รู้แจ้งฉับพลัน...ชาติเดียวหลุดพ้น

คีตากะ

มีคนมักบอกว่า ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของคนโบราณแล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จ มันก็เกิดข้อโต้แย้งของบางคนขึ้นมาว่า คำสอนของคนโบราณสอนให้ใคร? เราก็มาตอบได้ว่า เขาสอนให้คนโบราณโน้น เดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว บางอย่างก็ล้าสมัย อย่างเช่นคำว่า เรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เราว่าปัจจุบันนี้เห็นคนเรียนสูงๆเป็นแต่ลูกจ้าง ไม่เป็นข้าแผ่นดินก็เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน อาจเป็นได้ว่าสมัยโบราณ คนที่จะได้มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือคงจะมีน้อย ก็เลยเหมาไปเลยว่าใครเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้านาย แต่ทุกวันนี้คนเรียนสูงๆตกงานก็มีให้เห็นกันเกร่อ ปัจจุบันการศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไปแยะ พูดมากไปไม่ค่อยได้มีคุณครูที่น่านับถืออยู่มาก แต่อยากยกคำพูดของคนบางคนที่ได้ยินมาเขาบอกว่า ไม่มีสถาบันไหนสอนให้คนเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนใหญ่สอนให้เป็นลูกจ้าง เรามานั่งคิดดูก็เห็นว่ามีส่วนจริง ใครๆก็พูดว่าเรียนสูงๆจะได้มีงานทำดีๆ ความหมายก็คือส่งเสริมให้เป็นลูกจ้างอยู่ดี ไม่เห็นบอกว่าเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าของกิจการ มันก็น่าคิดเหมือนกัน เคยได้ยินคนรวยบางคนพูดว่า การจะร่ำรวยหรือยากจนอยู่ที่ตรงการเลือกอาชีพ ถ้าเลือกอาชีพที่มีโอกาสรวยก็มีสิทธิรวย ถ้าเลือกอาชีพที่ทั้งชาติไม่มีโอกาสรวยก็ย่อมไม่รวย ฟังแล้วมันก็น่าสนใจ เขาให้สังเกตจากคนที่เคยทำอาชีพนั้นจนปลดเกษียณว่าสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นอย่างไร รวยหนี้ รวยทรัพย์ รวยน้ำใจ รวยเพื่อน หรือรวยอะไร ? ก็คิดว่าทุกคนมีมุมมองแตกต่างกันไป...
แม้แต่เรื่องของศาสนาที่เป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม ก็มีความเชื่อแบบคล้ายคลึงกันนี้มาแต่โบราณเหมือนกัน ศาสนาดั้งเดิมได้แตกนิกายออกไปมากมาย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น จนถึงที่สุดกลายเป็นสงครามศาสนาชนิดอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ ก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
มันก็คงวุ่นกันตรงนี้แหละ ที่นำคำสอนของคนโบราณมาใช้ในยุคปัจจุบันโดยไม่มีการพินิจไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่างเช่นศีลบางข้อของพระสงฆ์ที่ห้ามพกพาเงินกับตัว ทราบมาว่าสาเหตุเพราะพระสงฆ์สมัยโบราณมักเดินธุดงค์ไปตามป่าเพื่อการฝึกภาวนาสมาธิ และเงินสมัยโบราณทำจากเหรียญโลหะเสียส่วนใหญ่เวลากระทบกันจะมีเสียงดัง อาจรบกวนการปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าจึงห้าม บัญญัติเป็นศีล แต่ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เงินส่วนใหญ่เป็นธนบัตรทำจากกระดาษ เรื่องจะเกิดเสียงรบกวนคงจะยาก แต่ถ้ามายึดเอาตายตัวก็คงเพิ่มความลำบากให้กับชีวิตมากขึ้นและไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่พอใครคิดจะมาเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ถูกตราหน้าว่าพวกนอกรีต นอกธรรม เหมาเอาเลย แต่คงไม่ถึงกับสุดโต่งเหมือนบางคนที่ชอบพูดว่ากฎมีไว้ให้ฝ่า นี่ก็คงเกินไป เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆมีไว้เพื่อรักษาสังคมให้สงบสุขเรียบร้อยมากขึ้น ถ้ามันสมเหตุสมผลพอกับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นก็จะล้าหลังมีไว้เพื่อสอนคนโบราณ ใช้ไม่ได้กับคนสมัยนี้ 
	โดยเฉพาะเรื่องที่สูงสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดมากกลัวโดนข้อหาอวดอุตริทางธรรม
อย่างเช่น นิพพาน คนที่ควรจะมีสิทธิพูดจะต้องเคยนิพพานมาแล้ว คนไม่เคยไม่ควรพูด เพราะมันจะกลายเป็นเพียงแค่ความรู้ไม่ใช่มาจากประสบการณ์ และเสี่ยงกับการสร้างวจีกรรม ฟังดูแล้วมันก็น่ากลัวจนเกินไป เปรียบไปแล้วมันก็คล้ายกับบุรุษไปรษณีย์ ที่ไม่ใช่เป็นคนเขียนจดหมายเองแต่มีหน้าที่ส่งจดหมาย ถ้าถามว่าข้อความในจดหมายคืออะไร หรือในกล่องพัสดุนี้มีอะไร เขาก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเขามีหน้าที่ในการส่งอย่างเดียว แค่รักษาสิ่งของหรือจดหมายจนถึงมือผู้รับในสภาพที่เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น บางครั้งเคยพบว่าคนที่พูดบางคนมีความคิดที่ดีมากๆแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติเลยสักครั้ง ถ้าเราเพียงแต่เปิดใจให้กว้างนำเอาความคิดของเขาลองไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาก็ถือว่าการฟังได้ประโยชน์อย่างมาก คนพูดอาจไม่เคยปฏิบัติมา แต่เขาอาจเคยได้ยินได้ฟังคนที่เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วจำมาพูด นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อคนฟังเช่นกัน คนฟังจึงควรมีวิจารณญาณให้มากในการเลือกที่จะกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาของแต่ละคน เฉกเช่นการจะเข้าถึงนิพพาน อันเป็นเรื่องที่สำหรับบางคนมันอาจจะไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องง่ายๆ ถึงกับมีบางคนเปรียบเทียบว่าง่ายกว่าการยืนเข้าแถวซื้อของเสียอีก เรื่องราวทำนองนี้เราก็เคยได้ยินได้ฟังมามากแม้เราจะไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่ก็อยากเสนอแนวความคิดเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบางคนที่สนใจ สิ่งแรกต้องเกริ่นตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า แม้พุทธศาสนาเองก็ยังแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายมากมาย แต่ที่เห็นชัดๆคือนิกายมหายานกับเถรวาทหรือหินยาน แค่สองนิกายนี้ก็ถกเถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เราก็ฟังเขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ความที่เราเคยศึกษาทั้งสองนิกายมาบ้างพอสมควรและเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายก็รู้สึกเศร้าใจที่แม้ธรรมะจะมีหนึ่งเดียว แต่ความที่จิตใจคนแตกต่างกันไป จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายในข้อทฤษฎีและข้อปฏิบัติ เราไม่พูดถึงนิพพานคืออะไร? แต่พยายามหาวิถีทางในการก้าวไปสู่สิ่งนี้ หนทางใดที่เหมาะกับอุปนิสัยของใครก็ควรเดินไปตามเส้นทางนั้น เพราะเราเชื่อว่าแม้จะมีวิถีทางที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถกระทำได้ เพราะคำว่าอัตตา ตัวเดียว ทุกคนก็มี ตัวกู ของกู ด้วยกันทั้งนั้น มีความคิด มีนิสัย ความชอบแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน แต่เราอยากจะมากล่าวด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า เราเข้าใจว่าพระพุทธองค์สามารถที่จะหยั่งรู้และแยกแยะภาวะจิตของสรรพสัตว์ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดูได้จาก ทศพลญาณ  พระองค์สามารถจะสั่งสอนอบรมสรรพสัตว์ตามระดับสติปัญญาของแต่ละบุคคลได้ จึงได้เกิดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่าขึ้น ใครที่หนาแน่นด้วยความหลงผิดก็ต้องฝึกฝนกันหนักหน่อย ใครมีปัญญาสูงก็สอนแบบเบาหน่อย เปรียบเสมือนนักเรียนที่มีระดับสติปัญญา หรือไอคิวแตกต่างกันนั่นเอง คนฉลาดย่อมเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนไม่ฉลาด ย่อมเป็นสัจธรรม หลักธรรมจึงมีถึง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้เหมาะกับอุปนิสัยของสรรพสัตว์ที่แตกต่างกัน บางคนเหมาะกับเถรวาท บางคนเหมาะกับมหายาน แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อเข้าถึงธรรมอันสูงสุด อะไรเรียกว่า หลักธรรมสูงสุด พระพุทธองค์เองย่อมเป็นตัวอย่างของการเป็นผู้เข้าถึงหลักธรรมสูงสุด ซึ้งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตล้วนๆไม่เกี่ยวกับรูปธรรมใดๆ แต่ข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ผู้นำทางหรือคนชี้แนะ บางคนบอกว่าก็หลักธรรมในคัมภีร์ต่างๆที่จารึกไว้นั่นไง แต่อย่าลืมว่า คัมภีร์เหล่านั้นใช้สอนคนสมัยโบราณ และเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นการที่พุทธองค์ชี้แนะสั่งสอนพุทธบริษัทกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่ว่าสอนใคร? ระดับภูมิธรรมขั้นไหน? เหมือนกับระบบการศึกษา คนเรียนดอกเตอร์จะมานั่งเรียนในโรงเรียนประถมไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราบอกว่าดอกเตอร์สูงสุด การเรียนการสอนระดับนี้ต้องไม่เหมือนกับการเรียนชั้นประถมแน่นอน แล้วมันจะยิ่งละเอียดอ่อนขนาดไหนถ้ามันไม่ใช่การเรียนรู้แค่ระดับสมองแต่มันลึกถึงระดับวิญญาณ ที่ยากพิสูจน์จับต้องและแยกแยะระดับชั้นหรือภูมิธรรมได้ง่ายๆ เราไม่เปรียบเทียบว่านิกายไหนดีกว่ากัน ให้เป็นไปตามความชอบส่วนบุคคลน่าจะเหมาะกว่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การจะเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป เช่น ไปต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศ ถ้าเราไปด้วยตนเองมันก็จะมีผลเพียงสองอย่างคือ ไปถึงจุดหมายกับไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ถ้าเรามีผู้นำทางหรือเรียกว่าไกด์ซึ่งเขาเป็นผู้ชำนาญทางและเคยไปที่แห่งนั้นมาแล้ว ผลมันก็จะรับประกันได้แน่นอนกว่าว่าจะไปถึงจุดหมายและไม่เกิดการหลงทาง โดยเฉพาะเสียเวลาจากการหลงทิศหลงทางไป จนถึงกับแย่ที่สุดคือหาไม่พบจุดหมายปลายทางเลย เสียเงิน เสียเวลา เสียพลังงาน โดยเฉพาะเสียความรู้สึก และในที่สุดเราก็พบว่าตัวเราล้มเหลว พระพุทธองค์เป็นตัวอย่างของไกด์ที่ดี ผลก็คือในสมัยพุทธกาลมีผู้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน ที่มีแต่นักพูดและหานักปฏิบัติได้ยาก และในบรรดานักปฏิบัติส่วนใหญ่ก็หลงทาง มีส่วนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะ แม้พระพุทธองค์เองตั้งแต่เล็กจนโตก็มีอาจารย์คอยชี้แนะมาตลอด ล้วนเป็นอาจารย์ระดับประเทศทั้งสิ้น อาจารย์ดังแห่งยุค ซึ่งในอินเดียและเนปาลสมัยก่อนเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญ จนปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่มากมาย วิถีทางแตกต่างกันไปแต่จุดหมายเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ล้วนเป็นที่ชุมนุมของเหล่านักบุญ และพระพุทธองค์ก็เคยจาริกไป การจะค้นหาไกด์นำทางที่ดีเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะคนที่จิตใจคับแคบย่อมยากที่จะฟังใครง่ายๆ แต่เรามีคัมภีร์โบราณมากมายมีนิกายมากมาย ศาสนามากมาย ถ้าเรานำมาศึกษาเปรียบเทียบให้ดี เปิดใจให้กว้าง ไม่ยึดติดจนเกินไปกับความเชื่อเดิมๆ ที่บางครั้งก็ล้าสมัย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอาจารย์ดีอาจารย์ดังในปัจจุบัน คิดว่าคงไม่สุดวิสัยเกินไปที่จะหาพบอาจารย์ดีสักคนหนึ่ง มีคำกล่าวว่า ทุกยุคทุกสมัยจะมีนักบุญหรือพุทธะมาเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีบุญสัมพันธ์หรือไม่คิดจะค้นหาก็ย่อมยากยิ่งที่จะได้พบเจอ อีกอย่างสังคมที่ต้องดิ้นรนแบบปากกัดตีนถีบ ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เวลาของชีวิตก็เหลือน้อยลงจนไม่เหลือเวลาเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิตนี้ นั่นคือ การหลุดพ้น เป็นอิสระจาก โลภ โกรธ หลง คำสอนต่างๆก็มีมากมายจนเกินไปแล้ว แต่มีสักกี่คนที่มีประสบการณ์จริงๆ รู้แจ้งจริงๆ เพียงแค่รู้ต่างกับรู้แจ้ง การรู้ต้องอาศัยตำรา ครูอาจารย์ช่วยสอน แต่การรู้แจ้งมาจากประสบการณ์จากภายใน สิ่งแรกหาได้จากภายนอก แต่สิ่งหลังหาได้จากภายในจิตใจ และถ้ามีอาจารย์คอยชี้แนะก็ย่อมไปได้เร็วกว่ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบันยิ่งจำเป็นต้องมีอาจารย์ เพราะมายาที่จะล่อลวงจิตใจให้หลงทางได้มีมากมายกว่าอดีตนัก ไม่มีอะไรตายตัวและต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่กำเนิดขึ้นมากมาย บ้างก็กลายพันธุ์จากเดิม บ้างก็เกิดขึ้นมาใหม่ มีให้เห็นอยู่ การบำบัดรักษาก็ต้องเท่าทันโรคภัยต่างๆเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็ถูกเรียกว่าล้าหลัง ไม่ทันโลก ถ้าเป็นรถก็เรียกว่า ตกรุ่น อะไรประมาณนั้น
	ถ้าเราพบอาจารย์ดีแล้วมันก็ง่ายขึ้นเยอะ เราก็เพียงแต่ทำตามที่อาจารย์ชี้แนะ และเดินตามท่านโดยไม่ท้อถอยกลับหลัง ไม่ยอมแพ้กลางทางเชื่อว่าจุดหมายปลายทางย่อมเป็นที่หวังได้ เพราะอาจารย์ดีที่แท้จริงนั้นหาใช่สามัญชนคนธรรมดาไม่ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือศิษย์ไปจนตลอดรอดฝั่งได้ในที่สุด จึงมีคำกล่าวว่าการได้เพียงพบหน้าอาจารย์ดีสักครั้งก็ถือว่าหลุดพ้นแล้วทันที แม้คนผู้นั้นจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นอาจารย์ดีก็ตาม หรือแม้กระทั่งเกลียดชังก็ตาม ในที่สุดอาจารย์ดีก็ยังคงช่วยเหลือคนผู้นั้นได้อยู่ดี ก็ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ดีย่อมกระทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว คนธรรมดาสามัญย่อมไม่สามารถกระทำได้ ย่อมเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับคำว่า อาจารย์ดี อาจเป็นได้แค่อาจารย์ดังเท่านั้น ซึ้งล้วนมีให้เกร่อเต็มบ้านเต็มเมือง......อีกเรื่องหนึ่งที่ล่อแหลมเป็นอย่างมากที่จะกล่าวถึง คือเรื่องของ  กรรม การที่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ล้มเหลวกลางทางเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากกรรมนี่เอง กรรมคือนิสัยหรือความคิดที่ฝั่งแน่นมาจากอดีต จนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้คิดแบบเดิม พูดแบบเดิม และกระทำแบบเดิม ชีวิตก็เลยเป็นแบบเดิมๆ มีคนกล่าวว่า ความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน น่าจะใช้ได้ดี แม้พุทธองค์จะห้ามมิให้คิดถึงเรื่อง กรรม เพราะเป็นเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อน แต่พระองค์ก็กลับมีวิธีที่จะพิชิตกรรมนี้ได้ การที่ทรงหยั่งทราบว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน กล่าวคือ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กรรมก็เช่นเดียวกัน สามารถแก้ไขได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของมนุษย์ เรามักได้ยินบ่อยๆว่าใครทำกรรมอะไรตัวเองก็ต้องชดใช้ ถูกต้องถ้านั่นเป็นปุถุชน แต่ถ้าเป็นอาจารย์ดีหรือพุทธะท่านเหล่านั้นจะมีวิธีรับมือได้เสมอ เพราะไม่มีอะไรที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ แม้กระทั้งในพุทธประวัติยังสามารถทำให้นรกว่างได้แม้เพียงชั่วขณะก็เคยมีมาแล้ว ท่านเข้าใจระบบการทำงานของมัน ที่ปัจจุบันเรียกว่า อินพุท เอ๊าพุท รู้ความเป็นมาเป็นไป จึงสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า พุทธานุภาพ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันยังไปไม่ถึง เป็นวิทยาศาสตร์ขั้นสูง แท้ที่จริงโลกนี้ล้าหลังอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ เพราะท่านมีปัญญามากกว่าคนธรรมดา มากกว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ท่านคือยอดนักวิทยาศาสตร์ และเยี่ยมยอดในทุกศาสตร์สาขาวิชา เพราะท่านคือต้นกำเนิดของศาสตร์ต่างๆนั่นเอง เพราะท่านเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อะไรที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ล้วนอยู่ในความสามารถของท่าน แม้แต่โลกใบนี้ แม้แต่จักรวาลทั้งจักรวาล มีดาวเคราะห์ต่างๆเป็นต้น ท่านย่อมรู้จักหมด ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้เพราะท่านได้ชื่อว่าสัพพัญญู ท่านจึงสามารถแก้ไขกรรมต่างๆของศิษย์ได้และทำให้เขาเหล่านั้นเข้าถึงธรรมได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเพียงสั้นๆ ท่านไม่ได้สอนอะไรเพียงทำให้ทุกคนเป็นเหมือนกับตัวท่าน เพราะท่านรู้ว่าสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน และรวมทั้งท่านด้วย ท่านไม่ได้สอนอะไรใหม่ เพราะนี่คือธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อนมีโลกและจักรวาล ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีสิ่งเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือสิ่งนี้นี่เอง สิ่งที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ หรือหน้าตาดั้งเดิมหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือพระเจ้า นี่คือความจริงของชีวิตข้อเดียว นี่คือสัจธรรมสูงสุด ผู้ที่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้เรียกว่านิพพาน นั่นเอง มิใช่ตาย เพราะคนที่นิพพานต้องนิพพานเวลาเป็นๆถ้าคนที่นิพพานแล้วตายเรียกว่า ดับขันธปรินิพพาน ไม่รู้ศัพท์ถูกต้องหรือเปล่า ไม่เคยเรียนมาเสียด้วย การอธิบายมีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องค้นหาอาจารย์ดีและปฏิบัติมันด้วยใจ จนเกิดมรรคเกิดผลเห็นแจ้งขึ้นมาจริงๆนั่นแหละจึงเรียกว่ายอดคน ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนก็แล้วกัน........สาธุ
				
comments powered by Disqus
  • กันนาเทวี

    25 มีนาคม 2551 09:53 น. - comment id 99688

    มองแต่แง่ดีเถิด
    
    เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา
    จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่
    เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู
    ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
    
    จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว
    อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
    เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย
    ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง
  • กันนา ก็อบมาค่ะ สาธุ!..................

    25 มีนาคม 2551 10:26 น. - comment id 99689

    โอ๊ะลืมไป  ก๊อบกลอนของ
    ท่านพุทธทาส  ภิกขุ   มานะค่า
    
    แถมอีกบทค่า
    
    ตาบอดตาดี
    
    หมู่นกจ้องมองเท่าไรไม่เห็นฟ้า
    ถึงฝูงปลาก็ไม่เห็นน้ำเย็นใส
    ไส้เดือนมองไม่เห็นดินที่กินไป
    หนอนก็ไม่มองเห็นคูถที่ดูดกิน
    
    คนทั่วไปก็ไม่มองเห็นโลก
    ต้องทุกข์โศกหงุดหงิดอยู่นิจสิน
    ส่วนชาวพุทธประยุกต์ธรรมตามระบิล
    เห็นหมดสิ้นทุกสิ่งตามจริงเอยฯ
    
    พุทธทาส  ภิกขุ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน