The Secret (เดอะซีเคร็ด) ความลับของจักรวาล

ช่ออักษราลี

"ความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือคุณแล้ว  ความลับนี้ถูกส่งผ่านสืบทอดมาเป็นเวลาช้านาน เป็นที่ปรารถนาอย่างมาก เป็นความลับที่ถูกปิดซ่อนเร้น ตกหล่นสูญหาย เป็นที่ฉกฉวยช่วงชิง และซื้อหาด้วยเงินก้อนใหญ่ ความลับซึ่งมีอายุเก่าแก่หลายศตวรรษนี้รู้กันเฉพาะในหมู่บุคคลผู้โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์เพียงบางราย เช่น เพลโต, กาลิเลโอ, เบโธเฟน, เอดิสัน, คาร์เนกี, ไอน์สไตส์  กับบรรดานักประดิษฐ์ นักเทววิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ บัดนี้ ได้เวลาแล้วที่ความลับนี้จะถูกเปิดเผยต่อชาวโลกทั้งมวล"
          เป็นการเปิดประเด็นด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้อ่าน
บทความบางตอนของหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา เป็นผู้แปลไว้ ชื่อหนังสือ The Secret เป็นการสร้างความเร้าใจ สงสัย อยากรู้ ว่าจะเป็นความลับเรื่องราวใดกันหนอ ถึงได้มีค่าสำคัญยิ่งจนขนาดมีคนฉกฉวย แย่งชิง และซื้อหามาด้วยราคาอันมหาศาลในเวลาอันยาวนานยิ่ง เมื่อได้ติดตามเรื่องราวต่อไป ก็ได้ไขปริศนาร่วมกันกับเพื่อนๆจำนวนร้อยคน จากการไปสัมมนาของหน่วยงาน ที่บุญชูบางเบิดรีสอร์ท อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีขันธ์
 
          หนังสือเล่มนี้เผยความลับสำคัญของชีวิต ด้วยเรื่องกฏแห่งการดึงดูด ที่ทำให้ชีวิตสมปรารถนาทุกประการ โดยสิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน เมื่อคุณคิดดีหรือร้าย คุณกำลังดึงดูดความคิดเดียวกันเข้ามา ถ้าต้องการเปลี่ยนชีวิต คุณต้องเปลี่ยนคลื่นความถี่ความคิดของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การงาน ความมั่งคั่ง และสุขภาพ จะสร้างอนาคตคุณ สิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดและบ่อยที่สุดจะ
ปรากฎเป็นชีวิตรูปธรรมของคุณ
          คุณเคยขับรถด้วยความกดดันมั๊ยคะ ปกติเวลาคุณขับรถไปไหนก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท และรอบคอบ คุณก็ขับรถพร้อมเตือนตัวเองไปด้วย แต่การเป็นคนที่ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา ความหวั่นไหวในจิตใจ มันก็บอกกับตัวเองทุกขณะ ว่า ต้องระวังให้ดี เดี๋ยวจะชน ระวัง เดี๋ยวจะชน จนมันไปสร้างความกดดันให้จิตใจของเรา แทนที่จะขับรถไปอย่างปลอดภัย ไม่ชน ก็เกิดชนขึ้นมาจริงๆ  หรือบางครั้งเรากังวล กลัวคนนั้นคนนี้จะมาด่ามาว่า หรือนินทาเรา เมื่อเดินไปทางไหนเห็นเพื่อนจับกลุ่มกันคุยพร้อมหันหน้ามามองเรา เราก็จะเกิดความระแวงคิดว่าเพื่อนกำลังนินทา ด่าว่าเราอยู่ แรงกดดันในตัวเรา ก็สร้างปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา แทนที่เพื่อนจะไม่ว่า ไม่นินทาเรา ก็อดว่าอย่างเสียไม่ได้
          ตรงข้ามนะคะ ถ้าเราเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิต สิ่งที่เราไม่ชอบ แต่เราคิดถึงเรื่องที่ดี อภัย ปลดปล่อย ปล่อยวาง มันก็อาจจะทำให้เรื่องร้ายเบาบางลงได้ หรือกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีไปในที่สุดโดยไม่คาดคิด เมื่อเราคิดดี มันก็จะดึงดูดในสิ่งที่ดีเข้าหาตัวเรา เราก็จะได้รับผลดีตอบ เพราะในความชั่ว ความไม่ดี ความมืดมิด ก็ยังมีสิ่งที่ดี สิ่งที่งดงาม และสุกสว่าง หลงเหลือให้เราชื่นชมอยู่  
         ในท้องฟ้าที่มืดมิด ย่อมมีแสงริบหรี่ของดวงดาว เป็นแสงสว่างที่จะนำทาง
นำนาวาใจลำน้อยของเราให้พบกํบแสงสว่างของชีวิต แม้ความสว่างนั้น จะเป็นแค่เพียงแสงจากตะเกียงไฟ หรือแสงดาวเดือนก็ตาม มันก็จะไปส่องสว่างอยู่กลางใจที่มืดมิด กลับอบอวลสุกสกาวขึ้นมาบางๆ 
          บางคนคิดว่ามนุษย์เรามีพลังจิตอย่างหนึ่งหลบซ่อนในตัวของเรา เมื่อวันใดเราคิดถึงเรื่องดีๆ มันก็จะดึงดูดสิ่งที่ดีเข้าหาตัวเรา แต่หากเมื่อไหร่ในใจเราคิดในเรื่องชั่วร้าย มันก็จะดึงดูดเรื่องร้ายนั้นเข้าหาตัวเราเช่นกัน ดังนั้น เราผู้เป็นมนุษย์ซึ่งยังมีกิเลสอยู่ ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏจักรสงสาร ควรคิดคำนึงแต่สิ่งที่ดีๆ ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ให้ประเทศชาติบ้านเมือง ชีวิตก็จะมีแต่สงบสุข รื่นรมย์  แต่หากวันใดที่คุณคิดทำความชั่วเพียงเพื่อปากท้องคุณที่ไม่มีวันอิ่ม หิวกระหายตลอดเวลา เพื่อ มิตรสหาย วงศ์ษาคณาญาติของคุณ คุณก็จะประสพกับความหายนะในที่สุด มีชีวิตที่เลวร้ายในบั้นปลาย เพราะจิตใจของคุณเป็นผู้ดึงดูดสิ่งเลวร้ายพวกนี้มาเอง
          เพราะฉะนั้น เราควรคิดดี พูดดี และทำให้สิ่งที่ดี เพื่อความสงบสุขในจิตใจเราเอง หรือเพื่อส่วนรวมก็ตาม