น้ำตาของผมและน้องรินอาบแก้ม เมื่อได้ยินคำถามว่าใครจะเลือกไปกับใคร ระหว่างพ่อกับแม่ นาทีนั้นผมรู้สึกว่าคงไม่มีความขมขื่นใดโหดร้ายเท่านี้อีกแล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันหรือครับ หรือว่าจริง ๆ แล้วความรักที่พ่อกับแม่มีต่อเราน้อยนิดกว่าความเกลียดชังที่มีต่อกัน จนต้องหันหลังแยกทางให้เราเลือกในสิ่งที่เราไม่ต้องการ พ่อแต่งงานกับแม่แต่ยังต้องอยู่บ้านพ่อตา ตามีลูกเขยหลายคน ในบ้านนั้นพ่อเป็นลูกเขยที่จนที่สุด มาจากครอบครัวชาวนาผิดกับลูกเขยใหญ่และลูกเขยรองที่ทำมาหากินโดยการรับเหมาและค้าขาย ผมโตขึ้นมาท่ามกลางการเหยียดเย้ยหยามหยันด้วยหางตาและถ้อยคำของลุงใหญ่และคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะเป็นหลานที่ตารักมากก็ไม่ใช่สิ่งที่จะชดเชยความเกลียดชังที่คนอื่น ๆ มีต่อผมได้ ทุกคนในบ้านหวาดระแวงผมกลัวผมจะหยิบฉวยเอาข้าวของเงินทองที่พวกเขาบอกว่าผมและพ่อเป็นคนอื่น ถ้อยคำที่ผมจดจำได้คือถ้ามึงจะไปอยู่กับพ่อก็อย่าได้กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก ตอนนั้นผมงุนงงสงสัยว่าทำไมเขาจึงอยากให้พ่อไปในขณะที่เหมือนอยากให้ผมอยู่ ตอนหลังผมรู้ว่ามันคือข้อต่อรองของผู้ใหญ่เพื่อจะได้เป็นฝ่ายไม่เสียเปรียบ เวลาตาไปเที่ยวไหนมักได้ของเล่นชิ้นเล็ก ๆมาฝากผมเสมอ แต่ว่า.. สิ่งของที่ตาซื้อให้ผม หลานของตาคนอื่น ๆ จะมาแย่งเอาคืนหมด หรือไม่ก็ทำให้มันแตกพังแล้วหัวเราะเสียงดังสาใจ ผมไม่อาจโต้ตอบ ผมไม่ชอบการต่อยตี และที่สำคญผมเป็นแค่คนอาศัยในบ้านนั้น ผมไม่มีบ้านที่จะอยู่ได้ยืนยืดไหล่เหมือนใครเขา พ่อสร้างเรือนหลังใหม่โดยต่อออกมาจากยุ้งข้าวที่บ้านของปู่ ผมเทียวแวะเวียนไปหาพ่อเพราะอยากจะอยู่กับพ่อคุยกับพ่อแต่ผมก็กลัวกลัวคนในบ้านแม่จะเห็น ผมหวาดกลัวต่อภัยจากน้ำเสียงแลสายตาของพวกเขาที่ทำให้ผมรู้สึกราวเป็นสัตว์ที่รอเศษก้างที่เขาโยนให้กิน สิ่งที่ทำให้เขาจงเกลียดจงเกลียดชังพ่อและผมถึงขั้นทนกันไม่ได้คือเขากลัวว่าพ่อจะแย่งชิงทรัพย์สินมรดกที่เขาสมควรได้ เขาอาจไม่แสดงต่อผมต่อหน้าตาด้วยสีหน้าหรือคำด่าทอรุนแรงก็เพราะเขาเกรงใจตา แต่เมื่อถึงวันที่เขาได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างตาก็หมดความหมาย ผมโดนเขาดุด่าที่เอาของกินในบ้านไปให้พ่อ ผมไม่มีอะไรที่จะสื่อให้พ่อรู้ว่าผมรักนอกจากเศษขนมที่ผมมี ตาให้ขนมแก่ผมแต่เมื่อผมเอาขนมไปให้พ่อทุกคนในบ้านก็รุมด่าว่าอ้ายขี้คอก พวกคนทุกข์ นั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่บ้านต่อยุ้งกับพ่อ ผมไม่รู้ว่าแม่รักพ่อหรือไม่ เพราะทุกถ้อยคำที่คนบ้านใหญ่พูดถึงพ่อในทางไม่ดี แม่ไม่เคยแก้ต่าง หลานตาคนอื่นว่าผมว่าเป็นหมาหลายเจ้ากินข้าวหลายเรือน เพราะผมแอบไปหาพ่อแอบคืนเรือนมาหาแม่ ถ้าตาไม่อยู่ผมไม่กล้าที่จะกลับบ้านหลังใหญ่ วันที่ผมเสียใจที่สุดก็คือวันที่แม่ดุผมว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลา เถลไถลไม่อยู่บ้านอยู่ช่อง ผมเสียใจเพราะผมไม่ได้เถลไถล ผมไปหาพ่อ ผมมีความสุขที่จะอยู่บ้านหลังเล็กๆกับพ่อ ผมได้อยู่กับพ่ออย่างจริงจังในไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อตากับยายเสียลงในเวลาไล่เลี่ยกัน บ้านหลังใหญ่เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็นคนใหม่ ผมเป็นคนไปชวนแม่มาอยู่ด้วย แม่ร้องไห้ คล้ายกับนึกอับอายที่ได้ทำบางอย่างไว้กับพ่อ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญในตอนนั้น ตอนที่ผมขอให้พ่อรับแม่มาอยู่ด้วย พ่อพูดเพราะมากว่า ไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าของแม่มาเถิด ========================================= 000 แม่ก็อาจเหมือนผม ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านนั้น แม่จึงจากมันมาง่ายดายกว่าที่ผมคาด ญาติของแม่แทบจะไม่สนใจตอนที่แม่กับผมหิ้วกระเป๋าเดินจากมา ผมถามแม่ว่าแม่สบายใจไหม แม่ไม่พูดแต่พยักหน้าน้อย ๆ ที่บ้านของปู่ พ่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปู่ คือปลูกอยู่ปลูกกิน ช่วงแรก ๆ ในชีวิตการมีครอบครัวของพ่อ ผมคิดว่าพ่อไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะพ่อตาและเขยใหญ่เป็นฝ่ายกำหนดให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อพ่อมาทำตามแบบของตัวเองผมเห็นพ่อยิ้มอยู่ภายในใจ งานบ้านในบ้านต่อยุ้งไม่ยุ่งเหยิง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรามีข้าวของน้อย มีห้องที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูน้อย มีภาระที่ต้องรับใช้คนอื่นน้อยลง ผมเองได้แบ่งเบาภาระของแม่เต็มที่ไม่ต้องคอยผละไปทำงานที่คนอื่นบอกว่าเร่งด่วนกว่า เมื่องานบ้านมีน้อยผมก็มีเวลาที่จะทำงานกับพ่อมาก ผมชอบงานที่ก้าวหน้าของพ่อ ผมเห็นพืชผักของพ่อตั้งแต่มันแทงยอดพ้นขึ้นมาจากดินอ่อนนุ่ม มันยิ้มรับแสงและยิ้มให้ผม ผักในสวนมีหลายอย่างทั้งรสจืดและข้นขม กลิ่นก็มีหลายแบบทั้งฉุนกึกและจางกว่า ผมไม่ค่อยเห็นมดแมลงกวน พ่อไม่ใช้ยาฆ่าแมลง พ่อเพียงจัดการมันด้วยมือกับปลูกพืชผักพวกนั้นคละกันจนแมลงมันมึน ผมแอบยิ้มและมีความสุขที่สุดในวันที่แม่เดินเข้าไปเก็บผักในสวนมาทำกับข้าวให้พวกเรากิน น้องของผมชอบคะน้าผัดปลาเค็มฝีมือแม่ ส่วนผมชอบต้มจืดมะระฝีมือพ่อ ความจริงผมแทบเกลียดรสขม แต่เมื่อพ่อว่าค่อย ๆ กินทีละน้อย ของขมมักเป็นยาทำให้ชีวิตยืนยาวผ่องใสผมจึงทำใจยอมกินและรู้สึกกับมันดีขึ้น เมื่อผักของพ่อมีมากและหลากหลายขึ้นก็มีคนจากตลาดมาซื้อผักที่บ้านต่อยุ้งของเรา ตอนหลังพ่อบอกเขาว่าจะเอาไปส่งให้ก็ได้ ผมเลยมีงานหลักอีกอย่างเพิ่มขึ้นมาคือส่งให้เจ้าประจำ คนทำงานในอำเภอที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของปู่มีเยอะแยะมากที่อุดหนุนพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอัธยาศัยดีกับผักของเรามีความปลอดภัย ผมได้เห็นแม่ยิ้มอีกครั้งหลังจากที่แม่ไม่ได้ยิ้มมานานมากในวันที่ผมเอาตังค์ค่าผักให้แม่เก็บ ผมอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่บ้านหลังใหญ่ ผมอยากเอาผักไปให้เขากิน แต่กลัวเขาจะเหยียด ผมอยากจะบอกว่าผักของผมอวบ ผมก็กลัวเขาจะหยัน รอยจำภาพหยามเย้ยด้วยหางตามันไม่เคยลบออกไปได้ แต่ในที่สุดพ่อก็ให้ผมเอาผักไปให้ลุงใหญ่ เลือกคะน้าที่อวบที่สุด เลือกฟักทองที่สวยที่สุด เลือกถั่วฝักยาวที่กรอบที่สุด เลือกมะเขือที่หวานที่สุดใส่ตะกร้าใบใหม่ที่สุดให้แม่พาไป บ้านนั้นรับ แต่ไม่ยิ้ม แต่เท่านั้นผมก็รู้สึกว่าตนเองมีความสุขล้นเหลือ แม่ก็คงเหมือนกัน ป้าแอบหยิบของที่ขายอยู่หน้าร้านให้เรา เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง นั่นก็ทำให้ผมได้คิดถึงคำพูดของพ่อที่ว่าอย่างไรเสียคนในสายเลือดเดียวกันก็มีเยื่อใยต่อกัน ที่บ้านต่อยุ้งของพ่อ มีต้นไม้ค่อยโตขึ้นหลายต้น ส่วนมากเป็นไม้ผลพันธุ์แปลกที่มีคนเอามาฝากพ่อ ไม้ผลธรรมดาพื้นบ้านก็มี แต่ที่มีมาก ๆ คือกล้วยที่เรากินเองไม่หวาดไม่ไหว พืชชนิดนี้เองที่ทำให้แม่ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ ผู้หญิงจากบ้านหลังใหญ่ที่หม่นหมองซึมเศร้ามาค่อนชีวิต มายิ้มสดใสได้บ้างก็ตอนที่มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยังไม่เป็นบ้านดี ผมนึกแล้วก็หัวเราะในความช่างสังเกตของตัวเอง ============================ 000 เมื่อชีวิตมีความสงบสุข ผมก็มีเวลาสังเกตสิ่งรอบตัวที่งามง่ายมากขึ้นแทนที่จะต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาจะด่าหรือพูดกระทบกระเทียบอย่างไร ผมเพิ่งสังเกตเห็นนกตัวเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือของเด็ก ๆ ตัวสีดำ ๆ ปีก มีแถบสีแดง ๆ ส่งเสียงจิ๊บ ๆ บินมาจับร้านฟักทอง กระโดดไปกระโดดมา ผมเห็นแล้วว่านกคู่นั้นทำรังน้อย ๆ ไว้ที่กิ่งกระโดงคู่ของต้นทับทิม ที่เพิ่งสูงท่วมหัวของผม นอกจากนก ผมยังได้เห็นผึ้ง ทั้งผึ้งหลวงและผึ้งมิ้ม บินมากินน้ำหวานและเคล้าเกษรดอกไม้ แต่ก่อนผมไม่ได้ยินเสียงผึ้ง คงเป็นเพราะหูผมคอยแต่จะฟังว่าเขาด่าหรือนินทาอะไร เสียงผึ้งนั้นเพราะ เหมือนตาปะขาวเป็นหมู่สวดมนต์อยู่งึม ๆ และนานแล้วที่ผมไม่ได้ยินพ่อเป่าขลุ่ย วันนี้ได้เห็นและได้ยินเพลงลูกทุ่งจากขลุ่ยของพ่อกับได้เห็นแววตาชื่นชมที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากดวงตาของแม่ สิ่งที่ผมได้เห็นวันนี้ แหม..ทำให้ผมมีความสุขมากแท้ ไม่นานเลย ขณะที่บ้านของเราเงียบลงอย่างกับวัด บ้านหลังใหญ่กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นดังขึ้นแทน เจ้าบ้านคนใหม่คงเมามาย เสียงตะคอกขู่จึงดังยิ่งกว่าดังเหมือนเสือคำราม มือที่เงื้อง่าออกท่าจะตบตีไม่ต่างจากอุ้งเท้าสัตว์ที่เตรียมตะปบสัตว์อ่อนแอกว่า เขามีเรื่องอะไรต้องทะเลาะกันอยู่หรือครับ ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็รู้ว่าเรือนหลังใหญ่นั้นมีอะไรทุกอย่าง สมบูรณ์พร้อม คุณคงไม่เชื่อเด็กอย่างผมดอกครับ ถ้าผมจะพูดว่า บ้านนั้นขาดความรัก ทะเลสงบเพราะพายุไม่ปรากฏตัว ครั้นเมื่อฟ้าคลั่ง ทะเลก็ประดังคลื่น บ้านใหญ่เกิดเรื่องระหองระแหงมีปากเสียงเพราะป้ารู้ว่าบ้านเล็กบ้านน้อยที่บัดนี้กำลังท้องอ้างความเป็นเมียอีกคนอยู่ด้วย ความหึงหวงได้ทำให้ความเงียบดังทะเลเรียบกลายเป็นคลื่นทะเลใหญ่ที่กำลังโถมเข้าใส่กองทรายปากอ่าว เด็ก ๆ บ้านนั้นร้องไห้กระจองอแงเมื่อเห็นพ่อแม่ของเขาทะเลาะกัน ถ้าตากับยายอยู่คงได้เป็นคนห้ามทัพ แต่นี่คนตัวใหญ่เสียงดังที่สุดในบ้าน ไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใครเสียแล้ว ใครจะห้ามสงครามในครอบครัวนี้ได้หรือครับ นอกจากพวกเขาจะห้ามใจตัวเอง ผมไม่อยากเล่าต่อ เพราะมันไม่ต่างจากหนังที่ฉายทางทีวี ผมได้เห็นน้ำตาของลูก ๆ ของลุงรินอาบแก้ม เมื่อเห็นพ่อแม่ของตนตีและด่ากัน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไหมครับ บางทีความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกันอาจะน้อยกว่าความเกลียดชังที่กำลังเพิ่มขึ้นเมื่อรู้เต็มอกว่าอีกคนหนึ่งกำลังโกหกและนอกใจ ก่อนการแยกทางจะเริ่มต้นขึ้น ผมได้ยนเสียงพวกเขาเถียงแบ่งสมบัติและแบ่งลูกกัน เสียงร้องไห้ยังดังระงม ผมก็ได้แต่คาดหวังว่าพวกเขาจะกลับคืนหากัน ด้วยความรัก
11 มีนาคม 2551 16:49 น. - comment id 99443
สวัสดีค่ะ พี่ก่อพงษ์ ดอกบัวกราบงามๆพี่ก่อพงษ์ค่ะที่เขียนเรื่องนี้ให้บัวอ่านแนวนี้ ปัจจัยในการครองคู่นี้มีหลายสาเหตุจังเลยค่ะ ไม่เรื่องฐานะ ก็ เรื่องการศึกษา ไม่ก็เรื่องญาติพี่น้องมาเกี่ยวข้อง ถ้ามีการศึกษาระดับเดียวกันก็ต่างคนต่างแน่ ยอมแพ้กันไม่ได้ แต่ถ้าผู้หญิงมีฐานะเหนือกว่าก็ประดุดผู้ชายตกถังข้าวสาร ถ้าผู้หญิงดูแลสามีมากไปก็ว่าหลงสามี ถ้าผู้ชายฐานะต่ำกว่าโดนญาติผู้หญิงถากถางต่างๆนาๆเหมือนที่พี่ก่อพงษ์เขียน แล้วเรื่องการศึกษาอีกบัวเห็นญาติบัวท่านหนึ่งมีการศึกษาน้อยกว่าสามี เวลาทะเลาะกันสามีก็จะด่าว่า (บัวขอโทษนะค่ะที่ใช้คำประมาณนี้ค่ะ) พอทะเลาะกันสามีก็จะด่าว่าภรรยาโง่เป็นกระบือ ส่วนภรรยาก็ได้แต่ร้องให้ บัวเห็นแล้วก็สงสารจะยุ่งก็ไม่ได้พูดอะไรมากก็ไม่ได้ก็ได้แต่ปลอบไปว่าต้องอดทนเอาเลือกแล้วนี้ พอบ่อยเข้าจนภรรยาเครียดมากบัวก็เป็นห่วง บัวก็เลยแนะนำว่าถ้าเขาด่าว่าเราเป็นกระบืออีกให้บอกไปเลยว่า ดีใจจังที่คนรู้ทั้งรู้ก็ยังโง่มาเอากระบือไปเป็นภรรยาอีก แต่ก่อนย้อนต้องตั้งถ้าหลบก่อนนะ ตั้งแต่นั้นมาคำพวกเนี่ยญาติบัวก็ไม่ไปยินอีกเลย ก็อย่างละครหลายๆเรื่องปัญหาประมาณเนี่ยที่เขาแสดงกัน พอจบเรื่องก็คือจบ แต่ชีวิตจริงไม่ใช่แบบละคร ต้องประคับประครองให้ครอบครัวอยู่รอดและผู้รับช่วงต่อไปก็คือรุ่นลูก ต้องปูพื้นฐานให้ลูกดูการดำเนินชีวิตเป็นครอบครัว เป็นแบบอย่าง เป็นพ่อให้ดี เป็นแม่ให้ดี ลูกจะซึมซับตรงนี้เป็นแบบอย่าง พี่ก่อพงษ์ค่ะหรือว่าจริงๆบัวคิดมากเกินไป เพราะวิถี กรรม ของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรือเปล่าค่ะ บัวกราบขอบคุณจริงๆค่ะ พี่ก่อพงษ์เขียนสื่อได้เหมือนเรื่องจริงค่ะ บัวขอให้พี่ก่อพงษ์พร้อมครอบครัวมีความสุขมากๆค่ะ
10 มีนาคม 2551 21:27 น. - comment id 99458
สวัสดีคะ คุณก่อพงษ์ ฮ่า ฮ่า มาทักทายคนแรก เขียนต่อซิคะ กำลังติดตาม ช่วงนี้ขออ่านก่อนแล้วกัน เพราะยังทราบจะเขียนอะไรดี โชคดีคะ
10 มีนาคม 2551 21:40 น. - comment id 99459
สวัสดีครับคุณรอยทาง ผมเขียนเรื่องนี้ตามที่ได้รับปากกับน้องดอกบัวไว้นะครับ
11 มีนาคม 2551 01:30 น. - comment id 99460
สวัสดีตอนดึกค่ะ เรื่องนี้สนุกดีค่ะ อ่านแล้วทั้งเศร้าทั้งซึ้ง น้ำตาพาลจะไหลให้ได้ ถึงยังไงคุณก็ยังสื่อความหมายให้เห็นว่าครอบครัวนั้นสำคัญที่สุดใช่มั๊ยคะ ดูจากตอนท้ายที่ลูกยังชวนแม่ไปอยู่ด้วย ทั้งๆที่แม่ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าไหร่ในตอนแรก
11 มีนาคม 2551 22:15 น. - comment id 99465
จะรอติดตามผลงานตอนต่อไปค่ะ
11 มีนาคม 2551 23:13 น. - comment id 99466
แม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำที่บริษัท ยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาทำงาน บรรยากาศห้องน้ำไม่น่ากลัวอย่างตะก่อน แม่บ้านคนที่เอ่ยถึง เรียนมาน้อย แค่ประถมสอง มีลูกชายสองคน คนโตเป็นนายแพทย์ คนที่สองเรียนอยู่ปีสามวิศวะ น่าทึ่งกับการประคับประคองครอบครัวและการเลี้ยงดูบุตรชาย แม่บ้านยังคงทำงานอย่างเต็มใจและเต็มกำลัง ทั้งที่สามารถมีชีวิตอย่างสบายได้แล้ว แม่บ้านเล่าให้ฟังว่า โชคดีที่ลูกสองคนรักการเรียน และเอาเยี่ยงพ่อ .. พ่อของเขาเรียนสูง ทีเดียว ถ้าจะบอกว่า เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย คงแปลกใจกันไปตาม ๆ กัน ทำไมยังคงทนขัดถูห้องน้ำ คอยใส่กระดาษทิชชู่ เทขยะและดูแลความสะอาด และต้องผจญกับพวกโรคจิตที่ชอบทำเขรอะ เป็นคนที่น่าทึ่งจัง น่านิยมยกย่องด้วย ตอนที่กำลังเขียนอยู่นี่ ก็นึกหน้าตามไปด้วย แม่บ้านจะมีรอยยิ้มเสมอ สงบเสงี่ยม และสุภาพ
12 มีนาคม 2551 00:40 น. - comment id 99467
สวัสดีคะ ถึงทุกๆ คนที่ออกความเห็น อ่านข้อคิดของน้องดอกบัวแล้ว รู้สึกว่าจะค่อนข้างจริงในสังคมไทย ไม่ว่าจะสังคมครอบครัว การทำงาน มักหาความสมดุลย์อะไรไม่ค่อยได้ ก็เพราะคนไม่เข้าใจและกล้ายอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ ขาดจิตสำนึกความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจ บางครั้งก็เหนื่อยปวดหัวกับคนรอบข้างๆ ในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนกระทำ ผลแห่งกรรมก็มีส่วน แต่ทุกอย่างรอยทางว่าอยู่ที่การกระทำของเรามากกว่า เมื่อเราเจอปัญหาตั้งสติ แล้วเอาปัญหามาเป็นเครื่องผลักดันตัวเราเอง สร้างตัวเราให้มีคุณค่าให้เกิดผลที่ชัดเจน ก็ไม่มีใครมาว่าเราได้ เคยทำงานกับบริษัทต่างชาติแต่คนไทยบริหาร หนีจากปัญหาสังคมไทย ตอนนี้รอยทางทำงานอยู่ต่างประเทศ แนวความคิดมันสวนทางกันจริง มองกลับไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรคนไทยบางส่วน จิตใจจะพัฒนาเสียที
12 มีนาคม 2551 21:52 น. - comment id 99478
สวัสดีครับคุณการัณยภาส ครอบครัว คือการอยู่ด้วยกันและดูแลกันของสมาชิก สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นครอบครัวได้คือความรักความใยดีต่อกัน พื้นฐานสำคัญที่ทุกคนต้องมีคือความรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ และนอกเหนือจากนั้นคือการเสียสละให้อภัยความจริงใจซื่อสัตย์ หาไม่แล้วครอบครัวก็จะล่มสลาย บ้านจะไม่ต่างจากขุมนรก เรือนหลังใหญ่ปานใดก็ไร้สุข ผมเชื่อว่า เมื่อลูกมีครอบครัว เขาจะจดจำสิ่งดี ๆ ที่พ่อแม่แสดงออกต่อกันและแสดงออกต่อเขาเอาไปใช้ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องสอนแต่เขาจะซึมซับเอง ถ้าพ่อแม่ชื่นชมกัน รักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน เขาก็จะเป็นอย่างนั้น ขอบคุณครับคุณการัณยภาส ที่เข้ามาอ่านและพูดคุยด้วย ------------------------------------ สวัสดีครับน้องดอกบัว อ่านที่น้องเขียนแล้วก็ได้คิดนะครับ ว่าสิ่งที่จะทำให้ชีวิตคู่ไม่หม่นหมองคือความเคารพนับถือไว้เนื้อเชือใจกันซื่อสัตย์ต่อกัน ถ้าคู่ครองขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ต่อให้มีทรัพย์มหาศาลก็หมองหม่น แม้จะปิดบังผู้คนอย่างไรก็ตาม พี่เห็นด้วยว่า ลูกจะซึมซับเอาวิถีการใช้ชีวิตของพ่อแม่ การแสดงออกต่อกันของพ่อแม่ และการแสดงออกต่อเขาของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาเมื่อเขามีครอบครัว เรื่องเวรกรรมของแต่ละคนพี่ก็เคยได้ยินพ่อสอน แต่พี่ก็เอาไว้ช่วยทำใจเท่านั้นเพื่อไม่ให้เจ็บช้ำเกินไปในสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง ขอบคุณมากครับน้องดอกบัว ------------------ สวัสดีครับอัลมิตรา ได้อ่านเรื่องที่คุณอัลมิตราเขียนแล้วก็ได้ยิ้ม อิ่มเอมใจ ดีใจด้วย ในความสุข ในความรู้จักชีวิต เข้าใจชีวิตของท่านนะครับ คนมีความสุขในตัวเอง บางทีก็อยู่ใกล้ๆเรา แต่เราไม่รู้ เพราะบางทีเราเองก็หาความสุขในตัวเองไม่เห็น-ฮา ที่ผมสังเกต และได้ข้อสรุปสำหรับผมเองคือ คนมีความสุขในตัวเอง เมื่อเราอยู่ใกล้เราก็พลอยมีความุขด้วย ส่วนคนที่หาความสุขในตัวเองไม่เจอ อยู่ใกล้ใครเขาก็พลอยรุ่มร้อนใจไปด้วย ผมอ่านข้อเขียนของคุณอัลมิตราแล้วมีความสุข ผมจึงสรุปว่าคุณอัลมิตราเปี่ยมไปด้วยความสุขในตัวเอง ถูกต้องไหมครับ ------------------------------------- สวัสดีครับคุณรอยทาง ผมได้แต่ยิ้มครับในถ้อยคำของคุณ สังคมประเทศของเราเป็นสังคมที่นึก ๆ ก็น่าสงสารครับ แต่ละคนดิ้นรนปากกัดตีนถีบ หลายคนเลือกที่จะโกง หลายคนเลือกที่จะติดสินบนเพื่อจะมีโอกาสเหนือคนอื่น หลายคนฉ้อฉลจนเป็นนิสัยถาวร น้อยกว่านั้นคือไม่รับผิดชอบการกระทำและคำพูด ผมคิดว่าเบ้าแบบมาจากการที่คนผู้เกิดก่อนเห็นแก่ตัวเกินไป กับสร้างมายาคติให้คนเห็นว่าต้องรวยเท่านั้นจึงถือว่ามีสุข น่านับถือ แม้ความรวยนั้นจะมาจากการฉ้อฉลเพียงใดก็ตาม เป็นเวรกรรมของประเทศเรามั้งครับ แต่ที่ไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนดี ๆ ที่โอบอุ้มสังคมไม่ให้ตกต่ำซ้ำร้ายมีอยู่เยอะกว่า เวลานี้ผมไม่คาดหวังคนอื่นเท่าไหร่ ผมคาดหวังผมเอง ที่จะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น อย่างน้อยคนอื่นก็จะไม่เดือดร้อนเพราะผม-ฮา
13 มีนาคม 2551 09:33 น. - comment id 99484
สวัสดีครับ แวะมาชื่นชมผลงานอีกครั้ง สังคมไทย ละครไทย มีแต่สังคมเน่า ละครน้ำเน่าไม่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และเป็นละครที่ขายดีทั้งในจอแก้วและจอใหญ่ สิ่งเหล่านี้นักปกครองหารู้ไม่ว่ามันทำให้สังคมไทยเน่าลงทุกวันๆ นักปกครองกลับไปคิดว่าเด็กเล่นเกมทำให้มีปัญหา ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของตัวเขาเองและละครน้ำเน่าน่าจะมีปัญหามากกว่าเสียอีก ท่านก่อพงษ์ มีแนวคิดที่ดี และมีแนวการประพันธ์ที่ชวนอ่าน อ่านแล้วทำให้ผู้อ่านมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นการรักษานิสัยใจคอให้หายจากการป่วยเป็นอย่างดี คิดว่าถ้ามีคนแบบท่านในเมืองนี้มากๆ ประเทศเราคงเจริญกว่านี้ครับ ขอบคุณมากครับในผลงานของท่านที่ให้ผมได้อ่านฟรี 555
13 มีนาคม 2551 12:00 น. - comment id 99489
สวัสดีครับคุณคนบนเกาะ ขอบคุณมากครับที่แสดงความเห็นให้ผมได้รับรู้ ในข้อที่คุณคนบนเกาะว่า ผมเห็นด้วยมาก ละครก็คือสิ่งที่จะซึมลงไปในใจของคนดู ตบกันง่าย ๆ ตีกันง่าย ยิงกันง่าย ด่าทอกันง่ายๆ ทำร้ายกันเหมือนไม่รู้จักยั้งคิด ผิดลูกผิดเมียกันอย่างไร้หิริโอตตัปปะฯลฯ เหล่านี้ในละครมันซึมลงไปในใจคนดูทีละนิด จนเห็นเป็นธรรมดาที่น่ากลัวว่าอีกหน่อยคนก็จะทำร้ายกันง่าย ๆ โดยไม่ต้องเกลียดชังเป็นส่วนตัว ให้ใครตกเป็นที่รองรับอารมณ์แทนก็ได้ เหมือนที่ได้ฟังจากข่าวเรื่องคนเอาหินขวางปาใส่รถที่กำลังแล่นมาจนเด็กในรถเสียชีวิต อะไรแบบนี้ ถ้าจะให้โทษใคร ผมโทษผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวทั้งหมดนะครับ
13 มีนาคม 2551 19:06 น. - comment id 99498
สวัสดีคะ คุณก๋อพงษ์ "เวลานี้ผมไม่คาดหวังคนอื่นเท่าไหร่ ผมคาดหวังผมเอง ที่จะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น" ชื่นชมความคิดนี่จริงๆ คะ รอยทางก็คิดเช่นคุณนี่แหละ ทำตัวเราให้ดีที่สุด การคาดหวังกับคนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ เชื่อมั่นทุกคนต่างมีวิถีชีวิตของตนเอง ย้อนกลับไปอ่านข่าวเมืองไทย หดหู่ใจคะ มีแต่แก่งยิ่งชิงดีชิงเด่นกัน ตั้งแต่ระดับล่างสุดจนถึงสูงสุด แล้วอะไรคือแบบอย่างที่ดีของเยาวชนรุ่นหลัง รอยทางคิดว่าแบบอย่างที่ดีก็คือการเริ่มต้นของครอบครัว ขอชื่นชมในความคิดและความเป็นผู้นำของคุณก่อพงษ์ จงทำต่อไปนะคะ
13 มีนาคม 2551 20:45 น. - comment id 99500
สวัสดีครับคุณรอยทาง ผมนึกถึงคำนี้ครับ คนดีอย่าท้อแท้ที่จะโอบอุ้มสังคมนะครับ ฮา
14 มีนาคม 2551 09:43 น. - comment id 99513
อ่านเรื่องนี้จบ เห็นภาพ รายละเอียด โดนใจไปเต็ม ๆ ตะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเขียน ชอบเรื่องนี้มาก เปรียบเทียบจนรู้สึก ยังรออ่านตอนต่อไป แต่แอบเห็น พี่เขียนคำว่า ผึ้งหลวงหรือผึ้งมิ้ม มันหล่นตัว"ง"นะพี่ ด้วยมิตรภาพและความจริงใจนะครับพี่
14 มีนาคม 2551 17:31 น. - comment id 99520
สวัสดีครับ-ร้อยแปดพันเก้า- ขอบคุณมากที่บอกจุดที่ผิดครับ เมื่อถึงเวลาอันควร จะเอาเรื่องพวกนี้ไปปรับปรุงแล้วทำเป็นรูปเล่มเผยแพร่ครับ