้าห้องปู่ เจ้ากั้งกระซิบถามฉันด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว แฝงความลังเลไม่แน่ใจ ฉันมองตอบน้องด้วยน้ำตานองหน้า แค่นั้นทั้งสองก็รีบเปิดประตูเข้าไปกราบแทบเท้าปู่ทันที ปู่ครับ กั้ง กับกั๊กมาแล้วครับ ปู่หายเร็ว ๆ นะ จะได้กลับไปบ้านให้ลูกหลานอาบน้ำสงกรานต์ไงล่ะครับ มาแล้วเหรอ เจ้ากั้ง เจ้ากั๊ก...ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ได้รดน้ำปู่แล้วล่ะลูกเอ้ย...อย่าลืมนะลูก เราต้องเป็นคนดี เราต้องทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เราต้องเจริญรอยตามพ่อหลวงของเรานะลูกนะ... พ่อ...คิดถึงพระนะพ่อนะ...ตั้งนะโมนะพ่อนะ ไม่ต้องห่วงพวกผม ไม่ต้องห่วงแม่ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น สิ่งที่พ่อสร้างมาตลอดชีวิตพ่อ พวกผมจะสานต่อให้เอง ผมรับรองว่าจะขยาย สวนมนษย์ ของพ่อให้ยิ่งใหญ่ที่สุดครับพ่อ... ลูกทั้งเจ็ด เขยสะใภ้ หลานทั้งเก้า กับเหลนอีกสี่คน ก้มลงกราบแทบเท้าปู่ บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปจากใบหน้าซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยความสุขของปู่... สุภาพบุรุษชราได้จากพวกเราไปอย่างสงบเมื่อเวลา 04:03 น. การจากไปที่ไม่หวนกลับ เหลือเพียงคำสั่ง ภารกิจสุดท้ายที่ปู่ฝากไว้ให้พวกเรา นั่นคือ การสร้างสวนมนุษย์...
30 เมษายน 2551 23:43 น. - comment id 100091
เข้าใจความรู้สึกครับ ตอนผมเสียคุณตาก็อย่างนี้ แต่ผมไม่ได้ไปดูใจท่าน เพราะคำพูดคำเดียวที่ผมบอกแม่ ไม่มีอะไรมั้งแม่ วันนี้เพลียมากแล้ว ไม่ไปนะ มีผม หลานคนเดียว ที่ไม่ได้ไป คิดแล้วผมยังรู้สึกผิดในใจไม่หายเลยครับ คิดถึงตานะครับ..แม้มันจะสายเกินไปแล้ว
2 พฤษภาคม 2551 14:00 น. - comment id 100099
ในความเป็นจริง เราหลายคนอาจจะไม่รู้ตัวว่าจะต้องเจอกับความสูญเสียที่กะทันหัน เลยไม่ได้เตรียมใจเอาไว้...ศิวโรจน์เองก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ค่อยได้อยู่ดูแลท่าน จะด้วยงาน ภารหน้าที่อื่นบวกกับระยะทางที่ห่างไกลทำให้ไม่ค่อยได้ไปหาท่านบ่อยนัก ดีใจที่เรื่องราวของศิวโรจน์ นำพาความคิดถึงคุณตาของคุณกลับคืนมา... และขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้กับสมาชิกใหม่ด้วยฮะ
5 พฤษภาคม 2551 02:43 น. - comment id 100110
โอ อ่านแล้วนึกถึงยายเลยครับ สุดยอด
6 พฤษภาคม 2551 12:47 น. - comment id 100115
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจ...ดีใจที่ชอบนะคะ
6 พฤษภาคม 2551 13:17 น. - comment id 100116
......เยี่ยมสมคำร่ำลือ...... เขียนมาลงบ่อยนะ..เจ๊เกลียวฯ..
7 พฤษภาคม 2551 09:09 น. - comment id 100119
เรื่องนี้คุ้น ๆ เหมือนเคยอ่านที่เว็บตะเกียงเลยนะฮะ...แต่รู้สึกคนเขียนจะชื่อเกลียวคลื่นนะใช่คนเดียวกันหรือเปล่าครับ....
7 พฤษภาคม 2551 09:11 น. - comment id 100120
ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะ...คุณชายนนทสรวง... ใช่แล้วค่ะคุณศิลา...ศิวโรจน์ กะ เกลียวคลื่นเป็นคนเดียวกันค่ะ... ไม่ทราบว่ารู้จักเว็บตะเกียงด้วย...ถ้าสนใจเรื่องสั้นก็ลองเข้าไปเยี่ยมชมได้นะคะ
8 พฤษภาคม 2551 10:34 น. - comment id 100126
อ่านแล้วดีจังเลยครับ...อึม...ภารกิจสุดท้ายเหรอ...สร้างสวนมนุษย์...น่าสนใจมากครับ
9 พฤษภาคม 2551 10:40 น. - comment id 100130
ขอบคุณค่ะ...คุณศิลา...ดีใจที่ชอบค่ะ นั่นสิคะ...สวนมนุษย์ ที่พวกเราคนไทยทุกคนควรจะช่วยกันสร้าง... เผื่อว่าสังคมไทยของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง...